「ตอนนี้ปราศจากความหวาน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน」
เราเกิดมาบนโลกนี้เพราะพ่อแม่ต้องการให้เราเกิดมาจริง ๆ หรือเปล่านะ?
ถ้าเป็นช่วงวัยรุ่น คำถามแบบนี้ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางจิตใจและความขัดแย้งภายในก็ได้
แล้วคำตอบของคนส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้
“ไม่รู้สิ ข่างมันเถอะ”
คำ ๆ เดียวก็จบแล้ว
ถ้าถามพ่อแม่ อาจจะได้คำตอบกลาง ๆ หรือไม่ก็คำพูดเต็มไปด้วยความรักกลับมา
แต่ว่า…คำตอบนั้นออกมาจากใจจริงรึเปล่า ก็มีแต่เจ้าของคำพูดเท่านั้นที่รู้
แต่พูดกันตามตรง ต่อให้เป็นคำโกหก ถ้าได้ยินคำพูดพวกนั้นก็ยังรู้สึกดีใจอยู่ดี
อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังพยายามทำหน้าที่ของคำว่า “พ่อแม่” และเราก็อาจจะรู้สึกอุ่นใจ หรือโล่งใจบ้าง
และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “ครอบครัว” ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง
ถ้ามองจากมุมนี้ สิ่งที่ผมพูดได้ก็คือ…
—ผมไม่มีครอบครัว
ถ้าจะให้พูดให้ถูกต้องก็คือ…ถึงจะมีอยู่ แต่ไม่มีใครที่ฉันรู้สึกว่าเป็น “พ่อ” หรือ “แม่” ได้เลย
ไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความรักจากพ่อแม่” เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“แกไม่น่าเกิดมาเลยนะ”
คำพูดนี้ มันวนเวียนอยู่ในหัวผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนคำสาป…
ได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนแทบจะด้านชา
เมื่อพยายามนึกถึงความทรงจำสมัยเด็ก สิ่งที่จำได้ชัดที่สุดก็คือ “มีคนแปลกหน้าเข้าออกบ้านอยู่ตลอดเวลา”
ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
สำหรับเด็กอย่างผมตอนนั้น ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนมากมายเข้ามาในบ้านตลอดเวลา
ถึงขั้นเข้าใจผิดว่า “เรามีพ่อแม่หลายคนเหรอ?” ก็ยังเคยคิดไปแบบนั้นเลย
แล้ววันหนึ่ง ผมก็ย้ายมาอยู่ในอพาร์ตเมนต์เก่า ๆ ที่อยู่ตอนนี้
นับตั้งแต่นั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง…
แล้วพ่อแม่ก็ไม่กลับมาบ้านอีกเลย
—โตขึ้นมาก็เข้าใจเองล่ะ ถึงจะโง่ก็เถอะ
ทั้งพ่อและแม่ ต่างก็มีคนอื่นหมด…เรียกง่าย ๆ ว่ามัวแต่เที่ยวเล่นกับคนอื่น
พ่อแม่ของผม…ก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย
อาจจะยังไม่พอใจกับชีวิตของตัวเอง ยังไม่เสพสุขกับคำว่ารักได้ไม่เต็มที่ หรือไม่ก็เป็นคนที่หลงใหลในความรักมากเกินไป
แต่จริง ๆ แล้วเรื่องพวกนี้ ผมก็ไม่รู้หรอก
เพราะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันมากพอที่จะเข้าใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ…
สำหรับทั้งคู่ ผมเป็นแค่ตัวเกะกะ
ก็แน่ล่ะ ถ้าได้ยินคำว่า “ไม่น่าเกิดมาเลย” ซ้ำ ๆ มาตั้งแต่เด็ก
ผมถูกพ่อแม่ทิ้งไว้ในอพาร์ตเมนต์เก่า ๆ นี้ แล้วก็ผลัดกันมาตรวจดูเหมือนเป็นเวรผลัด
กันผมออกจากชีวิตของพวกเขา ราวกับการขังผมไว้ในคุก
แล้วพอขึ้นมัธยมต้น พ่อก็เป็นคนเดียวที่ยังมาหาอยู่บ้าง
—คงจะเป็น “หย่าอีกรอบ” สินะ
ว่าแต่…คนที่แวะมาหาก่อนหน้านั้นคือแม่จริง ๆ เหรอ?
