สถานการณ์ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวของตำนานวีรบุรุษทั้งเจ็ดหรือเปล่า?
หรือเป็นเพราะการมีอยู่ของเร็น เลยทำให้เกิดเป็นเรื่องราวที่แตกต่างจากตำนานวีรบุรุษทั้งเจ็ดกันแน่?
คำตอบนั้น แม้แต่ตัวเร็นเองก็ยังไม่รู้
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็แค่อยากคิดหาวิธีพลิกสถานการณ์นี้ให้ได้
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ท่านไวเคานต์กิฟเวนเดินทางมาถึงเคลาเซลพอดิบพอดี
(จัดระเบียบความคิดก่อน ท่านไวเคานต์กิฟเวนกำลังคิดจะเล่นงานบารอนเคลาเซลอย่างชัดเจน)
เร็นที่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นานกำลังก่อไฟและคิดไปด้วย
(ในความเป็นจริง ขุนนางชั้นสูงที่เป็นกลางนั้นพึ่งพาไม่ได้เลย)
ถ้าขุนนางชั้นสูงที่อยู่ฝ่ายเดียวกันไม่ปกป้องเรานั้น การอยู่ฝ่ายเดียวกันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย แม้ว่าคู่กรณีจะเป็นหนึ่งในสองฝ่ายใหญ่ แต่ก็น่าจะแสดงพลังออกมาอีกหน่อย
ถึงกระนั้น เมื่อคิดว่าพวกเขาต่างก็มีชีวิตของตัวเอง การจะมองว่าน่าสมเพชแล้วปัดทิ้งไปก็ดูจะใจแคบเกินไป
แต่ความจริงที่ว่าความช่วยเหลือไม่มานั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
(ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป บารอนเคลาเซลจะต้องถูกตั้งข้อหาและสูญเสียอำนาจอย่างแน่นอน)
แม้จะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ความอยุติธรรมนี้ได้รับอนุญาตด้วยอำนาจของบรรดาศักดิ์และกลุ่มอำนาจของฝ่านวีรบุรุษ
เร็นยังคงคิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างให้ได้
ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าควรจะรักษาระยะห่างจากทั้งลิเชียและตระกูลบารอนเคลาเซล แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดความรู้สึกผูกพันขึ้นมาแล้ว ถึงแม้จะเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม แต่การที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะรู้สึกดีเลย
(แต่จะช่วยบารอนเคลาเซลได้ยังไง? …เด็กอย่างฉันจะทำอะไรได้?)
เขาพยายามคิดอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังมองไม่เห็นแสงสว่างเลย
แต่ถ้าลองเปลี่ยนสิ่งนี้เป็นเหตุการณ์ในเกมล่ะก็…
(แทนที่จะช่วยบารอนเคลาเซล… แต่เป็นการล้มไวเคานต์กิฟเวน… ถ้าอย่างนั้น…)
เมื่อลองเปลี่ยนจุดประสงค์ เขาก็รู้สึกเหมือนจะคิดอะไรออก ตัวอย่างเช่น… นอกจากไวเคานต์กิฟเวนจะบุกโจมตีหมู่บ้านของเร็นแล้ว ยังอาจจะต้องข้อหาจากการทุจริตบางอย่างด้วย
เขาสงสัยว่าถ้ามีสิ่งนี้ อาจจะสามารถตั้งข้อหาไวเคานต์กิฟเวนได้แทน
(ไม่ ไม่ ไม่… แค่เด็กอย่างฉันไปเจอหลักฐานแล้วจะทำอะไรได้…)
ในโลกที่ความอยุติธรรมได้รับอนุญาตอบอย่างเต็มที่ เด็กหนุ่มอย่างเขาพูดอะไรไปก็ไม่มีความหมายมากนัก
ท้ายที่สุด นี่คืออุปสรรคที่ยากจะก้าวข้าม
แต่ว่า…
(มันจะไม่ได้ไร้ประโยชน์ มันควรจะถ่วงเวลาได้)
