ไม่มีใครรู้ความจริงที่แน่นอนของเรื่องราวทั้งหมด
เป็นเพียงข้อสงสัยที่ว่าท่านไวเคานต์กิฟเวนน่าสงสัยเกินไปเท่านั้น แต่ก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการส่งสัตว์ประหลาดมา
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถประมาทได้ ท่านบารอนเคลาเซลจึงสั่งให้ขยายระยะเวลาประจำการของอัศวินที่ส่งไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ออกไปอีกประมาณครึ่งปี เพื่อปกป้องหมู่บ้านเหล่านั้นจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ
โดยเฉพาะหมู่บ้านของเร็นที่ได้ติดต่อโดยตรง ก็ได้รับคำสั่งให้ประจำการอัศวินโดยไม่มีกำหนด การติดต่อเหล่านี้ได้รับเมื่อปลายฤดูใบไม้ร่วง และนับจากนั้นก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว
เรื่องราวเหล่านี้ดำเนินไปอย่างเร่งรีบ และฤดูกาลก็เข้าสู่ฤดูหนาวอย่างรวดเร็ว
พื้นที่เพาะปลูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ไม่ใช่แค่เพียงน้ำค้างแข็งยามเช้า ฤดูหนาวปีนี้สามารถเตรียมตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการมีอยู่ของเร็น นอกจากฟืนแล้ว อาหารก็มีเพียงพอต่อความต้องการ
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่เร็นออกล่าสัตว์แทบทุกวัน นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์สินที่ได้จากเรื่องชีฟวูลเฟนเหลืออยู่มาก จึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายไปอีกพักใหญ่
“ท่านเร็น วันนี้ก็ล่าได้ดีเหมือนเคยนะครับ”
“ครับ ผมคิดว่าพอเข้าฤดูหนาวแล้วจะเคลื่อนไหวลำบาก แต่พอชินแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยครับ”
เร็นเงยหน้ามองแสงแดดยามบ่ายแล้วพูด
ข้างสะพาน มีลิตเติลบอร์กว่าสิบตัวกองรวมกันอยู่ บ่งบอกว่าการล่าในวันนี้ก็เป็นไปด้วยดี
(พักหลังๆ รู้สึกว่าการใช้ดาบของฉันพัฒนาขึ้นนะ)
เหตุผลนั้นเรียบง่าย คือเขาต่อสู้โดยไม่พึ่งพากพลังจากเวทมนตร์ธรรมชาติ (เล็ก) ของดาบเวทมนตร์ไม้ นับตั้งแต่อัศวินมาประจำการ เขาก็ออกล่ากับพวกเขาเสมอ ดังนั้นการที่ทักษะดาบพัฒนาขึ้นจึงเป็นผลมาจากการต่อสู้โดยซ่อนการอัญเชิญดาบเวท
(จริงๆ ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องซ่อนแล้วนะ แต่ก็ซ่อนมาตลอดนี่นา)
มาถึงตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว นอกจากนี้ เขายังได้รับค่าประสบการณ์อย่างเหมาะสม เขาอัญเชิญดาบเวทของโจรแทนดาบเวทไม้และดาบเวทเหล็ก และสวมมันไว้ที่ปลายนิ้วจึงไม่มีอะไรผิดพลาด
ปัจจุบันไม่มีปัญหาอะไรจากการซ่อนมันไว้ เขาจึงตั้งใจจะทำแบบนี้ไปอีกสักพัก
“ท่านเร็น เรื่องการขนลิตเติลบอร์ ปล่อยให้พวกเราจัดการเถอะครับ”
“ผมพูดเสมอว่าผมก็จะช่วยขนเหมือนกันครับ”
เร็นพูดพลางแบกลิตเติลบอร์สี่ตัวไว้บนบ่า เป็นภาพที่น่าประหลาดใจเสมอมา การที่เด็กหนุ่มอย่างเร็นสามารถแบกพวกมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ทำให้อัศวินผู้ใหญ่รู้สึกหมดความมั่นใจไปเลย
แต่สิ่งนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเร็นสามารถปราบชีฟวูลเฟนได้เพียงลำพัง
“ท่านเร็น ควรออกไปจากหมู่บ้านดีกว่าไหมครับ?”
อัศวินพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้นครับ จู่ๆ ก็พูดแบบนั้น”
“ท่านเร็นจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนครับ บางทีท่านอาจกลายเป็นอัศวินผู้โด่งดังแม้แต่ในเมืองหลวงก็ได้”
“จริงครับ พรสวรรค์ของท่านเร็นไม่ใช่สิ่งที่พื้นที่แห่งนี้จะรองรับได้หมด…ถึงแม้จะพูดเสียงดังไม่ได้ แต่สำหรับพวกเราแล้ว ท่านเร็นดูเหมือนเป็นผู้กลับชาติมาเกิดของเจ็ดวีรบุรุษมากกว่าบุตรชายคนโตของตระกูลขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดเสียอีกครับ”
เร็นรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ดีใจที่ได้รับคำชม แต่การที่ผู้ใหญ่สองคนชมอย่างเปิดเผยเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกเขิน
“ผมไม่คิดจะออกจากหมู่บ้านหรอกครับ ผมเป็นทายาทของตระกูลแอชตันนะครับ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับการชมแบบนี้ เมื่อได้รับคำชม เร็นมักจะตอบกลับไปเสมอว่าเขาเป็นทายาทของตระกูลแอชตัน และไม่คิดจะออกจากหมู่บ้าน
“อืมม…น่าเสียดายจริงๆ…”
“พอเถอะ อย่าทำให้ท่านเร็นลำบากใจไปมากกว่านี้เลย”
“อ่า…จริงด้วย”
ทั้งสามคนพูดคุยกันไปขณะเดินทางกลับคฤหาสน์ พวกเขาก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าบนทางไร่นาที่เดินยากกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับก่อนหิมะตก ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังฝึกฝนร่างกายอยู่ด้วย
มีเพียงเสียง “กรุบๆ” ของหิมะที่ถูกเหยียบเท่านั้นที่ดังขึ้น หิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างเงียบสงบทำให้หมู่บ้านปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดที่ไม่มีในฤดูร้อน
คฤหาสน์ยังคงเก่าแก่เหมือนเดิมทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้น หลังคายังมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอีกด้วย
…ดูเหมือนจะพังลงมาได้ทุกเมื่อด้วยน้ำหนักของหิมะ
(ฉันจะผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปได้ไหมนะ?)
เร็นถอนหายใจด้วยความกังวล พลางนึกถึงกำไรที่ได้จากเรื่องชีฟวูลเฟน การซ่อมแซมหลังคาคงทำได้หลายสิบครั้ง
เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็รู้ว่ายังมีประโยชน์อื่น ๆ นอกเหนือจากสมุนไพร
“กลับมาแล้วครับ”
เร็นเปิดประตูห้องโถงที่เชื่อมกับห้องครัว แล้วเรียกมิเรยที่ควรจะรออยู่ข้างในเสมอ
แต่ในวันนี้ เธอไม่อยู่
แทนที่จะเป็นเธอ ลิเชียที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะเท้าคางอย่างไม่รู้จะทำอะไร ก็พูดขึ้นว่า
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอคะ ท่านผู้หญิงอยู่กับคุณย่าริกน่ะค่ะ”
