บรรดาอัศวินหลวงที่มาเยี่ยมเยือนตระกูลเคลาเซล ได้สอนการใช้ดาบอีกครั้งในตอนเช้า ก่อนจะจากเมืองนี้ไป และหลังจากนั้นไม่นาน เร็นก็ถูกเรียกตัวไปที่ห้องทำงานของเรซาร์ด
“มีรายงานมาจากหมู่บ้านของเร๋นน่ะ”
เมื่อพูดเช่นนั้น เรซาร์ดที่อยู่ข้างโต๊ะก็หยิบเอกสารที่ผูกด้วยเชือกขึ้นมา เขาหยิบมันส่งให้เร็น และบอกให้เขาดูเนื้อหาข้างใน
“ผมดูได้ด้วยเหรอครับ?”
“แน่นอนสิ มีจดหมายจากพ่อแม่ของเธอด้วย ดูไปด้วยกันได้เลย”
เร็นดูเอกสารโดยไม่ลังเล แม้ว่าจะมีข้อมูลที่ไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่สรุปแล้วก็คือ การฟื้นฟูเป็นไปอย่างราบรื่น ตรงกันข้าม ตอนนี้ได้มีการปรับปรุงถนนหนทางให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน และการใช้ชีวิตก็เริ่มมั่งคั่งขึ้นกว่าเดิมด้วย
(ดีจังเลย…)
ส่วนหนึ่งมาจากการร่วมมือของเลซาร์ด แต่ก็มีเหตุผลอื่นอีกด้วย เรื่องค่าใช้จ่ายจากการขายวัตถุดิบของ ซีฟวูฟเฟ่น นั้น เร็นได้ย้ำกับพ่อแม่หลายครั้งว่าให้ใช้ทั้งหมดกับการฟื้นฟูหมู่บ้านได้เลย
แน่นอนว่าพ่อแม่ของเขาปฏิเสธอย่างหนักแน่นโดยกล่าวว่า “นี่มันเงินของเร็นนะ” แต่ทั้งสองก็ถูกเร็นสอนด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมก็เป็นคนของตระกูลแอชตันเหมือนกัน ดังนั้นผมควรทำแบบนี้” และสุดท้ายก็พยักหน้าตามด้วยสายตาที่แน่วแน่ของเร็น
แต่มีข้อความหนึ่งที่ทำให้เขากังวล
“ในเมื่อมีโอกาสแล้ว เร็นน่าจะอยู่ที่เคลาเซลอีกสักหน่อยนะ? …บอกตรงๆ นะ แกล้งทำตัวติดท่านบารอนไปเลยเท่าที่อยากทำ! หมู่บ้านเองก็ยังไม่ค่อยสงบเท่าไร ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกเรากับท่านบารอนจัดการได้เลย!”
นี่ไม่ใช่ข้อความที่บ่งบอกถึงการไล่ส่งเลยนะ
ต่อเนื่องจากนั้นยังมีข้อความว่า
“…พ่อกับมิเรย์จะพยายามให้มากๆ เลยนะ เพื่อวันที่เร็นกับเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง พ่อจะรีบฟื้นฟูหมู่บ้านให้เร็วที่สุด! แน่นอนว่าถ้าเร็นชอบเคลาเซลละก็จะอยู่ที่นั่นไปเลยก็ได้นะ!”
