@ ขอเปลี่ยนคำเรียก จากสัตว์ประหลาด เป็น สัตว์อสูร แทนนะครับ @
—
วันนี้มีสิ่งที่ต้องทบทวนอยู่หลายอย่าง อย่างแรกเลยคือ ถ้าออกล่าสัตว์อสูรเป็นเวลานานแบบนี้ นอกจากอาหารกลางวันแล้วก็ควรพกอาหารเย็นไปด้วย อีกอย่างคือเรื่องการขนย้าย ถึงแม้จะเหนื่อยมากไปหน่อยเพราะไม่ได้ทำมานาน แต่การลากสัตว์อสูรนั้นมันดูไม่ดีเลย
แต่ถึงอย่างนั้น การลากรถเข็นเข้าไปในป่าก็ดูจะแปลกๆ อยู่ดี สุดท้ายแล้ว ถ้าจะล่าสัตว์อสูรคนเดียวก็คงต้องอดทนพยายามต่อไป
เมื่อสรุปได้ดังนั้นเร็นก็เริ่มตรวจสอบผลสำรวจและผลการล่าสัตว์อสูรของวันนี้
(มิตสึเมะแปดตัว… เอิร์ธเวิร์มสองตัว… สินะ)
เอิร์ธเวิร์ม เป็นมอนสเตอร์ระดับ E มันคือหนอนยักษ์ที่เลื้อยอยู่ใต้ดินที่เยลคุคุเคยใช้ แน่นอนว่าเขาแบกมันไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องลากมันไปตามทางเพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง
เพื่อไม่ให้ถนนสกปรก ก็เลยเลี่ยงไปใช้ทางอื่นแทน
แต่ถึงอย่างนั้น นักผจญภัยบางคนที่เดินสวนกันก็มองมาด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกว่า “เห็นอะไรแปลกๆ”
ก็แหงอยู่แล้วเร็น ที่เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังลากซากสัตว์อสูรนับสิบตัวกลับเมืองน่ะ ไม่แปลกหรอกที่จะโดนมอง
เมื่อเช้าเขาก็บอกเรซาร์ด ว่าคงไม่ล่าเยอะหรอก แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่พูดเลย
(นี่ จะเข้าไปแบบนี้ได้จริงๆ เหรอเนี่ย)
ในที่สุด ประตูเมืองเคลาเซลก็ปรากฏให้เห็น แน่นอนว่ามันเป็นประตูที่กว้างมาก สิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือเร็น สามารถลากซากสัตว์อสูรจำนวนมากผ่านไปได้สบายๆ
ปัญหาคือ มันสะดุดตาเกินไป
“…………โอ้โห”
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
อัศวินที่ยืนอยู่หน้าประตูย่อมรู้จักเร็น ดีอยู่แล้ว
เขาคนนั้นยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อเห็นสภาพของเร็น ที่กลับมา
“ท่านเจ้าบ้านแจ้งมาว่าท่านเร็น ได้เริ่มกิจกรรมนอกเมืองแล้ว… แค่วันแรกก็ได้มาเยอะขนาดนี้เลยนะครับ”
“นักผจญภัยคนอื่นๆ ไม่ล่าเยอะแบบนี้เหรอครับ?”
“ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์อสูรตัวเล็กๆ ครับ อย่างที่ท่านทราบดีว่าการขนย้ายมันลำบาก ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะชำแหละในก่อน หรือไม่ก็เลือกเฉพาะวัตถุดิบที่มีค่าเท่านั้นครับ”
(…ฉันก็ควรทำแบบนั้นสินะ)
“โดยเฉพาะ เอิร์ธเวิร์ม แม้จะเป็นระดับ E แต่ด้วยนิสัยของมัน ทำให้ล่าได้ยาก นี่คือความจริงครับ ดังนั้นเปลือกของมันจึงมีราคาดีมากครับ มีประโยชน์หลายอย่างๆ แต่มีคนล่าน้อยครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเร็น ก็ดีใจอย่างตรงไปตรงมา
การที่เร็นออกไปนอกเมืองก็เพื่อทำงานสำรวจพวกสัตว์อสูร แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็คือการหาเงินด้วยนั่นเอง
“จริงสิ หลังจากนี้ผมว่าจะไปกิลด์น่ะครับ ลากไปแบบนี้เลยได้ไหมครับ?”
