เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ เร็นไม่ได้ตรงไปหาเรซาร์ดที่บ้านใหญ่ แต่กลับถูกพาตรงไปยังเรือนหลังเก่าทันที
ใช่แล้ว เขาถูกพาไปจริงๆ
ลิเซียพูดว่า “ไปทางนี้ก่อน” และพาเขาไปตามที่เธอบอก ในขณะที่ไวซ์บอกว่าจะไปหาเรซาร์ด ดังนั้นพวกเขาจึงแยกทางกัน
และเมื่อมาถึงเรือนหลังเก่า เร็นนั่งลงบนโซฟาที่จัดไว้ตรงโถงทางเข้า ลิเซียก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขา
“ดีจังเลย ที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนะ”
ตามที่เธอบอก เธอใช้เวทศักดิ์สิทธิ์พลางค่อยๆ รักษาบาดแผลพร้อมทั้งขจัดความเหนื่อยล้าที่หลงเหลืออยู่บนร่างกายของเร็น แสงสว่างและความอบอุ่นค่อยๆ ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเร็น
(…เอ๊ะ?)
เขานึกว่าจะถูกต่อว่าเสียอีก แต่กลับไม่มีท่าทีแบบนั้นเลย
“ผมขอสารภาพเลยนะครับว่าคิดว่าจะผมถูกดุซะอีก”
“ทำไมล่ะ? ทำเรื่องที่น่าทึ่งขนาดนั้น ถึงไม่คิดว่าจะได้รับการยกย่องบ้างเหรอคะ?”
“…ไม่ว่าจะน่าทึ่งหรือไม่ก็ตาม ผมก็ต่อสู้โดยพลการนี่ครับ”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอกนะ เพราะเร็นกล้าหาญ คนหลายๆ คนจึงได้รับการช่วยเหลือ และนั่นเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจนะ”
ลิเซียเองก็เข้าใจสถานะของเร็นเช่นกัน เพราะพ่อของเธอได้มอบหมายงานให้เขา ถ้าเขาบังเอิญไปเจอเหตุการณ์ที่วุ่นวายระหว่างทำภารกิจ เขาก็จะต้องทำแบบที่ทำไปในครั้งนี้อย่างแน่นอน เธอมีความมั่นใจในเรื่องนี้
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชม—”
“แต่เมื่อคิดถึงคู่ต่อสู้ที่อันตราย ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าควรจะดุเร็นสักหน่อยดีไหมนะ—”
อันที่จริง เร็นตั้งเป้าที่จะจัดการการ์กอยล์ผิวเหล็กตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเข้าสู่กิลด์ แต่เขาก็ไม่ควรทำโดยไม่ปรึกษาลิเซียหรือเรซาร์ด ดังนั้นเร็นจึงตั้งใจที่จะปรึกษาพวกเขาก่อนที่จะลงมือทำจริง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นนี่สถานการณ์ฉุกเฉิน เขาจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“แต่ฉันก็เป็นห่วงนะ”
เป็นเรื่องของความรู้สึก แต่มันเป็นเพียงแค่ลิเซียเป็นห่วงเร็นเท่านั้น
“ครับ ผมจะจำไว้ให้ขึ้นใจเลยครับ”
“ถ้าอย่างนั้น คราวนี้ฉันจะไม่ดุนะ—แต่ก็แค่อาจจะรู้สึกเสียใจนิดหน่อย เร็นนี่เก่งขึ้นเรื่อยๆ จนทิ้งฉันไว้ข้างหลังเลยนะ”
ลิเซียเบะปาก แต่แก้มของเธอกลับผ่อนคลายและงอนอย่างน่ารัก
“ว่าแต่ แผลน้อยจริงๆ นะ”
“ครับ มีแค่รอยที่แก้มเท่านั้นเองมั้งครับ”
“…แข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ นะ”
ลิเซียพูดพลางใช้เวทศักดิ์สิทธิ์ต่อไป แสงสว่างอันอบอุ่นค่อยๆ บรรเทาความเหนื่อยล้าที่สะสมอยู่ในร่างกายของเร็น ความสบายนั้นทำให้เปลือกตาของเขาแทบจะปิดลงโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเร็นทำหน้าตาผ่อนคลาย ลิเซียก็หัวเราะคิกคัก
“ยังไม่ได้ทานอาหารเย็นใช่ไหมคะ? คืนนี้เรามาทานด้วยกันที่บ้านใหญ่กันเถอะ”
“ไม่ครับ…คงจะรบกวนมากเกินไป…”
“ท่านพ่อก็เป็นห่วงและประหลาดใจมากเลยนะ”
เรซาร์ดเองก็คงอยากคุยกับเร็นเช่นกัน เมื่อลิเซียพูดเช่นนั้น เร็นก็รู้สึกว่าเขามีหน้าที่ต้องรายงาน จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ขอโทษด้วยครับ ผมจะไปขอโทษท่านเรซาร์ดด้วยตัวเองครับ”
ลิเซียยิ้มให้กับเร็นที่พูดอย่างขอโทษและลุกขึ้นยืนช้าๆ
“เราไปกันเถอะ”
“ครับ งั้นผมขอตามไปแล้วกันนะครับ”
เร็นลุกขึ้นยืนตามลิเซียที่ลุกขึ้นยืนก่อน แล้วเดินเคียงข้างไปกับเธอ พวกเขาเปิดประตูเรือนหลังเก่าและเดินไปตามทางเดินเชื่อมที่มุ่งหน้าไปยังบ้านใหญ่ ขณะที่เดินไปตามทางเดิน เร็นก็นึกขึ้นมาได้และเริ่มพูดขึ้น
“เพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง มีอะไรที่ผมสามารถทำให้ได้ไหมครับ?”