นอกจากนี้ รอยยังขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความไม่ได้เรื่องของตัวเอง ตรงกันข้ามกับคำพูดติดตลกในตอนแรก ความเสียใจของรอยนั้นสื่อออกมาได้อย่างชัดเจนน่าเจ็บปวด คำพูดของมิเรย์เองก็ถูกแนบมาด้วย โดยครึ่งหนึ่งของจดหมายนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจของทั้งสองคน
(…พ่อครับ, แม่ครับ)
อันที่จริง คำพูดของรอยนั้นถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นได้ชัดว่าการอยู่ในเคลาเซลนั้นปลอดภัยกว่า และจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเร็น ดังนั้นในฐานะพ่อแม่ การพูดเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา เมื่อพิจารณาจากความวุ่นวายในช่วงที่ผ่านมาแล้วนั้น ก็เป็นความคิดที่ถูกต้องอย่างยิ่ง
แม้ว่าเร็นจะเป็นลูกชายคนโตของตระกูลแอชตัน แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกนั้นก็ยากที่จะเก็บไว้ รอยมักจะเคารพการตัดสินใจของเร็นเสมอ แต่เขาก็เป็นพ่อคนหนึ่งเช่นกัน เขาปรารถนาอนาคตที่สดใสของลูกชาย และอดที่จะปรารถนาความปลอดภัยของลูกชายไม่ได้ ในทางกลับกัน เร็นเองก็มีความรู้สึกบางอย่าง
(ถ้าฉันอาจจะเป็นต้นเหตุของปัญหา…ฉันไม่ควรกลับไปที่หมู่บ้านนั้นหรือเปล่า…)
ไวเคานต์กิฟเวนมีความหลงใหลในตัวเร็นอย่างผิดปกติ มองอีกมุมหนึ่ง ถ้าไม่มีเร็น อาจจะไม่มีความวุ่นวายขนาดนั้นก็ได้
(การที่ฉันไม่อยู่ในหมู่บ้านน่าจะเป็นประโยชน์ต่อหมู่บ้านมากกว่าสินะ)
เมื่อตระหนักได้เช่นนั้นก็รู้สึกเศร้าใจ แต่มากกว่านั้น ก็มีตัวตนในใจที่ยอมรับได้ว่า “ถ้าเป็นประโยชน์ต่อหมู่บ้านละก็—” ไม่ใช่แค่พ่อแม่เท่านั้น เมื่อนึกถึงชาวบ้านทุกคน ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ก็สามารถระงับไว้ได้
“แต่ว่านะ”
เร็นที่กำลังลังเล ได้ยินเสียงของเรซาร์ดก็กลับมามีสติ
“ฉันบอกว่าจะมอบเครื่องมือเวทสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันให้ด้วย แต่พวกเขากลับปฏิเสธไปเสียอย่างนั้น”
“คงเป็นเพราะท่านพ่อของผมเกรงใจล่ะมั้งครับ?”
“ใช่เลย พวกเขาบอกว่าได้รับความช่วยเหลือในการฟื้นฟูหมู่บ้านมามากแล้ว ดังนั้นจะรับการช่วยเหลือมากกว่านี้ก็รู้สึกละอายใจ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธไปอย่างหนักแน่นเลยล่ะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เรซาร์ดก็นึกขึ้นได้แล้วพูดว่า
“ว่าแต่เร็นจะทำยังไงต่อไป? จะอยู่ที่นี่ไปจนกว่าจะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเลยก็ได้นะ”
“ผม…เอ่อ…”
“…ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างในใจสินะ”
เร็นนิ่งเงียบ สิ่งที่คิดไปเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองไม่ไปไหน
“พูดมาสิ เร็น เธอทุกข์ใจเรื่องอะไร บอกฉันมาได้เลย”
น้ำเสียงของเรซาร์ดนั้นอ่อนโยนและนุ่มนวล ให้ความรู้สึกถึงจิตใจที่กว้างขวาง และเร็นที่ปิดบังอารมณ์ไม่มิด ก็เสียใจในเรื่องนั้น แต่ก็คิดว่าไม่สามารถเงียบได้อีกต่อไป จึงเปิดปากพูด
“อันที่จริงก็คือ—”
เขาจึงระบายความรู้สึกออกมาอย่างตรงไปตรงมา เรซาร์ดที่ตั้งใจฟังก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “เรื่องนี้เองสินะ”