“เอ๊ะ ได้ครับ… ดูเหมือนจะไม่มีเลือดหรือของเหลวเปื้อนถนน เลยไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่า…”
อัศวินพูดขึ้นว่า “แต่ว่า…” แล้วกล่าวต่อ
“นี่เพิ่งจะถามนะครับ แต่ท่านขนมาเองคนเดียวทั้งหมดเลยหรือครับ?”
“ครับ ผมไม่ได้มีปาร์ตี้ เลยลากมาจากป่าตลอดทางครับ”
“อ่า… เข้าใจแล้วครับ”
ดูเหมือนอัศวินคนนี้จะกังวลว่าเร็น จะขนมาคนเดียวไหวไหม
ก็นะ เดินมาถึงหน้าประตูเมืองคนเดียวได้ ก็น่าจะขนมาคนเดียวได้อยู่แล้ว แต่นั่นก็ยังทำให้เขามีความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ อยู่ดี
แต่พอเร็นเริ่มเดินต่อ เขาก็ยิ้มแหยๆ ออกมา
“——วีรบุรุษของเรานี่… อาจจะเป็นคนที่น่าทึ่งกว่าที่คิดไว้เยอะเลยก็ไดันะ”
เขาคิดพลางมองแผ่นหลังของเร็น ที่เดินจากไป และฟังเสียงประหลาดใจของชาวเมืองที่เดินสวนกัน ฉันก็รู้สึกเหมือนกันนั่นแหละ ในอีกด้านหนึ่งเร็น ที่เดินนำหน้าก็ดีใจเงียบๆ
(โอ้ย กิลด์อยู่ใกล้ประตูเมืองนี่ช่วยได้จริงๆ)
บางทีสถานที่ตั้งอาจจะเหมาะกับการขนย้ายสัตว์อสูรด้วยก็ได้ เขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกคิดคำนวณไว้แล้ว ทำให้เขารู้สึกฉลาดขึ้นมาหนึ่งขั้น
“แล้ว”
จากนี้ไปจะทำอย่างไรดีนะ เร็นยืนนิ่งอยู่หน้ากิลด์ที่ดึงดูดสายตาผู้คน มองดูทางเข้าออก ไม่สิ คงจะเดินเข้าไปแบบนี้ไม่ได้หรอก ถ้าฝืนเดินเข้าไป ประตูหรือกำแพงอาจจะพังเอาได้ แถมการแบกซากสัตว์อสูรเข้าไปในกิลด์ก็ดูจะแปลกๆ ดังนั้น เขาจึงยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่ขณะที่เขากำลังยืนอยู่…
“…นี่มันสุดยอดเลย”
“ใช่ น่าตกใจจริงๆ”
นักผจญภัยสองคนที่เขาคุยด้วยเมื่อวานปรากฏตัวขึ้น แล้วยืนอ้าปากค้างอยู่ข้างๆ เร็น ทั้งสองคนให้คำตอบกับข้อสงสัยของเร็น
“มีทางเข้าสำหรับขนของอยู่ข้างๆ ทางนั้น”
“เอ๊ะ มีด้วยเหรอครับ?”
