ตอนที่ 9 การถูกคนที่ดังที่สุดในโรงเรียนเพ่งเล็ง 5
อาซาฮินะซังกินหมดเกลี้ยงไปทั้งหมดสี่จานในพริบตาเดียว
“พอใจแล้วล่ะ ฉันควรบอกให้เจ้าของร้านจำสูตรซอสนี้ไว้ แล้วมากินทุกครั้งเลยดีมั้ย”
“ไม่นึกเลยว่าคุณจะกินซอสหมดได้… ทั้งที่มันหวานขนาดนั้น คุณกินหมดได้จริง ๆ ด้วยนะครับ”
“ก็เพราะมันอร่อยนี่นา! อ๊ะ!”
อาซาฮินะซังดูเหมือนจะเพิ่งรู้ตัว เธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“อื๊อ… ฉันทำตัวน่าอายต่อหน้าผู้ชายซะแล้ว”
อาซาฮินะซังก้มหน้าด้วยความอับอาย ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกตัวถึงความน่าอายของตัวเองอยู่เหมือนกัน
แต่ด้วยความที่เธอดูดีเกินไป มันกลับทำให้ดูน่ารักมากกว่าน่ารังเกียจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าอิจฉา ถ้าเป็นผมล่ะก็ คงไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน
“การกินเป็นเรื่องที่ดีนะครับ มันทำให้ผมรู้สึกว่าการทำอาหารมีความหมาย”
“แม้แต่ชิซึกุยังบอกแบบนั้นเลย… แต่สถานการณ์มันก็ต้องเหมาะสมด้วยนะ”
“นั่นก็… จริงครับ”
“โคกุเระคุง อย่าไปบอกใครนะว่าฉันเป็นคนที่ชอบกินแบบนี้”
“แค่ชอบกินนิดหน่อยเท่านั้นเองหรือครับ… เข้าใจแล้วครับ ผมเองก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดีเหมือนกัน”
“ว่าแต่…”
อาซาฮินะซังจ้องมองมาที่ผมอีกครั้ง
มันทำให้ผมคิดว่า ทำไมทุกครั้งที่พูดคุยกับเธอ ผมถึงรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนกับภาพลักษณ์ที่ว่าเธอเป็นสาวสวยที่สุดในโรงเรียนเลย น่าจะเรียกได้ว่าเป็นสาวสวยที่ขาดเสน่ห์อะไรบางอย่างมากกว่า
“ฉันสงสัยมานานแล้ว… ทำไมนายถึงพูดสุภาพขนาดนั้นล่ะ?”
“ครับ?”
“ตอนที่นายคุยกับผู้ชายคนอื่น นายแทบจะเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งเลยนะ… ฉันคิดว่านายเป็นคนเงียบ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น”
“การเปรียบเทียบว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์นี่แรงไปหน่อยนะครับ… การพูดสุภาพมันเป็นนิสัยน่ะครับ ผมพูดสุภาพแค่กับคนที่อายุมากกว่าหรือผู้หญิงเท่านั้น ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันผมก็พูดแบบปกติครับ”
“ถ้าเป็นผู้หญิงก็ไม่เห็นจะต้องพูดสุภาพเลยนี่?”
“ก็… เมื่อก่อนมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นครับ หลังจากนั้นผมก็เผลอพูดสุภาพกับผู้หญิงไปเองโดยอัตโนมัติ เลยบอกว่ามันเป็นนิสัยติดตัวมาน่ะครับ”
“เหรอ นายเองก็มีเรื่องราวของตัวเองสินะ นายพูดสุภาพกับผู้หญิงทุกคนเลยหรือเปล่า?”
“ถ้าเป็นครอบครัวหรือเพื่อนสนิทผมก็ไม่ได้พูดสุภาพขนาดนั้นหรอกครับ”
แน่นอนว่าผมไม่มีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทเลยสักคน แต่เรื่องนี้ผมจะไม่พูดออกมาให้เสียศักดิ์ศรีแน่
“ว่าแต่… จะไม่เอาแพนเค้กเพิ่มอีกสักจานเหรอครับ? ได้ยินมาว่าคุณกินอย่างอื่นมาเยอะแล้วด้วย”
“พอแล้ว! กินไปมากกว่านี้คงไม่ไหวแล้วล่ะ!”
หลังจากนั้น เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ บทสนทนาระหว่างผมกับอาซาฮินะซังก็ไม่ขาดตอนเลย
หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของโอสึกิซัง อาซาฮินะซังเล่าเรื่องที่ผมกับเรโอะไม่เคยรู้เกี่ยวกับโอซึกิซังให้ฟังอย่างละเอียดว่าโอสึกิซังน่ารัก มีเสน่ห์ และสมบูรณ์แบบแค่ไหน…
ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุผลที่อาซาฮินะซังพูดว่าชอบโอสึกิซังมาก ๆ เพราะอะไร
เวลาไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อไหร่ได้กลายเป็นใกล้จะหกโมงเย็นไปแล้ว
เสียง ปิ๊ง ดังขึ้นจากสมาร์ทโฟนของอาซาฮินะซัง เธอหันสายตาไปยังโทรศัพท์เครื่องนั้น
“อ้า…”
เสียงที่ฟังดูต่ำและหนักแน่นหลุดออกมาจากเธอ ผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยไหล่สั่นโดยไม่รู้ตัว อาซาฮินะซังทิ้งตัวลงไปนอนพาดบนโต๊ะอย่างหมดแรง
“เป็นอะไรไปครับ?”