“อืม…ถ้างั้น คราวหน้าจะขอให้ช่วยเดินทางไปด้วยกันหน่อยได้ไหม?”
คำพูดที่กะทันหันทำให้เร็นเอียงคอด้วยความสงสัย
“เดินทางเหรอครับ?”
“ใช่จ้ะ เหมือนตอนที่เคยไปเยี่ยมหมู่บ้านของเร็นนั่นแหละ แต่คราวนี้ฉันวางแผนจะไปเยี่ยมหมู่บ้านหลายหมู่บ้านเลย”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปเป็นเพื่อน”
เร็นคิดว่าตัวเองเผลอตอบตกลงไปทันที แต่การไปกับลิเซียก็รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องที่ค้างคามานานแล้ว คราวนี้เร็นทำให้ลิเซียเป็นห่วงด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะตอบรับอย่างตรงไปตรงมา แต่ลิเซียซึ่งเป็นคนเสนอเรื่องนี้กลับหัวเราะและพูดว่า “ล้อเล่นน่ะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกนะ ถึงฉันจะกังวลจริง แต่ก็ต้องยกย่องความกล้าหาญของเร็นมากกว่าอีก”
“ไม่ครับ การได้รับคำยกย่องกับการขอโทษเป็นคนละเรื่องกันครับ”
“…ลืมไปเลยนะ เร็นบางทีนี่เธอก็ดื้อกว่าฉันอีกนะ”
ลิเซียเสียใจที่พูดเรื่องการเดินทางกับเร็นแบบล้อเล่น แม้เธอจะดีใจที่ได้เดินทางด้วยกันกับเร็น แต่ทว่าการดึงเร็นเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบ อย่างไรก็ตาม เร็นก็กระตือรือร้นแม้จะไม่ได้เป็นการขอโทษก็ตาม
“พูดตามตรง ผมเองก็ค่อนข้างสนใจการเดินทางไกลครั้งนี้ด้วยครับ ผมเองคิดว่ามันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างแน่นอนครับ ดังนั้นผมจึงอยากไปมากๆ เลยครับ”
“จริงเหรอ? ไม่ได้โกหกใช่ไหม?”
“ในสายตาของท่านลิเซีย ผมดูเหมือนกำลังโกหกอยู่หรือเปล่าครับ?”