“แน่นอนสิ คนที่ได้ผลงานเยอะแยะแบบนายต้องขนของไปที่ทางเข้าขนของของกิลด์เองนะ ถ้าล้มสัตว์อสูรที่ใหญ่กว่านั้นได้อีก ก็ต้องขอให้กิลด์ประเมินราคาให้ข้างนอก”
(…น่าจะถามให้ละเอียดกว่านี้)
เขาคิดว่าคงเหมือนกับตอนเล่นเกม เลยทำเรื่องแบบลวกๆ แต่ที่นี่คือโลกที่ เร็นมีชีวิตอยู่จริงๆ น่าจะรับฟังคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมาให้ดีกว่านี้
เร็น ที่รู้สึกเสียใจกับเรื่องนั้นก็กล่าวขอบคุณและแยกทางกับทั้งสองคน แล้วก็ขนย้ายสัตว์อสูรต่อไปเหมือนตอนที่มาถึง ที่ปลายทาง มีเจ้าหน้าที่กิลด์รออยู่แล้ว พวกเขารับเร็น ด้วยท่าทางประหลาดใจ
“ท… ทั้งหมดจะขายเลยใช่ไหมคะ?”
พนักงานต้อนรับหญิงที่เขาคุยด้วยเมื่อวานถามขึ้น
“รบกวนด้วยครับ”
เขาบอกว่าดึงหินเวทมนตร์ออกไปแล้ว แล้วก็เฝ้าดูเจ้าหน้าที่ประเมินราคา ไม่ทันไร ผู้คนก็เริ่มมามุงดูกันเต็มไปหมด
เร็น ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “วีรบุรุษแห่งตระกูลเคลาเซล” ในหมู่ชาวเมือง ก็พลันสงสัยว่าการทำแบบนี้ดีแล้วจริงๆ หรือไม่
(…หรือว่าฉันควรจะซ่อนตัวแล้วทำกิจกรรมแบบลับๆ เหมือนในนิยายดีนะ?)
นั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงธงแห่งความตาย แต่เมื่อคิดดูแล้ว การซ่อนตัวหรือไม่ซ่อนตัวก็ไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไหร่
เฉพาะในเคลาเซล เร็น ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว พูดอีกอย่างก็คือ การที่เขาสามารถจัดการซีฟวูลเฟนได้คนเดียว ก็คงจะข่าวไปถึงอดีตเขตปกครองของไวเคานต์กิฟเวนแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้น การจะไม่อยากโดดเด่นก็สายไปแล้ว
ถ้าจะซ่อนตัวก็ต้องทำตั้งแต่ตอนที่จัดการซีฟวูลเฟนแล้ว และตอนนั้นถ้าเร็น ไม่สู้ หมู่บ้านก็คงตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสู้ การทิ้งครอบครัวและบ้านเกิดไปนั้น เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าตัวเองจะทำได้
นอกจากนี้ เมื่อนึกย้อนกลับไปเร็น ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะอยู่แบบไม่โดดเด่น และเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับธงความตาย ดังนั้น สิ่งที่เขาคิดทันทีที่เกิดมาในโลกนี้คือ
“ขอให้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ฉันไม่อยากถูกจักรพรรดิสั่งตายเด็ดขาด”
นี่แหละ
เร็น ยังจำได้ทุกคำทุกความหมายจนถึงตอนนี้
พูดอีกอย่างก็คือ เป้าหมายคือการไม่เดินตามรอยอนาคตของ เร็น แอชตัน ในเกม สิ่งที่มีอยู่คือความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์และถูกต้องเท่านั้น
เร็น ยืนยันความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่แก้ตัวกับใคร
