——การที่ถูกถามถึงความรู้สึกจริง ๆ นั้นมันน่าอาย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์กันบ้างหรือ?
ถ้าจะยกตัวอย่างที่เข้าใจง่าย ๆ ก็คงเป็นตอนที่คนวัยทำงานไปงานเลี้ยง ดื่มจนเมาแล้วก็พลั้งพูดเรื่อง “ปรัชญาชีวิตของตัวเอง” ออกมาอย่างมีความสุข แล้วสุดท้ายก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังนั่นแหละ
ว่ากันว่าความกล้าที่ได้จากเหล้าเป็นสิ่งที่น่ากลัวนัก เพราะเครื่องมืออย่างแอลกอฮอล์กับบรรยากาศในตอนนั้น มันทำให้เราพูดอะไรออกมาอย่างคล่องปากได้ง่าย ๆ
แม้แต่พวกเรา ซึ่งเป็นแค่เด็กมัธยมปลาย ก็มีเรื่องคล้าย ๆ กันเกิดขึ้นได้เหมือนกัน
มันคือการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ที่ถูกเรียกว่า “การเล่าเรื่อง”
การที่มารวมตัวกันในห้องเรียนหลังเลิกเรียน พูดระบายเรื่องนู่นนี่แล้ววกเข้าหาเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ก็ถือว่าเป็นเส้นทางปกติที่แทบจะกลายเป็นสูตรสำเร็จไปแล้ว
แม้มันจะไม่เกี่ยวอะไรกับผม แต่ก็เคยเห็นกับตาตัวเองอยู่เหมือนกัน
เวลาที่บังเอิญเดินเข้าไปในห้องที่มีชายหญิงกำลังเล่าเรื่องกันอยู่นั้น บรรยากาศมันอึดอัดจนเกือบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
สายตาของพวกเขานี่ชัดเจนมากว่า “อย่าเข้ามาสิ”
แต่ถึงอย่างนั้น “การเล่าเรื่อง” แบบนี้ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน
เพราะอารมณ์ที่พุ่งพล่านจนเผลอพูดเรื่องที่ควรเก็บเป็นความลับ เช่น “อย่าบอกคนอื่นนะ” หรือ “เรื่องนี้ขอให้เก็บไว้แค่ในนี้” หลุดออกไปได้ง่าย ๆ
หรือไม่ก็ดันเผลอพูดชื่อของคนที่ตัวเองแอบชอบออกมา ทำให้บรรยากาศอึดอัดสุด ๆ
“ทำไมตอนนั้นเราถึงพูดออกไปกันเนี่ยยยยย!!”
แบบนี้แหละ ที่ทำให้เกิดเรื่องอยากจะกรีดร้องขึ้นมาได้ง่าย ๆ
เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ก็ควรเก็บความรู้สึกจริง ๆ กับความจริงเอาไว้ไม่ให้ใครรู้จะดีที่สุด
ใช่แล้ว……ควรเก็บไว้ดีที่สุด
“อ๊า……ทำไมตอนนั้นเราถึงพูดออกไปกันนะ”
ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะ วางปากกาที่ถืออยู่ลงอย่างหมดแรง
——ผ่านมาหลายวันแล้วตั้งแต่เทศกาลฤดูร้อน
ตอนนั้นร่างกายก็ไม่ค่อยดี บอกตัวเองได้เลยว่าคงอ่อนแอลงจริง ๆ
หรือไม่ก็คงเป็นเพราะได้เห็นภาพครอบครัวที่ดูมีความสุข หรือได้ฟังเรื่องราวแบบนั้น จนใจมันอ่อนไหวขึ้นมาก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น การที่ปล่อยตัวปล่อยใจพูดตามอารมณ์ออกไป มันก็ยังผิดอยู่ดี……
“แค่คิดนิดเดียวก็น่าจะเดาได้แล้วแท้ ๆ ว่าถ้าพูดออกไป จะยิ่งทำให้เขาต้องเกรงใจเรา……”
รินเป็นคนที่อ่านบรรยากาศเก่งมาก
ถึงขั้นที่บางทีทำให้รู้สึกเหมือนเธอเป็นพวกมีพลังจิตเลยด้วยซ้ำ
เพราะแบบนั้น แม้ว่าฉันจะไม่ได้เล่าทุกอย่าง เธอก็คงเชื่อมโยงเรื่องบ้านผมกับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดาออกได้อยู่ดี……
หลักฐานก็คือ……พฤติกรรมของเธอดูแปลกไป
ปกติแล้วเธอจะเป็นพวกมุทะลุ ไม่สนใจสภาพหรือความรู้สึกของฉัน ใช้พลังดื้อรั้นบังคับทุกอย่างตามใจตัวเอง
แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา……ไม่มีท่าทีแบบนั้นเลย
ก็มีความเป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นแค่ความรู้สึกของผมคนเดียวก็ได้……แต่ก็ดูเหมือนเธอจะระวังเรื่องระยะห่างอยู่เหมือนกัน
รินที่ระวังและเกรงใจผมแบบนี้ พูดตรง ๆ ว่า ฉันเองก็รู้สึกขอบคุณมาก
