เมื่อได้ยินอย่างนั้น ลิเซียก็เปล่งเสียงออกมา ผู้บังคับบัญชาประหลาดใจอย่างเงียบ ๆ กับความเปลี่ยนแปลงของลิเซีย ซึ่งเมื่อครู่ยังคงสงบ…และตั้งใจรับการฝึกสอนอย่างกระตือรือร้น
“ทะ…ทำไมกันคะ!? เร็นแข็งแกร่งขนาดนั้นแท้ๆ…!”
เมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของลิเซีย ผู้บังคับบัญชาก็เดินออกจากด้านหน้าของเร็น และคราวนี้ก็เอ่ยปากข้างๆ ลิเซีย
“อย่างที่ท่านนักบุญกล่าว เขาแข็งแกร่ง ทั้งข้าและเหล่าอัศวินต่างก็ยอมรับในเรื่องนั้น แต่ปัญหามันเป็นเรื่องของคุณสมบัติ”
ผู้บังคับบัญชาบอกว่า สิ่งนั้นสื่อออกมาจากทุกการเคลื่อนไหว แต่ลิเซียก็ไม่ยอมแพ้และถามต่อไป คราวนี้เธอหวนนึกถึงบาดแผลอันสาหัสที่เร็นได้รับจากเหตุการณ์ที่เร็นต่อสู้กับเยลคุคุ และพูดว่า
“…เร็นเพิ่งหายจากบาดแผลไม่นาน ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกหรือคะ?”
แต่ผู้บังคับบัญชาก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ท่านนักบุญจำได้ไหมว่าผมบอกกับเร็นว่า ‘โปรดเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ’?”
ลิเซียพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความไม่สงบเท่าไร ดูเหมือนบรรดาคนรับใช้ที่เฝ้าดูอยู่จะสงบกว่าเสียอีก
“ที่ผมพูดเช่นนั้นไปก็เพราะคิดว่า เร็นอาจจะมีนิสัยบางอย่างติดตัวมาจากการฝึกสอนจากพ่อของเขา”
แต่ก็ไม่ใช่แบบนั้น
“สไตล์การต่อสู้ที่ก้าวร้าวและรุนแรงเกินไปนั้น…เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของเร็นอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งเหล่านี้ไม่เหมาะกับการใช้ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์
“นิสัยที่มีมาแต่กำเนิดนั้น ในที่สุดจะกลายเป็นศัตรูต่อการเรียนรู้วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์”
ผู้บังคับบัญชาบอกว่า หากเป็นเพียงเล็กน้อยก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฝึกฝนได้ แต่ในกรณีของเร็นนั้น ไม่สามารถคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีนักได้ ตรงกันข้าม เร็นจะใช้ดาบลำบากขึ้นอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่าการฝึกฝนจะให้ผลตรงกันข้าม ดังนั้นควรจะปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ต้องไปยุ่งดีกว่า จะได้ไม่ทำให้เกิดนิสัยแปลกๆ ขึ้นมา
คำพูดที่ว่าเร็นขาดคุณสมบัติที่ผู้บังคับบัญชาเอ่ยออกมานั้นมีเจตนาเช่นนี้เอง
“ในหมู่นักผจญภัย ก็มีคนที่ใช้ดาบอย่างรุนแรงอยู่เหมือนกันแต่ในกรณีของพวกเขา มันเป็นเพียงดาบที่อันตรายถึงชีวิตที่พวกเขาจำต้องเรียนรู้เพื่อความจำเป็นเท่านั้น ไม่ได้มีความรุนแรงมาตั้งแต่กำเนิดเหมือนเร็นครับ”
มันเป็นธรรมชาติที่มีมาตั้งแต่เร็นถือกำเนิด คล้ายกับรูปลักษณ์ที่คนเราได้รับมาตั้งแต่เกิด ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ยังคงมีข้อสงสัยว่าจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่
“ดังนั้น แม้ว่าเร็นจะเรียนรู้วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะได้รับทักษะการต่อสู้จากวิชาดาบนั้น”
การเรียนรู้ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ทำให้รู้ถึงจุดอ่อนของมันด้วย หากคู่ต่อสู้เป็นผู้ใช้ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์ มันก็คงไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว แต่ก็ไม่คิดว่าผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป
(ถ้าอย่างนั้น เรียนรู้ทักษะดาบอื่นตั้งแต่แรกก็น่าจะดีกว่า)
เร็นไม่ได้รู้สึกหดหู่เป็นพิเศษ และยอมรับผลลัพธ์อย่างตรงไปตรงมา
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้น รบกวนช่วยสอนวิธีการใช้ดาบขั้นพื้นฐานให้ผมจะได้ไหมครับ?”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ได้ หากข้าสามารถสอนเด็กหนุ่มที่มีอนาคตไกลอย่างท่านเร็นได้ ข้าก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
เร็นไม่ได้มีท่าทีจะติดใจอะไรแล้ว ความรู้สึกของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว นั่นทำให้ผู้บังคับบัญชาเห็นว่าเขามีความเข้าใจโลก แต่ลิเซียก็พูดราวกับเป็นตัวแทนของไวซ์และอัศวินรวมถึงคนรับใช้ตระกูลเคลาเซลที่เฝ้าดูอยู่ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนว่า
“เร็น! ทำไมถึงได้สงบขนาดนั้นล่ะ!”