“…อืม ไม่เลย”
ลิเซียหยุดเดินชั่วขณะและมองเข้าไปในดวงตาของเร็น และเธอก็มั่นใจในทันที
“แต่ ไม่ได้นะ ฉันผิดเองที่เผลอไปพูดเล่น และฉันเองก็ไม่ใช่คนที่ตัดสินใจได้ว่าเร็นจะไปด้วยหรือไม่”
เร็นยักไหล่ด้วยความช่วยไม่ได้
(เดี๋ยวจะลองถามท่านเรซาร์ดดู)
นอกเหนือจากความสนใจส่วนตัวของเขาแล้ว มันก็ยังเป็นการเพิ่มกำลังพลรอบตัวลิเซียด้วย เพราะเหตุการณ์เมื่อตอนฤดูใบไม้ผลิยังผ่านไปไม่นาน ซึ่งเร็นเองก็มีความคิดที่จะต้องระมัดระวังอยู่เสมอ
—ในที่สุดทั้งสองคนก็กลับมาที่บ้านใหญ่และปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าคนรับใช้
“คุณหนูครับ อาหารเย็นของท่านเร็นก็ได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้วนะครับ”
“อืม! ขอบคุณนะ”
ดูเหมือนว่าคนรับใช้จะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า เรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น หลังจากนั้นไม่นาน เร็นก็ขอโทษเรซาร์ดที่โต๊ะอาหารเย็น
ในตอนกลางคืน หลังอาหารเย็น เรซาร์ดกล่าวสองสิ่งหลังจากที่เร็นขอโทษเขา
ก่อนอื่น เขาชื่นชมความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเร็น จากนั้นเขาก็บอกให้เร็นอย่าทำอะไรที่หักโหมเกินไปเหมือนที่ลิเซียเคยบอกไว้ ตอนนั้นเขามีสีหน้ากังวลอย่างจริงใจต่อเร็น และมีท่าทางบางอย่างที่คล้ายกับลิเซียด้วย ก่อนหน้านี้ เรซาร์ดเคยสัญญาว่าจะพาเร็นกลับมาที่บ้านใหญ่หากเขาทำอะไรที่หักโหม แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะเร็นไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนัก
“อาจจะดูโอ้อวดไปหน่อยถ้าจะบอกว่าเป็นการขอโทษ แต่ผมคิดว่าจะขอติดตามท่านลิเซียไปในการเดินทางเยี่ยมชมหมู่บ้านครั้งหน้าครับ”
เร็นพูดถึงเรื่องที่เขาคุยกับลิเซีย แต่เรซาร์ดกลับยิ้มแหยๆ และกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก”
“ไม่จำเป็นต้องตามใจลูกสาวฉันหรอกนะ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมเองก็สนใจเช่นกัน ถ้าท่านเรซาร์ดอนุญาต ผมก็อยากจะร่วมเดินทางไปด้วยครับ”
ไม่ใช่แค่การขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงเท่านั้น เร็นเพิ่งตัดสินใจที่จะลองสัมผัสประสบการณ์ต่างๆ มากมายเมื่อไม่นานมานี้ และการเดินทางที่ลิเซียเสนอในครั้งนี้ เขาก็พยักหน้าตอบรับเพราะว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน แน่นอนว่าเรซาร์ดก็รู้สึกชื่นชมเร็นเช่นกัน แม้เขาจะกล่าวอย่างขอโทษที่เรียกว่าเป็นการเอาแต่ใจของลูกสาว ตัวเองแต่เขาก็เคารพในความกระตือรือร้นของเร็นและไม่ได้คัดค้านอะไรอีก
“…อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าการเผชิญหน้ากับการ์กอยล์ผิวเหล็กสองตัวพร้อมกันล่ะนะ”
“ทะ…ท่านเรซาร์ด!”
“ฮ่าๆๆ ก็เรื่องจริงนี่นา”
เร็นถูกล้อเลียน แต่ในที่สุดเรซาร์ดก็บอกว่า “ฝากด้วยนะ” จากนั้นไวซ์ก็เดินเข้ามา ราวกับจับจังหวะได้พอดี
“ท่านเจ้าบ้าน ขออนุญาตครับ—โอ๊ะ! หนุ่มน้อยเจ้าอยู่นี่เอง”
ไวซ์ชื่นชมพฤติกรรมของเร็นอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินไปข้างๆ เรซาร์ดผู้เป็นนาย
“แล้วไวซ์มีอะไรหรือ?”
