“วาคามิยะซัง ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะ”
ถึงผมจะไม่ชอบการที่เธอโทรมาปลุกผมก็เถอะแต่ว่าผมก็ควรจะขอบคุณเธอที่ทำอาหารเช้าเอาไว้ให้ผม
แต่ไหงเธอถึงมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะ? ผมก็นึกว่าเธอจะขึ้นรถไฟไปโรงเรียนซะอีกหรือเธอจะรอขึ้นรถบัส?
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำเพราะอยากทำค่ะ”
วาคามิยะตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“แต่ว่านะ โทคิวากิซัง นอกจากคำว่าขอบคุณ คุณไม่มีอย่างอื่นจะพูดแล้วเหรอคะ?”
“คำขอบคุณไม่พอเหรอ หรือเธออยากให้ฉันแต่งกวีขอบคุณแทนมั้ยละ”
“ไม่ใช่คือฉันหมายถึงการทักทาย เข้าใจมั้ยคะ การทักทายที่คนเค้ามักจะพูดเวลาที่เจอหน้ากัน เรื่องพื้นฐานแค่นี้คุณยังไม่รู้เหรอคะ?”
“งั้นเหรอ”
“ค่ะ”
จากนั้นวาคามิยะก็ยืนตัวตรงรูปร่างหน้าตาของเธอในตอนนี้ช่างงดงามราวกับว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ตรงหน้าผม
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ โทคิวากิซัง”
“อื้ม อรุณสวัสดิ์นะ”
พอพูดเสร็จพวกเราก็ไม่ได้สนทนาใดๆต่อจนก่อให้เกิดบรรยกาศที่เงียบสนิทขึ้นมาสักพักแต่ว่าทางวาคามิยะนั้นเธอกลับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
เอาเถอะยังไงก็พูดทักทายไปแล้ว งั้นก็—
“เจอกัน”
บอกลาไงล่ะ แต่ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นพวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอยู่แล้วเวลาอยู่ที่โรงเรียน
จากนั้นผมก็เริ่มปั่นจักรยานต่อ
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
“อัก!?”
ผมที่กำลังจะออกตัว วาคามิยะก็ได้คว้าคอเสื้อของผมเอาไว้จนทำให้ผมร้องออกมา
อย่าดึงแบบนั้นสิฟร๊ะ นี่เธอกะจะฆ่ากันรึไงเนี่ย…ผมหันกลับไปมองวาคามิยะเพื่อที่จะบ่นเธอ
แต่วาคามิยะเองก็มองมาที่ผมอย่างไม่พอใจด้วยเช่นเดียวกัน
“การที่เธอทำแบบนี้ มันอันตรายนะเฟ้ย”
“โทคิวากิซัง แปลกเกินไปแล้วค่ะ ทำไมคุณถึงไปก่อนละคะ คุณโง่หรือโง่คะเนี่ย”
วาคามิยะมองมาที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดใจดูเหมือนว่าเธอมีคำพูดมากมายที่อยากจะสื่อให้ผมเข้าใจซึ่งนั่นมันก็มากพอที่จะสามารถกดอารมณ์โกรธของเธอให้จมลงไปได้และคำพูดของเธอที่เพิ่งกล่าวออกมานั้นมันก็มีนัยยะแฝงอยู่
“ถ้าฉันไปกับคนดังอย่างเธอฉันว่ามันค่อนข้างอันตรายเลยนะเพราะงั้นฉันขอเลี่ยงดีกว่า..”
“ฉันไม่เข้าใจเหตุผลของคุณเลยค่ะ”
วาคามิยะขมวดคิ้วพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
“เรื่องแค่นี้จะคิดเล็กคิดน้อยทำไมละคะ”
“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่สำหรับฉันที่อยู่กลุ่ม D แล้ว ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยยังไง”
หลังจากได้ยินแบบนั้นวาคามิยะก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ก็คนเขามักจะพูดว่า [สุดท้ายเราก็ต้องไปโรงเรียนเดียวกันอยู่แล้วเพราะงั้นไปด้วยกันนะ] เรื่องแบบนี้มันก็ปกติไม่ใช่เหรอคะ?”
“สำหรับฉันนั่นไม่ใช่เลย”
“..เหรอคะ?”
“อื้ม..”