บารอนเคลาเซลไม่ได้โง่เขลา
แม้เขาจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยและไม่สามารถหวังความช่วยเหลือจากขุนนางในฝ่ายของตัวเองได้ แต่ถ้าถ่วงเวลาได้ ก็อาจจะมีช่องว่างให้เคลื่อนไหว และจะสามารถหลีกเลี่ยงอนาคตที่จะถูกตั้งข้อหาโดยไม่มีมูลความจริงได้
ดังนั้น การเคลื่อนไหวจึงไม่ควรไร้ความหมาย…
(แล้วจะหาหลักฐานการทุจริตของไวเคาตน์กิฟเวนได้จากไหนล่ะ)
ทางที่ดีที่สุดคือแอบเข้าไปในคฤหาสน์ของไวเคานต์กิฟเวน แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ถูกจับได้ เขาก็คิว่าควรหลีกเลี่ยง และที่สำคัญคือไม่มีเวลาขนาดนั้นแล้วและสถานการณ์มันคับขันจนถึงขั้นที่ต้องรีบโดยไม่ยอมหลับยอมนอนเลย
(นี่มัน… สงสัยจะถึงทางตันแล้วมั้ง)
อย่างน้อยที่สุด พวกเขาจะต้องเดินทางไปให้ถึงเคลาเซล
แล้วจะต้องเป็นพยานถึงความจริงที่ว่าถูกโจมตีและถูกลักพาตัวไปจากที่นั่น จะต้องบอกว่าถูกลักพาตัวไปโดยกลุ่มโจรที่ไวเคานต์กิฟเวนจ้างมา และหนีรอดมาได้ด้วยความยากลำบาก
การขาดหลักฐานนั้นเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย… ก็ได้
แม้จะไม่ชำนาญเรื่องการเจรจาหรือการโต้วาที
เร็นก็คิดเช่นนั้น
ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องหลีกเลี่ยงความโง่ของตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
(ทำได้ทุกอย่างที่ทำได้เท่านั้น)
ถ้าทำไม่ได้ บารอนเคลาเซลก็จะสูญเสียอำนาจ
และ…
“ซู… ซู…”
ลิเชียที่นอนหลับอยู่ข้างๆ โดยพิงรากไม้ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ตอนนี้ที่ได้เห็นความอ่อนแอของเธอ เขาก็อยากให้เธอได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง
จะต้องฟื้นฟูสุขภาพร่างกายของเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เร็นที่ยืนยันจุดประสงค์ของตัวเองอีกครั้ง ก็เริ่มเตรียมอาหารเช้าและเตรียมบังคับให้ลิเชียกินยาเป็นครั้งที่สาม
—
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เมืองเคลาเซลก็เต็มไปด้วยความในคึกคักยามเช้า
ในจักรวรรดิเลโอเมล ทุกเมืองจะมีวิหารตั้งอยู่
ในวิหารทุกแห่งจะต้องมีห้องโถงใหญ่ ที่นั่นนอกจากการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว บางครั้งยังมีการพิจารณาคดีของขุนนางและผู้มีอำนาจอื่นๆ ด้วย
วิธีการพิจารณาคดีที่กำหนดไว้ตามกฎหมายจักรวรรดิ โดยมีการเชิญผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้…นั่นคือพิธีการอันบริสุทธิ์ภายใต้การอุปถัมภ์ของเทพเจ้าเอลเฟน ผู้ได้รับการบูชา ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการโกหกแม้แต่คนเดียว
“กำลังจะเริ่มแล้วครับ ท่านบารอน”
ไวส์ หัวหน้าอัศวิน กล่าวกับบารอนเคลาเซลที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียงเรียกบารอนเคลาเซลดังมาจากภายนอกวิหาร แต่ภายในวิหารกลับเงียบสงบ
เพราะมีกฎบังคับให้ต้องเป็นเช่นนั้น
“หึๆ”
“…ทำไมท่านถึงหัวเราะหรือขอรับ?”
