ตอนที่ 4 การเดทน่ะ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าว่าจะไปที่ไหน ก็คือการได้ไปกับใครต่างหาก และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเริ่มต้น ก็คือการสิ้นสุด
“พี่! ช้าไปแล้วนะ!”
หลังจากเรื่องที่ห้องพยาบาลจบลงแล้วพอกลับมาถึงบ้าน สุมิเระในชุดกะลาสีก็ยืนจังก้ารออยู่ ดูเหมือนจะเพิ่งกลับจากโรงเรียนเหมือนกัน ฉันเองก็กลับจากโรงเรียนตรงๆ เลย ถึงแม้หลังเลิกเรียนจะมีเรื่องวุ่นวายหลายอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะดึกขนาดนี้นะ
“สุมิเระ แล้วชมรมล่ะ?”
“วันนี้เป็นช่วงสอบเลยหยุด! แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเร็วๆ เข้า! ของสะสมของฮิราริน! ฉันอุตส่าห์รีบวิ่งกลับบ้านมาเพื่อสิ่งนี้เลยนะ!”
ถ้างั้นก็ไปอ่านหนังสือเตรียมสอบสิยะ นักเรียนที่จะสอบเข้าม.ปลาย
“รู้แล้วน่า อย่าดึงสิ”
ไม่นึกเลยว่าสุมิเระจะติดฮิรารินขนาดนี้ เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ
พอเข้ามาในห้อง สุมิเระก็ยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าประตู พอฉันบอกว่า “นั่งสิ” เธอก็นั่งลงบนเตียงแทนที่จะเป็นเบาะรองนั่งที่อยู่ใกล้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูอยู่ไม่สุข ลุกไปยืนอยู่ข้างหลังฉันตอนที่กำลังจะหยิบของสะสมออกมาจากตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอินบ้าง ชะโงกหน้าเข้ามาดูข้างในบ้าง หรือไม่ก็จ้องมองฟิกเกอร์ฮิรารินที่ตั้งโชว์อยู่บ้าง
การที่ได้มาอยู่กันสองต่อสองในห้องของฉันแบบนี้ มันเป็นเวลากี่ปีแล้วก็ไม่รู้ ทั้งที่เมื่อหลายปีก่อนเรายังเล่นด้วยกันดีๆ อยู่เลยแท้ๆ แต่พอฉันเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็เริ่มทำตัวเย็นชากับเธอ พอฉันหมดช่วงวัยรุ่น สุมิเระก็เข้าสู่วัยรุ่นแทน ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องก็เลยแย่ลงไปโดยไม่รู้ตัว
การที่กลับมาสนิทกันได้อีกครั้งแบบนี้ ก็ต้องขอบคุณฮิรารินจริงๆ
“ของที่ฉันมีซ้ำๆ อยู่หลายอันจะยกให้แล้วกัน อย่างอันนี้ก็น่ารักสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ สติกเกอร์ของฮิราริน แผ่นละร้อยเยนเอง เลยเผลอซื้อมาเยอะไปหน่อย”
“เหวอ อะไรเนี่ย หน้าตาระดับอัจฉริยะเลยนี่นา ขอบคุณจริงๆ ที่เกิดมานะฮิราริน”
“เธอติดหนักไปแล้วนะ ขนาดฉันยังแอบอึ้งเลย”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ก็น่ารักซะเหลือเชื่อขนาดนั้น”
“จริงอย่างยิ่ง”
คำแสดงการเห็นด้วยอย่างสูงสุด ‘จริงอย่างยิ่ง’ หลุดออกมา แสดงว่าฉันเห็นด้วยอย่างรุนแรงขนาดไหน แค่ดูไลฟ์เพียงครั้งเดียวก็สามารถสะกดใจคนได้ถึงขนาดนี้ ฮิรารินมีพลังนั้นอยู่
“นี่ๆ ฟิกเกอร์ตัวนี้นี่สุดยอดเลย อันนี้ให้ไม่ได้เหรอ?”
สุมิเระชี้ไปที่ฟิกเกอร์ลิมิเต็ดที่ตั้งโชว์อยู่บนชั้นวาง นั่นคือของที่ฉันกับพวกคางามิช่วยกันคีบมาจากตู้เกม แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็ไม่อยากให้เพราะมันเป็นของลิมิเต็ด แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ฉันไม่อยากจะยกความทรงจำที่ทุกคนช่วยกันคว้ามันมาให้ใครไปต่างหาก
“อันนั้นให้ไม่ได้เด็ดขาด เป็นของลิมิเต็ดที่หาซื้อไม่ได้ง่ายๆ แล้วก็มีความทรงจำดีๆ อยู่ด้วยน่ะ”
“เหรอ… งั้นเหรอ…”
สุมิเระทำหน้าเสียดาย ก่อนจะเว้นช่วงไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ
“ถ้างั้น ขอมาดูที่ห้องอีกได้ไหม?”
