เสียงหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ร่างกายที่รู้สึกร้อนผ่าว ไม่ได้เป็นเพียงเพราะอุณหภูมิของน้ำในอ่างเท่านั้น
ผมอยากจะสงบสติอารมณ์ให้ได้ เลยพยายามหายใจลึก ๆ ช้า ๆ
แต่…แค่ลมหายใจที่เข้าออก ก็เหมือนจะเสียดสีกับปอดจนรู้สึกร้อนผ่าว
แค่คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ก็รู้สึกอายจนตัวร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
คำพูดที่เผลอพูดออกไปยังคงดังก้องในหัว ร้อนจนรู้สึกได้ถึงแก้ม
“…งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าความพยายามของรินได้ส่งถึงใจนายแล้ว ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ความรักของเด็กวัยรุ่นก็มักจะหอมหวานชวนอมยิ้มเสมอเลยสินะ”
พ่อของรินพูดพร้อมยิ้มอ่อนโยน ดวงตาเรียวเล็กฉายแววอบอุ่น
ถ้าเขาจะพูดว่า “ฉันไม่ยกลูกสาวให้แก!” แล้วสาดน้ำร้อนใส่หัวผมยังจะดีกว่า…
พอเขาตอบกลับมาแบบนี้ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกอายจนแทบจะทนไม่ไหว
ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่เต็มไปด้วยไอน้ำ
…ไม่เลย มันไม่ช่วยให้เบี่ยงเบนความคิดได้เลย
“โทคิวางิคุง ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“แน่นอนครับ… ไม่มีปัญหา”
“ในฐานะพ่อ ฉันดีใจที่ได้รู้ความรู้สึกจริง ๆ ของเธอนะ แต่คำพูดเมื่อกี้นั่น เธอน่าจะพูดให้ลูกสาวฉันฟังมากกว่านะ?”
…ว่าตรง ๆ เลยก็ถูกต้องที่สุด
ถ้าเคนอิจิได้ยินเรื่องนี้ เขาคงพูดว่า “พูดกับพ่อเขาได้ ทำไมไม่พูดกับเจ้าตัววะ!!”
เถียงไม่ออกเลย
“คือ ในฐานะพ่อแล้วฉันรู้สึกดีใจ แต่ก็อดรู้สึกซับซ้อนไม่ได้ มันเหมือนกับฉันไปขโมยคำสารภาพรักแรกจากลูกสาวตัวเองยังไงยังงั้น”
“ขอโทษครับ… ผมแค่คิดว่าการพูดตรง ๆ ไปเลยจะดีกว่า”
“ก็จริงนะ ถ้าเธออ้อมค้อม ฉันก็คงจะถามจี้เข้าไปจนได้อยู่ดี”
“ฮะ ๆ… จริงด้วยครับ…”
“แต่ถ้าเธอกล้าพูดแบบนั้นกับฉันได้ ฉันก็คิดว่าเธอน่าจะพูดกับลูกสาวฉันได้เหมือนกันนะ คิดอะไรอยู่เหรอ?”
