หลังจากเสร็จสิ้นการสำรวจในวันแรก เร็นก็ไม่สามารถเข้าไปในป่าเพื่อสำรวจได้อีกหลายวัน
สาเหตุคือลิเชียยังคงอยู่ที่คฤหาสน์
แต่โชคดีที่อีกไม่กี่วันต่อมา ก็มีการตัดสินใจว่าลิเชียจะจากเคลาเซลไปพักค้างคืนที่อื่น ดังนั้นเร็นจึงตั้งใจที่จะทุ่มเทให้กับงานในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างมาก
งานหลายวันดำเนินไปอย่างราบรื่น
การสำรวจที่เรซาร์ดมอบหมายให้ก็ประสบผลสำเร็จอย่างมาก เช่นเดียวกับการล่าครั้งแรกที่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจไม่แพ้กัน เงินทุนสำหรับซื้ออุปกรณ์เวทตามเป้าหมายก็เตรียมไว้ได้ตามกำหนด
ดังนั้น เร็นจึงซื้ออุปกรณ์เวทบางอย่างในเมือง และจัดการขนส่งอุปกรณ์เหล่านั้นโดยฝากไปกับอัศวินที่กำลังมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านของตระกูลแอชตัน แน่นอนว่าในเวลานั้น เขาก็ได้ซื้อกระเป๋าสตางค์มาแล้วเรียบร้อย!
และแล้ว ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากการสำรวจครั้งแรก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลิเชียอยู่ที่คฤหาสน์ จึงทำให้เร็นไม่สามารถที่จะออกล่าได้ แต่เร็นก็มีบางสิ่งบางอย่างที่รอคอยมานาน
“ท่านเร็นครับ นี่ครับ”
เช้าวันหนึ่ง คนใช้ของตระกูลเคลาเซลยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เร็น
นี่คือจดหมายจากรอยและมิเรย์
มันคือจดหมายที่เร็นรอคอย ซึ่งถูกนำมาโดยอัศวินที่เพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านที่ของตระกูลแอซตั้น
“ขอบคุณครับ”
เร็นขอบคุณคนรับใช้ และเมื่ออยู่คนเดียว เขาพุ่งไปยังโต๊ะในห้องรับแขกทันที เขาใช้ดาบเวทเหล็กอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อเปิดผนึกจดหมายและดูเนื้อหาด้านใน ในนั้นมีคำขอบคุณมากมายถึงเร็น
(…ดีจัง)
รอยและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกขอบคุณของขวัญของเร็นซึ่งก็คือ —อุปกรณ์เวทมนตร์— อย่างมาก
สิ่งที่เขาให้ไปคืออุปกรณ์เวทบางอย่างสำหรับใช้แทนโคมไฟถนน ซึ่งทำให้ถนนในหมู่บ้านที่เคยมืดมิดพลันสว่างขึ้น และช่วยชาวบ้านผู้สูงอายุได้ด้วยสำหรับหินเวทที่จำเป็นนั้นมีมากมายเพราะรอยสามารถที่จะออกล่าสัตว์อสูรได้แล้ว ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนหินเวทเลย
หลังจากคำขอบคุณก็มีข้อความที่แสดงถึงความห่วงใยถึงเร็น และขอให้เขาอย่าหักโหมมากนัก
แต่เร็นคิดว่า
(…ถ้าสามารถส่งเงินกลับบ้านได้… ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ)
และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไม่มีเขาอยู่ หมู่บ้านก็จะดีขึ้น… ถ้าเขาไม่กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดความวุ่นวายเหมือนเมื่อช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
เร็นลุกจากโต๊ะ ออกจากห้องรับแขก และถามคนรับใช้ที่อยู่ตรงทางเดิน
เขาถามถึงที่อยู่ของอัศวินที่เพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านของตระกูลแอชตัน อัศวินผู้นั้นอยู่ที่มุมหนึ่งของทางเดิน เมื่อเร็นสอบถามถึงสภาพหมู่บ้าน อัศวินคนนั้นก็กล่าวว่า…
“ทุกท่านต่างยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ เหมือนกับมีงานเทศกาลที่คึกคักมาก โดยเฉพาะท่านรอยกับท่านมิเรย์ ทั้งสองท่านถึงกับหลั่งน้ำตาเพราะความสำเร็จของท่านเร็นเลยทีเดียวครับ”
“…ขอบคุณครับ ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นครับ!”
