◇ ◇ ◇ ◇
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลง และเมื่อเขาเข้าไปในป่า ผ้าม่านแห่งรัตติกาลก็เริ่มปกคลุมไปทั่วใบไม้ที่หนาทึบของต้นไม้บดบังแสงอาทิตย์เกือบทั้งหมด ทำให้ทัศนวิสัยแย่ลงกว่าตอนกลางวันมาก
หากลิเติลบอร์ปรากฏตัวในสถานการณ์เช่นนี้คงจะยุ่งยาก แต่เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของมัน เร็นเอียงศีรษะสงสัยว่าทำไม
……ตัวเร็นเองไม่รู้ตัว
ตอนนี้ เขากำลังเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหล่าลิเติลบอร์หวาดกลัวเร็นที่เป็นเช่นนั้น และพยายามหลีกเลี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความตึงเครียดขั้นรุนแรงและความระมัดระวังที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับป่าอันมืดมิด
“หินรูปดาบ…!”
ทิศทางนี้ไม่ผิดแน่
เมื่อเห็นหินรูปดาบลอดผ่านใบไม้มาเล็กน้อย เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิดลงกว่าตอนที่เข้ามาในป่า เขาก็รู้สึกกระวนกระวายมากขึ้น
ไม่เป็นไร ไปถึงหินรูปดาบแล้วค่อยหา
ต่อให้เผื่อเวลาเดินทางกลับด้วย ก็ยังไงคืนนี้ก็ต้องกลับได้อยู่แล้ว แน่นอน
เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตัวเอง แต่ก็ยังคงประหม่าอยู่ดี
“…………น่าสมเพชสิ้นดี”
เขาหัวเราะเยาะตัวเอง
ทั้งๆ ที่ตัวเองคือเร็น แอชตันแท้ๆแต่กลับมีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ได้
“แกมันตัวร้ายในเรื่องไม่ใช่รึไง อย่าตื่นตระหนกกับอีเรื่องแค่นี้สิ”
ต่อให้จะมีเงาของชีฟวูล์ฟเวนอยู่ก็ตาม
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามควบคุมตัวเองอย่างไร ความตึงเครียดก็ไม่คลายลง ทุกๆย่างก้าวที่เดินรู้สึกเหมือนขาหนักอึ้งจนเริ่มไม่แน่ใจว่าจะไปถึงหินรูปดาบได้หรือไม่
――――อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เข้าไปในป่าได้สักพัก
จำนวนต้นไม้ที่ขึ้นรกทึบลดน้อยลง และทางค่อยๆ เปิดกว้างขึ้น
เขาคิดว่า ‘หรือว่า…’ และลากเท้าเดินต่อไปอีกสิบกว่านาที
“ในที่สุดก็…”
เมื่อพ้นจากป่า สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือที่ราบโล่งกว้าง มีทะเลสาบเล็กๆ อยู่ตรงนั้น และหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายเสาน้ำแข็งที่งอกออกมากลับหัว หรือที่เรียกว่าหินรูปดาบ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางทะเลสาบ
บริเวณนั้นมืดสนิทแล้ว แต่ภายใต้แสงดาวเต็มท้องฟ้า กลับมองเห็นได้ชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ
“……แล้ว”
จะไปที่หินรูปดาบอย่างไรดี
ทะเลสาบลึกเกินกว่าที่เด็กอย่างเรนจะยืนถึงอย่างแน่นอน
มันลึกขนาดที่ผู้ใหญ่ก็ควรจะใช้เรือข้ามไป
“――――อ๊ะ”
แต่เร็นมีดาบปีศาจไม้
เมื่อนึกขึ้นได้ เร็นก็เหวี่ยงดาบปีศาจไม้ ทำให้รากไม้ทอดยาวไปจนถึงหินรูปดาบ
หลังจากเดินข้ามสะพานชั่วคราวที่ทำจากรากไม้ไปแล้ว เขาก็มองขึ้นไปยังหินรูปดาบที่ตั้งชันเกือบเป็นมุมฉาก