(สรุปแล้ว…)
การทำผลงานเช่นนี้ ไม่ได้นำไปสู่ตอนจบของเกม เป้าหมายของ เร็น คือการหลีกเลี่ยงอนาคตที่เขาจะสังหาร ลิเชีย และผู้อำนวยการโรงเรียนทั้งสองคนเพราะเหตุผลที่จักรพรรดิจะสั่งไล่ล่าเขา ก็คือตอนที่เขาสังหารคนทั้งสองแล้วนั้นนั่นเอง ในทางกลับกัน การเป็นบุคคลที่โดดเด่นเองไม่ใช่เรื่องที่แย่
…แต่สุดท้ายแล้ว การจะไม่ออกนอกลู่นอกทางเลย ก็มีแต่ต้องเก็บตัวอยู่ในหมู่บ้านเท่านั้น แต่เขากับ ลิเชีย ก็มีสายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาดแล้ว และความคิดที่ว่าตัวเองอาจเป็นต้นเพลิงเมื่อตอนนั้นก็ทำให้เขาไม่สามารถทำตามความรู้สึกนั้นได้อย่างตรงไปตรงมา ยังมีโอกาสที่การเก็บตัวอยู่ในหมู่บ้านจะนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ อย่างเช่น การวางแผนของไวเคานต์กิฟเวนเป็นต้น
(ให้ตายสิ อะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่)
เขามีความคิดว่าการที่เขาทำตัวโดดเด่นอาจจะทำให้เขาถูกดึงเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างชนชั้นสูง แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าสิ่งนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว ตั้งแต่ที่เร็น จัดการ ซีฟวูลเฟน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบแค่ไหน โลกก็ไม่ได้ปล่อยเขาไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องที่แย่ไปเสียทุกอย่าง
แม้จะเป็นคนละฝ่ายกัน แต่ถ้ามีมิตรภาพกับบุคคลระดับท่านมาร์ควิสอิคนาต นักขุนนางคนอื่นๆ ก็คงไม่กล้าลงมือโดยง่ายนี่เป็นผลงานที่โดดเด่นที่ เร็นสามารถสร้างขึ้นมาได้ นอกเหนือจากเนื้อเรื่องของเกม
(พอคิดว่าการคุ้มครองนี้อาจกลายเป็นต้นเพลิงใหม่ ก็ไม่รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่)
ดังนั้นเร็น จึงไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้จะไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่การหาเงินเพื่อบ้านเกิดและครอบครัวของเขาก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผิดเลย
“การประเมินราคาเสร็จสิ้นแล้วค่ะ”
เร็นที่กำลังจมอยู่กับความคิด ก็หันกลับมาสนใจพนักงานต้อนรับหญิง เขาคิดว่าการประเมินราคานั้นช่างรวดเร็วเหลือเกิน เมื่อเร็นถามถึงเหตุผล พนักงานต้อนรับหญิงก็บอกว่าเพราะมีเกณฑ์การตัดสินที่ชัดเจน จึงทำให้การประเมินราคาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว
“เข้าใจแล้ว”
“ยอดเงินตามนี้ค่ะ เป็นยอดเงินที่หักค่าชำแหละแล้ว ไม่ทราบว่าพอใจไหมคะ?”
พนักงานต้อนรับหญิงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วจรดปากกาเขียนลงไปอย่างรวดเร็ว
เร็นรับมาดูแล้วก็เผลออุทานออกมาว่า “โอ้!”