หรือว่าเป็นแม่คนที่สอง?
หรือคนที่สาม?
หรือว่าชู้?
หรือว่าคนแรกที่ผมเจอ ไม่ใช่แม่ด้วยซ้ำ?
ไม่รู้เลย…
ก็เจอคนมากมายจนแยกไม่ออกแล้ว
ต่อให้ถามก็คงไม่ได้คำตอบอะไร
เพราะฉะนั้น สำหรับผมแล้ว ไม่มีอะไรที่เรียกว่า “ความจริง” เลย
แล้วในวันหนึ่ง พ่อที่เคยแวะมาบ้าง ก็กลายเป็นแค่ “คนที่เอาเงินมาให้ใช้ชีวิต” เท่านั้น
ครอบครัวคืออะไรกันแน่?
ผมพยายามไม่คิดถึงมัน
“ความรักของครอบครัว มันไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่ต้น” เด็กอย่างผมเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี
การแต่งงาน ความเป็นสามีภรรยา มันไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่านี้แล้ว
พอเข้าใจแบบนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องความรัก เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมัน “ไร้สาระ”
ถูกเลี้ยงมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ใคร ๆ ก็ต้องรู้สึกเกลียดสิ
ไม่มีวันอยากเป็นคนประเภทที่หลงรักความรักแบบพ่อแม่ผมหรอก
เพราะแบบนั้น ผมเลยไม่เข้าใจผิด ไม่คาดหวัง และที่สำคัญที่สุด—ไม่อยากยอมรับ
แต่งงานเหรอ?
คำสาบานรักนิรันดร์?
นิรันดร์ที่มีได้เป็นสิบ ๆ ครั้งมันช่างไร้สาระสิ้นดี
แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ก็ยังมีช่วงเวลาที่เคยต้องการความอบอุ่นจากสิ่งที่เรียกว่า “ครอบครัว”
เรียกง่าย ๆ ว่า…เคยโหยหาความรักจากครอบครัว
เพราะแบบนั้น เวลาที่เห็นเด็กกำลังร้องไห้ หรือมีใครกำลังลำบาก ผมถึงปล่อยผ่านไม่ได้
อาจเป็นเพราะเห็นภาพทับซ้อนตัวเองกับพวกเขาเข้าไป
การที่ไม่มีใครช่วย ทั้งที่กำลังเศร้า กำลังร้องไห้ มันเหงาจนแทบจะขาดใจ…
แต่นั่นก็เป็นแค่ “อดีต”
ตอนนี้ผมไม่ต้องการความรักจากครอบครัวอีกต่อไปแม้แต่นิดเดียว
แต่ในตอนนั้น ผมก็เคยคิดเพ้อฝันว่า “อยากมีครอบครัว อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
ตอนนั้นฉันคิดว่า “ถ้าฉันพยายามให้ตัวเองมีคุณค่า ให้เขายอมรับว่าฉันมีประโยชน์ บางทีบรรยากาศในบ้านอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้”
เพราะแบบนั้น ผมถึงพยายามอย่างหนัก
ผมไม่ได้ฉลาดขนาดฟังแค่ครั้งเดียวก็เข้าใจทันที
เลยต้องกัดฟันสู้สุดชีวิต
ฝืนหัวใจที่แทบจะแตกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝันถึงอนาคตที่จะต้องเปลี่ยนแปลง แล้วก็พยายามต่อไปเรื่อย ๆ
เพื่อให้ตัวเองมีคุณค่า…ให้ใครสักคนยอมรับว่า “เรามีความหมาย”