เขาเหวี่ยงดาบปีศาจไม้อีกครั้ง คราวนี้ทำให้เถาวัลย์งอกขึ้นมาตามด้านข้างของหินรูปดาบ
“โอ้โห…สะดวกสุดๆ”
รู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแฮะ
ทั้งๆ ที่ในชาติก่อนเร็นไม่เคยมีประสบการณ์ปีนต้นไม้เลย แต่ที่นี่เขากลับปีนขึ้นไปตามผาหินได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
เร็นหัวเราะกับความสามารถทางกายภาพที่เพิ่มขึ้น (เล็กน้อย) ของตัวเองและปีนขึ้นอย่างราบรื่นต่อไป
โชคดีที่เขาไม่ได้รู้สึกกลัวความสูงหรือการพลัดตก
“ดีนะที่มีดาบปีศาจไม้…”
การปีนหินรูปดาบที่มีความสูงเท่าตึกสิบกว่าชั้นด้วยมือเปล่านั้นไม่อยากจะคิดเลย
ตอนนี้มือของเขาก็เริ่มเหนื่อยล้าและแรงจับก็อ่อนลงแล้ว ถ้าไม่มีดาบปีศาจไม้ คงปีนขึ้นไปไม่ได้แน่ๆ
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ เร็นก็หยุดพักระหว่างทาง
เขาพบที่ที่ดูเหมือนจะนั่งพักได้พอดี จึงหยุดเท้าและมือ เช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
“นั่นมัน――――”
เขาสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างขณะมองขึ้นไปด้านบน สูงขึ้นไปอีก อาจจะใกล้ถึงยอด
เมื่อเห็นใบไม้ที่ส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงดาวและโบกสะบัดตามลมกลางคืน เร็นก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังไม่สูญพันธุ์ไปหมดนะ”
รูปร่างของใบไม้ที่คล้ายดาวห้าแฉกโบกสะบัดอย่างสง่างามตามลมกลางคืน
เมื่อเห็นเช่นนั้น เรนก็กลับมากระปรี้กระเปร่า และรีบเอื้อมมือไปจับเถาวัลย์
ความเร็วในการปีนขึ้นไปตามผาหินเร็วกว่าเดิม ช่วงก้าวเท้าก็กว้างขึ้น
เร็นเริ่มหายใจหอบเล็กน้อย
แต่เขาก็ไม่หยุดเท้า และปีนต่อไปอีกหลายนาที
“――――ไม่ผิดแน่! หญ้ารอนโด!”
หญ้ารอนโดยังคงเหลืออยู่ มันยังคงขึ้นเป็นกลุ่มแนบชิดกันอยู่บนพื้นผิวหินที่ราบเรียบบนยอดของหินรูปดาบ
เร็นไม่รู้ว่าต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ แต่มีปริมาณที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง
เมื่อเดินห่างจากบริเวณที่หญ้ารอนโดขึ้นไปเล็กน้อย ก็พบกระดูกสัตว์กระจัดกระจายอยู่
เร็นอดไม่ได้ที่จะเข้าไปตรวจสอบ เขาก็พบว่ามันเป็นกระดูกของลิเติลบอร์
“…………”
เหงื่อไหลซึมฝ่ามือที่กำแน่นโดยไม่รู้ตัว
ลิเติลบอร์ไม่สามารถปีนหินรูปดาบได้ และเขาไม่เคยได้ยินว่ามีสัตว์ประหลาดที่บินได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้
เมื่อเร็นได้คิดอย่างใจเย็น ชื่อของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเขา
(ต้องรีบแล้ว)
เขาสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
จากนั้นเขาก็รีบเก็บหญ้ารอนโด และก็อาศัยเถาวัลย์ปีนลงมา
เมื่อลงมาถึงรากไม้อย่างรวดเร็ว เร็นก็มองสำรวจรอบๆ อย่างใจเย็น และเริ่มเดินบนรากไม้ด้วยความเงียบเชียบ
เขาเดินไปพลางพยายามควบคุมลมหายใจที่เริ่มหอบกระชั้น เร็นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเมื่อเดินข้ามทางรากไม้ไปจนสุด
(ต้องรีบออกจากป่าแล้ว…!)