“ฉันไม่ได้บอกเธอ แต่รอยเองก็มาปรึกษาฉันด้วย เขาบอกว่าตัวของเธอนั้นมีพรสวรรค์ที่มีอนาคตไกล ดังนั้นอาจจะตกเป็นเป้าใครอีกก็ได้ ถ้าเป็นสัตว์ประหลาดก็ยังพอว่า แต่ถ้าเป็นขุนนางนี้ก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้เร็นเป็นอัศวินอยู่ที่คฤหาสน์เคลาเซลนี่แหละ”
เรซาร์ดกล่าวว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่รอยกับมิเรย์มาที่เคลาเซล ทั้งสองคนปรึกษาเลซาร์ดด้วยสีหน้าจริงจัง และร้องขอซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอยากให้ลูกชายมาก่อนตัวเอง
“ฉันตอบไปว่า ฉันจะทำตามความรู้สึกของเร็น”
หากเร็นตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่เคลาเซล เขาจะปกป้องเร็นอย่างเต็มที่ และแน่นอนว่าในทางกลับกัน เขาก็จะส่งอัศวินคนใหม่ไปประจำอยู่ที่หมู่บ้านแอชตัน และในกรณีที่เร็นไม่มีพี่น้อง ก็จะพิจารณาอย่างละเอียดภายหลัง
“ชื่อของเร็นเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายกว่าเมื่อก่อนมาก แค่มีข่าวลือว่าตระกูลเรามีความสัมพันธ์กับมาร์ควิส อิคนาต ก็อาจจะไม่มีใครกล้าลงมือโจมตีอย่างเปิดเผยเหมือนเมื่อก่อน…แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“…ครับ”
“และตอนนี้เร็นเธอดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับพ่อแม่และชาวบ้านมากกว่าตัวเอง”
นั่นก็เป็นความจริง
“นั่นหมายความว่าเธอพยายามปกป้องครอบครัวมากกว่าตัวเอง และกำลังกังวลอยู่ การลังเลที่จะถ้ากลับบ้านเกิดที่ยังไม่มั่นคง ก็คงเป็นความกลัวที่ว่าถ้าเกิดความวุ่นวายที่เกี่ยวข้องกับตัวเองอีก…”
เร็นยิ้มอย่างเจ็บปวดและพยักหน้า
“การที่ตัวเองไม่อยู่ในหมู่บ้านน่าจะดีกว่า เธอคงคิดอย่างนั้นเพราะให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นนอกจากตัวเองใช่ไหม?”
“…ผมคิดว่าอย่างนั้นครับ”
“นี่เป็นแค่ความคิดส่วนตัวของฉันนะ แต่ฉันคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจเรื่องอนาคตขนาดนั้น อย่างน้อยก็อยู่ที่เคลาเซลไปจนกว่าความกังวลทั้งหมดจะหายไป อย่างที่รอยบอก พักผ่อนไปจนกว่าหมู่บ้านจะฟื้นฟูเสร็จสมบูรณ์”
การอยู่ที่นี่ดีกว่าการกลับไปที่หมู่บ้านทั้งที่ยังมีความกังวลอยู่มาก เรซาร์ดพูดเช่นนี้อย่างชัดเจน เพื่อปลอบประโลมจิตใจของเร็น
“ความกังวลนี้ไม่มีทางแก้ไขได้เลยเหรอครับ?”
“การแก้ไขไม่ใช่เรื่องง่าย ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ความไม่สมเหตุสมผลก็มีอยู่ทุกที่ ความไม่สมเหตุสมผลที่ไม่อาจต่อต้านได้นั่นแหละ”
แต่ว่านะ
เรซาร์ดพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ถ้าเร็นสามารถกลายเป็นความไม่สมเหตุสมผลนั้นได้ เรื่องก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง”
“นั่นหมายถึงว่าผมต้องกลายเป็นขุนนางชั้นสูงเหรอครับ?”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น แม้แต่ขุนนางชั้นสูงก็ยังรู้สึกว่ามีตัวตนที่เหนือกว่าความไม่สมเหตุสมผลอยู่ในโลกนี้”
หรือว่าพระเจ้า? ไม่สิ แต่เรซาร์ดบอกว่ามีอยู่จริง ถ้าอย่างนั้น ในลีโอเมลก็คงจะเป็นจักรพรรดิหรือเปล่า? แต่นั่นก็เป็นตัวตนที่เร็นไม่สามารถเป็นได้ ดังนั้นก็คงจะผิดหมด
เรซาร์ดได้บอกคำตอบกับเร็นที่กำลังสับสน
“—ราชันย์ดาบ…”
เร็นรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้นด้วยคำพูดนั้น
“ค…คุณเรซาร์ด!?”