แต่ว่า……การที่ทำให้รินต้องลำบากใจแบบนี้ ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย
“คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ไปให้อาหารพวกนั้นดีกว่า……”
ฉันถอนหายใจ แล้วมองดูพวกผู้มาเยือนที่เพิ่มขึ้นในบ้าน
พอเห็นพวกมันเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“……พวกนายนี่ช่วยเยียวยาใจฉันดีจริง ๆ นะ”
ปลาทองสองตัวที่ได้มาจากงานเทศกาลฤดูร้อน
ชื่อของพวกมันคือ “ซูซุ” กับ “ฮาเนะ”
แน่นอนว่าชื่อพวกนี้รินเป็นคนตั้ง และจนกว่าพ่อแม่ของเธอจะกลับมา ผมก็ต้องเป็นคนดูแลพวกมันไปก่อน
ผมถืออาหารปลาทอง แล้วโรยลงไปบนผิวน้ำเบา ๆ
เมื่อกี้ยังลอยตัวไปมาอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่เลย แต่พอเห็นอาหาร ก็รีบว่ายเข้ามาทันที
“การเลี้ยงสัตว์เนี่ย……ก็ไม่เลวนะ”
การได้เบี่ยงเบนความคิดไปแบบนี้ มันช่วยได้จริง ๆ
จะเรียกว่าหนีความจริงก็ได้ แต่มันก็ช่วยเยียวยาใจได้จริง ๆ เหมือนกัน
แต่ยังไงก็หนีความจริงไปตลอดไม่ได้หรอก
รินเดี๋ยวก็จะกลับมาจากการไปซื้อของแล้ว
แล้วบ้านนี้ก็คงกลับมาเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่รู้จะอธิบายยังไงอีกแน่
“แค่คิดก็ปวด——”
พอพูดออกมาได้แค่นั้น ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน พร้อมกับเสียงฝีเท้ารีบเร่งตรงมาหาผมอย่างรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว
ทั้งที่บอกว่าจะไปซื้อของ แต่……
กลับมามือเปล่า
“โทวะคุง! ไปทะเลกันเถอะ ตอนนี้เลยค่ะ!!”
รินตะโกนขึ้นทันทีที่กลับมาถึง
เห็นเธอที่มีพลังล้นเหลือยิ่งกว่าปกติแล้ว ผมก็ได้แต่ยืนอ้าปากค้างเหมือนคนโง่
แล้วก็เหลือบตามองนาฬิกา
“เอ่อ……ตอนนี้เหรอ?”
“แน่นอนค่ะ!”
ดวงตาของเธอที่มองตรงมาที่ผม เต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ไม่มีทีท่าว่าจะถอย
ผมรู้สึกกลัวนิด ๆ ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
…รุกแรงจริง ๆ นะ ยัยนี่
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องที่ผมสงสัย
เพราะว่า——
“แต่ว่าตอนนี้ก็เย็นแล้วนะ……?”
ใช่แล้ว ตอนนี้พระอาทิตย์ก็เริ่มจะตกดินแล้ว
คิดยังไงก็สายเกินไปที่จะไปทะเลตอนนี้
พอไปถึง ก็คงมืดพอดี
“ตอนเย็นทะเลสวยมากเลยนะคะ วันนี้เหมาะจะไปเที่ยวที่สุดแล้วค่ะ”
“ไม่ฝืนเกินไปหน่อยเหรอ อย่างน้อยก็รอพรุ่งนี้……หรืออีกสามวัน……หรือจะอีกอาทิตย์นึงก็ยังได้เลย”
“……ถ้าเป็นอย่างนั้น โรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้วค่ะ”
“โห ไม่รู้มาก่อนเลยแฮะ”
“พอแล้วค่ะ! ไปกันเถอะค่ะ!”
รินคว้ามือผมแล้วลากไปจนถึงประตูบ้านอย่างไม่มีท่าทีจะปล่อย
พอผลักฉันออกไปข้างนอกสำเร็จ เธอก็ทำหน้าภูมิใจพร้อมกับส่งเสียงฮึแบบคูล ๆ ออกจากจมูกอย่างภูมิใจ
“ยังไงก็ยังรุกแรงเหมือนเดิมเลยนะ”
“ฟุฟุ นั่นแหละคือฉันค่ะ”
ความมุ่งมั่นของเธอ แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมเสมอไป แต่ตอนนี้……มันช่วยผมได้มากจริง ๆ
ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
รินที่เห็นผมเป็นแบบนั้น ก็ส่งยิ้มที่สว่างไสวมาให้อีก
รอยยิ้มอันเปล่งประกายของเธอภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น ยิ่งดูโดดเด่นจนแทบละสายตาไม่ได้
ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องเรียกว่า “อินเนอร์ในอารมณ์” ล่ะมั้ง
ฉันเผลอคิดเรื่องไม่เข้ากับตัวเองแบบนั้นขึ้นมา
MANGA DISCUSSION