ถึงผมจะพูดออกไปแบบนั้นเพราะไม่อยากโดดเด่นก็เถอะแต่ว่ามันก็มีอีกเหตุผลละนะ…
“แล้วเธอเองก็จะขึ้นรถไฟไปโรงเรียนอยู่แล้วใช่มั้ยละ?”
โดยปกติแล้วผมที่ขับจักรยานไปโรงเรียนจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงแต่ถ้าผมรีบๆหน่อยก็จะใช้เวลาประมาณ 40 นาที….ถ้าให้พูดตามตรงก็คือ ขึ้นรถไฟจะดีกว่ามากเพราะจะใช้เวลาในการเดินทางเพียงนิดเดียวนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมพอจะเดาได้เพราะคนส่วนใหญ่ที่อยู่แถวนี้ก็มักจะไปโรงเรียนโดยใช้รถไฟกันทั้งนั้น
จริงๆผมจะไปด้วยรถไฟก็ได้นะแต่ที่ผมตัดสินใจใช้จักรยานนั่นก็เพราะมันได้เป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของผมไปซะแล้วและที่สำคัญที่สุดก็คือมันประหยัดเงิน…
อีกอย่างผมเองก็ไม่ค่อยชอบที่ที่คนแออัดกันด้วยสิ
“ใช่ค่ะ แล้วมันทำไมเหรอคะ?”
“ยังจะถามอีก…ถ้าเธอไปด้วยรถไฟฉันก็ไปกับเธอไม่ได้หรอกนะหรือเธอจะให้ฉันไปส่งงั้นเหรอ..”
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมก็ต้องไปในทิศตรงกันข้ามกับที่ผมกำลังไป
แต่ถ้าเธอขึ้นรถบัสก็ว่าไปอย่าง
ถึงจะเป็นอันไหนก็ช่าง
[เพราะการที่ได้ร่วมทางไปกับผู้หญิงก็ถือว่าเป็นเกียรติแล้ว]
ผมเห็นด้วยกับคำที่ว่านะแต่การที่ผมต้องออกนอกเส้นทางของผมมันจะลำบากเอาได้น่ะสิแต่ผมในตอนนี้ก็ไม่ได้รีบอะไรถ้าเธอขอให้ผมไปส่งสักครึ่งทาง…ผมก็อาจจะยอมไปด้วยก็ได้
“ถ้าทำแบบนั้นคุณจะลำบากเอาเปล่าๆ เพราะงั้นฉันจะไปทางเดียวกับคุณค่ะ”
“เอาจริงดิ ถ้าเธอเดินไปจากตรงนี้ถึงโรงเรียนก็ยังต้องใช้เวลากว่า30นาทีเลยนะ
“ใช่ค่ะ ถ้าเดินไปล่ะนะ”
พอพูดแบบนั้นจบวาคามิยะก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ซุกซนจากนั้นเธอก็ขึ้นมาซ้อนท้ายจักรยานของผม
ด้วยท่าทางที่น่ารักของเธอก็ทำเอาผมใจเต้นแรงขึ้นมาทันที
“น-นี่เธอจะซ้อนท้ายฉันจริงๆงั้นเหรอ”
“ค่ะ ไม่ได้เหรอคะ?”
“ก็ไม่ได้แหงสิ…ก็ทุกวันนี้กฏหมายยิ่งเข้มงวดเข้าไปทุกทีแล้วด้วย…ถ้าถูกจับได้พวกเราก็ซวยกันพอดี”
“ฟุฟุฟุ โทคิวากิซังก็มีด้านที่จริงจังเหมือนอย่างเขาสินะคะเนี่ย อะ อืมมแน่นอนว่าเราไม่ได้จะทำแบบนั้นจริงๆหรอกนะคะ”
วาคามิยะพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“แต่ถ้าพวกเราทำได้ก็คงจะดี”
หรือว่าเธออยากจะลองสัมผัสบรรยากาศที่มักจะเจอในพวกมังงะโชโจละมั้ง
ความรู้สึกก็คงจะคล้ายๆของพวกผู้ชายประมาณว่า มีแฟนสาวสุดสวยนั่งซ้อนท้ายจักรยานพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างโอบเอวเอาไว้ นับได้ว่านี่เป็นหนึ่งในความฝันของชายฉกรรจ์หลายๆคนเลย
แต่เรื่องแบบนี้ก็ดันโดนกฏหมายคุมกำเนิดซะได้
“ถ้าแบบนั้นก็ลงไปได้แล้วเฟ้ย”
“ก็ฉันรู้สึกได้ว่าถ้าฉันลงไปคุณจะหนีฉันไปยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ”
“ม-ไม่มีทาง ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นใบหน้าของผมก็เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย
บ้าจริงนี่เธออ่านใจได้รึไงเนี่ย
“ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้คุณเข็นจักรยานในขณะที่ฉันนั่งอยู่ตรงท้ายจักรยานด้วยสิ งั้นพวกเราเดินไปโรงเรียนด้วยกันเถอะค่ะ เรามาลองทำดูกันเถอะค่ะ”
พอวาคามิยะจ้องมาที่ผมด้วยสายตาเปร่งประกายแบบนั้น…ผมก็รับรู้ชะตากรรมของตัวเองได้เลยว่า ตูหนีไม่พ้นแน่!!