“ราชันย์ดาบทั้งห้านั้นพวกเขาไม่ผูกมัดกับสิ่งใด และพวกเขานั้นก็กระทำตามเจตจำนงของตนเอง ถึงแม้จะมีบางคนรับใช้สมเด็จพระจักรพรรดินี แต่พวกเขาก็ทำเช่นนั้นด้วยความสมัครใจเท่านั้น”
“ไม่…ไม่ครับ! คือว่าราชันย์ดาบน่ะครับ…!”
“อย่างที่เธอรู้ พวกเขาคือสุดยอดนักดาบทั้งห้าคนที่มีอยู่เพียงห้าคนในโลก”
เรื่องนั้นเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่จะบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!
เมื่อพูดถึงราชันย์ดาบ ก็มีคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่สามารถท้าทายได้ นั่นคือราชันย์ดาบหญิงที่เรซาร์ดเพิ่งพูดถึง ซึ่งเธอรับใช้จักรพรรดินี แต่แม้จะเป็นเธอมันก็ยังเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะเอาชนะได้อยู่ดี เว้นแต่ว่าตัวเหล่าละครหลักจะเพิ่มเลเวลจนถึงจุดสูงสุดและโชคดีจริงๆ เท่านั้น
(ถึงอย่างนั้น ตามเนื้อเรื่องแล้วเธอก็ยังยั้งมือไว้เยอะเลยนะ…!)
การที่จะให้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดนั้น ไม่น่าจะใช่เรื่องปกติ
“ฮิฮิ”
“คุณเรซาร์ด!? หัวเราะทำไมครับ!?”
“คิกคิก…ขอโทษนะ เธอทำหน้าตกใจได้น่าสนใจดี”
แต่ความตึงเครียดและความกังวลของเร็นก็คลี่คลายลงบ้าง สิ่งหนักอึ้งที่เคยติดอยู่ในใจมาตลอดก็เบาลงไปแล้วเมื่อไม่ทันรู้ตัว
“ไม่ว่าจะอย่างไร การพัฒนาตัวเองก็ไม่เสียหายใช่ไหมล่ะ?”
“นั่น…ก็จริงครับ”
“เพราะฉะนั้น การกังวลเรื่องอนาคตตอนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้าใช้เวลาในการพัฒนาตัวเอง ในที่สุดก็จะเป็นประโยชน์ต่อการสืบทอดตระกูลแอชตัน…สำหรับฉันก็พูดอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าเร็นตัดสินใจออกจากตระกูลแอชตันด้วยรูปแบบอื่น การใช้ชีวิตในสถานที่ใหม่ๆ ก็ยังคงมีความหมายมากอยู่ดี”
“…นั่นก็คือ”
“ใช่ อย่างที่ฉันบอกเมื่อกี้ อย่างน้อยก็อยู่ที่เคลาเซลไปจนกว่าหมู่บ้านจะฟื้นฟูเสร็จสมบูรณ์ ฉันยินดีต้อนรับนะ และเองลิเซียก็คงจะดีใจด้วย”
อย่างน้อย คำพูดนั้นก็เห็นด้วยได้ การที่จะเป็นราชันย์ดาบได้ก็อยากเป็นนะ แต่ก็เป็นเรื่องที่บอก มันยากจริงๆ
“จะเรียนกับไวซ์พร้อมกับลิเซียก็ได้ หรือจะลองทำงานเป็นอัศวินโดยที่คำนึงถึงอนาคตก็ได้ จะหางานที่สามารถทำเพื่อหมู่บ้านที่นี่ก็ได้เช่นกัน จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มาก และใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดเถอะ”
(สองอย่างแรกก็ดีนะ แต่จะมีงานที่ทำเพื่อหมู่บ้านได้ที่นี่เหรอ?)