“ถ้าพูดอย่างนั้น ก็ช่วยไม่ได้ครับที่ผมไม่เหมาะกับมัน แต่ในเมื่อมีโอกาสแล้ว ผมก็อยากเรียนรู้การใช้ดาบขั้นพื้นฐานครับ”
แน่นอนว่าต้องไม่รบกวนการฝึกสอนของลิเซีย โชคดีที่เนื้อหาการฝึกสอนเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่เร็นสามารถเข้าร่วมได้ด้วย ทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าเกินคาด
ลิเซียเองก็ดูเหมือนจะปรับอารมณ์และตั้งใจรับการฝึกสอนอย่างกระตือรือร้น แต่…
การฝึกสอนที่จบลงเมื่อตอนที่พระอาทิตย์ไกล้ตกดิน ไม่นานหลังจากที่อาบน้ำในห้องส่วนตัว ลิเซียก็มาที่ห้องพักแขกของเร็น
เธอมานั่งบนเตียงที่เร็นนอนเป็นประจำ และแกว่งเท้าอยู่ที่ขอบเตียง ภายนอกเธอดูเหมือนปกติ แต่เร็นที่ได้ร่วมผจญภัยหนีตายมาด้วยกัน ย่อมเข้าใจความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ของเธอเป็นอย่างดี
“อุตส่าห์ได้รับกาาฝึกแท้ๆ จะไม่เป็นไรเหรอคะ?”
“อืม…อะไรเหรอครับ?”
ลิเซียคิดว่าไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรเลย แต่เร็นนั้นรู้หมดแล้ว
“คุณไวซ์ก็ดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นนะครับ แต่ท่านลิเซีย หงุดหงิดมากตั้งแต่ตอนกลางวันเลยไม่ใช่เหรอครับ?”
“อ้าว ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”
ลิเซียเผยสีหน้าประหลาดใจชั่วขณะ แต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจราวกับเป็นภาพลวงตา แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานนัก
“ไม่รู้เหรอครับ? คุณลิเซียมีนิสัยชอบเล่นผมด้วยปลายนิ้วเวลาหงุดหงิดนะครับ!”
“อึก…จริ…จริงเหรอ!?”
“โกหกครับ อ๊ะ แต่ท่าทีแบบนั้น แสดงว่าหงุดหงิดจริงๆ สินะครับ”
คิดว่าแกล้งได้สำเร็จแล้ว ลิเซียที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงก็เงยหน้ามองเร็น เร็นเองก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะ และลิเซียมองเขาด้วยสายตาที่แสดงความไม่พอใจ
“…ใจร้าย”
เมื่อถูกพูดด้วยเสียงน่ารัก เร็นก็ยักไหล่พร้อมรอยยิ้มขมขื่น
“ก็ฉันไม่เข้าใจนี่นา! แบบนั้นมันเหมือนกับว่าเร็นไม่มีพรสวรรค์เลยนะ!”
“เปล่าครับ! ไม่ใช่แค่เหมือนหรอกครับ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“แล้วทำไมเร็นถึง—!”