พ่อของรินพูดพลางจ้องผมราวกับจะอ่านใจ
เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือด่วนตัดสิน แต่กลับเหมือนจะถามว่า
“มีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลังใช่ไหม? ลองพูดออกมาสิ”
เพราะเป็นเขา จึงคงเดาได้แล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เขาก็ยังเปิดโอกาสให้ผมได้พูด และตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันเผลอพูดมากเกินไป
เหมือนกับกำลังเล่าปัญหาชีวิตให้หมอดูหรือผู้ให้คำปรึกษาฟังยังไงยังงั้น
ผมพยักหน้าเบา ๆ แล้วถอนหายใจออกมา
“ผมในตอนนี้…พูดอย่างถ่อมตัวก็ยังถือว่าอยู่ในจุดต่ำสุด ไม่มีเงิน ไม่มีการศึกษา ไม่มีแม้แต่ความน่าเชื่อถือในโรงเรียน…”
ในโรงเรียน ผมถูกรังเกียจ เรียนก็ไม่เก่ง เงินก็ไม่มี
แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของผมก็ย่อมติดลบ
ถ้ามีเสน่ห์ในฐานะคนก็คงพอช่วยได้ แต่กับผมตอนนี้ มันก็ไม่มีอะไรเลย
ชั่วโมงเรียนก็นอนตลอด
มาสายบ่อย
คะแนนสอบก็ย่ำแย่
เรื่องแย่ ๆ ของผมมันมีนับไม่ถ้วน…
พูดเองก็รู้สึกอาย แต่ผมก็คือคนที่ไม่มีอนาคตเลยจริง ๆ
“คนอย่างผม ถ้าอยู่ข้าง ๆ ริน ก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้แน่ ๆ …ซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ”
“ก็ไม่แปลกหรอก คนเราถ้าไม่พอใจก็สามารถเหยียบย่ำคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย… ไม่ว่าในยุคไหน มันก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ”
เขาพูดพร้อมพยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า
ในฐานะหมอ เขาคงเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มามาก
เด็กสาวแสนสวย กับเด็กชายผู้ไร้ค่า
ในนิยายมันอาจดูโรแมนติกก็จริง
แต่โลกความจริงมันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก
ต่อให้เธอชอบผม ต่อให้ผมอยากอยู่เคียงข้างเธอแค่ไหน
ถ้าคนรอบข้างไม่ยอมรับ มันก็ไม่มีทางไปต่อได้
“ทำไมต้องเป็นหมอนั่น?”
“ดูไม่เหมาะสมเลยนะ”
ปัญหาแบบนี้จะตามมาจนกว่าจะมีใครสักคนถอดใจ
คนเราน่ะ สนใจภาพลักษณ์มากกว่าที่คิด
และเสียงรอบข้างเหล่านั้น ก็มีพลังพอจะบิดเบือนมุมมองที่คนมีต่อเราได้ง่าย ๆ
เพราะทุกคนพูดว่า “หมอนั่นมันไม่ไหว”
เพราะทุกคนตัดสินว่า “หมอนั่นมันไร้ประโยชน์”
พอได้ยินแบบนั้น คนอื่นก็เริ่มสงสัยว่า
“หรือเราคิดผิด?”
แล้วจากนั้นก็เริ่มมองเห็นแต่ข้อเสียของเรา
มันก็แค่นั้น—คนจำนวนน้อย ย่อมสู้เสียงส่วนใหญ่ไม่ได้
ต่อให้เราเชื่อมั่นในตัวเองแค่ไหน ถ้าไม่มีใครเชื่อด้วย
สุดท้ายก็จะโดนกลบเสียงจนหมด
แต่นั่นแหละ…มันคือโลกที่เราอยู่
ต่อให้รินจะยอมรับและต้องการฉันมากแค่ไหน ปัญหาก็จะไม่หมด
ตราบใดที่ผมยังอยู่ในจุดต่ำสุดนี้ มันไม่ใช่แค่ผมจะที่เดือดร้อน แต่เธอก็จะพลอยโดนไปด้วย
เพราะแบบนั้น ผมถึงไม่สามารถยอมรับความรู้สึกของเธอแบบไม่คิดอะไรได้เลย