“มันน่าขันน่ะสิ ไวส์ ลองดูใบหน้าของชายผู้นั่งตรงข้ามเราสิ”
ที่นั่งของพวกเขาอยู่หน้าแท่นบูชาด้านในวิหาร
ที่นั่งของท่านไวเคานต์กิฟเวน ผู้เป็นโจทก์ และบารอนเคลาเซล ผู้เป็นจำเลย วางอยู่ตรงข้ามกันโดยมีแท่นบูชาคั่นกลาง
ดังนั้น จึงมองเห็นใบหน้าของท่านไวเคานต์กิฟเวนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
“อะไรกัน…”
ไวเคานต์กิฟเวนที่ไวส์มองเห็น ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจบารอนเคลาเซลเลย
ท่านไวเคานต์กิฟเวนกลับกำลังพูดคุยอย่างเพลิดเพลินกับอัศวินที่เขาพามาด้วยซ้ำ
“เขาดูเหมือนจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการพิพากษาในวันนี้เลยนี่ครับ!”
“ก็คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขามั่นใจว่าจะสามารถกล่าวหาฉันได้อย่างถี่ถ้วนที่นี้ และได้จะได้รับชัยชนะในการตัดสินวันพรุ่งนี้… การเคลื่อนไหวที่รุนแรงขนาดนี้ก็แสดงว่าเขาเตรียมพร้อมมาอย่างดีจนมั่นใจว่าจะชนะได้อย่างแน่นอน”
ไวส์รู้สึกโกรธจนกำหมัดแน่น พลังที่เขาส่งออกมาทำให้บรรยากาศในวิหารสั่นสะเทือน
ไวเคานต์กิฟเวนที่ก่อนหน้านี้ยังคงผ่อนคลาย ก็พลันมองไปที่ไวส์ และเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของเขา ก็พลันกลืนน้ำลายลงคอ
“ใจเย็นๆ”
แต่บารอนเคลาเซลกลับสงบ
“แต่ว่า…”
“พอแล้ว ใจเย็นลงซะ ถ้าใจเย็นไม่ได้ก็ออกไปจากที่นี่ซะ”
ไวส์ตกใจกับท่าทีที่หนักแน่นของเจ้านายและก้มหน้าลง
เขาไม่ได้กลัวความโกรธ แต่เขารู้สึกละอายใจกับตัวเองที่ไม่สงบ
“—มีเรื่องที่อยากจะถาม”
ทันใดนั้น บารอนเคลาเซลก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
“ไวส์ ในความคิดของเจ้า เร็น แอชตันเป็นเด็กแบบไหน?”
“ท่ะ… ทำไมถึงถามขึ้นมาอย่างกะทันหันแบบนั้นล่ะครับ…?”
“ไม่ต้องพูดมาก ตอบฉันมาอีกครั้ง ตอนนี้เรื่องนั้นสำคัญสำหรับฉันมาก”
เมื่อเจอคำพูดที่หนักแน่นจนไม่อาจโต้แย้งได้ ไวส์ก็เลี่ยงที่จะพูดอะไรที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
“อย่างที่เคยเรียนให้ทราบไปแล้วครับ เขาเป็นเด็กที่แข็งแกร่ง”
“เทียบกับทายาทสายตรงของตระกูลขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดที่เจ้าเคยเห็นในเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อนได้หรือไม่?”
“ขอรับ กระผมคิดว่าเร็น แอชตันไม่ได้เทียบเท่าทายาทของวีรบุรุษทั้งเจ็ดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าด้วยซ้ำ”
“…ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
เมื่อเห็นเจ้านายของตนยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ไวส์ก็สงสัยว่าทำไมท่านถึงได้มีท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้
เกือบจะแน่นอนแล้วว่าบารอนเคลาเซลจะต้องถูกเล่นงานจนจบ แต่เขาไม่เข้าใจว่าความผ่อนคลายนี้มาจากไหนกัน
“นี่เป็นความลับนะ แต่ฉันเคยติดต่อกับขุนนางบางท่าน”
กะทันหันและไม่คาดคิด ไวส์เบิกตากว้าง
“ขุนนางบางท่าน…หรือครับ?”
