หลังจากนั่งรถไฟเปลี่ยนขบวนไปประมาณสองชั่วโมง ผมกับรินก็มาถึงชนบทอันเงียบสงบ ต่างจากทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนในเมือง ที่นี่รายล้อมไปด้วยภูเขาสีเขียวขจีที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม
เครื่องตรวจตั๋วอัตโนมัติที่สถานีดูใหม่เอี่ยมเมื่อเทียบกับสถานีเก่าที่กลับดูเก่าแก่และล้าสมัยไปถนัดตา
“อื้ม~…”
ผมบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายอย่างช้า ๆ เพื่อผ่อนคลายร่างกายที่แข็งตึงจากการเดินทาง ข้าง ๆ กัน รินกำลังมองไปรอบ ๆ ด้วยแววตาเป็นประกาย ราวกับเด็กน้อยที่ตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่
“เห็นอะไรแปลกตารึเปล่า?”
เมื่อได้ยินเสียงผม รินก็หันกลับมามอง ทันใดนั้น สายลมบริสุทธิ์ก็พัดผ่านระหว่างเราได้ขับเน้นความงดงามของเธอ กระโปรงของเธอสะบัดไหวไปตามแรงลม แต่น่าเสียดายที่ลมเพียงพัดเบา ๆ เท่านั้น ไม่ได้เกิด “เหตุการณ์ตามสูตรสำเร็จ” แบบที่มักจะเห็นกันในมังงะหรืออนิเมะ
แต่ก็นั่นแหละ… ต่อให้มันจะเกิดขึ้นจริง ถ้าเป็นเทพธิดาล่ะก็ เธอคงป้องกันไว้ได้อยู่ดี…
“ค่ะ มีหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งสถานี รถไฟ แล้วก็วิวทิวทัศน์เหล่านี้…”
“ก็จริงนะ ปกติไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้เลย”
รถไฟที่เรานั่งมาเป็นขบวนสองตู้ เดินรถทุก ๆ ยี่สิบนาที เป็นสายรถไฟท้องถิ่นที่ไม่ค่อยมีคนใช้บริการมากนัก
ระยะห่างระหว่างแต่ละสถานีเกือบสิบนาที
รอบ ๆ สถานีไม่มีร้านสะดวกซื้อแม้แต่ร้านเดียว มีเพียงป้ายจอดรถบัสเก่า ๆ กับลานจอดจักรยานที่แทบจะรกร้าง
ที่สำคัญ ที่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำสถานีเลยสักคนเดียว ทำให้รู้สึกแปลกตาไปอีกแบบ
“ริน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่แบบนี้รึเปล่า? จากท่าทางแล้วก็ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกเลยนะ”
“เปล่าค่ะ จริง ๆ แล้วนี่เป็นครั้งที่สอง”
“หืม? ฉันนึกว่าเธอมาครั้งแรกซะอีก ดูตื่นเต้นขนาดนั้น งั้นครั้งก่อนก็มางานเทศกาลเหมือนกันเหรอ?”
“ค่ะ สนุกมากเลยล่ะ”
“งั้นเหรอ…”
ผมตอบส่ง ๆ ไปพลางมองรินที่ยืนอยู่ข้างหลังผมครึ่งก้าว แม้สีหน้าของเธอจะเรียบนิ่งเหมือนเคย แต่ริมฝีปากกลับเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาของเธอทอดมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย… ราวกับกำลังจมลึกลงไปในห้วงความคิดของตัวเอง
เธอเคยเจออะไรที่นี่กันนะ?
เธอกำลังคิดถึงอะไรอยู่?
แล้ว… เธอมากับใครกันแน่?
แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกว่าคงไม่ควรถามออกไป
มันเป็นเรื่องที่อยากรู้มากก็จริง แต่การไปขุดคุ้ยอดีตของคนอื่นโดยไม่จำเป็น อาจทำให้เธอหวนนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากจำก็ได้ เพราะงั้น ผมเลยเลือกที่จะไม่ถาม
“มีอะไรที่คุณสงสัยอยู่รึเปล่าคะ?”
เสียงของรินที่ดังขึ้นราวกับอ่านใจผมได้ ทำให้ผมเผลอเกร็งขึ้นมาทันที ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกกระอักกระอ่วน
รินอาจจะสังเกตเห็นท่าทีของผม เธอขยับเข้ามายืนตรงหน้า แล้วเงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่เหมือนพยายามจะอ่านสีหน้า
“ดูเหมือนจะมีสินะคะ?”