เมื่อขอบคุณอัศวินแล้ว เร็นก็รีบเดินไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว
เขาเดินเร็วกว่าปกติไปทั่วคฤหาสน์ มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของเรซาร์ด
เขาเคาะประตู และเมื่อได้ยินเสียงตอบรับ ก็เปิดเข้าไป เห็นเรซาร์ดอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด
“ดูเหมือนจะมีข่าวดีมาถึงสินะ ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”
เร็นเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่เรซาร์ดอยู่ และเริ่มเล่าเรื่องของจดหมายที่เพิ่งมาถึง
“พ่อแม่กับคนในหมู่บ้านของผมดูเหมือนจะชอบอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ผมส่งไปให้ครับ!”
“…โอ้ นั่นก็ดีแล้ว”
อย่างน้อย การที่เร็นออกไปทำงานนอกบ้านก็ไม่ใช่เรื่องไร้ประโยชน์ ในอีกด้านหนึ่ง กิจกรรมที่เรียกได้ว่าเป็นการฝึกฝนของเร็นก็จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตด้วย เงินทุนสำหรับการดำรงชีวิตด้วยตนเองซึ่งเขาก็เริ่มที่จะสะสมมันแล้ว ดังนั้นความกังวลเหล่านั้นจึงหมดไป
นอกจากนี้ เขายังมีแผนที่จะเรียนวิชาดาบจักรวรรดิจากไวซ์อย่างจริงจังในไม่ช้า
“ความกังวลที่เธอเคยมี… ตอนนี้คลี่คลายลงบ้างไหม?”
“อาจจะ… ครับ อย่างน้อยผมก็รู้ว่า แม้จะอยู่ไกลจากหมู่บ้าน ผมก็ยังสามารถทำอะไรเพื่อหมู่บ้านได้อยู่นอกจากนี้ ผมยังจะได้เรียนดาบจากท่านไวซ์ และผมตั้งใจที่จะขยายความรู้ของผมไปพร้อมกับการทำในสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในหมู่บ้านครับ”
ครั้งนี้ เขามุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม
เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นและเติบโตขึ้น
ตราบใดที่ตัวเขาเองยังมีโอกาสที่จะเป็นชนวนเหตุให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต และเขาเองก็อยากจะสนับสนุนหมู่บ้านของเขาจากที่อื่นเช่นนี้ เพื่อไม่ให้ตัวของเขาเป็นภาระของหมู่บ้าน
ดังนั้น เขาจะไม่ทุ่มเทให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ
เขาจะล่าสัตว์อสูรเพื่อหาเลี้ยงชีพ และเขาก็จะเรียนวิชาดาบจากไวซ์ด้วยแม้ว่าจะไม่ได้รับการร้องขอ แต่เขาก็ตั้งใจที่จะไปเยี่ยมลิเชียอยู่แล้ว แต่การไปเยี่ยมลิเชียตามคำขอของเรซาร์ดก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตใหม่ของเขา เร็นมุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตเช่นนี้ต่อไปอย่างน้อยก็ จนกว่าการฟื้นฟูหมู่บ้านจะเสร็จสิ้น!
“ดังนั้น อย่างแรกเลย ผมคิดว่าจะออกไปเช่าบ้านครับ”
“…อย่างที่เคยบอกไว้… เพื่อที่จะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองสินะ”
“ครับ ตอนนี้ผมหาเงินเองได้แล้ว จากนี้ไปผมต้องพยายามด้วยตัวเอง”
อย่างที่เคยบอกไป การต้องพึ่งพาเรซาร์ดตลอดไปเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจ
เร็นย้ำอีกครั้งว่าเขาได้รับความช่วยเหลือมามากพอแล้ว และเนื่องจากเขามีเงินเหลือเฟือ เขาจึงแจ้งเรซาร์ดว่าเขาจะดำเนินการตามแผนที่วางไว้
แต่เรซาร์ดกลับยิ้มแห้งๆ
“ฉันลืมบอกไปว่า เร็นเธอคงจะเช่าบ้านคนเดียวได้ยาก”
“ท..ทำไมล่ะครับ!?”