อาจเป็นเพราะการตอบสนองของเธอที่เป็นธรรมชาติเกินไป เร็นที่กลับมาจึงปรับตัวโดยไม่ทักท้วงอะไร
(อืม ก็เป็นไปได้ที่เธอไม่อยู่)
“ไปอาบน้ำก่อนไหม? ฉันเอาอุปกรณ์เวทมนตร์จากที่คฤหาสน์มาให้ คิดว่าน่าจะสะดวกหลายอย่างเลยนะ”
“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วยนะครับ”
เร็นเดินตรงไปที่ห้องโถง ผ่านลิเชีย ออกจากห้องครัว เขามุ่งหน้าไปยังห้องแต่งตัวด้วยฝีเท้าที่คุ้นเคย และแน่นอนว่าบรรยากาศแตกต่างออกไป
“ว้าว…นี่มันไดร์เป่าผมนี่”
เมื่อมองดูอุปกรณ์เวทมนตร์ที่วางอยู่หน้ากระจกที่ไม่ค่อยใสเท่าไหร่ เขาก็นึกถึงความทรงจำในชาติที่แล้ว สำหรับคนที่ใช้ผ้าเช็ดผมและปล่อยให้แห้งหน้าเตาผิงมาจนถึงวันนี้ เขารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่ยุคสมัยแห่งเทคโนโลยี่อีกครั้งทันที
เร็นรู้สึกตื่นเต้น ถอดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว และก้าวเข้าไปในห้องน้ำ
“เอ๊ะ ข้างในก็มีอุปกรณ์เวทมนตร์ด้วย”
จนถึงวันนี้ ไม่เคยมีฝักบัวเลย แต่ตอนนี้มีแล้ว เมื่อมองดูว่าจะเอาน้ำร้อนมาจากไหน ก็พบว่ามันเชื่อมต่อกับลูกแก้วคริสตัลขนาดใหญ่เท่าหัวคนที่อยู่ใต้ฝักบัวบนผนัง
ดูเหมือนว่าน้ำก็สร้างขึ้นด้วยพลังของอุปกรณ์เวทมนตร์เช่นกัน ตามความรู้ทั่วไปของเร็น อุปกรณ์เวทมนตร์โดยพื้นฐานแล้วจะทำงานโดยใช้หินเวทมนตร์เป็นสื่อ ดังนั้นน้ำร้อนและน้ำเย็นจึงเกิดจากพลังนั้น การที่ไม่ต้องตักน้ำจากบ่อน้ำหรือแม้แต่ลำธารนั้นสะดวกสบายจริงๆ
“…นี่มันราคาเท่าไหร่กันนะ!”
แม้จะพูดแค่ฝักบัว แต่เขารู้สึกว่ามันมีราคาแพงกว่าชาติที่แล้วอย่างเทียบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งใจจะถามลิเชียเกี่ยวกับราคา เพราะกลัวที่จะได้ยิน
“ฮ้า…สบายจัง…สุดยอดเลย…”
หากไปที่เคลาเซล ชีวิตฉันจะดีกว่านี้ไหมนะ? ไม่สิ อย่าคิดอะไรแปลกๆ เพียงแค่หาเงินในหมู่บ้านนี้ และทำให้คฤหาสน์นี้น่าอยู่ขึ้นก็พอแล้ว! เร็นรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถต้านทานสิ่งเย้ายวนใจจากพลังแห่งเทคโนโลยี่ที่ไม่ได้สัมผัสมานานได้
เขามองตัวเองในกระจกในห้องน้ำที่ไม่มีใครอยู่ แล้วยิ้มอย่างเงียบๆ
“หือ?”
ขณะที่กำลังทำเช่นนั้น เขาก็เกิดคำถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“…อะไรกัน?”
เขาเปล่งเสียงออกมาอย่างเฉื่อยชา กอดอกขณะที่น้ำอุ่นจากฝักบัวรดลงมาจากศีรษะ
“…………อืมมมม!?”
แล้วเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาถึงกับต้องกุมหัว เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่สังเกตเห็นมาก่อน
แต่เร็นก็มีข้อแก้ตัว เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่านักบุญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมา แถมยังมาเร็วขนาดนี้ จะมาเยี่ยมได้เร็วขนาดนี้
(ฉันรู้ตัวว่าพลาดไปแล้วนะ แต่…!)