เมื่อเขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและพยายามเดินให้เงียบที่สุด
“อุ๊บ!”
“บรู๋ว…!”
“ก๊าาา!”
ลิเติลบอร์สามตัวปรากฏตัวต่อหน้าเร็นด้วยท่าทางหวาดกลัว และพุ่งเข้าโจมตีพร้อมกัน
“ในเวลาแบบนี้…!”
เขาสับสนเล็กน้อยกับข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันโจมตีทั้งที่ยังหวาดกลัวอยู่ และหงุดหงิดที่พวกมันส่งเสียงดัง เร็นจึงเหวี่ยงดาบปีศาจไม้
แน่นอนว่าการต่อสู้อย่างยากลำบากเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
เร็นกำจัดพวกมันทั้งสามได้อย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะมองศพของพวกมันด้วยช้ำ และกำลังจะจากไปจากที่นี่ แต่――――
“――――”
ทันใดนั้น ลมกลางคืนก็หยุดพัดกะทันหัน
เหนือทุ่งหญ้าที่โบกสะบัดตามลมกลางคืน เงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังเร็น
มันอยู่ตรงนั้น อยู่ข้างหลังฉัน
เร็นตระหนักถึงเรื่องนี้ในชั่วพริบตา
“…………เข้าใจแล้ว สิ่งที่พวกหมูบ้าพวกนั้นกลัวก็เพราะแกนี่เองสินะ!”
เร็นพูดเช่นนั้นแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า
ทันใดนั้น หางทั้งสี่ที่งอกออกมาจากเงาก็สั่นไหวอย่างน่าขนลุก และเงยหัวขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ชิ…!”
เร็นวิ่งออกไปด้วยท่าทางกระวนกระวาย
วิ่งสุดกำลังเพื่อออกจากที่นี่
เพื่อกลับไปยังหมู่บ้านอันเป็นบ้านเกิด
“โฮรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรณ์!”
เสียงคำรามที่บาดแก้วหู
……เสียงคำรามเมื่อกี้ไม่ต่างจากสมัยอยู่ในเกมเลย
เสียงของชีฟวูล์ฟเวนที่ขู่เหยื่อของมัน
“แฮ่ก…แฮ่ก…!”
เขาออกแรงกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ใต้เท้าของเขา เหมือนกับว่ากล้ามเนื้อจะขาดสะบั้น เขาเคลื่อนไหวไปอย่างไร้ความปราณี เร็นวิ่งสุดกำลังโดยไม่หันหลังกลับแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ไม่กี่สิบวินาทีต่อมา ต้นไม้สองข้างทางก็ล้มระเนระนาดจากลมแรง และลมบ้าหมูพัดเฉียดข้างตัวเขาไป
“อุ๊บ…!”
เร็นหลบพายุหมุนนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด และเสียหลักนั่งลงกับพื้น เมื่อกำลังจะลุกขึ้น เขาก็เห็นพายุหมุนที่พัดเฉียดไปเมื่อกี้หยุดอยู่หน้าต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล เร็นจึงหรี่ตามอง
“ฉันขอโทษแล้วกัน ต่อไปฉันจะไม่เข้าใกล้รังของแกอีกแล้ว”
“…………”
“แถวนี้ก็มีลิเติลบอร์อยู่ไม่ใช่เหรอ? เอาพวกนั้นไปแทนก็ได้นี่”
เขาพึมพำเพื่อสงบสติอารมณ์ ทั้งที่คิดว่ามันคงไร้ประโยชน์
พลางกำดาบปีศาจไม้ที่ชักออกมา เตรียมพร้อมในมือ
ส่วนชีฟวูล์ฟเวน ดวงตาทั้งหกเปล่งแสงสีแดงเข้ม กลอกตาไปมา มันก้าวเท้าหน้าไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ โก่งตัวเล็กน้อยและขู่คำราม
“――――หลีกไปซะ”
เมื่อเห็นชีฟวูล์ฟเวนไม่ยอมจากไป เร็นจึงจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังแล้วพูดออกไป
ไม่มีเวลามาเสียกับเรื่องนี้
เขากลัวสมุนไพรที่จะนำไปให้พ่อจะไม่ทันเวลา มากกว่าที่จะกลัวศัตรูที่แข็งแกร่ง
“กรรรร…..”
