เวลาผ่านไปประมาณสิบหรือสิบนาทีได้มั้ง?
ผมเองก็ไม่รู้เวลาที่แน่นอน
แต่แน่นอนว่าเวลานั้นได้ไหลผ่านไปแล้ว
เพียงแต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันทำให้ความรู้สึกต่อเวลาในตัวผมบิดเบี้ยวไปหมด
ภายในห้องเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงเล็กเสียงน้อย
เสียงที่ได้ยินมีเพียงลมหายใจของริน กับเสียงเนื้อผ้าถูไถกันเวลาขยับตัว
รินหยุดร้องไห้ไปแล้ว
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มีท่าทีว่าจะขยับตัวจากตรงนี้เลย
ยังคงอยู่ในท่าเดิม วางคางไว้บนไหล่ผม และโอบแขนรอบแผ่นหลังผม
ผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น
แค่สบตากับรินบ้างเป็นครั้งคราว แล้วก็เบนสายตาหลบทุกครั้ง
วนอยู่แบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา
ทุกครั้งที่เกิดการสบตาและเบือนหน้าแบบนั้น
มันรู้สึกเหมือนมีไอร้อนจากส่วนลึกของร่างกายค่อย ๆ กระจายไปทั่วร่าง
ทั้งที่เครื่องปรับอากาศในห้องก็ยังทำงานอยู่แท้ๆ
แต่เพราะความร้อนนี้เลยรู้สึกว่าอากาศไม่เย็นเลย
ทั้งที่โดยปกติความร้อนมักเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัย
แต่ไอร้อนนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าประหลาด…
“เอ่อ… โทวะคุง…”
พอได้ยินเสียงริน ผมก็หันไปมองเธอ
พอสบตากัน เธอก็ค่อย ๆ ขยับหน้าเข้ามาใกล้ด้วยแววตาเหมือนกำลังเรียกร้องอะไรบางอย่าง
“คะ-คือ… หน้าเธอใกล้ไปแล้วนะ”
“ไม่ได้ใกล้สักหน่อยค่ะ”
“ไม่สิ มันแบบว่า…”
ผมเอ่ยคำปฏิเสธออกมาเบาๆ
ดวงตาของรินสะท้อนเจตจำนงที่ชัดเจนจนฉันรู้สึกโดนกดดันจนต้องหลับตา
อยู่ๆ ความคิดประหลาดแบบผู้หญิงก็แว่บเข้ามาในหัวว่า
‘เธอทาลิปไว้รึยังนะ?’
…ไม่สิ เร็วไปหน่อยมั้ย!?
ความตื่นตระหนกในใจคงแสดงออกมาทางร่างกาย
ผมเผลอเกร็งตัว ใส่แรงที่ริมฝีปากจนแน่น
แต่ไม่มีอะไรแตะต้องริมฝีปากผม
กลับกัน มีเพียงเสียง “กึ๊ง” จากหน้าผากของเราสองคนที่ชนกันเบาๆ
“…สิ่งที่ฉันทำมา ไม่ใช่เรื่องผิดใช่ไหมคะ”
รินพึมพำ พร้อมกับลมหายใจของเธอที่สัมผัสกับใบหน้าผม
กลิ่นหอมหวานที่สะท้อนถึงตัวตนของเธออบอวลจนทำให้ผมเผลอกลืนน้ำลาย
“ดีใจจริงๆ เลยค่ะ”
“ฮะ ๆ ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจเหมือนกัน”
“พอได้ยินตรง ๆ แบบนี้ก็น่าเขินเหมือนกันนะคะ”
“ถึงจะมีหลายเรื่องที่น่าอายก็เถอะ…”
“ฉันก็เขินเหมือนกันค่ะ ถือว่าเสมอกันนะคะ”
ใบหน้าของรินถอยห่างออกไป
ไอร้อนที่เคยแนบอยู่ก็ค่อย ๆ จางลง
ผมลืมตาขึ้นหลังจากแน่ใจว่าเธอขยับออกไปแล้ว
และก็สบตากับเธออีกครั้ง เธอกำลังยิ้มเขินหน้าแดงก่ำอย่างน่าเอ็นดู
…หน้าตาแบบนั้นมันโกงกันชัด ๆ
รอยยิ้มนั่น ผสมกับเสน่ห์ที่เธอมีแต่เดิมอยู่แล้ว
ยิ่งเปล่งประกายจนผมไม่อาจมองตรงๆ ได้
เลยเบนสายตาหนี แล้วเกาแก้มแก้เขิน
“ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอต้องคิดมากหลายเรื่อง…”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ การได้คิด ได้ลังเล สำหรับฉันแล้วถือเป็นเรื่องใหม่ ๆ ที่ไม่ได้ทรมานอะไรเลย”
“รินนี่แข็งแกร่งจังเลยนะ…”
“ก็เพราะโทวะคุงนั่นแหละค่ะ”
“งั้นเหรอ… แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเธอจะลังเลอะไรด้วย ปกติจะดูมุ่งมั่นตรงไปตลอด…”
“ฉันก็มีลังเลเหมือนกันค่ะ เพราะทุกอย่างมันใหม่หมด ฉันเองก็รู้ดีว่าการกระทำที่คิดว่า ‘ถูกต้อง’ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการเสมอไป”
รินพูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูเหงา แล้วเอาหัวพิงไหล่ผมอีกครั้ง
ผมเลยยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ
รินมักจะเป็นคนตรงไปตรงมาตลอด
แม้จะมีเรื่องให้คิดมากอย่างตอนที่เธอมีปัญหากับครอบครัว
แต่เธอก็ยังคงสื่อสารกับผมอย่างไม่ลังเลเสมอ
แต่… ที่จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น
เธอก็มีความไม่มั่นใจในใจเหมือนกัน
แค่ผมไม่เคยคิดถึงมัน
…ไม่สิ ต้องบอกว่าผม “แกล้งทำเป็นไม่รู้”
จริง ๆ แล้วผมรู้สึกอยู่ตลอด
เพียงแต่ทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นไม่เข้าใจเพื่อให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น
พอเห็นว่าเธอบางครั้งก็อ้อนผม
นั่นมันก็ชัดเจนแล้วว่าเธอกำลังพยายามเช็กความรู้สึกของผมอยู่
——เธอกำลังแสวงหา “ความมั่นใจ”
——เธออยากรู้ว่าผมตอบสนองต่อเธออย่างไร
เพราะไม่แน่ใจ
เพราะอยากได้คำยืนยัน
เพราะแค่คำพูดมันไม่พอ
เลยใช้ “การสัมผัส” เพื่อที่จะทำเข้าใจความรู้สึกของผม
ทั้งหมดนั้น ก็เพราะผมเองเป็นฝ่ายปิดใจ
เป็นผมที่สร้างกำแพงขึ้น
เธอเลยพยายามเข้ามาเพื่อมองเห็นจิตใจภายในของผม…
“ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ตลอด…”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถึงจะยังไม่ถึงครึ่งทาง แต่ฉันดีใจมากที่โชวะคุงยอมก้าวเดินต่อไป เพราะงั้น… อย่าใส่ใจกับเรื่องในอดีตเลยนะคะ”
รินพูดพลางส่ายหน้า แล้วยิ้มออกมา
แม้เธอจะบอกว่า “อย่าใส่ใจ”… แต่ผมก็รู้ดีว่าเรื่องนั้นไม่ควรมองข้าม
…ผมมันเลวจริงๆ
ต้องยอมรับความจริงนี้ให้ได้
ก็ผมน่ะ…สร้างกำแพงมาตลอดหลายเดือนนับตั้งแต่รู้จักกับเธอ…
บอกตัวเองว่า “ทำเพื่อริน”
บอกตัวเองว่า “คนแบบฉันไม่ควรยุ่งกับเธอ”
บอกตัวเองว่า “อย่าไปเข้าใจผิดความรู้สึกของเธอเด็ดขาด”
แต่ทั้งหมดนั้นก็แค่ข้ออ้าง
ความจริงคือ ผมแค่ปกป้องตัวเอง
——เพราะไม่อยากเจ็บอีก
——เพราะไม่อยากเผชิญความรู้สึกแบบในอดีตอีกแล้ว
ผมแค่โทษเธอ เพื่อหนีความกลัวในใจตัวเอง
ทั้งที่เธอกำลังพยายามอย่างเต็มที่ ทั้งที่เธอแบกรับความไม่มั่นใจไว้มากมาย…
การปฏิเสธเธอ มันคือความขี้ขลาดที่ไม่มีข้อแก้ตัวได้เลย
แค่ตระหนักถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเจ็บในอก
