——การใช้เวลาช่วงพักเที่ยง
ก็ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ หลายคนคงนึกถึงภาพบรรยากาศแบบปกติธรรมดา
คุยเล่นกันในห้องเรียน เล่นสนุกกันแบบผู้ชายข้างนอก หรือไม่ก็กินข้าวอย่างสบายใจ…ประมาณนั้น
แต่วันนี้ กลับดูต่างออกไปเล็กน้อยเมื่อมองไปรอบๆ
เหมือนกับว่าทุกคนรวมกลุ่มกินข้าวกันเหมือนมาเที่ยวหรือปิกนิกเลยทีเดียว
พูดง่ายๆ ก็คือ มันไม่ใช่แค่กลุ่มเพื่อนสนิทเหมือนทุกที แต่กลับมีการรวมตัวของคนที่ปกติไม่ค่อยอยู่ด้วยกัน หรือกลุ่มที่ดูไม่ค่อยสนิทกันนัก
สำหรับผมแล้ว ปรากฏการณ์นี้ยังคงเข้าใจไม่ค่อยได้
แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดจากเทศกาลกีฬาได้แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนผ่านบรรยากาศบางอย่าง
ว่าไปแล้ว——ในช่วงเวลาแบบนี้ ผมก็ยังคงเหมือนเดิม
ทั้งที่รู้สึกโดดเดี่ยวนิด ๆ ผมก็มองดูคนอื่นไปพลางระหว่างรอริน
ถึงจะเป็นช่วงเวลานี้ แต่คนโดดเดี่ยวอย่างผมก็ยังเข้ากลุ่มกับใครไม่ได้อยู่ดี…อืม
พูดออกมาเองแล้วยิ่งรู้สึกเปล่าเปลี่ยวชอบกล
“แค่ช่วงพักเที่ยงก็ควรพักผ่อนบ้างก็ได้นี่นา เห็นซ้อมตลอดแบบนั้นไม่เหนื่อยกันบ้างเหรอ…?”
ผมพึมพำออกมาพร้อมถอนหายใจ
คนที่มุ่งมั่นกับงานเทศกาลกีฬานั้น ดูมีชีวิตชีวาและเหมือนกำลังสนุกกับชีวิต ซึ่งในสายตาผม พวกเขาดูเปล่งประกายเลยล่ะ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจแรงจูงใจของพวกเขาอยู่ดี
สำหรับผมแล้ว ก็แค่คิดว่า “ช่วงพักเที่ยงในงานกีฬาก็น่าจะพักผ่อนสบายๆ หน่อยเถอะ”
ในเมื่อฝีมือมันไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ ในเวลาสั้น ๆ แล้วจะซ้อมกันให้เหนื่อยไปทำไมกันนะ?
ทั้งที่ปล่อยผ่านก็ได้ ทั้งที่ไม่เข้าใจก็แท้ๆ…แต่ทำไมกันนะ ผมถึงเอาแต่ใส่ใจเรื่องของคนพวกนั้น
แค่คิดแบบนี้——
“…คงมีอะไรบางอย่างที่ฉันเองก็รู้สึกอยู่เหมือนกันล่ะมั้ง”
เมื่อก่อน ตอนเห็นภาพแบบนี้ ผมก็ไม่เคยคิดอะไรมากนัก
มองผ่านๆ แบบไม่มีอารมณ์ ไม่มีความสนใจ…ผมเคยเป็นคนแบบนั้น
——แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
สายตาของผมเผลอมองตามไปโดยไม่รู้ตัว ความคิดก็เริ่มไหลเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจ
นั่นก็แสดงว่าหัวใจของผมกำลังหวั่นไหว แปลว่าผมใส่ใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ถึงจะพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้อยากจะทำอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ
“พวกเขาคิดอะไรกันนะ ถึงได้มารวมตัวกันสนุกสนานแบบนี้…?”
นั่นแหละ…มันเป็นเรื่องที่ผม “สนใจนิดหน่อย” แหละ
“โทวะคุง!”
ในตอนที่ผมกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย รินก็วิ่งมาจากด้านไกล โบกมือไปพลางเข้ามาใกล้
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ~! ห้องเรียนกำลังคึกคักสุดๆ เลยออกมายากหน่อย…ว่าแต่ โทวะคุงกำลังสนใจพวกคนอื่นอยู่เหรอคะ?”
“อย่ามาอ่านใจฉันทันทีที่เปิดปากพูดได้มั้ย…ถึงจะชินแล้วก็เถอะ”
“ฟุฟุ~ ก็โทวะคุงแสดงออกทางสีหน้าชัดซะขนาดนั้นนี่คะ แค่เห็นแววตาเศร้า ๆ ก็เดาได้แล้วล่ะ!”
“ฉันว่าไม่ได้ทำหน้าแบบพ่อบ้านแก่ ๆ ขนาดนั้นนะ”
“เหรอคะ?”