“ใช่ ยังเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้… แต่ท่านผู้นั้นสัญญาว่าจะช่วยเหลือฉันในเวลาที่เหมาะสม”
“ท่านผู้นั้นก็คือขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าท่านสินะครับ”
“ใช่ และสูงกว่าไวเคานต์กิฟเวนด้วย”
ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอย่างน้อยระดับเอิร์ล
เมื่อรู้เรื่องนี้ ไวส์ก็ยิ้มด้วยความยินดี
จนถึงวันนี้ เขาคิดว่าไม่มีใครในฝ่ายกลางที่จะช่วยเหลือได้เลย แต่เขาไม่รู้เลยว่าเจ้านายได้หาคนช่วยอย่างลับๆ ไว้แล้ว
และคนช่วยคนนั้นก็เป็นหนึ่งในขุนนางชั้นสูงด้วย
“แต่ฉันไม่คิดว่าไวเคานต์กิฟเวนจะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้”
บารอนเคลาเซลยักไหล่และเย้ยหยันตัวเอง
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องพึ่งพาพรสวรรค์ของเร็น แอชตันโดยที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด”
“ท่านบารอน โปรดอธิบายให้กระผมเข้าใจด้วยเถอะครับ”
บารอนเคลาเซลไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้มขมขื่น
“แต่เด็กหนุ่มคนนั้น…”
“ถูกลักพาตัวไปพร้อมกับลิเชียใช่ไหม?”
ไวส์ที่ยังคงมีความเสียใจอยู่ก็พยักหน้าเงียบๆ
แต่…
“ถึงกระนั้น ฉันก็ต้องเชื่อมั่นในเร็น แอชตัน และพึ่งพาพรสวรรค์ของเขา”
บารอนเคลาเซลเชื่อมั่น
ด้วยพลังของเร็นที่ได้ยินมา เขาจะต้องหนีรอดจากพวกโจรได้แน่
ถ้าลิเชียอยู่กับเขาด้วย สถานการณ์นี้ก็อาจจะ…
“ทุกท่าน ได้เวลาแล้วครับ”
เจ้าหน้าที่จากสำนักกฎหมายประกาศ เจ้าหน้าที่คนนั้นยืนอยู่กลางห้อง มองดูทุกคน และเมื่อเห็นว่าทุกคนหันมาสนใจเขาก็กล่าวประโยคถัดไป
“บัดนี้ การพิพากษาจะเริ่มขึ้นตามกฎหมายอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ ก่อนอื่น ขอเชิญโจทก์…”
ฝ่ายหนึ่งคือไวเคานต์กิฟเวนที่ยังคงผ่อนคลาย และ อีกฝ่ายคือบารอนเคลาเซลที่ไม่มีทางผ่อนคลายได้เลย
การพิพากษานี้ที่เร็นคิดว่าเป็นเกมที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยไวเคานต์กิฟเวนก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว!
—
…การพิจารณาคดีเป็นไปตามที่คาดไว้
แน่นอนว่าบารอนเคลาเซลก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ
เขาได้เตรียมหลักฐานโต้แย้งไว้มากมาย โดยคาดการณ์ว่าไวเคานต์กิฟเวนจะพูดอะไร
เช่น จำนวนอัศวินที่ส่งไป และผลงานที่ทำได้
นอกจากนี้ เขายังแสดงหลักฐานความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงในหมู่บ้านใกล้เคียงกับดินแดนของไวเคานต์กิฟเวน เพื่อยืนยันว่าคำกล่าวอ้างของไวเคานต์กิฟเวนนั้นเป็นเท็จ
เนื้อหาที่เตรียมมาได้ในเวลาอันสั้นนั้นดีเกินคาด จนทำให้ไวเคานต์กิฟเวนที่ทำเป็นผ่อนคลายต้องประหลาดใจ
แต่ทั้งหมดนั้นก็ช่างไร้ประโยชน์
ในที่สุด เจ้าหน้าที่จากสำนักกฎหมายก็ยอมรับคำกล่าวอ้างของไวเคานต์กิฟเวนอยู่ดี
ราวกับว่าทุกอย่างถูกตัดสินใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“การตัดสินในครั้งนี้จะถูกพิจารณาอย่างละเอียดโดยสำนักกฎหมายของเราตามกฎหมายอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ โดยอ้างอิงจากผลการพิจารนาคดีในวันนี้ ส่วนการแจ้งผลการพิจารนาคดีนั้นจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เช้า ในเวลาเดียวกับการเริ่มพิจารนาคดีในวันนี้ ดังนั้น โปรดอย่าได้ลืม”