“ก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่อย่าทำพังล่ะ”
“จะทำพังได้ไงเล่า! ฮิรารินที่ปั้นออกมาได้น่ารักขนาดนี้ แค่จะแตะยังไม่กล้าเลย”
โอ้ๆ กลายเป็นโอตาคุฮิรารินเต็มตัวแล้วสินะ พี่ชายคนนี้ดีใจจริงๆ
“ของแบบนี้มีขายที่ไหนเหรอ?”
“อืม ฮิรารินน่ะดังจะตายไป บ่อยครั้งเลยที่เป็นของรางวัลในตู้เกม แต่ถ้าอยากจะดูของสะสมอื่นๆ นอกจากฟิกเกอร์ล่ะก็ ไปที่ซันโนะมิยะแล้วเข้าร้านอย่าง Animate ก็จะเห็นของเยอะแยะเลยล่ะ”
นึกภาพสุมิเระไปร้าน Animate ไม่ออกเลย คงเป็นเพราะฉันคิดว่าสุมิเระก็เป็นพวกที่ดูถูกโอตาคุเหมือนกับชิมาดะล่ะมั้ง
“เหรอ งั้นคราวหน้าไปด้วยกันนะ คนเดียวไปไม่ถูกน่ะ…”
“ถ้าลองหาดูก็รู้ทางแล้วน่า ใช้แอปแผนที่อะไรแบบนั้นสิ”
“กะ ก็ฉันไม่ค่อยได้ใช้แผนที่นี่นา ใช้ไม่เป็นด้วย”
“ไม่เอาน่า จะเป็นไปได้ยังไง เธอยังเด็กอยู่เลย สบายมากน่า”
“ก็บอกว่าใช้ไม่เป็นไง! แล้วอีกอย่าง ไปร้านที่ไม่เคยไปคนเดียวมันน่ากลัวนะ… ยิ่งเป็นร้านที่ไม่เคยไปเลยด้วยแล้วยิ่งน่ากลัวใหญ่”
“ก็ไปกับเพื่อนสิ สุมิเระมีเพื่อนเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”
พอพูดคำว่าสุมิเระออกมาด้วยตัวเองแล้วมันก็เศร้าแฮะตัวฉัน
“เพื่อนฉันไม่มีใครชอบอนิเมะนี่นา พี่น่ะ ไม่มีแม้แต่เพื่อนผิวเผินเลยไม่เข้าใจหรอกมั้ง ว่ามันต้องเกรงใจกันน่ะ”
“อึก… คำพูดคำจาของเธอนี่มันช่างรุนแรงเหลือเกิน…”
อย่ามาพูดจาทิ่มแทงกันหน้าตาเฉยสิเฟ้ย จริงๆ แล้วฉันก็แอบน้อยใจอยู่นะ ถ้าพูดแรงกว่านี้จะร้องไห้จริงๆ ด้วยนะ จะร้องไห้เสียงดังจนคนในครอบครัวยังอึ้งเลยนะ
“เข้าใจไหม!? ต้องไปด้วยกันให้ได้นะ!”
“เข้าใจแล้วน่า… แต่แลกกับการที่สุมิเระต้องตอบคำถามฉันอย่างหนึ่ง”
“……? อะไรเหรอ?”
สุมิเระต่างจากฉันตรงที่มีเพื่อนเยอะ แล้วก็น่าจะมีประสบการณ์ความรักด้วย
เป็นโอกาสดีที่จะได้ฟังความเห็นอันล้ำค่าจากผู้หญิง แต่การที่จะบอกน้องสาวว่ากำลังจะไปเที่ยวกับเพื่อนผู้หญิงในห้องสองต่อสองมันก็น่าอายเหมือนกันแฮะ พูดอ้อมๆ ไปดีกว่า
“คือเพื่อนฉันน่ะ เหมือนว่าจะได้ไปเที่ยวกับเด็กผู้หญิงในห้องสองต่อสอง แต่กำลังกลุ้มใจอยู่ว่าไปที่ไหนดีน่ะ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เลยอยากจะถามสุมิเระที่ดูจะช่ำชองเรื่องความรักหน่อยน่ะนะ อะ แต่เป็นเรื่องของเพื่อนนะ!”