และผลลัพธ์ก็คือ ในการสอบเข้ามัธยมปลาย ผมสามารถสอบติดโรงเรียนระดับท็อปของรัฐ แม้จะอยู่ไกลหน่อยก็ตาม
ตอนนั้น ผมดีใจมากจริง ๆ
— บางที ชีวิตของเราอาจจะเปลี่ยนก็ได้
— ชีวิตอันมืดมิดอาจเริ่มมีสีสันแต่งเติมขึ้นมาบ้าง
ผมฝันถึงอนาคตที่สดใสด้วยหัวใจที่เปี่ยมหวัง
จากนั้น ผมก็โทรหาพ่อเพื่อบอกข่าวดี โดยมีเพื่อนอยู่ข้าง ๆ
ตอนนั้น ผมคงดีใจจนลืมทุกอย่างไปหมด
แค่คิดถึงก็รู้สึกขมขื่น…ลืมไปหมดเลยว่าโดนปฏิบัติมาแย่แค่ไหน
แต่สุดท้าย…มันก็ เปล่าประโยชน์
“โทรบอกทำไม กับอีแค่เรื่องไร้สาระพรรค์นี้เนี่ยนะ”
ตอนที่ได้ยินคำนี้…ผมได้ยินเสียงบางอย่างในใจหักดัง “เป๊าะ”
พร้อมกับรู้สึกโกรธตัวเองสุด ๆ
ทำไมถึงโทรหาไอ้คนแบบนั้นกันนะ?
แค่แจ้งเรื่องค่าเรียน ค่ากินอยู่ เหมือนเป็นหน้าที่เหมือนที่ผ่านมา มันก็น่าจะพอแล้ว
ใช่แล้ว ผมลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไป…
ครอบครัวนี้มันไม่มีวันเปลี่ยนได้หรอก—เพราะมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ใช่แค่พัง แต่คือ “แตกสลายไปแล้ว”
แต่เรื่องนี้…ก็ช่วยไม่ได้
เพราะตอนนั้นผมยังเป็นแค่เด็กม.ต้น ยังไม่สามารถยอมรับความจริงทั้งหมดได้
ยังทิ้งความหวังเล็ก ๆ ไม่ได้เลย
จากนั้นมา ผมก็หมดแรงไปหมด
ไม่อยากเรียน ไม่อยากเข้าสังคมที่เคยไม่ถนัดอยู่แล้ว
เหตุผลที่เริ่มทำงานพาร์ตไทม์ในตอนนั้น ก็เพราะอยากตัดขาดกับพ่อแม่อย่างสิ้นเชิง…ไม่สิ อาจจะไม่ใช่แบบนั้น
แค่อยากหลบหนีจากความเป็นจริงด้วยการจมปลักอยู่กับบางสิ่งบางอย่างก็ได้
เพราะแบบนั้น ผมถึงไม่อยากมีความรัก ไม่อยากรู้จักความรู้สึกแบบนั้น
ไม่อยากเกาะอะไรไว้ ไม่อยากหลงใหลอะไร ไม่อยากเชื่ออะไรทั้งนั้น
และไม่มีวันใช้ชีวิตแบบคนที่หลงใหลในความรักเหมือนพวกนั้นแน่นอน
—สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ความรู้สึก ความหวังที่มองไม่เห็น มันช่างหยิ่งผยองและเปล่าประโยชน์สิ้นดี
ผมบอกและตอกย้ำกับหัวใจแบบนั้น แล้วก็ออกไปทำงานพิเศษเหมือนทุกวัน
ไม่มีเป้าหมายใด ๆ แค่หาเงินเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น
ปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ พลางรู้สึกถึงความว่างเปล่าในแต่ละวัน
“สงสัยวันนี้สอบคงออกมาแย่แน่ ๆ …แต่ช่างเหอะ”
ยังไงก็ไม่มีใครสนใจผลสอบหรอก
จะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญเลย
เพราะฉะนั้น…สิ่งนี้คือคำพูดลอย ๆ
เป็นแค่ความเพ้อฝัน—ที่ไม่มีใครรับรู้เลยนอกจากตัวผมเอง
MANGA DISCUSSION