ทั้งโกรธตัวเอง และเจ็บปวดไปพร้อมกัน
“อดีตที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องใส่ใจหรอกค่ะ”
รินพูดเหมือนเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจผม
ผมเลยขยับตัวให้เห็นใบหน้าเธอชัดๆ
“ถึงรินจะบอกว่า ‘ไม่ต้องใส่ใจ’ แต่ฉันคิดว่าต้องใส่ใจสิ… อดีตมันอาจส่งผลต่ออนาคตได้นะ…”
ฉันพูดเหมือนปฏิเสธคำของเธอ
เพราะสิ่งที่ฉันเคยทำ มันทำให้เธอไม่มั่นใจ
การจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ มันไม่ถูกหรอก
ผมถอนหายใจแล้วยักไหล่
รินจ้องผมด้วยสายตาคมกริบ
“ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังคิดว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจค่ะ”
“แต่มัน…”
“อดีตน่ะ ก็แค่ความทรงจำกับบันทึกเท่านั้น แม้เราจะหวนคิดถึงมันได้ แต่มันก็ไม่มีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเสียเวลาคิดมากกับสิ่งที่ไม่มีอีกต่อไป”
“………………”
“สิ่งที่เราทำได้คือใช้ ‘อดีต’ เป็นพื้นฐาน แล้วใช้ชีวิตอยู่ใน ‘ปัจจุบัน’ เราไม่จำเป็นต้องทรมานกับทั้งอดีตและอนาคต เพราะอดีตมันไม่มีอยู่แล้ว และอนาคตก็ยังไม่เกิด ถ้าจะต้องคิดมาก ก็คงเป็นแค่ ‘ตอนนี้’ เท่านั้นแหละค่ะ”
ผมเงียบฟังคำของริน
ปกติผมมักจะหาคำพูดแย้งกลับไปได้เสมอ
แต่คราวนี้… ไม่มีคำพูดไหนหลุดออกมาเลย
คำของเธอมันทิ่มแทงเข้าหัวใจจริงๆ
‘ใช้อดีตเป็นพื้นฐาน แล้วใช้ชีวิตในตอนนี้’
มีเรื่องให้ต้องคิด ต้องข้ามผ่านอีกมากมาย
ผมหลุบตาลงมองพื้น พร้อมถอนหายใจเบาๆ
รินก็เอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“เพราะงั้น ถ้าโทวะคุงตั้งใจจะพยายาม ก็ลงมือทำเลยค่ะ”
“ฮะๆ แบบนี้แหละรินเลย… แต่ที่ฉันอยากพยายามได้ ก็เพราะเธอแหละ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ สุดท้ายแล้ว คนที่ ‘เลือกจะเปลี่ยนแปลง’ และ ‘ก้าวเดินต่อไป’ ก็คือโทวะคุงนะคะ”
“งั้นเหรอ…”
“เพราะงั้น อย่าได้ดูถูกตัวเองเลยค่ะ อย่าเสียใจกับอดีตของตัวเอง แต่จงยินดีกับความเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ และจงมีความหวังในอนาคตค่ะ”
“นี่มันแทบจะเป็นชัยชนะอยู่แล้ว และฉันก็แค่จะทำให้มันมั่นคงลงไปเท่านั้นเองค่ะ”
รินพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
…พูดอะไรแบบนี้ได้เต็มปากเต็มคำ ช่างกล้านักนะเธอ
ผมเองก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไป และเมื่อมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของรินที่อยู่ตรงหน้า ผมก็รู้สึกบางอย่างร้อนวูบในอก
ความรู้สึกที่เคยอึดอัด ความไม่แน่ใจ ความหวาดกลัว ทั้งหมดเริ่มสลายหายไปช้าๆ
แทนที่ด้วยความแน่วแน่ ความมั่นใจ และ…ความอบอุ่น
เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้คือของจริง—ไม่ใช่ภาพลวงตา หรือความฝัน
MANGA DISCUSSION