ในสายตาของผม เห็นเส้นผมสีบลอนด์แพลทินัมของอาซาฮินะซังกระจายอยู่เต็มโต๊ะ
ช่างเป็นผมที่สวยอะไรขนาดนี้ ผมคิดไปว่า ถ้าเป็นผู้หญิงจะมีโอกาสได้สัมผัสบ้างไหม พลางฟังเธอพูดต่อ
“ชิซึกุน่ะสิ… วันนี้บอกว่าจะไปซื้อของกับเพื่อนๆ ชมรมพืชสวน แล้วให้ฉันกลับบ้านก่อน”
“หา…”
“เลือกชมรมพืชสวนแทนฉันได้ยังไงเนี่ย… ฉันเหงานะ ชิซึกุจัง ฉันเหงานะ”
“ตอนนี้ไม่คิดจะเก็บซ่อนอะไรไว้แล้วสินะครับ”
“ก็น่าอายไปแล้วนี่… ตอนนี้ยังจะมาแก้ตัวอะไรอีก ฟึ่ด..”
ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจขนาดนั้นก็ได้
ดูเหมือนอาซาฮินะซังจะกลับบ้านพร้อมกับโอสึกิซังหลังเลิกชมรมทุกวัน
เธอจะมาใช้เวลาฆ่าเวลาในร้านคาเฟ่แห่งนี้ แล้วค่อยกลับไปที่โรงเรียนเพื่อกลับบ้านพร้อมโอซึกิซัง
สาวสวยที่สุดในโรงเรียนที่ไม่มีชมรมอยู่ และต้องใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างไม่สะดวกสบาย ถึงขนาดต้องมาฆ่าเวลาในคาเฟ่
ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีบุคลิกที่สนุกสนานแบบนี้
“พระอาทิตย์ตกแล้ว เรากลับกันเถอะครับ”
หลังจากชำระค่าอาหารเรียบร้อย ผมกับอาซาฮินะซังก็ออกจากร้าน
เป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว และแสงไฟจากเสาไฟถนนเริ่มส่องแสงทีละจุด
วันนี้เหมือนจะอยู่นานกว่าที่คิดไว้แฮะ
“แพนเค้กสี่จานนี่ราคาสูงพอสมควรเลยนะครับ”
ถึงแม้ว่าผมจะอยากเลี้ยงเธอเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เสียดายที่ผมไม่มีปัญญาจ่ายเงินสี่หลักให้ขนมที่ตัวเองไม่ได้กิน
ผมจ่ายแค่ค่ากาแฟที่ตัวเองดื่มเท่านั้น
“ฉันเป็นคนชวนเอง ค่ากาแฟน่าจะไม่ต้องก็ได้”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ… อาซาฮินะซังจ่ายเงินรวดเร็วมากเลย ทำงานพิเศษอยู่เหรอครับ?”
เมื่อกี้เจ้าของร้านบอกว่าเธอไม่มาวันที่ต้องทำงานนี่นา
“ใช่ ฉันทำงานพิเศษเป็นติวเตอร์อยู่ สอนลูกสาวของคนรู้จักของพ่อ อาทิตย์ละสองครั้ง”
“นักเรียนมัธยมปลายทำงานเป็นติวเตอร์นี่สุดยอดไปเลยนะครับ… แต่ถ้าเป็นอาซาฮินะซัง ก็ไม่แปลกใจครับ”
“อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง เลยทำงานแบบสบายใจ”
ทักษะการพูดเก่งแบบนี้ เธอคงได้เรียนรู้มาจากงานติวเตอร์นี่เอง แม้จะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่การที่อาซาฮินะซังได้เป็นครูก็น่าอิจฉาจริงๆ เอาล่ะ…
“แยกกันตรงนี้ดีไหมครับ? ถ้าถูกเพื่อนร่วมชั้นเห็นว่ากลับบ้านพร้อมกัน มันอาจจะยุ่งยากนะครับ เราแยกกันเดินกลับดีกว่า”
อาซาฮินะซังจ้องมาที่ผมเงียบๆ มีอะไรที่ผมพูดผิดไปหรือเปล่านะ?
“บ้านโคกุเระคุงอยู่ทางประตูหน้าใช่ไหม? หรือประตูหลัง?”
“อืม… ประตูหน้าครับ”
“งั้นก็เหมือนกันเลย ฉันขึ้นรถบัสกลับบ้าน ไปเดินไปป้ายรถบัสด้วยกันเถอะ”
“เอ๊ะ? จะดีเหรอครับ? ถ้ามีใครเห็น…”
“เวลานี้ไม่มีปัญหาหรอก ถ้ามีคนเห็นก็บอกไปว่าแค่บังเอิญกลับพร้อมกันเพราะเป็นเพื่อนร่วมห้องก็พอ”
“ถ้าอาซาฮินะซังไม่ว่าอะไร ผมก็ไม่ติดขัดครับ”
“นอกจากนี้…”
อาซาฮินะซังเดินนำไปตามทางเท้าสักเล็กน้อย
“ฉันอยากคุยกับโคกุเระคุงให้มากกว่านี้น่ะ”
เธอยิ้มอย่างไร้เดียงสา มันน่ารักจนผมหายใจไม่ทั่วท้อง
แม้พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่แสงสีบลอนด์แพลทินัมของเธอก็ยังคงส่องประกายไม่เปลี่ยน
เมื่อถูกแสงไฟถนนสาดส่อง ยิ่งทำให้ดูสวยงามขึ้นไปอีก ผมแทบจะหลงเสน่ห์ความงามของเธอเข้าเสียแล้ว
ตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกผู้ชายที่ชอบอาซาฮินะซังแล้ว
“ฉันจะบอกข้อดีของชิซึกุให้โคกุเระคุงฟังอีกเยอะเลยล่ะ!”
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ คือ เธอเป็นคนสวยที่มีข้อเสียอยู่เต็มไปหมดนี่แหละ
MANGA DISCUSSION