“ฉันน่ะ ไม่เคยมีความรักอะไรหรอกนะ แต่ว่า…”
“งะ งั้นเหรอ งั้นก็ อืม ไม่เป็นไร”
อะไรกัน ทำไมฉันถึงรู้สึกโล่งใจนิดหน่อยนะ เป็นความรู้สึกโล่งใจที่ได้รู้ว่าน้องสาวยังไม่เคยโดนผู้ชายแปลกๆ จับตัวไปรึเปล่านะ?
“แต่ว่า ฉันว่าที่ไหนก็ได้นะ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็แหม การที่จะไปเที่ยวกับเด็กผู้ชายในห้องน่ะ ถ้าไม่ชอบก็ไม่อยากไปเด็ดขาดหรอก น่ารำคาญจะตาย ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ ถึงแม้ว่าอาจจะคิดว่าแค่แอบสนใจนิดหน่อยเลยไปก็ได้ก็เถอะ… แต่ในเมื่อตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองแล้ว สำหรับเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วก็คงจะคิดว่าเด็กผู้ชายคนนั้น ‘ผ่าน’ แล้วล่ะมั้ง ถ้างั้นก็ไม่ต้องพยายามทำอะไรเกินตัวหรอก แค่ไปเดินดูของตามร้านที่ซันโนะมิยะอะไรแบบนั้นก็น่าจะดีแล้ว สิ่งสำคัญน่ะ ไม่ใช่ว่าจะไปที่ไหน แต่คือไปกับใครต่างหาก ไม่ใช่เหรอ?”
“เธอน่ะช่ำชองเรื่องความรักแน่นอน”
ไม่งั้นแล้วนี่ใช้ชีวิตมารอบที่เท่าไหร่กันแน่ เท่ไปหน่อยแล้วนะ อะไรกันเนี่ย นี่น้องสาวฉันจริงดิ
“ก็เปล่านี่… ฉันมีความรักแค่ในละครรักๆ ใคร่ๆ เท่านั้นแหละ”
ฉันเห็นอยู่ตลอดว่าทุกครั้งที่มีละครรักเรื่องใหม่เริ่มฉาย เธอก็มักจะบอกว่าพระเอกหล่อแล้วก็ติดงอมแงม แต่ละครรักนี่มันให้ความรู้ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ… ฉันเองก็ดูบ้างดีกว่า
“ว่าแต่ จะไปไหนกันเหรอ?”
“ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออกเลย กำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี แต่พอได้ฟังเรื่องเมื่อกี้ก็เริ่มคิดว่าไปเดินดูของอะไรแบบนั้นก็น่าจะดีนะ ถ้าเป็นคางามิล่ะก็ ไม่ว่าจะทำอะไรก็คงจะสนุกไปด้วยแน่ๆ…”
“เหรอ ชื่อคุณคางามิสินะ”
“อ๊ะ………… มะ ไม่ใช่! คือคางามิกับ ทาคามิเพื่อนของฉันน่ะ!”
“ไม่ ไม่ไหวแล้วล่ะ แก้ตัวไม่ขึ้นแล้วนะ เดทนี่นา ยินดีด้วยนะ ทั้งที่เป็นพี่แท้ๆ”
ช่วยเลิกเติมคำพูดร้ายๆ ต่อท้ายประโยคจะได้ไหมครับเนี่ย
“ก็ให้คำแนะนำไปแล้วนี่นา ฝากซื้อของฝากด้วยนะ~”
ทั้งที่จริงๆ แล้วควรจะเป็นการตกลงกันว่าฉันจะไปเป็นเพื่อนสุมิเระที่ Animate แลกกับการตอบคำถามไม่ใช่เหรอ
“ของฝากอะไรล่ะ ก็ไปแค่ในเมืองเองนะ”
“ของฝากท้องถิ่นน่ะไม่ค่อยได้กินกันไม่ใช่เหรอ? ก็จงใจไง จงใจ”
เงินค่าจ้างจากการทำงานพิเศษอันล้ำค่าของฉันจะเอามาใช้กับเรื่องไร้สาระแบบนั้นไม่ได้หรอกน่า เงินค่าจ้างทั้งหมดของฉันน่ะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เพื่อฮิรารินเท่านั้น
“อ้าว เฮคุง จะไปเดทเหรอ?”
มาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะเปิดประตูห้องทิ้งไว้เลยไม่ทันสังเกต แต่แม่ในชุดผ้ากันเปื้อนกำลังยืนยิ้มอยู่หน้าประตู
แย่ที่สุด โดนถามเรื่องที่ไม่อยากให้แม่ของเด็กผู้ชายม.ปลายได้ยินที่สุดเป็นอันดับสองเข้าจนได้ นั่นก็คือเรื่องเพศตรงข้าม ส่วนอันดับหนึ่งก็คือเรื่องลามกทั้งหมดนั่นแหละ
“กับซากุระจังสินะ? ดีจังเลยนี่”
“แม่ ทำไมต้องพูดออกมาหมดเลยล่ะ…”
“เหรอ คางามิ ซากุระเหรอ น่ารักรึเปล่า?”
สุมิเระที่ยังไม่เคยเจอคางามิ ถามแม่ด้วยน้ำเสียงประมาณว่า คู่เดทของพี่ชายก็คงจะเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ สินะ
“น่ารักสิ เหมือนไอดอลเลย แถมยังสุภาพเรียบร้อยอีกด้วย ถ้าแม่จะได้ลูกสะใภ้ล่ะก็ อยากได้ซากุระจังจังเลยนะ~”
“เหรอ คุณแม่น่ะชมใครก็ได้ทั้งนั้นแหละ เชื่อไม่ได้หรอก พี่ มีรูปอะไรไหม?”
“ไม่มีเฟ้ย ถึงมีก็ไม่ให้ดู! ทั้งสองคนออกไปได้แล้ว!”
“ฟุฟุ เฮคุงนี่เขินใหญ่เลยนะ”
“เดี๋ยวสิพี่ อย่าผลักสิ! แล้วอีกอย่างจับตรงไหนของฉันเนี่ย!”
“โอ๊ย!”
การสตอล์กของคางามิทำฉันเอือมระอาสุดๆ แต่ก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นมากมายเพราะคางามิเหมือนกัน ตอนที่ไปเที่ยวกันสองคนสุดสัปดาห์นี้ ถ้าได้ตอบแทนบุญคุณนั้นบ้างสักนิดก็คงจะดี
ฉันทำได้มันก็มีอยู่ไม่มากหรอก แต่ว่า แค่นิดเดียวก็ยังดี แค่เพียงนิดเดียวจริงๆ ถ้าทำให้เธอคิดว่า ‘ดีจังที่ได้มา’ ‘ดีจังที่ชวนมา’ ได้ล่ะก็… ก็คงจะดีใจน่าดู
วันศุกร์ เหลืออีกสองวันก่อนที่จะไปเที่ยวกับคางามิ
ยิ่งใกล้วันนั้นเข้ามาเท่าไหร่ ความตื่นเต้นก็ยิ่งพองโตขึ้นเท่านั้น คางามิเองก็คงจะรู้สึกเหมือนกันสินะ
“ฉันเงยหน้ามองเพดานพลางนึกถึงเขา และไม่ทันรู้ตัวก็เผลอยิ้มออกมา”
“ทาคามิ อย่ามาพากย์เสียงในใจให้คนอื่นส่งเดชสิ”
“ก็ออร่ามันออกมาแบบนั้นนี่นา? ว่าไงๆ มีอะไรคืบหน้ากับคางามิบ้างรึเปล่า?”
เจ้านี่ สัญชาตญาณเฉียบแหลมไม่ใช่เล่น
“ถ้าพูดว่าคืบหน้ามันก็ฟังดูเหมือนว่าฉันอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กับคางามิในเชิงความรักสินะ แต่ฉันมีคนที่สาบานรักกันไปตลอดชีวิตแล้ว เพราะงั้นกับคางามิไม่ใช่แบบนั้น อย่างแรกเลยคือฉันไม่สนใจโลกสามมิติ แล้วก็จริงอยู่ที่คิดว่าคางามิน่ารัก แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน…”
“อย่ามารัวคำพูดเร็วๆ สิ เร็วเกินไปจนฟังไม่รู้เรื่องแล้ว”
ทาคามิกุมท้องหัวเราะกับการกระทำแบบโอตาคุของฉัน
“อืม แต่ดูท่าทางจะมีเรื่องกลุ้มใจอยู่นะ เกี่ยวกับคางามิ”
“ฉันทำหน้าแบบนั้นเหรอ?”
“ทำสิ เฮทาโร่เป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ แต่ก็มีมุมที่เข้าใจง่ายอยู่เหมือนกัน ตลกดีออก”
“ฉันชื่อเฮตะต่างหาก”
ทาคามิพูดว่า “จงใจต่างหากล่ะ” แล้วก็กุมท้องหัวเราะอย่างร่าเริงอีกครั้ง
“กลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่ล่ะ ปรึกษาพวกเราสิ เราเป็นเพื่อนซี้กันไม่ใช่เหรอ?”