“ได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”
สมัยที่เขาเล่นเกม เขาเคยขายแค่วัตถุดิบบางส่วนเท่านั้น ไม่เคยได้ใบประมาณราคาที่ละเอียดขนาดนี้มาก่อน
เขาจึงประหลาดใจเมื่อเห็นตัวเลข 600,000 โกลด์
ก่อนหน้านี้ ไวซ์ เคยบอกว่าค่าแรงรายวันของคนธรรมดาอยู่ที่ประมาณ 10,000 โกลด์ ถ้าเทียบกันแล้วก็คือ 60 เท่า
เท่ากับว่าเขาได้ค่าครองชีพไปสองเดือนกว่าๆ เลยทีเดียว
“เนื่องจากลักษณะเฉพาะของเอิร์ธเวิร์ม ทำให้ราคาซื้อขายสูงเมื่อเทียบกับระดับของมัน ดังนั้นแม้จะหักค่าธรรมเนียมแล้ว ราคาก็ยังอยู่ที่ 250,000 โกลด์ ต่อตัวค่ะ แต่มิตสึเมะล่าง่าย จึงอยู่ที่ 12,000 โกลด์ ค่ะ”
ถึงอย่างนั้นราคาก็ยังไม่น่าถึง 600,000 โกลด์ แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ต้องการวัตถุดิบของ เอิร์ธเวิร์ม พอดี เลยได้ราคาพิเศษ
“เข้าใจแล้วครับ ตกลงตามนั้นครับ”
“งั้นเชิญด้านในค่ะ”
เร็นถูกพนักงานต้อนรับหญิงพาเข้าไปในกิลด์
เขาไปที่เคาน์เตอร์ รับเหรียญทองหกเหรียญ แล้วเซ็นชื่อเพื่อยืนยันว่าได้รับแล้ว
(จำได้ว่าเหรียญทองคือ 100,000โกลด์ ส่วนเหรียญเงินคือ 10,000 โกลด์ สินะ)
ส่วนเหรียญทองแดงคือ 1,000 โกลด์ และสุดท้ายเหรียญเหล็กคือ 100 โกลด์
เร็นรับเหรียญทองหกเหรียญมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ เขา กล่าวทักทายพนักงานต้อนรับหญิง แล้วเดินออกจากกิลด์ภายใต้สายตาของนักผจญภัยคนอื่นๆ เขาก็หัวเราะเยาะตัวเองกับเสียงเหรียญทองที่เสียดสีกันทุกก้าวเดิน
“คงต้องซื้อกระเป๋าสตางค์แล้วสินะ”
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปซื้อตอนนี้เลยดีกว่า แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้จักร้านที่ขายของพวกนี้เลย แต่จู่ๆ ร้านหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเร็น นั่นคือร้านที่เขาเคยไปกับลิเชีย เมื่อวันก่อน
แต่ที่นั่นเป็นร้านหรู
อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าน่าจะมีกระเป๋าสตางค์ที่ทนทานขายอยู่แทน เลยเดินไปทางร้านนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ
“…อยากได้กระเป๋าสตางค์ดีๆ สักใบ”
ไม่ได้หมายความว่าของแพงทุกอย่างจะต้องดี แต่เขาคิดว่าที่ร้านนั้นน่าจะมีของดีๆ แน่นอน
จากนั้นเร็นก็เดินขึ้นเนินไปสักพัก มุ่งหน้าไปยังร้านนั้น เขาเคยคิดจะหาร้านอื่นระหว่างทาง แต่ก็สายเกินไปแล้ว เลยเลิกคิด
โชคดีที่ร้านนั้นยังเปิดอยู่
แต่เร็นหยุดอยู่ที่หน้าร้าน แล้วก้าวเดินไปทางคฤหาสน์แทน
หลังจากล่าสัตว์เสร็จ เขาได้ล้างคราบสกปรกออกไปบ้างแล้วที่แหล่งน้ำในป่า แต่ก็ยังเหลือคราบสกปรกอยู่บ้าง เขาคิดว่ารูปลักษณ์ของเขาไม่เหมาะกับร้านแบบนั้น
“อ้าว นั่นท่านเร็นไม่ใช่หรือครับ?”