“ฮะฮา ไหวแน่เหรอ เหลืออีกไกลเลยนะก่อนจะถึง…”
“แน่นอนค่ะ ก็ฉันเป็นคนพูดออกมาเองต้องไหวแหงอยู่แล้ว และอีกอย่างการเดินก็ส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ”
“อ่าๆเอางั้นก็ได้…แต่ถ้าเหนื่อยขึ้นมาก็อย่าบ่นละกัน”
“ฉันไม่บ่นหรอกค่ะ ฉันแข็งแรงจะตาย”
วาคามิยะพูดออกมาพร้อมกับโชว์ต้นแขนที่งดงามของตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ทำให้ผมมั่นใจเลยว่าจะทำได้ตามที่ปากว่ามารึเปล่า
แล้วแขนของเธอจะหักไหมละนั่น…
เอาเถอะถึงจะเห็นเป็นแบบนั้นเธอก็เล่นกีฬาเก่งเอาเรื่องเลย
ผมไม่อยากยอมรับมันเลยจริงๆ แต่…เธอน่าจะแข็งแรงกว่าผมด้วยซ้ำ
ถึงแม้ผมจะไม่เคยเห็นเธอเล่นกีฬากับตาก็เถอะแต่ก็พอจะสรุปได้จากข่าวลือที่ได้ยินผ่านๆมา
“ก่อนที่เราจะไปกัน ฉันมีอะไรบางอย่างจะให้คุณค่ะ”
วาคามิยะหยิบกล่องแปลกๆที่ถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าออกจากกระเป๋าก่อนที่เธอจะวางเอาไว้บนมือของผม
มันค่อนข้างหนักพอตัวเลยละอีกทั้งมันยังมีกลิ่นจางๆที่โชยออกมา
“ข้าวกล่อง?”
“ใช่ค่ะ มื้อเที่ยงของวันนี้ค่ะส่วนถ้าจะคืนก็เอาไว้หลังจากเสร็จจากงานพาร์ทไทม์ก็ได้ค่ะ”
“งานพาร์ทไทม์…วันนี้เองเธอก็จะมาเหรอ?”
“ก็โดนัทที่นั่นอร่อยมากเลยนี่นา ทำไมฉันจะไม่ไปละคะ”
ไม่เคยคิดเลยนะเนี่ยว่าโดนัทที่ร้านเรามันจะอร่อยขนาดนั้นถึงขั้นดึงลูกค้ามาเป็นประจำได้เนี่ยสุดยอดแฮะ
จากนั้นผมก็ถอนหายใจออกมา
“เข้าใจแล้ว….ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
“ค่ะ”
หลังจากนั้นวาคามิยะก็ลงมาจากจักรยานก่อนที่จะมาเดินอยู่ข้างๆผม
ในขณะที่เดินๆอยู่เธอก็ฮัมเพลงไปด้วยดูเหมือนว่าเธอกำลังอารมณ์ดีอยู่สินะ
ถนนเส้นนี้ที่ผมมักจะใช้อยู่เป็นประจำมันเป็นถนนที่แสนจะน่าเบื่อซ้ำซากแต่ว่าวันนี้ผมกลับรู้สึกได้ว่ามันมีสีสันมากกว่าที่ผ่านๆมา
—–
จุ๊กกรุ๊ววววววววว
การเรียงตัวหนังสือแบบนี้อ่านง่ายมั้ยครับ?หรือชอบแบบเดิม?แต่ถึงยังไงผมก็ไม่แก้หรอกครับจะเอาแบบนี้ถามไปงั้นแหละ (つ≧▽≦)つ
MANGA DISCUSSION