“มะ เพื่อนซี้…?”
“ย่อมาจาก ‘เพื่อนซี้ปึ้ก’ ไง เพื่อนสนิท เพื่อนที่สนิทกัน บราเธอร์! โอเค?”
บราเธอร์มันพี่น้องกันไม่ใช่เรอะ
“จะว่ากลุ้มใจก็ไม่เชิง คือว่าเป็นเรื่องของเพื่อนฉันน่ะ แต่ว่า…”
ถ้าทาคามิรู้ว่าฉันจะไปเที่ยวกับคางามิสองต่อสอง ต้องโดนล้อแน่ๆ คงจะไม่ล้อแบบร้ายๆ หรอก แต่ว่ามันน่าอายยังไงไม่รู้ เพราะงั้นเลยต้องเกริ่นนำแบบนี้ไว้ก่อน แต่ว่า
“ถ้าเกริ่นมาแบบนั้นล่ะก็ เป็นเรื่องของเฮโบแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ช่วยเงียบๆ ฟังหน่อยได้ไหม?”
แล้วอีกอย่าง ฉันมีชื่อเล่นเยอะไปแล้วนะ?
“คือเพื่อนฉันน่ะ ได้ไปเที่ยวกับเด็กผู้หญิงในห้องสองต่อสอง แต่ว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่ชินกับเรื่องความรักเลยไม่ค่อยรู้ว่าจะไปที่ไหนดีน่ะ เขามาปรึกษาฉัน แต่ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน”
“ยังจะเล่นบทเรื่องของเพื่อนอยู่อีกเหรอ เฮโกโร่มีเพื่อนแค่พวกเราเองไม่ใช่เรอะ!”
ช่างมันเถอะ ไม่สนใจแล้ว
“เพราะงั้นเลยอยากจะถามทาคามิที่ช่ำชองร้อยศึกว่าไปที่ไหนดีน่ะ”
ทาคามิทำหน้าครุ่นคิดแล้วเอียงคอ ไม่ถ่อมตัวเลยนะเจ้านี่ที่ถูกเรียกว่าช่ำชองร้อยศึกเนี่ย
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าอยากจะเป็นยังไงกับเด็กคนนั้นน่ะนะ”
“เป็นยังไง หมายความว่า?”
“อยากจะคบด้วย หรืออยากจะให้เป็นเพื่อนนอน หรือว่าโดนชอบจนน่ารำคาญเลยอยากจะให้เกลียด”
ไม่ใช่สักอย่าง เจ้านี่พูดเรื่องเหลือเชื่อออกมาหน้าตาเฉยเลยนะ เพื่อนนอนเนี่ย ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลตัวในชีวิตของฉันซะอีก แต่ทาคามิคิดว่าฉันสามารถมีเพื่อนนอนได้งั้นเหรอ ไม่สิ คงจะแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ แหละ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยฉัน
“อยากจะเป็นเพื่อนกันต่อไป ไม่อยากให้เกลียด แล้วก็มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้คบกันไม่ได้”
“เหรอ งั้นเพื่อนคนนั้นก็คงจะชอบเด็กคนนั้นอยู่สินะ ถ้าไม่มีเหตุผลที่ว่านั่น ก็คงอยากจะคบด้วยล่ะมั้ง ฉันได้ยินมาแบบนั้นนะ”
ทาคามิมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าที่เหมือนจะมองทะลุปรุโปร่งแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ในแววตานั้นไม่มีความคิดที่จะล้อเลียนเลยแม้แต่น้อย เป็นเพียงสีหน้าและน้ำเสียงที่เหมือนกำลังทดสอบอยู่ว่าควรจะผลักดันเพื่อนคนนี้ดีไหม โดยที่ยังไม่รู้คำตอบ
“จะเป็นยังไงนะ… ถ้าไม่ถามเพื่อนคนนั้นก็คงจะไม่รู้”
“อืม งั้นเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะลงเอยแบบไหน เดี๋ยวจะให้คำแนะนำทุกรูปแบบเลยแล้วกัน อย่าลืมไปบอกเพื่อนคนนั้นด้วยนะ?”
“อื้อ แน่นอนอยู่แล้ว”
“อย่างแรกเลย ถ้าอยากจะคบกับเด็กคนนั้นล่ะก็──”
“วันนี้จะมาอ่าน Marshmallow ส่วนที่คราวที่แล้วอ่านไม่ทัน แล้วก็จะมาตอบคำถามกันนะคะ!”