แต่เจ้าของร้านที่เปิดประตูออกมาแล้วเห็นเร็นก็ทักทายแผ่นหลังของเขา
“ถ้าไม่รังเกียจ เชิญแวะเข้ามาได้เลยครับ”
เขาสังเกตเห็นสภาพของเร็นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ แล้วเชิญชวนให้เข้ามาในร้าน
แม้จะเป็นคำพูดที่แสดงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด แต่เจ้าของร้านก็ยังคงยิ้มแย้ม และเชิญชวนเร็น ให้เข้ามาหลายครั้งเร็น จึงสงสัยว่าจะทำอย่างไรดี แล้วเดินกลับไปที่หน้าร้าน
“ขอโทษครับ ผมคิดว่าจะมาอีกวันหลัง เมื่อตอนที่จัดแต่งร่างกายให้เรียบร้อยก่อนครับ”
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เพราะเป็นท่านเร็น ที่มาเยี่ยมเยียน อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่มีลูกค้าท่านอื่นแล้วด้วยครับ”
จากนั้นเจ้าของร้านก็วางป้าย “ปิดทำการ” ไว้ที่หน้าร้าน
ดูเหมือนว่าร้านจะเปิดให้เร็นเข้ามาคนเดียว
“แต่ว่า…”
“โปรดคิดว่าเป็นการให้เกียรติผมเถอะครับ ถ้าผมไม่สามารถต้อนรับท่านวีรบุรุษได้ ผมคงถูกเจ้านายคนก่อนตำหนิแน่ๆ ครับ”
เจ้าของร้านยังคงยิ้มแย้ม และเชิญชวนให้เร็น เข้าไปในร้านต่อ
(ถ้ามีกระเป๋าสตางค์ ฉันจะซื้อที่นี่แน่นอน)
ด้วยความซาบซึ้งในความเอื้อเฟื้อเป็นพิเศษเร็นก็ยอมรับคำพูดของเจ้าของร้านแล้วก้าวเท้าเข้าไปในร้าน
เร็น ได้เล่าเรื่องบางอย่างให้เจ้าของร้านฟัง เรื่องที่ได้รับมอบหมายงานจากเรซาร์ด เรื่องการสำรวจนอกเมือง และโอกาสที่จะได้ล่าสัตว์อสูรเพิ่มขึ้น
สุดท้าย เขาก็บอกเจ้าของร้านว่าเรื่องนี้ยังเป็นความลับสำหรับลิเชีย อยู่
“ผมเลยอยากซื้อกระเป๋าสตางค์ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น คิดว่าของที่ทนทานน่าจะเหมาะสมนะครับ ทางนั้นมีเตรียมไว้หลายชิ้น เชิญชมได้เลยครับ”
เร็นเดินไปที่มุมที่วางกระเป๋าสตางค์ตามที่บอก
กระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่เป็นของที่สวยงามมาก
นอกจากหนังที่ฟอกมาอย่างดีแล้ว การเย็บก็ประณีต ดูแล้วรู้เลยว่าไม่ได้มีดีแค่รูปลักษณ์ภายนอก
เห็นได้ชัดว่าราคาสูง แต่ไม่รู้ว่าเงินที่เร็นมีจะพอไหม
(เทียบกับค่านิยมในชาติก่อนไม่ได้เลยนะ)
นั่นเป็นเพราะอิทธิพลของวัตถุดิบจากสัตว์อสูร
สิ่งที่ดูเหมือนแค่หนังธรรมดาๆ แต่ก็อาจเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่าก็เป็นได้
เร็นแอบมองหาราคาแต่ก็ไม่เจอ
…เหงื่อเย็นๆ ซึมลงมาตามคอ
ทันใดนั้นเร็นก็หันไปมองมุมหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงชั้นวางกระเป๋าสตางค์
(…อืม?)
จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งของที่ไม่ใช่กระเป๋าสตางค์ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือมุมที่วางเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง เมื่อวันก่อนเขาไม่เห็นมีนี่ หรือว่าร้านเพิ่งจัดร้านใหม่?
เร็นถูกดึงดูดความสนใจไปที่ชุดที่เหมือนเสื้อผ้าสำหรับเด็กผู้หญิงในมุมนั้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“อ๊ะ เอ่อ… ขอโทษครับ แค่…”
“…ฮึๆ เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อนึกถึงชุดที่ลิเชียมอบให้ เท้าของเขาก็ขยับไปเอง เป้าหมายที่จะหากระเป๋าสตางค์ถูกลืมไปในทันทีและมีเป้าหมายใหม่เข้ามาครอบครองในสมองแทน
(ชุดนั้นดูเหมือนจะเหมาะกับเธอเลยนะ)
เขาให้ความสนใจกับชุดเดรสสีขาวมาก
มันเรียบง่าย แต่ก็ดูบริสุทธิ์ น่าจะเหมาะกับลิเชียมากแน่ๆ
“เราสามารถตัดเย็บให้เข้ากับคุณหนูได้เลยนะครับ”
เหตุผลที่เร็น จะซื้อเสื้อผ้าแบบนี้คงเดาได้ไม่ยาก แต่เจ้าของร้านก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรมาก เพียงแต่บอกข้อมูลที่เร็นน่าจะอยากรู้เท่านั้น
เมื่อได้ยินดังนั้นเร็นก็คิดว่าคงถูกจับได้แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร
“ถึงเจ้าตัวไม่อยู่ก็ทำได้เหรอครับ?”