แต่…
เพราะแบบนั้นต่างหาก
ถึงต้องเปลี่ยนแปลงมันให้ได้
“ผมอยากเปลี่ยนตัวเองครับ เพื่อจะได้ยืนเคียงข้างเธออย่างเหมาะสม…”
ถ้าจะยืนอยู่ข้างเด็กสาวที่มีเสน่ห์อย่างริน ผมต้องเป็นคนที่เหมาะสมกับเธอ
ไม่อย่างนั้น ผมก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะสบตาหรือรับความรู้สึกของเธอเลย
ผมต้องเปลี่ยนมุมมองของคนรอบข้าง เปลี่ยนตัวเอง
และกล้าเผชิญหน้ากับความจริง
ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ผมก็คงจะไม่กล้าจะยืนต่อหน้าคนที่ชอบผมขนาดนั้นได้เลย
รินพยายามขนาดนั้น ผมเองก็ต้องพยายามเหมือนกัน
ผมต้องเปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ภาพลักษณ์แย่ ๆ ไม่ใช่จะเปลี่ยนกันได้ทันที
ความประทับใจแรกของคนก็เปลี่ยนยากเช่นกัน
แต่ก็ต้องทำให้ได้
ถึงจะต้องดิ้นรนแบบทุเรศ ก็อยากเป็นเมฆที่ลอยอยู่ข้างดวงอาทิตย์อันสดใสให้ได้
ผมกำหมัดแน่น แล้วมองไปที่พ่อของริน
ดวงตาอ่อนโยนของเขาเมื่อครู่ บัดนี้กลายเป็นแววตาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความจริงจัง
“ฉันเข้าใจความคิดของเธอแล้ว และรู้ว่าเธอต้องการทำอะไร”
“…ครับ”
“ฉันไม่คิดจะปฏิเสธ และเข้าใจอยู่บ้างด้วยซ้ำ เพราะการจะเข้าใกล้ใครสักคนที่ดูเหมือน ‘ดอกไม้บนยอดเขา’ ต้องใช้ทั้งความมั่นใจ ความกล้า และความมุ่งมั่น”
เขาพูดราวกับกำลังเล่าประสบการณ์ของตัวเอง
ราวกับระลึกถึงความหลัง พร้อมเข้าใจถึงความยากลำบากนั้นอย่างแท้จริง
“แต่โทวางิคุง ฉันอยากให้เธอจำสิ่งนี้ไว้ให้ดี”
“…อะไรเหรอครับ?”
“อย่าลืมว่าคนตรงหน้าเธอก็มี ‘หัวใจ’ เหมือนกัน”
ผมเอนหัวสงสัยกับสิ่งที่เขาพูด
ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจคำว่า ‘หัวใจ’
แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงหยิบยกสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสามัญสำนึกขึ้นมาพูด
“ไม่ว่าคนจะดูสมบูรณ์แบบแค่ไหน นั่นก็แค่ ‘ดูเหมือน’ เท่านั้น ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ และหลายคนก็เปราะบางกว่าที่คิด อย่าสร้างภาพลวงตาว่า ‘คนอย่างเธอต้องไม่เป็นไรแน่ ๆ’ เด็ดขาด …แต่ฉันก็คิดว่าเธอเองก็น่าจะเข้าใจอยู่แล้วล่ะนะ”
“…ครับ”
“เหมือนที่เธอมีสิ่งที่ไม่สามารถยอมแพ้ได้ รินเองก็มีหัวใจ มีบางสิ่งที่ยึดมั่นเหมือนกัน ยังไงซะเธอก็ยังเป็นแค่เด็ก ม.4 อายุสิบหกเท่านั้นเอง บางทีเธออาจจะดูโตเพราะเอาไปเทียบกับคนอื่น แต่เธอก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี บางครั้ง พูดออกไปตรง ๆ ให้เธอรู้บ้างก็ดีนะ”
“แต่ว่า… ผมยังไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรขนาดนั้นเลยครับ ถึงจะบอกว่าอยากเปลี่ยนตัวเอง แต่ยังทำอะไรไม่ได้เลย…”
“เฮ้อ… เข้าใจว่าเธออยากพยายามนะ ฉันก็อยากเชียร์อยู่หรอก แต่รู้ไหม”
“…………”
“อยากให้เธอใส่ใจความรู้สึกของคนที่ต้องรอเธอบ้างนิดนึง”
“———!?”
“การเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด เป็นแค่ความคาดหวังที่สวยงามเท่านั้น บางสิ่งถ้าไม่พูด มันก็ไม่มีวันเข้าใจ เหมือนที่เธอกังวล รินเองก็อาจรู้สึกไม่ต่างกัน… แค่อยากให้เก็บไว้ในใจบ้าง”
สิ่งที่พ่อของรินพูด…ผมลืมมันไปสนิท
ผมมัวแต่คิดว่า
ต้องเปลี่ยนแปลง
ต้องพยายามให้ได้
แต่ผมกลับลืมคิดถึงเธอ…คนที่เป็นต้นเหตุของความพยายามนี้
ริน…คนที่ควรจะให้ความสำคัญที่สุด
บางทีผู้ชายที่ทำอะไรเงียบ ๆ อาจจะดูเท่ก็จริง
แต่ความคิดของผู้หญิงกับผู้ชายมันต่างกัน
ผู้ชายต้องการคำตอบ
ผู้หญิงต้องการกระบวนการ
นั่นแหละ คือสาเหตุของความไม่เข้าใจกันอยู่บ่อย ๆ
เคนอิจิเองก็เคยพูดแบบนี้…
การที่ผมค่อย ๆ ทำอะไรลับหลัง
อาจจะกำลังสร้างความไม่สบายใจให้รินโดยไม่รู้ตัวก็ได้
และการที่ผมลืมคิดถึงเรื่องนี้…มันคือความผิดของผมเอง
บอกว่าเพื่อเธอ แต่กลับคิดถึงแต่ตัวเอง
ผมนี่มันห่วยจริง ๆ
นี่ผมก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกที่ผมเกลียดเลยนี่หว่า
ไม่สังเกตสิ่งสำคัญแบบนี้…โง่จริง ๆ เลยนะเรา
ผมเงยหน้ามองเพดาน แล้วถอนหายใจแรง ๆ
จากนั้นก็เอามือตบหน้าตัวเองสองทีเต็ม ๆ
“คิดได้แล้วเหรอ?”
“ครับ…”
“งั้นขึ้นจากน้ำได้แล้ว เดี๋ยวตัวจะเปื่อยเกิน แล้วก็…ถ้าไม่รีบ รินอาจจะพังประตูเข้ามาก็ได้”
“ขอบคุณมากนะครับ…”
ผมรีบก้มหัวขอบคุณพ่อของรินที่กำลังจะออกจากห้องน้ำ
ในตอนนั้น ผมรู้สึกได้ถึงแรงกดที่หัวเหมือนมีอะไรบางอย่างวางลงมา
ผมเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แล้วสบตาเขา
เขามองกลับมา ยิ้มบาง ๆ พลางลูบหัวฉันเบา ๆ อย่างอบอุ่น
“ไม่ต้องคิดมาก ทุกสิ่งที่ฉันทำก็เพื่อรินทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณหรอก”
“แต่ว่า…”
“เอาเป็นว่า ขอยืมคำพูดของเธอละกัน ‘แค่ทำตามความเชื่อของตัวเองเท่านั้น’ แหละนะ”
นี่แหละ…คือพ่อของริน
เขาหันหลังเดินออกจากห้องน้ำอย่างเท่
แผ่นหลังของเขาดูใหญ่โตจนน่าแปลกใจ
ขณะนั้นเอง ก็เริ่มได้ยินเสียงโวยวายจากทางห้องน้ำอีกฝั่ง
“น่าสงสัยจริง ๆ! รอแป๊บนะ โทวะคุง!! เดี๋ยวฉันไปช่วยเองค่ะ!!”
“ค่าาา รินจัง อย่าตัดสินใจเร็วเกินไปนะ~?”
“อย่ารัดหนูสิคะ~! ต้องไปช่วยเขาให้ได้!”
“อยากไปขนาดนี้…รินจังสนใจร่างกายผู้ชายเหรอ~?”
“มะ ไม่ใช่แล้วค่ะ!!”
“โอ๊ย~ หน้าขึ้นสีแดงแบบนี้ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปอีก~ ไม่เป็นไรน้า แม่ไม่เหมือนพ่อ แม่เข้าใจ~ บนโลกนี้ ไม่มีอะไรแข็งแกร่งเท่าข้อเท็จจริงแล้วล่ะ~”
“แม่พูดอะไรกับลูกสาวตัวเองเนี่ย!?”
ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิด
บทสนทนาของรินกับลิซ่าซังเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้ไม่เห็นตัว แต่ผมก็นึกภาพรินที่กำลังหน้าแดงอยู่ในหัวได้อย่างชัดเจน
“…จบแบบไม่ค่อยสมศักดิ์ศรีเลยนะ”
“…จริงด้วยครับ”
พวกเราสองคนสบตากัน แล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
MANGA DISCUSSION