อย่างไรเสียก็เป็นการตัดสินที่รู้ผลอยู่แล้ว
บารอนเคลาเซลยิ้มอย่างขมขื่นและก้มหน้าลง
“ถ่วงเวลาได้แค่สองวันสินะ”
เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ขุนนางซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดจะต้องถูกส่งตัวไปยังเมืองหลวง
แต่ถ้าบารอนเคลาเซลถูกส่งตัวไปยังเมืองหลวงแล้ว ก็จะไม่มีผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ แม้จะยังไม่ได้ตัดสินผู้สืบทอด แต่ก็จะต้องมีการมอบหมายคำสั่งให้กับเจ้าหน้าที่และอัศวินที่เหลืออยู่
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จะได้รับอนุญาตให้มีเวลาในการถ่ายโอนงาน
“ไม่ครับ เราน่าจะถ่วงเวลาได้มากกว่านั้น ท่านอาจจะยื่นเรื่องขออุทธรณ์การตัดสิน และเข้ารับการพิจารณาคดีในเมืองหลวงต่อไป ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็อาจจะขอการพิจารณาคดีต่อหน้าพระเจ้า…”
“เป็นไปไม่ได้ จากท่าทีนี้ พวกเขาจะขัดขวางก่อนที่จะมีการเปิดการพิจารณาคดีอย่างแน่นอน พวกเขาจะใช้เรื่องของลิเชียและคนอื่นๆ มาขู่ฉันอย่างแน่นอน”
ไวส์ก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่อบารอนเคลาเซลบอกเขาตรงๆ ความโกรธก็พลันพุ่งพล่านจนหยุดไม่ได้
ไวส์จ้องมองไปยังไวเคานต์กิฟเวนและพวกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่พวกเขาไม่สะทกสะท้านเลย
“ไวเคานต์”
“อืม ด้วยความรวดเร็ว ทำให้ไม่มีการแทรกแซงจากฝ่ายราชวงศ์เข้ามาเลย ในที่สุดเรื่องนี้ก็จะจบลงได้แล้ว”
ไวเคานต์กิฟเวนยิ้มอย่างพึงพอใจที่ฝั่งตรงข้าม
เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นบารอนเคลาเซลทำท่าทางแข็งแกร่ง และรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างไร ชัยชนะก็คือชัยชนะ
เขาถอนหายใจราวกับว่าอีกฝ่ายไม่สามารถต่อต้านได้อีกต่อไปแล้ว
—
เช้าวันรุ่งขึ้น
เจ้าหน้าที่จากสำนักกฎหมายยอมรับความผิดของบารอนเคลาเซล และตัดสินว่าเขาสมควรได้รับการลงโทษ
แต่เนื้อหาของการลงโทษนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด
เมื่อขุนนางถูกลงโทษเช่นนี้ การดำเนินการจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากจักรพรรดิเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
แน่นอนว่าจักรพรรดิจะทรงตัดสินใจร่วมกับผู้ที่ถวายคำแนะนำ เช่น สภาสูง และสำนักกฎหมาย เพื่อให้เกิดความยุติธรรม
…เหตุผลที่ต้องผ่านขั้นตอนมากมายเหล่านี้ก็เพราะการลงโทษขุนนางนั้นรวมถึงการริบทรัพย์สิน สิทธิ์ในที่ดินและการถอดยศ ซึ่งผู้ที่จะตัดสินใจเรื่องเหล่านี้คือจักรพรรดิ
นอกจากนี้ การลงโทษถึงขั้นประหารชีวิตก็ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงด้วย
ไม่ว่าอย่างไร การล้มล้างคำตัดสินที่ผ่านขั้นตอนการพิจารณาคดีมาแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ในไม่ช้า ผลการตัดสินในครั้งนี้ก็จะถูกนำเสนอต่อจักรพรรดิ และอนาคตของบารอนเคลาเซลที่จะถูกส่งตัวไปยังเมืองหลวงก็จะถูกตัดสินในไม่ช้านี้
MANGA DISCUSSION