ดูเหมือนว่าเขาจะประมาทไปหน่อยเพราะเพิ่งกลับจากการล่าสัตว์ เร็นแก้ตัวในใจกับใครบางคน แล้วตบแก้มตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ
หลังจากนั้น เขาก็รีบลงมืออย่างรวดเร็ว เร็นรีบออกจากห้องน้ำ เช็ดผมที่เปียกอย่างหยาบๆ ด้วยผ้าขนหนู แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็รีบวิ่งไปทั่วคฤหาสน์ ปลายทางที่เขาไปก็คือห้องครัวที่ลิเชียอยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ท ทำไมล่ะครับ!?”
เขาเปิดประตูอย่างเร่งรีบ แล้วเปล่งเสียงออกมาโดยไม่เกรงใจ เมื่อลิเชียเห็นเร็นที่ปรากฏตัวอย่างวุ่นวาย
“อะไรกัน อยู่ๆ ก็ตะโกนทำไม! ปวดหูหมดเลยเนี่ย!”
ลิเชียเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูด เธอเอามืออุดหูด้วยความหงุดหงิด
“ท ท่าน ท ทำไมถึงอยู่ที่นี่!?”
“ก็แน่นอนว่ามาที่นี่น่ะสิ!”
“ก็มาก็ต้องอยู่ที่นี่อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องสามัญแบบนั้น…ไงล่ะ! คือว่า! ท่านหญิงที่ควรจะอยู่ที่เคลาเซล ทำไมถึงมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้ล่ะครับ!?”
การที่เขามัวแต่รับเรื่องราวต่างๆ ไปอย่างเป็นธรรมชาติจนถึงตอนนี้ก็เป็นปัญหาของตัวเขาเอง
แต่ถึงกระนั้น ความจริงที่ลิเชียอยู่ที่นี่ก็ยังน่าตกใจกว่า
…ลิเชียที่ตอนแรกตกใจกับเสียงของเร็น ก็ค่อยๆ สงบลง ตอนนี้เธอทำท่าทีไม่สนใจ และเผยรอยยิ้มอันน่ารักราวกับผู้ชนะ
“เหตุผลที่ฉันอยู่ที่นี่มีแค่ข้อเดียวเท่านั้น ก็เพราะคุณไม่มาที่เคลาเซล ฉันก็เลยมาไง”
เร็นตะลึงงันไปว่าเธอยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ
“ท ท่านหญิงยุ่งมากไม่ใช่หรือครับ…”
“หึๆ ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วค่ะ”
“—ทุกอย่างคืออะไรครับ?”
“ทั้งเรื่องเรียนและงานที่ต้องทำให้เสร็จก่อนฤดูหนาวจะหมดลง ฉันจัดการทุกอย่างไม่เหลือเลย แล้วก็มาที่หมู่บ้านนี้ค่ะ”
สรุปคือ ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย เป็นการกระทำที่แสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างน่าทึ่ง
“…แล้วแก้ตัวกับท่านบารอนว่ายังไงบ้างครับ”
“ฉันบอกว่าเรื่องของไวเคานต์กิฟเวน ตระกูลเคลาเซลควรจะดำเนินการอย่างจริงจังค่ะ ถ้าลูกสาวเจ้าครองนคร…แถมยังเป็นนักบุญอย่างฉันเดินทางไปเอง อีกฝ่ายก็อาจจะระมัดระวังในการเคลื่อนไหวใช่ไหมคะ?”
คำพูที่สมเหตุสมผลของลิเชีย คงทำให้ท่านบารอนเคลาเซลผู้เป็นพ่อของเธอต้องพยักหน้ายอมรับอย่างช่วยไม่ได้ เร็นเข้าใจสิ่งนั้นทันที เด็กสาวคนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ต้องการฝึกฝนดาบเท่านั้นแต่ ลิเชีย เคลาเซล เธอเป็นหญิงสาวผู้ขยันขันแข็งและมีสติปัญญาหลักแหลม
(ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้)
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือ ความมุ่งมั่นที่มากเกินไป ของเธอซึ่งเป็นปัญหาสำหรับเร็น
MANGA DISCUSSION