ฉันกับสุมิเระนั่งดูไลฟ์ของฮิรารินอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นด้วยกัน
ไหนๆ ก็ติดแล้ว วันนี้เลยได้มาดูด้วยกันซะเลย เพราะดูในทีวีเลยไม่ได้คอมเมนต์ แต่ก็อดใจไม่ไหวอยากจะเปย์ซูเปอร์แชทจริงๆ
“ฮิรารินสวัสดีตอนเย็นค่ะ สวัสดีค่ะ! ฉันจะได้ไปเดทกับคนที่ชอบแล้วค่ะ แต่ว่าฉันไม่ค่อยรู้เรื่องแฟชั่นเลย ไม่รู้ว่าจะต้องใส่ชุดแบบไหนไปเขาถึงจะดีใจ ถ้าเป็นฮิรารินล่ะก็ เดทแรกจะใส่ชุดอะไรไปเหรอคะ? อยากจะถามจากคุณผู้ชมที่เป็นผู้ชายด้วยค่ะ ว่าอย่างนั้นนะคะ!”
ว่าแต่ วันที่จะไปเที่ยวกับคางามิ จะใส่ชุดอะไรไปดีนะ
ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องการแต่งตัวให้ดูดีเท่าไหร่ เรื่องนั้นน่าจะถามทาคามิไว้ด้วยก็ดี
ในเมื่อต้องไปยืนอยู่ข้างๆ คางามิ ซากุระคนนั้นแล้ว ก็ต้องไม่ทำให้เธออับอาย แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ไม่มีเสื้อผ้าที่ดูดีเลยสักชุด จะไปเที่ยวกันอีกสองวัน พรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด สามารถไปซื้อได้ แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าจะต้องซื้ออะไรดีเหมือนกัน
คางามิจะชอบผู้ชายที่ใส่ชุดแบบไหนกันนะ
“ฉันไม่มีประสบการณ์เดทเลย เลยไม่รู้ว่าชุดแบบไหนจะทำให้คนดีใจค่ะ แต่ว่า ก็อยากจะให้เขาคิดว่าเราน่ารักใช่ไหมล่ะคะ ถ้าพอจะรู้ว่าเขาชอบชุดแบบไหน ก็จะใส่ชุดนั้นไปค่ะ แต่ถ้าไม่รู้ ก็จะใส่ชุดที่ตัวเองคิดว่าน่ารักที่สุดไปค่ะ! เพราะอยากจะให้เขาเห็นตัวฉันที่ดีที่สุด เลยไม่มีกั๊กค่ะ! ก็เคยพูดไปในไลฟ์คุยเล่นคราวก่อนแล้วนะคะว่าซื้อชุดเดรสสวยๆ มา! ถ้าเป็นตอนนี้ก็จะใส่ชุดนั้นไปค่ะ!”
ชุดเดรสของฮิราริน ต้องน่ารักมากแน่ๆ พยายามจะจินตนาการดู แต่ไม่รู้ทำไมถึงนึกภาพชุดเดรสของคางามิขึ้นมาแทน
ถึงมะรืนนี้จะได้ไปเที่ยวกันสองคนก็เถอะ แต่จะมาคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน ต้องนึกภาพฮิรารินสิเฟ้ย คิดอะไรอยู่เนี่ยฉัน ยัยนั่น คางามิเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องแล้วก็สตอล์กเกอร์เท่านั้นแหละ กลับมามีสติได้แล้ว
ว่าแต่ วันนี้ไม่โดนสตอล์กเลยแฮะ คงเป็นเพราะรู้สึกถึงตัวตนข้างหลังได้เกือบทุกวันล่ะมั้ง ช่วงนี้เลยเริ่มจะสังเกตเห็นคางามิได้บ่อยขึ้น
พอไม่มีตัวตนนั้นอยู่แล้วก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ฉันตบหน้าตัวเองไปฉาดหนึ่ง
“เอ๊ะ อะไรน่ะ จู่ๆ ก็”
น้องสาวที่เห็นพี่ชายตบหน้าตัวเองก็ทำหน้าแหยๆ
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
“แล้วคุณผู้ชมที่เป็นผู้ชายล่ะคะ มีชุดที่ถ้าผู้หญิงใส่มาในเดทแรกแล้วจะดีใจบ้างไหมคะ?”
