เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฝึกซ้อมเสร็จ ลิเชียก็มาหาที่ห้องรับแขก
“นี่ๆ เร็น พรุ่งนี้มาฝึกด้วยกันไหม?”
เธอเอ่ยชวนให้มาฝึกด้วยกันด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าและน้ำเสียงสดใส เมื่อเห็นลิเซียมาถามอย่างร่าเริง เร็นก็แสร้งทำเป็นปกติแล้วตอบว่า
“ครับ ร่างกายก็เกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ผมจะลองพิจารณาดูครับ”
ทันใดนั้นเอง
“………….?”
ลิเชียจ้องมองเร็นด้วยสายตาที่แปลกใจ แล้วเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่เขาอยู่ เธอยืนข้างโต๊ะ เอื้อมมือไปจับแก้มของเร็น แล้วหันหน้าเขาเข้าหาตัวเอง
“มีอะไรปิดบังฉันอยู่รึเปล่า?”
(อึ่ก——!?)
“อ๊ะ ตาของนายสั่นนะ”
น่าตกใจจริงๆ ที่เธอช่างสังเกตได้ถึงเพียงนี้ แต่เรื่องงานที่เรซาร์ดขอไว้ยังพูดไม่ได้ เร็นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะโกหกออกไป แม้จะเจ็บปวดใจก็ตาม
“ที่จริงแล้ว… ผมมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์เมื่อวันก่อนครับ”
“…อะไรเหรอ?”
“ผมคิดว่า… ถ้าเกิดว่าผมทำให้อนาคตของท่านลิเชียได้รับผลกระทบแย่ๆ ขึ้นมาล่ะก็…”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พูดออกไปก็ไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมด การที่เคยคิดถึงเรื่องนั้นจริงๆ คือความจริง
“โธ่! เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า! ฉันเป็นคนตัดสินใจเองนะ เร็นไม่ต้องเป็นห่วง!”
ลิเชียเชื่อคำพูดนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วพูดให้กำลังใจเร็น
เร็นรู้สึกผิดเล็กน้อยต่อเธอ และเบือนสายตาไปเล็กน้อย
ความจริงจังของเร็นอาจจะทำให้ลิเชียยิ่งรู้สึกแปลกๆ เธอจึงย้ำอีกครั้งว่า “ไม่ต้องกังวล” และยืนยันว่าการตัดสินใจนั้นไม่ได้ผิด
“สักวันเราก็แค่ไปเรียนรู้สายวิชาดาบที่เหมาะกับเราด้วยกันก็พอแล้วนี่นา วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่วิชาดาบเดียวที่มีอยู่ในโลกนี้ซะหน่อย”
ลิเชียพูดอย่างนั้นแล้วก็ปล่อยเร็นไป
เร็นที่ได้ทบทวนความรู้สึกของตัวเองจากการพูดคุยที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ ก็ลุกขึ้นตามลิเชียที่จับมือไว้
แล้วก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับเธอที่ดึงแขนไป
“จะไปไหนครับ?”
“อาหารเช้าไง นายก็ยังไม่ได้กินใช่ไหม มากินด้วยกันเถอะ”
เป็นการกระทำที่ตั้งใจจะปลอบใจเร็นที่ดูเหมือนกำลังคิดหนักมาตลอด
นั่นยิ่งทำให้เร็นรู้สึกเจ็บปวดในใจ
(อา… ความรู้สึกผิด…)
เพราะยังไม่มีกำหนดการที่แน่นอน เร็นเลยยังคงปิดเรื่องกิลด์ไว้
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความบริสุทธิ์ใจและความตรงไปตรงมาของลิเชีย เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังทำสิ่งที่เลวร้ายอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่เดินไปห้องอาหาร จู่ๆ
“อ้าว นั่นลิเชียนี่”
เรซาร์ดปรากฏตัวขึ้นแล้วทักทายลิเชียที่กำลังเดินไปอย่างร่าเริง เขาไม่ได้ใส่ใจที่ลูกสาวของเขาพาเร็นไปใหนมาใหนด้วย เพียงแต่ยิ้มอย่างขอโทษต่อเร็นเท่านั้น
แล้วเรซาร์ดก็พูดขึ้นว่า
“ถึงเวลาออกเดินทางแล้วนี่ ทำอะไรอยู่?”
(ออกเดินทาง?)