รินเอียงคออย่างสงสัย เหมือนจะบอกว่าผมพูดอะไรแปลกๆ ออกไปอีกแล้ว
“ว่าแต่ ฉันเคยบอกแล้วนะ ว่าหน้าฉันออกจะดูเด็ก ไม่ใช่พ่อบ้านแก่ๆ หรอก น่าจะเรียกว่ามี ‘ความไร้เดียงสาแบบเด็กชาย’ ซะมากกว่าใช่มั้ยล่ะ ดูสิ ฉันดูบริสุทธิ์ไร้มลทินแค่ไหน——”
“…………”
“เฮ้ อย่ามองฉันเหมือนคนบ้าแบบนั้นสิ แล้ววางมือลงจากไหล่ด้วย…”
“…………”
——ความเงียบแบบนี้มันเจ็บกว่าโดนด่าอีก!!
รินจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ จนฉันต้องหลบตา พอเธอเห็นอย่างนั้นก็เริ่มเอานิ้วจิ้มแก้มผมเบา ๆ เหมือนจะเตือนว่า ‘ฉันอยู่นี่นะ’
“โทวะคุ~ง?”
“แค่ล้อเล่นเฉย ๆ เองน่า ไม่เห็นเป็นไรเลย เพิ่มสีสันนิด ๆ หน่อย ๆ เอง”
“ว่าแต่ ‘นิด ๆ หน่อย ๆ’ นี่คือ…?”
“ก็อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ไง”
“คือว่า…ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้นะคะ แต่ความคิดของโทวะคุงน่ะ ออกจะดูแห้งเหี่ยวแล้วก็จิตใจบิดเบี้ยวนิดหน่อยมากกว่าที่จะเรียกว่าเยาว์วัยนะคะ ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็คงเหมือนคุณลุงที่นั่งจิบชาอยู่บนเฉลียงตอนเย็น ๆ…อะไรประมาณนั้นล่ะค่ะ”
“นี่มันประชดแน่นอนเลยใช่มั้ย…แถมยังดูเหมือนโดนดูถูกอีก…”
“แต่ก็เพราะความเป็นหมาป่าเดียวดายนั่นแหละ ที่ไม่ยอมไหลไปตามคนอื่น ฉันชอบตรงนั้นนะคะ ยึดมั่นในตัวเองแบบนี้เท่จะตายไป”
“อย่าตบหัวแล้วลูบหลังกันสิ มันรู้สึกแปลกๆ นะ”
“ฉันเป็นพวกติแล้วค่อยชมค่ะ”
“ปกติมันต้องตรงข้ามไม่ใช่เหรอ? ชมก่อนแล้วค่อยพูดข้อเสียเบา ๆ น่าจะฟังง่ายกว่านะ”
“แต่โทวะคุงน่ะ ชอบขัดแย้งกับคนอื่นออกบ่อย ๆ ฉันเลยลองทำกลับกันดูค่ะ”
“เอ่อ…เฮ้อ…”
ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนถอนหายใจแรง
รินยิ้มตลกแล้วนั่งลงข้าง ๆ ยืดแขนยืดขาด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะ “ฟู่” ออกมาเบาๆ ตอนที่เธอยืดตัว เสื้อยืดก็เลิกขึ้นจนเผยให้เห็นส่วนเว้าคอดตรงเอว และอะไรบางอย่างที่สะดุดตาโผล่ออกมาผ่านเนื้อผ้าบริเวณนั้น
…ยังคงประมาทและไร้การป้องกันเหมือนเดิม
ควรจะเตือนไว้หน่อยดีมั้ยนะ?
แม้จะคิดแบบนั้น ผมก็อดหันไปมองเธอด้วยหางตาไม่ได้
แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่
เธอทั้งน่ารัก มีเสน่ห์ในทุก ๆ ด้าน จะให้ไม่มองเลยมันก็ยากเกินไป
โดยเฉพาะหลังจากที่ยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้ว ผมก็ยิ่งใส่ใจเธอมากขึ้น
แน่นอน มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก…แต่มองเพราะ “สัญชาตญาณของผู้ชาย” ก็อาจจะจริง
ผมพยายามแก้ตัวให้ตัวเองในใจ
แต่แน่นอนว่า รินก็คงเข้าใจความรู้สึกของผมหมดแล้ว
หลักฐานคือ——พอเราสบตากัน เธอก็ยิ้มออกมาแบบเจ้าเล่ห์ทันทีเลยไงล่ะ
“ฟุฟุ~ โทวะคุงเริ่มซื่อสัตย์กับตัวเองมากขึ้นแล้วนะคะ?”
