ผมเพิ่งกลับถึงบ้านหลังจากวันที่ยุ่งวุ่นวายอีกวันหนึ่งจบลง
รินก็เหมือนกัน—หลังจากทำอาหารเย็นเสร็จ ก็ดูเหมือนว่าจะมีธุระอะไรบางอย่าง เลยรีบกลับบ้านไป เหลือผมอยู่คนเดียวในคืนนี้
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เวลานี้ตามปกติแล้วก็เป็นเวลาที่ผมอยู่คนเดียวอยู่แล้ว ถ้าโรงเรียนเริ่มเรียนปกติ ดังนั้นนี่ก็แค่กลับไปสู่ชีวิตประจำวันเดิมเท่านั้นเอง…
พอเคยชินกับบางสิ่งแล้ว พอสิ่งนั้นหายไปมันก็รู้สึกเหมือนมีช่องโหว่ ความรู้สึกเหงามันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้สินะ
“ความเคยชินนี่น่ากลัวชะมัดเลยเนอะ…”
พอรู้สึกคอแห้งจะไปหยิบน้ำ ก็ดันมีน้ำวางไว้ตรงหน้า
พอรู้สึกหิวนิดหน่อยก็มีของว่างมาเสิร์ฟให้
อาจจะเป็นเพราะแบบนี้แหละ เลยรู้สึกว่างเปล่าแปลก ๆ
การอยู่ด้วยกันหนึ่งเดือน… ไม่สิ ในกรณีนี้น่าจะเรียกว่าการดูแลมากกว่า
ผลกระทบจากสิ่งนั้น มันทำให้ผมกลายเป็นคนห่วยแตกยิ่งกว่าเดิม
แม้มันจะเป็นเรื่องที่น่าอายมากก็ตาม…
“งั้น… ทบทวนบทเรียนวันนี้แล้วรีบนอนดีกว่า~”
ผมหาวยาวแล้วเหลือบมองนาฬิกา
ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว ถ้าไม่เร่งมือหน่อยคงไม่ทันแน่
ผมหมุนไหล่เบา ๆ แล้วถอนหายใจ
โอเคล่ะ ตั้งใจเรียน——
“มีเรื่องจะคุยค่ะ!!”
ในจังหวะเดียวกับที่ประตูบ้านเปิดออก เสียงที่ขัดจังหวะฉันก็ดังขึ้น
จังหวะมันพอดีเกินไป จะบอกว่าดีก็ใช่ ไม่ดีก็ใช่
พูดแล้วนึกขึ้นได้ ยังไม่ได้เอากุญแจคืนเลยนี่นา
“มาทำอะไรดึก ๆ แบบนี้… เอ๊ะ ริน?”
คนที่ปรากฏตัวขึ้นคือริน เธอสวมชุดอยู่บ้าน…ไม่สิ น่าจะเรียกว่าชุดนอนมากกว่า
น้ำตาคลอเบ้าอย่างเห็นได้ชัด
ในมือถือกระเป๋านักเรียนและกระเป๋าเดินทาง
แค่เห็นของที่เอามาก็รู้เลยว่าเธอมาทำอะไรที่นี่…
“ฉันหนีออกจากบ้านมาค่ะ”
“ก็ว่าแล้วเชียว จากท่าทางแบบนี้…”
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เตรียมตัวมาเลย
จากกระเป๋าที่มีผ้าหลุดออกมา ผมเผ้ายุ่งเหยิงอาจเพราะวิ่งมา
แม้แต่รินที่ปกติเป็นคนเรียบร้อย ยังยัดของใส่กระเป๋าแบบลวก ๆ ได้แบบนี้
แปลว่าเธอน่าจะอารมณ์ขึ้นแล้วตัดสินใจแบบฉับพลัน
“เข้ามาข้างในก่อน เดี๋ยวฟังเรื่องที่เกิดขึ้น”
“…ขอโทษค่ะ”
รินทำหน้ารู้สึกผิดขณะผมเชิญเธอเข้าบ้าน
ตอนแรกที่เห็นผมยังคิดเลยว่าเป็นแผนของลิซ่าซังรึเปล่า
แต่ดูแล้วคงไม่ใช่แน่นอน เพราะมองออกชัดเจนเลยว่าเธอกำลัง ‘โกรธอยู่’
“เอ้า ดื่มชามะนาวสักหน่อยก่อน ใจเย็นลงหน่อย”
“…ขอบคุณค่ะ โทวะคุงชงชาเองได้แล้วสินะคะ”
“ฉันก็ทำได้ประมาณนี้แหละน่า”
พอรินชมอย่างทึ่ง ๆ ผมก็ไหล่ตกเล็กน้อย
รินจิบชามะนาวแค่คำเดียวแล้วถอนหายใจยาว
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ? เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”
“…ค่ะ ไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไหร่…ถ้าจะพูดให้สั้น ๆ ก็ ทะเลาะกับพ่อค่ะ”
“หนีออกจากบ้านเพราะทะเลาะกัน ฉันว่าเร็วไปรึเปล่า…หรือว่ามีเรื่องที่รินยอมไม่ได้?”