แต่ชีฟวูล์ฟเวนไม่ตอบ มันกลับขู่คำรามพร้อมกับลมหายใจที่หนักหน่วง
จากนั้นกระแสลมที่ผิดปกติก็โอบล้อมรอบตัวเรน
(เวทมนตร์ลมเหรอ)
ชีฟวูล์ฟเวนใช้เวทมนตร์ลมสร้างแขนลมที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
วิธีเดียวที่จะยืนยันการมีอยู่ของมันได้คือการสัมผัสด้วยผิวหนัง
……ทันใดนั้น ลมก็พัดผ่านแก้มของเรน
มันเป็นลมที่คมกริบราวกับใบมีด
“ไอ้…!”
เร็นบิดตัว หมุนตัวถอยหลัง และรู้สึกเจ็บแปลบที่แก้ม เมื่อลูบไปก็พบว่าปลายนิ้วเปื้อนเลือดสีแดงสด
เขาไม่เพียงแต่มองไม่เห็น แต่ยังไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ด้วยซ้ำ
เร็นตกตะลึงกับเวทมนตร์ลมของชีฟวูล์ฟเวน และเข้าใจในทันที
(นี่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่ฉันควรจะต่อสู้ด้วย――――!)
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสู้ แต่เขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าแม้แต่การหลบหนีก็ยังยากลำบาก
ในที่สุดเขาก็คิดว่าคงต้องเผชิญหน้ากับมัน และในขณะนั้นเอง
(……ขาของมันบาดเจ็บอยู่เหรอ?)
เมื่อเห็นชีฟวูล์ฟเวนแสดงท่าทีราวกับกำลังปกป้องขาหน้าข้างหนึ่ง เรนก็รู้ว่ารอยไม่ได้ถูกเล่นงานเพียงฝ่ายเดียว
ใช่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่รอยสามารถหนีรอดมาได้
เขาทำร้ายขาของชีฟวูล์ฟเวนที่พวกเขาพบกันโดยไม่คาดคิด และหนีไปจนถึงทางเข้าป่า
เหตุผลที่ชีฟวูล์ฟเวนไม่มาโจมตีหมู่บ้านในภายหลัง ก็คงเป็นเพราะเรื่องนี้
ดูเหมือนว่ามันจะระแวดระวังรอย แอชตันอย่างมาก และซุ่มซ่อนตัวอยู่ที่หินรูปดาบแห่วนี้
(พ่อทำหน้าที่ของอัศวินได้อย่างสมบูรณ์แบบ)
ถ้าออกจากป่าไป ชีฟวูล์ฟเวนจะไม่ตามไปถึงหมู่บ้านอย่างแน่นอน
อย่างน้อยก็จนกว่าอาการบาดเจ็บจะหายดี
ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเอายาหญ้ารอนโดกลับไปที่คฤหาสน์ เมื่อรอการสนับสนุนจากบารอนมาถึง ก็จะสามารถปราบมันได้อย่างแน่นอน
(ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้…!)
ความกล้าหาญใหม่ผุดขึ้นในใจของเรน เมื่อได้เห็นร่องรอยการต่อสู้อย่างสุดกำลังของพ่อ
MANGA DISCUSSION