“ลองคิดดูดีๆ สิเร็น เธออายุเท่าไหร่แล้ว? แล้วพ่อแม่เธอก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ด้วยใช่ไหม? ปกติแล้วผู้ให้เช่าก็มักจะไม่เต็มใจที่จะปล่อยบ้านให้เช่าในกรณีแบบนี้หรอกนะ”
(…จริงด้วยแฮะ)
เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเช่าบ้านด้วยวิธีนั้น มันเป็นเรื่องที่ว่าใครจะเป็นผู้รับรอง
“เร็นถึงเธอจะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่เธอก็เพิ่งจะสิบเอ็ดขวบเท่านั้นเองนะ”
ในความเป็นจริง โลกนี้ผู้คนเริ่มต้นชีวิตด้วยตัวเองเร็วกว่าชาติก่อนมาก แต่ถึงกระนั้น การเช่าบ้านและใช้ชีวิตด้วยตัวเองในวัยนี้ก็เป็นเรื่องที่หาได้ยาก แต่ถ้าหากมีสถานการณ์พิเศษ เช่น พ่อแม่เสียชีวิต ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในกรณีของ เร็น เขาก็ไม่ได้มีสถานการณ์เช่นนั้น
นอกจากนี้ ในกรณีของเร็นยังมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเคลาเซล ทำให้ผู้ที่ให้เช่าก็อาจจะเกรงใจด้วย เพราะในเมืองชนบทแห่งนี้ มีคนไม่มากนักที่รู้สึกภาคภูมิใจกับการติดต่อกับชนชั้นสูง
(คงจะไปรบกวนท่านเรซาร์ดมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว…)
ไม่อยากจะรบกวนไปมากกว่านี้แล้ว แล้วจะทำยังไงดี?
เมื่อเขากำลังจนปัญญา เรซาร์ดก็เอ่ยข้อเสนอหนึ่งออกมา
“ด้านหลังคฤหาสน์ มีอาคารเก่าของตระกูลเราที่เคยเป็นที่พักของคนรับใช้เมื่อหลายปีก่อน และตอนนี้ทุกคนไปอยู่ในอาคารใหม่กันหมดแล้ว… จะลองใช้เรือนเก่าหลังนั้นดูไหม?”
ในตอนแรก เขาก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะเป็นยังไง
เขารู้สึกว่ามันคงไม่ต่างจากตอนนี้มากนัก และก็สงสัยว่าเขาจะต้องรบกวนเรซาร์ดอีกแล้วหรือเปล่า
แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“คงจะช่วยได้มากครับ แต่ผมจะให้ผมไปพักได้จริงๆ เหรอครับ?”
เรซาร์ดพยักหน้าทันที
“ถึงจะไม่ได้ดูแลมาพักหนึ่งแล้ว คงจะมีฝุ่นจับเยอะหน่อย แต่ถ้าทำความสะอาดแล้วก็ใช้ได้ไม่ต่างจากเรือนใหญ่เลยล่ะ”
และยังบอกอีกว่า ถึงแม้จะเก่า แต่ก็ยังมีอุปกรณ์เวทสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันหลงเหลืออยู่
ถึงแม้จะบอกว่าจะไม่ขอพึ่งพาใครและจะใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แต่การตอบรับข้อเสนอในตอนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้น ความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถเช่าบ้านได้ก็ยังคงอยู่
“ผมจะจ่ายค่าเช่าให้ครับ แต่ก็ยังรู้สึกเกรงใจอยู่ดี นอกเหนือจากการสำรวจสัตว์อสูรที่ผมรับผิดชอบอยู่ มีงานอื่นที่ผมพอจะทำได้ไหมครับ?”
“ถ้าอย่างนั้น ก็มาอยู่พร้อมกับทำงานให้ฉันด้วยแล้วกัน”
“เอ่อ หมายถึง…?”
“ฉันอยากให้เธอทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลอาคารเก่าด้วย เลย มันเป็นงานง่ายๆ อย่างการทำความสะอาดเป็นประจำ หรือตัดหญ้าในสวน ประมาณนั้น”
ข้อเสนอนั้นเป็นงานที่เด็กอายุสิบเอ็ดขวบก็สามารถทำได้ หากจะนำอาคารเก่าหลังนั้นไปใช้ประโยชน์อื่น ก็คงจะใช้งานยากหากปล่อยให้ทรุดโทรม ดังนั้น การให้เร็นดูแลรักษา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
“แน่นอนว่าฉันไม่ได้อยากให้เธอทำงานอื่นนะ แค่ดูแลรักษาง่ายๆ ก็พอแล้ว จริงๆ แค่นั้นก็ช่วยได้มากแล้วล่ะ”
เขาบอกว่าแม้จะอยากให้ใครดูแล แต่ก็ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ อาคารเก่ามีทางเชื่อมกับคฤหาสน์หลัก ทำให้เรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ จึงไม่สามารถจ้างใครก็ได้
“จริงๆ แล้วพวกคนรับใช้และอัศวินก็มีงานของตัวเอง เลยไม่สามารถขอให้พวกเขาช่วยได้เลย”
“สรุปคือ ถ้าเธอรับปาก ฉันจะดีใจมากเลย แล้วคำตอบล่ะ?”