“…ก็…ค่ะ ประมาณนั้นค่ะ”
สีหน้าของรินดูซับซ้อน
ดูท่าจะไม่อยากพูดเหตุผลชัดเจนนัก
น่าจะเป็นการทะเลาะกันที่ไม่สามารถถอยได้แล้ว
เวลาทะเลาะกัน ถ้าไม่รู้ว่าควรหยุดตรงไหน มันก็แค่ชนกันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
ด่าทอกัน เจ็บปวดด้วยกัน——แล้วก็จบที่การเสียใจ
การทะเลาะกันก็เป็นแบบนั้นแหละ
ต่างคนต่างพูดสิ่งที่อยากพูดได้ แล้วถ้าได้คืนดีกันก็ดี
บางคนอาจมองว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการปรับความเข้าใจกัน
แต่แบบนั้นมันก็เหมือนดาบสองคม
เพราะการเปิดใจระบายความรู้สึกออกมา ไม่ได้จบลงด้วยการเข้าใจกันเสมอไป
ฝ่ายหนึ่งอาจโล่งใจ แต่ฝ่ายอีกฝ่ายกลับเหลือบาดแผลหรือความรู้สึกไม่สบายใจ
รินถึงได้ทำหน้าแบบนั้นล่ะมั้ง
ความรู้สึกอยากพูด
ความรู้สึกที่ยังไม่เข้าใจ
ความรู้สึกเสียใจที่พูดอะไรบางอย่างออกไป
อยากจะให้คำแนะนำอะไรได้ก็คงดี
แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่บอกถึงผลลัพธ์ของการทะเลาะกัน จากประสบการณ์เท่านั้นเอง
ถ้ามันเป็นแบบนี้ มันจะกลายเป็นแบบนั้นนะ
ก็แค่ผลลัพธ์เท่านั้น
ก็ในเมื่อผมกับพ่อแม่เองยังไม่เคยทะเลาะกันเลยนี่นา
“เอาเถอะ เธอคงเหงื่อออกไม่น้อย ไปอาบน้ำก่อนไหม? จะได้รู้สึกดีขึ้นด้วย”
“งั้นก็…ขอรบกวนด้วยค่ะ”
รินพูดพลางเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่นี้เอง
เปลี่ยนอารมณ์ให้เธอ ช่วยให้เธอระบายได้บ้างเท่านั้นเอง
ผมถอนหายใจ มองเพดานอย่างเหม่อลอย
เวลาที่เป็นแบบนี้ ทำให้รู้สึกถึงความไร้พลังของตัวเองชะมัด…
ขณะที่คิดแบบนั้น ผมก็เหลือบไปเห็นหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างขึ้นมา
เบอร์ที่ไม่คุ้นตาทำให้ผมเอียงคอ แล้วก็กดรับสาย
“เอ่อ…ครับ”
“อ๊ะ รับแล้ว ๆ ดีจังเลย~ ฮัลโหล~! ปอนจังสบายดีมั้ย~?”
“เอ๋…ลิซ่าซัง?”
เสียงที่ดังมาทางสายทำให้ผมหน้าตึงทันที
ว่าแต่ เธอมีเบอร์ผมได้ไงนี่ย…?