“ได้ครับ ชุดของคุณหนูทางร้านสามารถได้ปรับแต่งให้ได้ทันทีเลยครับ วางใจได้เลยครับ”
ถ้างั้นก็ซื้อเลย! $$$
ไม่รู้ว่าเธอจะชอบไหม แต่การได้รับของอย่างเดียวก็ไม่เหมาะกับเขา
ลิเชียก็เรียกเสื้อผ้าว่า “ของขวัญ” มากกว่า “คำขอบคุณ” ดังนั้นการตอบแทนจึงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
“ขอชุดนั้นครับ”
“รับทราบครับ งั้นเชิญทางนั้นเลยครับ”
เจ้าของร้านชี้ไปที่เคาน์เตอร์ แล้วทั้งสองก็เดินไปทางนั้น
“แล้วราคาล่ะครับ…”
“ถ้าเป็นชุดนี้ รวมค่าตัดเย็บแล้วก็ประมาณนี้ครับ”
เจ้าของร้านเขียนราคาลงบนกระดาษแล้วยื่นให้เร็น ดู
ดีจัง จ่ายได้สบายๆ
แต่ของขวัญชิ้นแรกกลับเป็นของที่มีราคาแพงมาก
ส่วนหนึ่งก็เพราะคู่ต่อสู้เป็นชนชั้นสูง แต่เมื่อคิดดูแล้ว เขากลับได้รับของขวัญถึงสองชุดด้วยซ้ำ
ดังนั้นเร็นจึงไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้แพงเลย
“เมื่อตัดเย็บเสร็จแล้ว จะนำไปส่งที่คฤหาสน์ในนามของท่านเร็นนะครับ”
“ครับ รบกวนด้วยครับ”
“ว่าแต่ กระเป๋าสตางค์ล่ะครับ?”
อ้อ จริงสิ เหตุผลที่มาที่ร้านนี้ก็เพื่อซื้อกระเป๋าสตางค์นี่นา
แต่เมื่อตัดสินใจจะมอบชุดให้ลิเชียแล้วพูดคุยกับเจ้าของร้าน เวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คิด
เมื่อรู้ตัวดังนั้นเรนจึงตัดสินใจเลิกคิดเรื่องกระเป๋าสตางค์สำหรับวันนี้
“เรื่องนั้นไว้คราวหน้าดีกว่าครับ เพราะดูเหมือนท่านลิเชีย และคนอื่นๆ กำลังจะกลับมาแล้วครับ”
“รับทราบครับ ถ้าอย่างนั้น วันนี้รับเฉพาะเรื่องเสื้อผ้าของคุณหนูนะครับ”
แม้จะไม่ได้ซื้อกระเป๋าสตางค์ตามที่ตั้งใจไว้ แต่เขาก็พอใจที่ได้ตอบแทน ด้วยเหตุนั้นหรือเปล่าไม่รู้ การเดินทางกลับบ้านในวันนี้จึงรู้สึกเท้าเบาเป็นพิเศษ
แม้ว่าเมื่อกลับถึงคฤหาสน์แล้วจะมีงานเขียนรายงานรออยู่ แต่เขาก็สามารถทำงานนั้นด้วยอารมณ์ที่ดีได้
—
@ สอบถามคนอ่านครับ…. เรื่องของค่าเงินภายในเรื่องนี้คิดว่าจะเอาเป็นอะไรดีครับ? เพราะในต้นฉบับ มันเป็น G ซึ่งดูไม่เหมือนโลกแฟนตาชีเลย กลับกันมันดูเหมือนกับกำลังเล่นเกมอยู่เลย เสนอมาเลยครับ @
MANGA DISCUSSION