“ถ้าถามว่าทำไมผมถึงสงบ ก็คง…ต้องทำใจล่ะครับ”
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของพรสวรรค์ที่ขาดหายไป และถ้าจะพูดให้ถูกคือ วิธีการต่อสู้ของเร็นกับทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นเข้ากันไม่ได้โดยพื้นฐานแล้ว ไม่ว่าทำจะอย่างไร ก็ยังคงไม่เหมาะสมอยู่ดี
“ตรงกันข้าม ผมรู้สึกโล่งใจเสียอีกครับที่พวกเขาบอกอย่างตรงไปตรงมาแบบนั้น ผมเองก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปล่าๆด้วย”
ถึงแม้จะพูดจาหยาบไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริงที่เขาไม่ต้องเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์
“แต่ว่า…!”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ก็เสียใจนิดหน่อยที่เป็นเรื่องจริง แต่วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ใช่ทั้งหมดนี่ครับ”
มันยังมีสำนักดาบอื่นอีกมากมาย และถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือเร็นยังมีดาบเวทอยู่อีกด้วยซ้ำ นี่อาจจะเป็นแค่ปัญหาที่เล็กน้อยก็ได้
(ว่าแต่ ช่วงนี้รู้สึกจะไม่ได้สู้กับสัตว์ประหลาดเลยแฮะ)
การที่เขาได้อาศัยอยู่กับตระกูลเคลาเซล ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้สู้เลย หวังว่าจะได้โอกาสนั้นอีกในไม่ช้า แต่ศิลปะการใช้ดาบของจักรวรรดิที่วางแผนจะเรียนกับไวซ์ก็เป็นสิ่งที่ยากจะละทิ้ง
“—ดังนั้น ท่านลิเซียครับ”
เร็นปรับท่าทางและมองไปที่ลิเซีย เมื่อสบตากันตรงๆ เธอก็พูดด้วยความเขินอาย
“อะไรกันคะ จู่ๆ ก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาเชียว”
“อย่ากังวลเรื่องของผมเลยครับ ครั้งต่อไปก็ได้โปรดตั้งใจมากกว่านี้ มิฉะนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อท่านลิเซียเองนะครับ”
“…………อืม”
(ดูไม่พอใจเลย)
ไม่พอใจอย่างมากจริงๆ
แต่ก็ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าลิเซียรู้สึกขอบคุณสำหรับการฝึกสอนในวันนี้ ถึงแม้จะตกใจในตอนแรกที่ได้ยินว่าวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมาะสมกับเร็น แต่หลังจากนั้นเธอก็ตั้งใจรับการฝึกสอนอย่างจริงจัง และฟังด้วยความกระตือรือร้น นี่คือหลักฐานว่าเธอได้รับการฝึกสอนจนจบ โดยไม่เสียมารยาทต่อเหล่าอัศวิน
เป็นเพียงแค่คำพูดที่เร็นได้ยินยังคงติดอยู่ในใจ และถึงแม้จะเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงการขาดสมาธิโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น
“…แน่นอนค่ะ การที่คนช่วยชีวิตฉันถูกบอกว่าไม่มีพรสวรรค์ ก็อดคิดอะไรบางอย่างไม่ได้ค่ะ”
“ไม่ได้นะครับ ท่านลิเซีย”
“อืม ฉันเข้าใจค่ะ ฉันเองก็เข้าใจว่ามันช่วยไม่ได้อย่างที่เร็นว่า”
ลิเซียพูดอย่างนั้นแล้วก็ขึ้นต้นประโยคว่า “แต่ว่านะ”
“…หลังจากที่การฝึกสอนจบลง ฉันก็ถูกทักเหมือนกันค่ะ”
“หมายถึงตอนที่ผมไม่อยู่เหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ — ท่านผู้บังคับบัญชาคนนั้นมองว่า ฉันเองก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะไม่เท่าเร็นก็ตาม”
เร็นเอียงคอเล็กน้อย ลิเซียควรจะมีพรสวรรค์ที่จะเรียนรู้ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์และก้าวไปสู่การเป็นเซียนดาบได้สิ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ลิเซียก็ไม่น่าจะมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเลย แต่ลิเซียกลับพูดสิ่งที่ทำให้เร็นประหลาดใจออกมา
“ดาบของฉันมีนิสัยคล้ายกับของเร็นมากเลยค่ะ”
“…นิสัย?”
“ใช่ค่ะ — ฉันศึกษาดาบของเร็นอย่างละเอียดเพื่อที่จะเอาชนะเร็น ฉันหวนนึกถึงท่วงท่าของเร็น วิธีการฟาดดาบของเร็น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“เอ่อ…นั่นหมายความว่า…”
ลิเซียยิ้มเจื่อนๆ และพยักหน้า
“หมายความว่าฉันคิดและฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะเอาชนะเร็นค่ะ ดังนั้นดาบของฉันเลยมีนิสัยแบบเดียวกับเร็นให้เห็นอยู่หลายจุด”
แต่ว่านิสัยดาบของลิเซียนั้นอยู่ในขอบเขตที่สามารถแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังคงมีความคิดบางอย่าง
“ฉันไม่อยากแก้ไอ้นิสัยนั้นเลยค่ะ มันเหมือนกับว่าเร็น…เป้าหมายของฉันมันผิดพลาดไปหมด ฉันไม่อยากยอมรับมันเลย”
“ถ้าอยากจะเรียนรู้วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ การที่บอกว่าผิดพลาดก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องนะครับ”
“ใช่ค่ะ ดังนั้นฉันถึงกำลังลังเลว่าจะเรียนวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ดีไหม”
“ดังนั้น…ท่านลิเซียก็อย่าเพิ่งกังวลเรื่องผมเลยครับ—!”
“ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ก็อย่างที่เร็นว่า ยังมีวิชาดาบอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นไม่เห็นจำเป็นจะต้องยึดติดกับวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์นี่เลยไม่ใช่เหรอคะ? ฉันเองก็อาจจะมีสำนักดาบอื่นที่เหมาะกับฉันมากกว่าก็ได้ค่ะ”
นั่นเป็นความจริง และวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแข็งแกร่งที่สุด เร็นรู้ดีว่าลิเซียมีพรสวรรค์ที่จะฝึกฝนวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์และก้าวไปสู่การเป็นเซียนดาบได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาอยากให้เธอเรียนรู้วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่ความตั้งใจของลิเซียนั้นแน่วแน่
“เร็นคิดยังไงคะ ถ้าถูกบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ดาบที่พ่อสอนมา ให้ลืมไปเลย จะยอมรับได้ง่ายๆ ไหมคะ?”
“นั่นมัน…”
ความคิดนี้คงยังไม่เติบโตเต็มที่ หากถูกบอกว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโต เขาก็เข้าใจ แต่ถ้าจะให้ยอมรับได้ง่ายๆ ก็เป็นเรื่องยาก
เหตุผลก็คือ ถึงแม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วจะแตกต่างกัน แต่เขารู้สึกเหมือนความพยายามของเขาในอดีตนั้นไร้ค่า เมื่อเร็นกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ลิเซียก็ยิ้มและพยักหน้า เธอรู้ความคิดของเร็นโดยไม่จำเป็นต้องได้ยิน
“ฉันก็คิดเหมือนเร็นค่ะ”
“…ไม่เหมือนกันทั้งหมดหรอกครับ ความหมายจะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับผมและท่านลิเซียนะครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะ?”
“ผมเป็นลูกชายของอัศวินที่อยู่ในชนบท ส่วนท่านลิเซียเป็นนักบุญ การที่ผมจะเรียนวิชาดาบอย่างอิสระนั้นมันจึงไม่เหมือนกันครับ”
“ฉันไม่ได้มีภาระผูกพันอะไรนะคะ ท่านพ่อบอกว่าให้ฉันเรียนรู้ตามใจชอบและแสวงหาเส้นทางที่ฉันใฝ่ฝันค่ะ…ฉันอยากให้ท่านแม่ที่ล่วงลับได้เห็นภาพของฉันในอนาคตด้วยค่ะ”
น่าเสียดายที่เร็นไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเธอได้ อันที่จริง คำพูดของลิเซียก็สมเหตุสมผล
กฏของตระกูลเคลาเซลเองก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน และที่สำคัญ เร็นซึ่งเป็นเพียงลูกชายของอัศวินธรรมดาๆ ก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะออกปากอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น เร็นก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้พูดไปแล้วว่าตำนานเจ็ดวีรบุรุษนั้นถูกต้อง จึงต้องยับยั้งชั่งใจ
“อีกอย่าง เหตุผลที่ฉันลังเลว่าจะเรียนวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ดีไหม ไม่ใช่แค่เรื่องเร็นหรอกนะคะ ตัวฉันเองก็ลำบากที่จะเรียนรู้พร้อมกับแก้พฤติกรรมที่ติดตัวมา แถมยังเสียเวลาเปล่าๆ ด้วยไม่ใช่เหรอคะ?”
“นั่น…ก็คงจะจริงครับ…”
“ถ้าอย่างนั้น การเรียนรู้ดาบอื่นตั้งแต่แรกก็น่าจะทำให้ฉ้นเติบโตได้เร็วกว่าแน่นอนค่ะ”
คำพูดนั้ก็สมเหตุสมผลและดูไม่ผิดพลาดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ การเริ่มต้นแสวงหาเส้นทางอื่นที่ไม่ใช่วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์น่าจะเป็นทางลัดสู่การเติบโตก็ได้
…ถึงกระนั้น เร็นก็ยังพยายามที่จะผลักดันให้เธอเรียนรู้วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าเพราะเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของเธอที่ได้เรียนรู้วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ดี แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกตัวขึ้นมา
เขารู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลา และตระหนักถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่
(…ท่านลิเซียก็คือท่านลิเซียนะ ไม่ใช่ตัวละครในเกมสักหน่อย)
เขาคิดขอโทษในใจที่คิดถึงบุคลิกของลิเซียโดยไม่คำนึงถึงเธอ ต่อหน้าเธอที่กำลังยิ้ม เขาพูดกับเธอเพื่อขอโทษที่ทำให้เธอมีนิสัยที่ไม่จำเป็นติดตัวไปว่า
“ผมจะช่วยท่านลิเซียหาสำนักดาบที่เหมาะกับท่านลิเซียเองนะครับ”
เมื่อเขาพูดอย่างนั้น เธอก็ยิ้มเจื่อนๆ พลางพูดว่า “ถ้าจะพูดอย่างนั้นก็ต้องเป็นของเรา…สิคะ!”
MANGA DISCUSSION