“คุณพ่อคะ หนูคิดว่าเราจะออกเดินทางหลังอาหารเช้าไม่ใช่เหรอคะ”
“อ่า ใช่ พ่อบอกไว้อย่างนั้นแหละ แต่ดูเหมือนลิเชียจะตั้งใจฝึกซ้อมตอนเช้ามากไปหน่อยนะ ไกล้ถึงเวลาที่กำหนดแล้ว เลยอยากให้ไปกินอาหารเช้าในรถม้าแทน”
ลิเชียหันมาหาเร็นที่เอียงคอด้วยความไม่เข้าใจพลางกล่าวว่า “ขอโทษนะ”
“วันนี้เรามีแผนจะไปทำงานนอกเมืองน่ะค่ะ เวลาออกเดินทางคือหลังอาหารเช้า ฉันเลยคิดว่ายังมีเวลาเหลือเฟือ… ”
ดูเหมือนว่าลิเชียจะตั้งใจฝึกซ้อมตอนเช้ามากเกินไป จนทำให้เวลาคลาดเคลื่อน
“ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมจะหาอะไรกินง่ายๆ แล้วไปหายืมหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาเองครับ”
“…ฉันเป็นคนชวนแท้ๆ ขอโทษจริงๆ นะ”
จากนั้น ลิเชียก็ปล่อยมือเร็น เธอจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วรีบเดินไปที่ห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ลูกสาวฉันส่งเสียงดังตั้งแต่เช้าเลย ขอโทษด้วยนะ”
เรซาร์ดพูดขึ้นหลังจากที่ลิเชียลับสายตาไปแล้ว
“ไม่หรอกครับ ความสดใสของท่านลิเชียทำให้ผมมีพลังอยู่เสมอครับ”
“หึๆ นั่นแหละคำพูดแบบนายเลย… เอาล่ะ ในเมื่อเป็นแบบนั้น ฉันกับลิเชียจะไปนอกเมือง คาดว่าจะกลับมาถึงตอนดึกๆ หน่อยนะ ดังนั้นวันนี้ฉันจะฝากเรื่องการสำรวจไว้กับนาย”
การทำงานในขณะที่ลิเชียไม่อยู่ทำให้ฉันรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย
แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอีกครั้งในรอบหลายเดือน
“ฉันรอคอยในตอนที่เรากลับมาถึงว่า เร็นจะทำผลงานอะไรให้ประหลาดใจในวันแรกนะ”
“…วันแรกเองนะครับ ผมไม่คิดว่าจะได้ผลงานที่โดดเด่นอะไรหรอกครับ”
อย่างน้อยในวันแรก ฉันตั้งใจจะสำรวจอย่างระมัดระวัง
ถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศสัตว์ประหลาดที่เจออาจจะเป็นตัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยก็ได้
ดังนั้น ฉันจึงไม่คิดที่จะเคลื่อนไหวอย่างเอิกเกริกตั้งแต่แรก
ฉันตั้งใจว่าจะไปที่กิลด์เพื่อดูข้อมูล แล้วใช้แผนที่ที่ได้จากไวซ์เพื่อสำรวจเท่านั้น
ถึงอย่างนั้น ถ้ามีสัตว์ประหลาดปรากฏตัว ฉันก็จะป้องกันตัวอยู่ดี
“ไวซ์ก็จะไปกับเราด้วย เลยไม่อยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้บอกคนในคฤหาสน์ได้เลยนะ”
เรซาร์ดพูดทิ้งท้ายไว้แล้วเดินจากไปจากหน้าเร็น
เร็นที่ถูกทิ้งไว้ไม่ได้เดินไปห้องอาหาร แต่เดินไปที่ครัวเพื่อกินอาหารเช้าที่นั่นแทน
ในใจของเขา มีความรู้สึกถึงภารกิจที่ไม่เหมือนปกติเกิดขึ้น
“เอาล่ะ… พยายามเข้า”
เขาได้รับมอบหมายงานที่คล้ายกับงานที่เคยทำแทนพ่อที่หมู่บ้าน แต่ครั้งนี้เป็นงานที่ได้รับมอบหมายจากท่านบารอนเรซาร์ดโดยตรง เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็รู้สึกตั้งใจมากกว่าเดิม
สามชั่วโมงหลังจากออกจากเมือง หากเดินไปทางตรงข้ามกับเนินเขาที่เคยสู้กับเยลคุคุจากตัวเมือง ก็จะไปถึงป่าใหญ่
มันถูกเรียกว่าป่าตะวันออก เป็นสถานที่ที่เข้าใจง่ายเพราะมันอยู่ทางตะวันออกของเมือง
(อ๊ะ)
ขณะที่เดินอยู่ในป่าที่ต้นไม้ขึ้นหนาทึบ เขาก็พลันนึกขึ้นมาได้
(นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอสินะ)
นั่นคือเรื่องของสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ แม้จะเพิ่งเคยได้เห็นด้วยตาเป็นครั้งแรก แต่เขาก็มีความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศน์ของพวกมันอยู่ในหัว แต่ก็จำกัดเฉพาะสัตว์ประหลาดที่เหมือนกับในเกมเท่านั้นนะ
“เอาล่ะ!”