“—นี่ครับ จากหมู่บ้านใกล้ภูเขาบัลดอร์”
“อ้อ จากอัศวินสินะ”
มีอัศวินหลายคนเช่นรอย แอชตันที่ดูแลหมู่บ้าน ในบรรดาอัศวินเหล่านั้น อัศวินที่ตั้งหมู่บ้านใกล้ภูเขาบัลดอร์ได้ส่งจดหมายมาพร้อมกันหลายคน เร็นรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญจึงรีบจะปลีกตัวออกไป แต่เรซาร์ดกลับเรียกเขาไว้
“รอเดี๋ยวก่อน บริเวณนี้เป็นหมู่บ้านที่เร็นจะไปด้วยนะ ไม่เป็นไรที่จะฟังต่อไป”
“ท่านเจ้าบ้านครับ? นั่นมันอะไรกัน”
“เรื่องที่ลิเซียจะไปเยี่ยมหมู่บ้านในครั้งหน้า”
“โอ้ ผมก็จะร่วมเดินทางไปด้วยนี่ครับ”
(อ๋อ คุณไวซ๋ก็จะไปด้วยสินะ)
เร็นพูดว่า “ผมก็จะไปด้วยเหมือนกันครับ” และเข้าร่วมวงสนทนา และไม่นานเรซาร์ดก็ขมวดคิ้ว
“…ฤดูหนาวปีนี้ ดูเหมือนจะต้องเตรียมฟืนและอุปกรณ์เวทให้มากกว่าปกติเสียแล้ว”
เรซาร์ดพูดด้วยเสียงต่ำหลังจากตรวจสอบเนื้อหาของจดหมายเสร็จสิ้น
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยสินะครับ”
“ใช่ อัศวินผู้ดูแลหมู่บ้านบอกว่าบริเวณใกล้ภูเขาบัลดอร์หนาวเย็นกว่าทุกปี ถ้าอย่างนั้นฤดูหนาวปีนี้คงจะหนาวจัดแน่นอน เพราะที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้มาตลอด”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องระวังหิมะตกด้วยสินะครับ”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เราต้องเริ่มเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อไม่ให้มีใครเสียชีวิตจากการหนาวตาย”
ไวซ์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเรซาร์ดที่กล่าวราวกับจะยืนยัน
“ว่าแต่ไวซ์ นายคิดยังไงกับเรื่องการ์กอยล์ผิวเหล็ก?”
“เจ้าหน้าที่กิลด์บอกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มันจะบินมาเพื่อหาอาหารครับ และดูเหมือนว่าทั้งสองตัวจะผอมโซด้วย”
นอกจากนี้ ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยของการถูกควบคุมโดยมนุษย์ ไม่พบร่องรอยการใชเ้เวทควบคุม
“จำได้ว่าช่วงนี้ราคาแร่บางชนิด ลดลงนะ”
“ใช่ครับ…สรุปก็คือ นักผจญภัยในพื้นที่นั้นขุดทรัพยากรใต้ดินจนหมดแล้วล่ะครับ”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ…ให้ตายสิ เป็นเรื่องที่อยากจะบ่นแต่ก็บ่นไม่ได้เลยจริงๆ”
หากนักผจญภัยกระทำผิดกฎหมายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับเรื่องที่สามารถล่าหรือเก็บเกี่ยวได้โดยไม่มีปัญหา เขาก็ไม่สามารถบ่นอะไรได้ เรซาร์ดถอนหายใจและมองไปที่เร็น
“ลำบากเธอจริงๆ เลยนะเร็น”
“ไม่ครับ ไม่ต้องห่วงผมเลย ผมจัดการได้ทั้งสองตัวเลยนี่ครับ”
“โธ่เอ๊ย…ก็จริงอย่างที่ว่า เร็นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเลยใช่ไหม? พูดตามตรง นั่นน่าตกใจกว่าการปรากฏตัวของการ์กอยล์ผิวเหล็กเสียอีก”
“จริงครับ ผมกำลังสอนวิชาดาบจักรวรรดิอยู่ แต่ผมก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่าเขาจะเติบโตได้มากแค่ไหนในภายหลัง”
จากนั้นเรซาร์ดก็หัวเราะในตอนท้าย
“ตอนที่ฉันได้ยินว่าเร็นไม่มีพรสวรรค์ในด้านวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ ฉันเองก็ตกใจเหมือนกันนะ แต่เมื่อพิจารณาจากการทำงานและความเร็วในการเติบโตในครั้งนี้ บางทีเขาอาจจะมีพรสวรรค์ในด้านของวิชาดาบไร้เทียมทานเลยก็ได้”
จะเป็นการดีที่สุดถ้าเขาสามารถเรียนรู้วิชาดาบนั้นได้ เร็นเข้าใจความแข็งแกร่งนั้นอย่างถ่องแท้—แม้จะพูดผิดไปบ้าง แต่ในสมัยเกม เขาก็เข้าใจถึงความแข็งแกร่งนั้นเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อคิดว่าเขาสามารถเรียนรู้ความแข็งแกร่งนั้นได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลงใหล
แต่
(ใครจะสอนเขาล่ะเนี่ย)
วิชาดาบไร้เทียมทานเป็นสำนักที่ผู้ฝึกฝนที่น้อย ดังนั้นบุคคลที่จะสามารถสอนเขาได้ก็มีจำกัด ซึ่งเร็นจำได้แต่พวกศัตรูในสมัยที่เป็นเกมเท่านั้น เมื่อคิดอย่างนั้น เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าการเรียนรู้มันคงจะเป็นเรื่องยาก
MANGA DISCUSSION