“รินน่ะ…ถ้าทำท่าทางแบบนั้นโดยตั้งใจล่ะก็ เธอจะโดนเรียกว่า ‘ผู้หญิงขี้ยั่ว’ เอานะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ~ เพราะฉันทำแบบนี้เฉพาะกับโทวะคุงเท่านั้นเลยนะคะ ถ้าจะโดนยั่วบ้างก็ยอมได้นะคะ เพราะมีคำกล่าวว่า ‘กับข้าวที่วางตรงหน้าไม่กินถือเป็นความผิดของผู้ชาย’ ด้วยล่ะ~”
“อย่าพูดเองชมเองสิ ถึงจะยอมรับว่าเธอมีเสน่ห์จริง ๆ ก็เถอะ…แต่ฉันมีจิตใจแข็งแกร่ง ยังไงก็ไม่ยอมแพ้ต่อการยั่วยุหรอก”
“พูดยังงั้น แต่เมื่อกี้สายตาก็จ้องเอวกับหน้าอกฉันไม่วางเลยนะคะ?”
“อึก…!”
“ดูสิ~ เป็นธรรมชาติก็ได้นะคะ~”
รินสะบัดชายเสื้อแผ่วเบา ท่าทางท้าทายชวนปั่นประสาท
…บ้าเอ๊ย เธอต้องกำลังสนุกกับการแกล้งผมแน่ๆ เลย
รอยยิ้มเธอนี่สดใสสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ!
“ก็ได้ ถ้าเธอจะยั่วจริงล่ะก็…แต่ฉันว่า รินไม่มีความกล้าขนาดนั้นหรอก ถึงเวลาจริงๆ เดี๋ยวก็กลัวเองนั่นแหละ”
“อย่ามาตัดสินกันเองสิคะ ฉันน่ะเป็นคนกล้าสุดๆ เลยนะ!”
“งั้นลองจินตนาการดูสิ”
“จินตนาการ?”
“ใช่ สมมุตินะ ว่าฉันเผลอตามใจตัวเองจนลงมือทำอะไรบางอย่างขึ้นมา รินต้องตกใจแล้วก็สับสนแน่นอน คนที่ดูเหมือนจะรุกเก่ง ๆ แบบเธอเนี่ย จริง ๆ แล้วมักจะเปราะบางกว่าที่คิดนะ”
“…อืม ก็มีคนพูดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”
“เห็นมั้ยล่ะ?”
“แต่สำหรับฉัน ไม่ว่ายังไงก็ไม่ถึงขั้น…”
รินหลับตาคิดตาม แล้วอยู่ๆ หน้าก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เฮ้…ปฏิกิริยามันชัดเกินไปแล้วนะ!?
ผมได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ มองรินที่ยังไม่หลุดออกจากห้วงจินตนาการ
“โทวะคุง! นั่นมันสุดโต่งไปแล้วค่ะ! แค่เริ่มมาก็ผิดแล้ว!!”
“โอ๊ย!?!!?”
รินที่หน้าแดงเถือกอยู่ๆ ก็บีบแก้มผมแรง ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว
พอเห็นผมเจ็บ เธอก็รีบตั้งสติแล้วรีบขอโทษ
“รินนี่แรงเยอะเกินไปจริงๆ นะ…”
“อื้อ…ขอโทษค่ะ แต่——”
“แต่?”
“โทวะคุงผิดเองต่างหาก…! มันน่าอายเกินไป จนไม่ใช่เรื่องของ ‘ความกล้า’ แล้ว——อ๊ะ!? หรือว่านี่คือ ‘บททดสอบแห่งความรัก’ ที่เคยได้ยินมา!?”
“…หา?”
“แบบนี้นี่เอง…การเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวมันลึกซึ้งจริง ๆ เลยค่ะ ต้องยอมรับและตอบสนองสามีในทุกๆ ด้าน แล้วก็…แม้กระทั่ง… —ไม่ไหวแล้ว พูดต่อไม่ได้ค่ะ!!”
สีหน้าของรินที่แดงเถือกเปลี่ยนไปมาอย่างชัดเจนและน่าขำมาก
เฮ้ ๆ…ริน?
เธอไปจินตนาการอะไรกันเนี่ย…?
หรือว่า——
เธอไปฟังใครป้อนความรู้แปลกๆ มาอีกแล้วเหรอ!?
เริ่มรู้สึกเป็นห่วงจริงจังเลยนะเนี่ย
ให้ผมพูดอะไรให้เธอกลับมาคิดใหม่…มันก็รู้สึกอาย ๆ
ถ้างั้น…ให้ลิซ่าซังที่ดูเป็นผู้ใหญ่แล้วมีประสบการณ์…?
ไม่ ไม่ ๆ ถ้าบอกลิซ่าซังล่ะก็…อืม
แย่ลงกว่าเดิมอีก
งั้นเอาเป็นว่า——
“ริน โทรหาฟูจิซังกันเถอะ ลองถามดูหน่อย”
ผมตัดสินใจโยนเรื่องทั้งหมดให้ฟูจิซังที่ดูมีเหตุผลสุดแล้วในกลุ่ม
เธอน่าจะหยุดรินที่กำลังหลุดอยู่ตอนนี้ได้แหละ
แล้วก็——แน่นอนว่า หลังจากโทรเสร็จ รินก็ไปนั่งกอดเข่าตัวกลม ๆ หลบมุมใต้ต้นไม้ด้วยความอับอายสุด ๆ…ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้เลยล่ะ
MANGA DISCUSSION