เมื่อก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง ก็มีเงาหนึ่งโผล่ออกมามองเขาจากหลังต้นไม้
เมื่อเพ่งมอง ก็รู้ว่ามันเป็นสัตว์ที่คล้ายกระต่าย แต่สิ่งที่ต่างจากกระต่ายธรรมดาก็คือมันมีสามตาและมีขาถึงสี่ขา
แน่นอนว่ามันคือสัตว์ประหลาด
มันมีชื่อว่า ‘มิตสึเมะ’ เป็นมอนสเตอร์ระดับ F
หากให้จัดอันดับแล้ว มันเป็นอันดับที่สูงกว่า ลิตเติ้ลบอร์ ที่เร็นเคยล่ามานับไม่ถ้วนหนึ่งระดับ
“คิกคิก!”
มิตสึเมะเคลื่อนไหวเร็วกว่าลิตเติ้ลบอร์มาก มันถีบพื้นแล้วพุ่งมาอยู่ตรงหน้าเร็นในพริบตา
แต่เร็นจะตอบสนองไม่ได้ก็ไม่น่าจะใช่
เร็นถือดาบเวทเหล็กที่เรียกออกมาอย่างใจเย็น และรับมืออย่างสงบ
เขาดันปลายดาบเวทเหล็กเบาๆ แล้วแทงทะลุคอของมิตสึเมะ
“คิ—ก”
“…ก็น่าจะประมาณนี้แหละมั้ง”
ความผิดหวังเล็กน้อยหนึ่งในสิบ และความรู้สึกตื่นเต้นสามในสิบ
ส่วนที่เหลืออีกหกในสิบคือความโล่งใจที่สามารถรักษาความได้เปรียบอย่างท่วมท้นในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดครั้งแรกในรอบเดือนได้
เร็นเข้าใกล้มิตสึเมะที่ตายไปแล้วทันที เขาเรียกดาบเวทไม้ขึ้นมาแล้วเหวี่ยงเบาๆ สร้างเถาวัลย์รัดซากของมันแล้วแบกขึ้นบ่า
“โอ้โห…! สะดวกสุดๆ เลย…”
ในมือขวามีดาบเวทเหล็ก ที่เอวมีดาบเวทไม้ที่เพิ่งเรียกออกมา นี่เป็นผลจากความสามารถที่เติบโตขึ้นหลังจากการต่อสู้กับเยลคุคุ ทำให้สามารถเรียกดาบเวทออกมาพร้อมกันได้สองเล่ม
เขาเคยคิดที่จะใช้ดาบเวทเหล็กและดาบเวทโจรคู่กัน แต่สำหรับวันนี้ เขาเลือกใช้การผสมผสานที่เน้นสำหรับการขนส่ง เมื่อดูดซับหินเวทมนตร์เสร็จ เร็นก็หันไปมองกำไลข้อมือ
—
เร็น แอชตัน
[อาชีพ] บุตรชายคนโตของตระกูลแอชตัน
[สกิล] อัญเชิญดาบเวทมนตร์ (เลเวล 1: 0/0)
ศาสตร์อัญเชิญดาบเวทมนตร์ (เลเวล 3: 241/2000)
– เลเวล 1: สามารถอัญเชิญดาบเวทมนตร์ได้ 1 เล่ม
– เลเวล 2: ได้รับผล [เพิ่มความสามารถทางกายภาพ (เล็กน้อย)] ขณะอัญเชิญดาบเวทมนตร์
– เลเวล 3: สามารถอัญเชิญดาบเวทมนตร์ได้ 2 เล่ม
– เลเวล 4: ได้รับผล [เพิ่มความสามารถทางกายภาพ (ปานกลาง)] ขณะอัญเชิญดาบเวทมนตร์
– เลเวล 5: ***********************************
[ดาบเวทมนตร์ที่เรียนรู้แล้ว]
– ดาบเวทมนตร์ไม้ (เลเวล 2: 990/1000)
สามารถโจมตีด้วยเวทมนตร์ธรรมชาติ (เล็กน้อย) ได้ ขอบเขตผลกระทบของการโจมตีจะขยายใหญ่ขึ้นตามระดับที่เพิ่มขึ้น
– ดาบเวทมนตร์เหล็ก (เลเวล 1: 990/1000)
ความคมจะเพิ่มขึ้นตามระดับที่เพิ่มขึ้น
– ดาบเวทมนตร์โจร (เลเวล 1: 0/3)
มีโอกาสบางส่วนที่จะขโมยไอเทมแบบสุ่มจากเป้าหมายที่โจมตี