ผมเคยให้ไว้เหรอ…?
แต่ผมก็รีบสลัดความสงสัยนั้นทิ้งไปเพราะคิดว่า ‘ก็เป็นคนแบบนั้นแหละนะ อะไร ๆ ก็เป็นไปได้หมด’
มากกว่านั้น เวลาที่โทรมานี่มันช่างเหมาะเจาะจริง ๆ
ผมแอบเงี่ยหูฟังเสียงจากห้องน้ำ
…ดูเหมือนว่าเธอกำลังอาบน้ำอยู่
“ขอโทษที่รบกวนนะจ๊ะ ทั้งสองคนไม่มีใครยอมใครเลยเป็นแบบนี้แหละ~”
“ตอนนี้รินอาบน้ำอยู่ครับ ขอถามหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ รินบอกว่าเป็นเรื่องทะเลาะกัน…”
“ใช่เลย~ แปลกมากเลยที่พ่อก็โกรธด้วย…ก็เพราะว่ารินจังไปนอนบ้านโชวะคุงแทบทุกวันน่ะสิ~ เขาเลยเป็นห่วงมาก~”
“ถ้าเป็นพ่อก็คงคิดแบบนั้นแหละครับ กังวลว่าลูกจะโดนผู้ชายเลว ๆ หลอกเอา”
“ใช่เลย~ ปกติรินจังจะพูดว่า “เพราะเป็นโทวะคุง ไม่เป็นไรค่ะ” แล้วก็ไม่ฟังอะไรเลยนะ~ แต่วันนี้พ่อเขาดื้อกลับ ไม่ยอมแพ้เลย~ อาจจะเพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงของลูกสาวที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้~”
“งั้นเหรอครับ…”
แฟนของลูกสาว หรือคนที่ลูกสาวชอบ
ไม่ว่าแบบไหน การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดขนาดนั้น มันก็น่าเป็นห่วงแหละ
ความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่…
ถึงผมจะไม่รู้ว่าในอดีตมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
แต่แค่ดูจากที่โรงเรียนวันนี้ ก็น่าจะเห็นว่ารินตอบสนองกับคนอื่นแบบเย็นชาขนาดไหน
แค่นั้นก็พอจะเดาได้ง่ายๆ แล้ว
แต่——
“ถ้าแค่เรื่องนั้น รินก็คงไม่โกรธหรอกครับ…”
“นั่นสินะ…”
รินไม่ใช่คนที่โกรธง่าย
ผมเองก็แทบไม่เคยเห็น หรือได้ยินเรื่องแบบนั้นในโรงเรียนเลย
เท่าที่จำได้ ถ้าเคยเห็นจริง ๆ ก็คือตอนก่อนปิดเทอมฤดูร้อน ที่เธอพยายามเว้นระยะห่างกับผม…แล้วก็มาดักรอหน้าบ้าน——อ๊ะ
“อย่าบอกนะครับว่า คุณพ่อเขาพูดอะไรเกี่ยวกับผม?”
ผมพอจะเดาออกอยู่แล้ว
รินจะโกรธก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่ของตัวเอง…
“ก็…หลุดปากออกมาน่ะนะ ‘ผู้ชายที่ให้รินดูแลเหมือนเกาะผู้หญิงกิน มันไม่มีทางดีหรอก’ อะไรแบบนั้นน่ะ…”
“…น่าเศร้าตรงที่เถียงไม่ได้เลยนะครับ”
พูดไม่ออกเลยจริง ๆ
ก็ในความเป็นจริง ผมก็อยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าให้รินดูแลเหมือนคนเกาะกินก็ว่าได้
ถ้าเห็นลูกสาวเป็นแบบนั้นทุกวัน จะไม่ห่วงก็แปลกแล้ว
อาจจะกลัวว่าโดนหลอก?
อาจจะกลัวว่าโดนรีดเงิน?