บ้าจริง… เธอยังคงเป็นเอสเปอร์เหมือนเดิม…
ทำไมเธอถึงอ่านความคิดผมออกได้ทุกครั้งเลยเนี่ย…
“ไม่หรอก… มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้น”
“โทวะคุง ‘การถามอาจทำให้เราขายหน้าชั่วคราว แต่การไม่ถามอาจทำให้เราต้องเสียใจไปชั่วชีวิต’ นะคะ อย่ามัวแต่เก็บเอาไว้เลย เชิญถามได้ตามสบายค่ะ”
“เอ่อ…”
ถึงจะพยายามเลี่ยง แต่ดูท่าเธอคงไม่ยอมให้ผมหนีไปง่าย ๆ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปสบตากับเธอ ดวงตาคู่นั้นบอกชัดเจนว่า “โกหกไปก็เปล่าประโยชน์”
สุดท้ายผมก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“เฮ้อ… งั้นถามก็ได้…”
“เชิญค่ะ”
“ก็… มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก แค่สงสัยว่าเธอมาที่นี่ตอนช่วงไหนเหรอ? อย่างเช่นสมัยมัธยมต้นอะไรแบบนั้น…”
ผมถามไม่ได้…
สุดท้ายผมก็เลี่ยงที่จะถามว่า “เธอมากับใคร?” และเลือกใช้วิธีอ้อม ๆ แทน
เฮ้อ… น่าอายจริง ๆ ที่ผมไม่มีความกล้าพอจะถามตรง ๆ
รินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยกมือแตะหน้าอกตัวเอง แล้วมองมาทางฉันด้วยสายตาที่ดูคล้ายกับกำลังหยอกเย้า
“โทวะคุง… หรือว่าจริง ๆ แล้วคุณสงสัยเรื่องอื่นอยู่กันแน่คะ?”
“สงสัยอะไรล่ะ…?”
“เช่น ‘ฉันมากับใคร’ อะไรทำนองนั้น?”
“ไม่หรอก…”
คำว่า ‘ใคร’ ที่เธอพูดออกมาทำให้ใจผมกระตุก
ทันใดนั้น ความรู้สึกหนักอึ้งก็จู่โจมเข้ามา ทั้งความร้อนรน ทั้งความว่างเปล่าที่อธิบายไม่ถูก
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็บอกตัวเองว่า “ถ้าเป็นริน ก็คงไม่แปลกหรอก”
เธอเป็นสาวสวยระดับที่ไม่ว่าใครก็ต้องหันมามอง เป็นความงามที่ราวกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนโลกใบนี้
ก่อนหน้านี้เธอเคยบอกว่า “ไม่สนใจเรื่องความรัก” แต่ถ้าหากความจริงมันไม่เป็นแบบนั้น… ผมก็คงไม่แปลกใจ
คิดดูแล้วก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า คนอย่างเธอย่อมต้องเคยมีความรักอย่างน้อยสักครั้งสองครั้ง
“คนที่ฉันเคยมาด้วยก่อนหน้านี้คือ ‘คุณพ่อ’ ค่ะ”
“…หืม?”
“เพราะงั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มางานเทศกาลกับผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกัน”
“งั้นเหรอ…”
“ค่ะ แต่ดูเหมือนโทวะคุงจะคิดไปไกลกว่านั้นนะคะ?”
รินแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ราวกับจะแลบลิ้นออกมาล้อผมเล่น ผมเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ริน… เธอจงใจเว้นช่วงให้ฉันเข้าใจผิดใช่ไหม?”
“พูดถึงเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“เฮ้อ… บอกเลยนะว่าฉันเกือบหัวใจวายแล้ว…”
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันดีใจจริง ๆ นะที่โทวะคุงสนใจเรื่องของฉัน”
รินพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แก้มของเธอขึ้นสีเรื่อเล็กน้อย
เห็นแบบนั้นแล้ว ผมก็ได้แต่ถอนหายใจพลางยกไหล่อย่างปลง ๆ
“แต่ชีวิตฉันเหมือนจะสั้นลงไปหลายปีเพราะเธอเลยนะ…”
ถึงอย่างนั้น… ผมก็แอบโล่งใจอยู่หน่อย ๆ ล่ะนะ…
แค่ไม่ได้พูดออกไปเท่านั้นเอง…
MANGA DISCUSSION