นี่ไม่ใช่แค่คำพูดที่แสดงความห่วงใยเร็นเท่านั้น แต่มันแฝงอยู่ในทุกคำพูดของเรซาร์ด โดยพื้นฐานแล้ว สำหรับเรซาร์ดแล้ว เขายังคงอยู่ในฐานะผู้ปกครองของเร็นเช่นเดิม ดังนั้นเขาจึงอยากให้เร็นอยู่ใกล้ๆ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เรื่องนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
“ถ้าผมสามารถจ่ายค่าเช่าได้จริง ๆ ก็ยินดีครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันจะคิดค่าเช่าโดยหักค่าแรงจากงานให้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องของงานผู้ดูแล ถึงแม้จะเป็นงานง่ายๆ แต่ก็ถือเป็นค่าแรงแยกจากงานสำรวจสัตว์อสูรนะ”
ค่าเช่าที่เรชารด์เรียกเก็บนั้นไม่ถือว่าถูกเลย
แต่ถ้าพิจารณาจากทำเลที่ตั้งและขนาดล่ะก็…?
แม้จะสร้างมานานแล้ว แต่ถ้าคิดว่าเป็นการเช่าอาคารที่ใช้ชีวิตได้สะดวกสบาย ก็ยังนับว่าถูกด้วยซ้ำ
“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะตกลงตามเงื่อนไขนั้น”
“อืม…ถ้าจะไปดูเรือนหลังเก่าก็ไปดูได้เลยนะ”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมขอเริ่มเตรียมย้ายข้าวของทีละนิดๆ เลยนะครับ”
เร็นกล่าวลาเรซาร์ด แล้วออกจากห้องทำงานของ
แต่จะเรียกสิ่งนี้ว่าการใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้หรือไม่? เขายังคงสงสัยอยู่ แต่ก็มีเรื่องงานที่ต้องทำ และค่าเช่าเองก็ไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถเช่าที่พักคนเดียวได้อีกด้วย
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้น นี่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญอย่างแน่นอน
…อย่างน้อย ก็ต้องตั้งใจพยายามที่เคลาเซลต่อไปอีกสักพัก จนกว่าการฟื้นฟูหมู่บ้านจะเสร็จสิ้นตามที่คิดไว้ก่อนหน้านี้
เร็นกลับไปยังห้องพักแขกที่เขาพักอาศัยมาตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ และเขาก็เริ่มเก็บสัมภาระทีละเล็กทีละน้อย
สิ่งของที่เขาต้องขนย้ายนั้นมีน้อยมาก
ของที่สำคัญจริงๆ ก็คงจะเป็นแค่ลังไม้ที่รอยนำมาด้วยจากหมู่บ้าน นอกจากนั้นก็ไม่มีสัมภาระอะไรอีก พูดได้ว่าเขาพร้อมที่จะย้ายออกได้ทันที
“ดีละ!”
อย่างไรก็ตาม เขาจะยังไม่เริ่มใช้ชีวิตในเรือนหลังเก่าวันนี้ เพราะมันยังไม่มีของใช้ประจำวัน และอย่างที่ทราบว่าเรือนหลังนั้นต้องทำความสะอาดขั้นฐานด้วย เร็นจึงอยากจะไปดูสภาพอาคารก่อน ดังนั้นเขาจึงอุ้มแค่ลังไม้เดินออกจากห้อง แล้วเขาก็บังเอิญเจอลิเชียที่มาหาเขาพอดี!
“…เร็น? เกิดอะไรขึ้นกะทันหันแบบนี้?”
เธอเอียงคอด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเร็นที่กำลังถือลังไม้อยู่
“ผมว่าจะเตรียมตัวย้ายที่อยู่ครับ”
“ย้ายที่อยู่… ของใคร?”
“แน่นอนว่าเป็นการย้ายที่อยู่ของผมเองครับ”
“――――เอ๊ะ?”
ลิเชียแข็งค้างไป
ราวกับถูกทิ้งไว้ในที่ที่อุณหภูมิเป็นศูนย์สัมบูรณ์มาหลายวันแล้ว!
MANGA DISCUSSION