—
โชคดีที่สามารถเก็บค่าประสบการณ์ได้ทีละน้อย ดาบเวทไม้และดาบเวทเหล็กก็ใกล้จะเลเวลอัพแล้ว น่าจะขึ้นเลเวลได้ภายในวันนี้เลยด้วยซ้ำ
“จะเยอะแค่ไหนนะ”
นั่นคืออัตราการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด มีสัตว์ประหลาดอยู่มากแค่ไหน จะเจอพวกมันได้มากแค่ไหนในหนึ่งวัน ท้ายที่สุดแล้ว การเลเวลอัพก็ขึ้นอยู่กับโอกาสนี้นี่แหละ
แต่เมื่อเร็นก้าวเดินต่อไปอีกสิบกว่านาที ก็ได้ยินเสียงหายใจแผ่วๆ มาจากหลังพุ่มไม้
(ดูเหมือนจะมีเยอะกว่าที่คิดนะ)
เขาพยักหน้าเงียบๆ แล้วจดจ่อไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียง
แล้ว——
“แกร๊ก!?”
ก่อนที่สัตว์ประหลาดจะทันเคลื่อนไหว เขาก็เคลื่อนไหวแล้ว ลดระยะห่างในชั่วพริบตาแล้วเหวี่ยงดาบเวทเหล็กออกไป
มิตสึเมะ ตัวที่สองที่อยู่ตรงนั้นก็สิ้นใจลงขณะที่กำลังจะเตรียมพุ่งโจมตีเร็นพอดี
หลังจากนั้น—
เป้าหมายหนึ่งก็สำเร็จลงหลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จไปแล้ว นั่นคือการที่ดาบเวทเหล็กเลเวลอัพหลังจากจัดการมิตสึเมะไปอีกสี่ตัว… แต่ทว่า
—
– ดาบเวทมนตร์ไม้ (เลเวล 2: 1000/1000)
– ดาบเวทมนตร์เหล็ก (เลเวล 2: 0/2500)
—
ต่างจากดาบเวทเหล็กที่เลเวลอัพได้สำเร็จ แต่ตัวเลขของดาบเวทไม้กลับเต็ม Max—หรือที่เรียกว่า Level Cap สถานะที่ค่าประสบการณ์ที่เต็มสูงสุดแล้วแต่ไม่สามารถเลเวลอัพต่อได้
“เอ่อ…”
ไม่นะ คงไม่ได้ตันที่ตรงนี้หรอก
ถ้าตันจริง ก็น่าจะแสดงผลเป็น 0/0 เหมือนกับสกิลอัญเชิญดาบเวทมนต์สิ
“ถ้างั้น ก็ต้องมีเงื่อนไขพิเศษในการเพิ่มเลเวลสินะ! ”
อย่างไรก็ตามเร็นยังไม่พบเงื่อนไขนั้น ดังนั้นก็คงต้องลองหาวิธีต่างๆ ต่อไป
สุดท้าย วันนั้นเขาก็ยังคงสำรวจและล่าสัตว์ประหลาดจนถึงเย็น แต่ก็ไม่ได้กังวลเรื่องดาบเวทไม้มากเกินไป ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการล่าสัตว์ประหลาดไปพร้อมกับการจดบันทึกจำนวนและสภาพการอยู่อาศัยของพวกมันในบริเวณนี้และใกล้เคียง และสิ่งอื่นๆ ที่เขาสังเกตเห็นด้วย
การสำรวจก็เป็นไปอย่างราบรื่น การล่าสัตว์ประหลาดระหว่างทางก็เป็นไปอย่างราบรื่น
เมื่อเร็นแบกเหล่าสัตว์ประหลาดจำนวนมากกลับมายังเมือง รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเขาเมื่อนึกถึงชีวิตของตนในตอนที่ตนเองยังคงอยู่ในหมู่บ้าน
—
@ สอบถามครับ เหล่าท่านคนอ่านชอบแบบใหนมากกว่ากันของคำเรียก สัตว์ประหลาด ระหว่าง
– คงเอาแบบเดิม คือ สัตว์ประหลาด
– เปลี่ยนเป็น มอนสเตอร์
– หรือเป็น สัตว์อสูร ดีครับ? @
MANGA DISCUSSION