“แล้วก็เรื่องค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตก็ไม่ต้องห่วง เธอจะอยู่ที่คฤหาสน์นี้นานเท่าไหร่ก็ได้”
“ไม่…ไม่ครับ…ผมคงจะรบกวนมากเกินไป…”
“ไม่มีปัญหา พ่อแม่ของเธอก็บอกว่าจะให้ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตด้วย แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่ต้องการที่จะรับเงินจากตระกูลแอชตันเลยแม้แต่น้อย”
“แต่…แต่ว่า…”
เร็นพยายามจะปฏิเสธ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็ไม่มีเงิน ถ้าจะออกจากคฤหาสน์เคลาเซลไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง อย่างแรกก็ต้องหาที่อยู่ ถ้าเป็นบ้านเช่าก็ต้องจ่ายค่าเช่า และก็ยังต้องมีค่าครองชีพรวมถึงค่าอาหารด้วย
(ทำเป็นปากแข็งไปงั้นแหละ แต่จะเอาไงดีเนี่ย)
คงจะได้เงินเดือนถ้าทำงานเป็นอัศวินฝึกหัด ก็คงจะพอใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้ แต่เร็นลืมไปแล้วว่าการที่เด็กอายุแค่สิบเอ็ดขวบจะเช่าบ้านเองนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
ในขณะที่เขายังไม่ทันสังเกตเรื่องนี้ เสียงของเรซาร์ดก็ดังขึ้นมา
“ฉันจะพูดอีกครั้ง เรื่องค่าใข้จ่ายน่ะไม่ต้องห่วงเลย ฉันสัญญาว่าจะดูแลเธอและรับผิดชอบจนกว่าเธอจะสบายใจ”
“ไม่ครับ ไม่ได้ครับ”
“เฮ้อ…ให้ตายสิ…เธอนี่หัวดื้อเหมือนพ่อของเธอจริงๆ เลยนะ”
“ก็ท่านเรซาร์ดได้ให้ความช่วยเหลือกับผมมากเกินพอแล้วครับ นอกจากการฟื้นฟูหมู่บ้านของผมแล้ว ท่านยังให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษเพื่อให้พ่อแม่และชาวบ้านใช้ชีวิตได้อย่างสบายด้วยครับ”
ไม่สามารถพึ่งพิงต่อไปได้อีกแล้ว เร็นที่ปฏิเสธอย่างหนักแน่นจึงเสนอทางเลือกอื่น
“อย่างแรก ผมคิดว่าจะลองหางานในเมืองนี้ดูครับ”
“…ยังไงก็ไม่อยากให้ฉันดูแลเลยสินะ?”
นั่นเป็นการพูดที่เจ้าเล่ห์ ถ้าปฏิเสธก็เหมือนกับการทำให้เรซาร์ดเสียหน้า ซึ่งเรซาร์ดเองก็ตระหนักได้ดีในเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงพูดออกมาเพราะอยากให้เร็นยอม
“…ขอโทษครับ”
แต่เร็นก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี เมื่อเห็นดังนั้น เรซาร์ดก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“—ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างนี้”
เรซาร์ดเสนอข้อเสนอหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความปรารถนาที่จะตอบแทนตระกูลแอชตัน และในฐานะที่เขาผู้ใหญ่ที่ดูแลเร็นซึ่งอยู่ห่างจากพ่อแม่ พูดง่ายๆ ก็คือ เขาต้องการให้งานของเร็นเป็นงานที่เขาเองสามารถจัดการได้
“ถ้าเธออยากทำงานจริงๆ ฉันจะขอให้เธอช่วยทำงานนั้นก็ได้นะ ได้ไหม?”