‘เปลือยหมดดีที่สุด’
‘ไม่ๆ แบบที่เห็นวับๆแวมๆ ดีที่สุดแล้ว กระโปรงสั้นกับเสื้อไหมพรมแขนกุดรัดรูป ขอโหวตให้เลย’
‘ถ้าเป็นฮิรารินล่ะก็อะไรก็ได้ สิ่งสำคัญคือใครเป็นคนใส่ต่างหากล่ะ… แต่ขอโชว์ขาด้วยนะครับ’
ช่องคอมเมนต์กลายเป็นเวทีแสดงรสนิยมทางเพศของแต่ละคนไปแล้ว สุมิเระที่เห็นแบบนั้นก็พึมพำว่า “น่าขยะแขยง…” สุมิเระ คำพูดนั้นน่ะสำหรับบางคนมันเป็นรางวัลเลยนะ อย่าไปทำให้พวกโรคจิตดีใจสิ
ฉันแอบเปิดไลฟ์ของฮิรารินจากมือถือซ่อนไม่ให้สุมิเระเห็น แล้วก็เริ่มพิมพ์คอมเมนต์
ถ้าได้ไปเดทกับฮิรารินล่ะก็ อยากจะให้เธอใส่ชุดแบบนี้ จินตนาการนั้นมันพองโตขึ้น และไม่ทันรู้ตัวก็เปิดมือถือขึ้นมาแล้ว
‘ถ้าเป็นฮิรารินล่ะก็ไม่ว่าจะใส่อะไรก็น่ารัก แต่ที่สำคัญที่สุดคืออยากให้ใส่สิ่งที่ฮิรารินอยากจะใส่ อยากจะเห็นฮิรารินที่อารมณ์ดีเพราะได้ใส่ชุดนั้น แต่ว่าปกติใส่ชุดญี่ปุ่น เลยอยากจะเห็นฮิรารินในชุดสากลบ้าง อย่างชุดเดรสเรียบๆ ใสๆ ก็น่าจะเหมาะกับเดทแรกดีนะ ชอบ’
พิมพ์เสร็จแล้วก็พอใจเพราะได้ระบายจินตนาการออกไปแล้ว เลยตั้งใจจะลบทิ้งก่อนที่จะส่ง
“พี่แอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ น่ะ”
“เหวอ!?”
พอโดนสุมิเระแอบมอง ก็พยายามจะปิดหน้าจออย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเองที่เพราะความรีบร้อนเลยพลาดไปกดโดนปุ่มส่งเข้าจนได้
“……? อะไรกัน ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร”
น่าอายจังเลยอยากจะลบทิ้ง แต่ในสภาพที่มีสุมิเระอยู่ข้างๆ นี่มันยาก
ถ้าสุมิเระรู้ว่าฉันคอมเมนต์อะไรแบบนี้ไป มีหวังได้โดนพูดว่า “น่าขยะแขยง…” ใส่แน่ๆ ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้นมาบ้าง ไม่อยากจะให้มันห่างเหินไปอีก
“อือๆ ทุกคนก็มีความคิดเห็นต่างๆ นานาเลยนะคะ~ งั้นคุณผู้ถามก็ช่วยอ้างอิงจากช่องคอมเมนต์นี้ด้วยนะคะ! แต่ว่าทุกคน พูดแต่เรื่องแปลกๆ ทั้งนั้นเลย อาจจะอ้างอิงไม่ค่อยได้เท่าไหร่มั้งคะ…?”
‘ชุดว่ายน้ำโรงเรียนเท่านั้น’
‘ชุดเมดเป็นไงบ้าง’
‘ส่วนฉันชอบชุดนักเรียนนะ’
“แฟนคลับของฮิรารินมีแต่คนแบบนี้เหรอ?”
“เปล่าหรอก ทุกคนพูดเล่นครึ่งหนึ่งน่ะ คงจะนะ”
พอโดนสุมิเระชี้ให้เห็นถึงระดับมารยาทของแฟนคลับฮิราริน ก็เลยต้องแก้ตัวไปก่อน
ทุกคนก็คงจะแค่อยากจะเห็นฮิรารินทำหน้าลำบากใจเวลาส่งคอมเมนต์โรคจิตแบบนี้ไปล่ะมั้ง ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ อยากจะคิดว่าเป็นอย่างนั้น
หลังจากนั้นก็ยังคงดูไลฟ์ต่อไป แต่พอผ่านไปประมาณชั่วโมงครึ่งสุมิเระก็เผลอหลับไป เธอเอาหัวมาพิงไหล่ฉันแล้วหลับไปทำให้ขยับตัวไม่ได้ พอพยายามจะปลุกเธอก็ละเมอว่า “พี่…” แล้วก็หลับต่อ พอหลับแล้ว คุณสมบัติน้องสาวก็ดูไม่เลวเหมือนกันนะ
ฉันค่อยๆ ยกหัวสุมิเระออกจากไหล่แล้ววางลงบนโซฟาได้สำเร็จ เอาผ้าห่มของสุมิเระมาจากห้อง แล้วก็ห่มให้สุมิเระที่กำลังหลับปุ๋ยหายใจสม่ำเสมออยู่ ก่อนจะปิดไฟกับทีวี
ถ้าเป็นสุมิเระเมื่อก่อนล่ะก็ คงจะกลัวเกินกว่าจะนอนคนเดียวในห้องนั่งเล่นได้แน่ๆ
แต่ก็อยู่ม.3 แล้วนี่นะ คงจะทิ้งไว้คนเดียวได้แหละมั้ง… เดี๋ยวโดนโกรธทีหลังรึเปล่านะ?