คำถามพวกนั้นผุดขึ้นมาก็ไม่แปลกเลย
“เข้าใจแหละนะ~ ว่าพ่อเขาก็แค่ห่วงลูก แต่มาตัดสินคนอื่นแบบนั้นก็ไม่ดีใช่มั้ย~ พ่อเองก็มักจะสอนรินจังว่า ‘ต้องตัดสินเองด้วยสายตาตัวเอง’ อยู่ตลอด~ แต่พอพูดแบบนั้น รินจังเลยตอบกลับว่า ‘ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากพ่อ…’ น่ะสิ~”
“คำสอนว่าให้ตัดสินเองด้วยสายตา เป็นของคุณพ่อนี่เอง…”
คำพูดที่รินเคยพูดไว้ในอดีต
ผมยังจำมันได้อย่างชัดเจน
ตอนที่ฉันเห็นรินโกรธเป็นครั้งแรก
“คนที่ฉันจะคบ ฉันเป็นคนตัดสินใจเองค่ะ ไม่เกี่ยวกับคำวิจารณ์หรือชื่อเสียงของเขา ฉันเลือกที่จะอยู่กับเขาเพราะฉันอยากอยู่ อยากคุย นั่นคือเหตุผลค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกดีและเหมือนได้รับการเยียวยา…
ถึงแม้ผมจะไม่อยากยอมรับความรู้สึกนั้นก็ตาม
แต่มันก็ฝังแน่นอยู่ในใจของผมอย่างไม่ต้องสงสัย
คำนั้นคือใจจริง และเป็นจุดยืนของริน
เพราะแบบนั้นแหละ เธอถึงยิ่งไม่อยากให้คำพูดนั้นโดนปฏิเสธ
หลังจากมีความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างอ่อนโยนก็ดังมาจากลิซ่าซัง
“หลังจากนั้น ก็ไม่ต้องเดาเลยใช่มั้ย~ ทะเลาะกันจนถึงขั้นรินพูดว่า “จะหนีไปกับเขา” แล้วก็ออกจากบ้านเลย~”
“หนีตามเลยเหรอครับ…แล้วลิซ่าซังไม่ห้ามเหรอครับ?”
“ก็เรื่องมันเกิดตอนที่ฉันไม่ได้อยู่ที่ห้องน่ะสิ~ เพราะงั้น เรื่องที่รู้ก็ได้ยินจากพ่อเหมือนกัน~”
“เข้าใจแล้วครับ… งั้นผมจะพยายามปลอบริน แล้วช่วยเกลี้ยกล่อมให้เธอกลับไปคุยกับพ่อดู”
“ดีจังเลย~ พอไม่มีใครยอมใครเลยพูดกันไม่รู้เรื่องเลยล่ะ~”
ดูเหมือนว่าเธอรอฟังคำตอบผมอยู่ พอได้ยินก็ส่งเสียงพอใจออกมา
ถึงจะรู้สึกว่าถูกหลอกใช้นิดหน่อย แต่ก็คงปล่อยผ่านไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ครับ ตัวต้นเหตุก็คือผมนี่แหละ…ถ้าทำอะไรได้ ก็อยากช่วยครับ”
“อ๊ะ… อ๊ะๆๆ~”
แม้จะตกใจ แต่เสียงของเธอก็ฟังดูเบิกบานมาก
ผมเลยเผลอพูดห้วน ๆ ไปว่า “อะไรครับ” เพราะรู้สึกเขินแปลก ๆ
“ฟุฟุ~ ไม่มีอะไรหรอก~ แต่น้ำเสียงของปอนจังฟังดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ~”
“พูดอะไรครับ…เสียงผมไม่ได้เปลี่ยนเลยนะ”
“จ้า ๆ~ ก็แล้วแต่จะคิดแล้วกัน~”
ผมหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางเหมือนมองทะลุทุกอย่างของลิซ่าซัง
มองออกมากกว่ารินอีกมั้งเนี่ย…
“งั้นปอนจัง ฝากด้วยนะจ๊ะ~”
น้ำเสียงที่ไม่ใช่แบบยืดยาดตามปกติ แต่จริงจังและชัดเจน
แต่ก็ยังคงความอ่อนโยนอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ครับ”
ผมตอบสั้น ๆ แล้วกดตัดสาย
จากนั้นก็นั่งรอให้รินเรียก พร้อมกับคิดถึงเรื่องของเธออยู่เงียบ ๆ
MANGA DISCUSSION