เร็นประหลาดใจกับการนี้และไม่สามารถโต้แย้งได้ เพียงแค่กะพริบตาอย่างเงียบๆ ซ้ำๆ
“เนื้อหาของงานนั้น ฉันอยากจะให้เธอช่วยทำงานที่คล้ายๆ กับที่เคยทำในหมู่บ้าน”
“งานที่ผมเคยทำในหมู่บ้าน…คือการกำจัดสัตว์ประหลาดเหรอครับ?”
“ใช่ ผลเสียของการที่มีสัตว์ประหลาดมีจำนวนมากเกินไปนั้นเธอก็รู้อยู่แล้วนี่นะ ฉันเองก็กำลังคิดที่จะสำรวจจำนวนสัตว์ประหลาดในพื้นที่ใกล้เคียงโดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงนั้นด้วย”
เนื้อหาของงานคือการตรวจสอบสถานการณ์ของสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง และจัดทำรายงานเป็นประจำ แน่นอนว่าจะมีค่าตอบแทนให้ และเนื่องจากเป็นงานที่เรซาร์ดเองขอร้อง จึงไม่มีอะไรที่เร็นจะต้องรู้สึกผิด
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการประนีประนอมกันนั่นเอง
“ในโอกาสนั้น เธอจะได้ล่าสัตว์ประหลาดเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัวไปด้วยก็ได้นะ หรือจะรับภารกิจจากกิลด์นักผจญภัยด้วยก็ได้”
คำพูดของเรซาร์ดดึงดูดความสนใจของเร็นอย่างมาก
“กิลด์นักผจญภัยเหรอครับ?”
“อืม เคยได้ยินว่ามันเป็นที่แบบไหนไหม?”
“ครับ ผมรู้ครับ แต่ว่า…”
เร็นทำหน้างงอยู่ชั่วขณะ เพราะคำว่ากิลด์นักผจญภัยนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา เนื่องจากเร็นเป็นลูกชายของอัศวินที่รับใช้ตระกูลเคลาเซล เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องไปที่กิลด์เพื่อขายซากสัตว์ประหลาดและหาเงิน
(แล้วมันจะอนุญาตให้ทำอย่างนั้นเหรอ?)
เขายังสงสัยอีกว่าภาษีจะเป็นอย่างไร
“หืม? สนใจเหรอ?”
“…อันที่จริงก็สนใจนิดหน่อยครับ”
“หืมม.. อยากรู้อะไรล่ะ? กลไกของกิลด์นักผจญภัยเหรอ? หรือว่าจะเป็นลูกอัศวินควรจะทำตัวอย่างไรดี?”
“ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องหลักการของภาษีครับ”
“อืม… จะอธิบายให้ฟังแบบสั้นๆ เลยนะ อย่างแรกเลยนี่คือคำขอของฉัน ดังนั้นในฐานะคนของตระกูลแอชตันก็ไม่มีปัญหาอะไร สำหรับเงินที่ได้จากการล่าสัตว์ประหลาดในระหว่างที่ทำตามคำขอของฉันนั้น ถ้าเธอทำการซื้อขายผ่านกิลด์ เธอสามารถใช้เงินนั้นได้อย่างอิสระ เพราะแม้จะเป็นทางอ้อม แต่ภาษีก็จะถูกจ่ายให้กับฉันผ่านกิลด์นั่นเอง”
มีข้อมูลใหม่ๆ มากมายที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก การกลับหมู่บ้านเป็นสิ่งสำคัญ แต่เร็นมีสกิลอัญเชิญดาบเวทมนตร์ ดังนั้นจึงสนใจเหล่าสัตว์ประหลาด…หรือจะพูดให้ถูกก็คือสนใจหินเวทมนตร์เป็นพิเศษนั่นเอง
เมื่อเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรซาร์ดพูดเมื่อสักครู่ เขาก็รู้สึกว่าการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องแย่เลย
“ดังนั้น เธอสามารถใช้เงินที่ได้จากการขายวัตถุดิบจากสัตว์ประหลาดได้อย่างอิสระ เช่น สามารถใช้เงินนั้นซื้อเครื่องมือเวทแล้วส่งไปที่หมู่บ้านของตระกูลแอชตันได้ด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เร็นก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ
“จริงเหรอครับ!?”
เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี เพราะนั่นหมายความว่าแม้จะอยู่ห่างไกล เขาก็ยังสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อหมู่บ้านที่ตนเกิดได้
“แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อจ่ายภาษีผ่านกิลด์แล้ว เงินนั้นเธอจะนำไปใช้ยังไง ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปยุ่ง”
เร็นรู้ถึงความสะดวกสบายของเครื่องมือเวท การได้คิดว่าจะส่งพวกมันไปที่หมู่บ้านได้ก็ทำให้เขาสนใจ มันเหมือนกับการทำงานหาเงินไปพร้อมกับการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเอง เมื่อคิดว่าพ่อแม่และชาวบ้านจะดีใจด้วยเขาก็ยิ่งมีกำลังใจ แถมยังเป็นงานที่เรซาร์ดขอร้องอีกด้วย ทำให้ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด นั่นเป็นเรื่องดี
“ผมเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดขวบเองนะครับ จะไปกิลด์นักผจญภัยได้เหรอครับ?”
“ไม่มีปัญหา ถึงในเมืองของนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กเล็กๆ จะมาที่กิลด์นี่นะ”
เรซาร์ดกล่าวว่า เด็กเล็กๆ มักจะทำงานง่ายๆ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว หรือไม่ก็เพื่อหาเงินค่าขนม อย่างเช่นการตามหาสัตว์เลี้ยงที่หายไป หรือตามหาของที่หายไป อะไรทำนองนั้น
(ถ้าแค่ลังเลอยู่เฉยๆ สู้ลงมือทำในสิ่งที่ทำได้จะดีกว่า)
นอกจากจะได้เงิน และเงินนั้นก็เป็นประโยชน์ต่อหมู่บ้านแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกฝนและทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้อีกด้วย
(การแข็งแกร่งขึ้น ไม่มีทางไร้ประโยชน์แน่นอน)
เพราะวันหนึ่ง ความไม่สมเหตุสมผลนั้นอาจจะมาถึงอีกครั้งอย่างกะทันหัน ถ้าเขาแข็งแกร่งพอ เรื่องอย่างตอนเยลคุคุอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้
ถ้ามีความแข็งแกร่งที่สามารถป้องกันตัวไว้ได้ล่วงหน้าแล้วละก็ มันก็ควรที่จะสามารถปกป้องใครบางคนได้เช่นกัน
(อีกสักพักคงต้องลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองในเมืองนี้ไปพลางๆ พร้อมกับเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายๆ อย่าง ทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้คิดออกว่าควรจะทำยังไงดีก็ได้)
เร็นแสดงสีหน้ามุ่งมั่นเต็มที่
“ขอถามอีกข้อนะครับ ผมยังไม่ได้รับอนุญาตจากท่านพ่อท่านแม่เลยนะครับ อย่างนั้นจะโอเคหรือเปล่าครับ?”
“ไม่สิ ได้รับอนุญาตแล้วนะ”
“…เอ๊ะ?”
“รอยกับมิเรย์อนุญาตแล้ว ตอนที่มาที่คฤหาสน์นี้ครั้งก่อน ทั้งสองคนหัวเราะและบอกว่าถ้าเร็นตัดสินใจจะอยู่ในเมืองนี้ ในที่สุดก็คงจะต้องไปที่กิลด์นักผจญภัยแน่ๆ”
สมกับเป็นพ่อแม่ของเขา พวกเขามองการณ์ไกลและได้พูดคุยกับเรซาร์ดไว้ล่วงหน้าแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ฉันกับมิเรย์ก็ยังคงสงสัยในการกระทำนั้นอยู่ แน่นอนว่าเพราะมันอันตราย แต่รอยบอกว่าถ้าลูกชายแข็งแกร่งกว่าตัวเองตัดสินใจจะทำเช่นนั้น เขาก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม”
คำพูดที่สมกับเป็นรอยทำให้แก้มของเร็นคลายออก
“สุดท้ายแล้วฉันกับมิเรย์ก็ยอมรับ แน่นอนว่าภายใต้เงื่อนไขที่ว่าถ้าเร็นทำอะไรเกินตัว ฉันมีสิทธิ์ที่จะพาตัวเขากลับมาที่คฤหาสน์ได้”
เรซาร์ดพูดราวกับเป็นคำขอของเขาเอง ก็เพื่อที่เขาจะสามารถปกป้องเร็นได้เมื่อเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้จะไม่มีเจตนาจะผูกมัดอะไร แต่ก็เป็นการพิจารณาที่เป็นเรื่องปกติ
“แต่ว่า…บอกว่าอันตรายก็จริง แต่ก็อนุญาตให้สู้กับสัตว์ประหลาดได้นี่ครับ”
“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน แต่พอได้ฟังรอยพูดก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้เลยนะ”
พูดง่ายๆ คือ เรนเคยกำจัดทั้ง ซีฟวูฟเฟ่น และ มานาอีทเตอร์ มาแล้ว แต่พลังอำนาจของขุนนางนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตรงกันข้าม อำนาจของขุนนางนั้นน่ากลัวกว่าสัตว์อสูรเสียอีก รอยจึงมั่นใจที่จะพูดว่าเร็นจะไม่ทำอะไรเกินตัวหรอก หากเป็นเร็นที่ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมาตั้งแต่เด็ก
“นั่นก็หมายความว่า ผมได้รับอนุญาตให้ทำกิจกรรมนอกเมืองได้ ตราบใดที่ผมไม่ทำอะไรเกินตัวใช่ไหมครับ?”
“ใช่เลย ตำแหน่งของเธอไม่ใช่แค่อัศวินฝึกหัดนะ เธอเป็นบุคคลธรรมดาที่ถูกฉันจ้างให้ทำงาน และล่าสัตว์ประหลาดในระหว่างทำงาน ก็เท่านั้น”
ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล เขาสามารถทำงานหาเงินได้อย่างราบรื่น เมื่อเห็นเร็นกำหมัดแน่นด้วยเรื่องนี้ เรซาร์ดก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“จะให้ไวซ์นำทางไปก็ได้นะ ลองไปที่กิลด์สักครั้งสิ”
“ไม่ครับ แค่บอกทางให้ผมก็จะไปคนเดียวครับ ผมไม่อยากให้คุณไวซ์ต้องลำบากด้วย”
“เข้าใจแล้ว แต่ว่าสิ่งนี้ต้องรับไว้”
ขณะที่เร็นกำลังคิดว่าเรซาร์ดจะยื่นอะไรให้ เรซาร์ดก็ล้วงกระเป๋าเอาเงินออกมา เขาหยิบเหรียญเงินมีค่าสองเหรียญออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เร็นที่กำลังเอียงคอด้วยความสงสัย
“นี่คือสองหมื่นโกลด์ การรับงานที่เกี่ยวข้องกับสัตว์อสูรจะต้องเสียค่าลงทะเบียนหนึ่งหมื่นห้าพันโกลด์ ที่เหลือก็เอาไปสนุกกับอาหารกลางวันก็ได้นะ”
“มะ…ไม่ได้ครับ! ผมจะทำงานที่ไม่ต้องลงทะเบียนก่อน แล้วจะหาเงินค่าลงทะเบียนเองครับ!”
“พูดอะไรไร้สาระไปนั่น ถ้าเป็นงานที่ฉันขอให้ทำแล้วก็ต้องรับไว้นะ ถ้าไม่รับไว้ฉันจะลำบากเอาได้นะ”
เร็นลังเลว่าจะรับดีไหม แต่เรซาร์ดคงจะยืนกรานยื่นให้จนกว่าเขาจะรับ
—
@ ขอโทษที่หายไปนานครับ พอดีช่วงนี้ติดเมะงอมแงมเลย @
MANGA DISCUSSION