พอกลับมาที่ห้องแล้วพยายามจะดูไลฟ์ของฮิรารินต่อจากคอมพิวเตอร์ แต่พอเปิดขึ้นมาก็เข้าสู่ช่วงพูดคุยปิดท้ายพอดี
“งั้นทุกคน ไว้เจอกันในไลฟ์วันพรุ่งนี้นะคะ! แล้วเจอกันค่า~”
ไลฟ์ก็จบแล้ว ฉันเองก็เข้านอนบ้างดีกว่า คั่นด้วยวันหยุดพรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็จะได้ไปเที่ยวกับคางามิแล้ว
ชุดที่จะใส่ไป สถานที่ที่จะไป มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะแยะเลย
ฉันลองค้นหาสถานที่ที่ทาคามิบอกทางเน็ตพลางนึกภาพวันจริง คางามิจะสนุกไปกับมันไหมนะ
Kobe umie ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองโกเบ เป็นสถานที่ที่ชาวเมืองโกเบทุกคนต้องเคยไปใช้บริการ
ขนาดฉันที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนแถมยังมีเพื่อนน้อยยังเคยมาตั้งหลายครั้ง ไม่ว่าจะมาซื้อของกับครอบครัว หรือมาดูหนัง เหตุผลที่มาที่นี่ก็มีหลากหลาย แต่ก็หมายความว่าที่นี่มีทุกอย่างครบครันนั่นเอง
ไม่นึกเลยว่าฉันคนธรรมดาๆ คนนี้ จะได้มาที่นี่กับเด็กผู้หญิงในห้อง ไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดา แต่เป็นคางามิ ซากุระคนนั้น
สุดท้ายแล้วเมื่อวานก็โดนแม่กับสุมิเระลากไปซื้อเสื้อผ้าให้ฉันจนได้ แต่เสื้อผ้าที่ฉันเลือกก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด ตอนนี้ชุดที่ฉันใส่อยู่เลยเป็นของที่สุมิเระกับแม่เลือกให้ทั้งหมดเลย ถึงแม้ว่าแม่จะเป็นคนซื้อให้ทั้งหมดก็เถอะ แต่ว่า…
เดือนมิถุนายนแล้วอากาศชื้นมาก ถ้าใส่เสื้อผ้าหนาเกินไปแล้วเหงื่อออกเยอะๆ จะดูน่าขยะแขยงแล้วก็โดนรังเกียจได้ สุมิเระให้ความเห็นแบบนั้น เลยเลือกใส่แจ็คเก็ตผ้าฤดูร้อนบางๆ ข้างในเป็นเสื้อยืดสีขาวเรียบๆ พอพูดว่า ‘ข้างใน’ สุมิเระก็แก้ให้ทุกครั้งว่า “อินเนอร์นะ” จะเรียกอะไรก็เหมือนกันไม่ใช่เรอะ อ้อ แล้วเสื้อตัวนอกต้องเรียกว่าเอาท์เตอร์ด้วยนะ จะยังไงก็ช่างเถอะ
แล้วก็กางเกงเป็นสแล็คสีดำเรียบๆ เหมือนกัน ดูเหมือนว่าสมัยนี้จะนิยมทรงหลวมๆ มากกว่าสกินนี่รัดรูป พอเรียกกางเกงว่า ‘ズボン (zubon)’ ก็โดนแก้ให้ว่า “パンツ (pantsu) นะ” มันซ้ำกับกางเกงในไม่ใช่เรอะ เรียกว่าซึบงก็ดีแล้วนี่นา โดนบอกให้แยกแยะจากการออกเสียงที่ต่างกัน แต่ถ้าเป็นตัวหนังสือล่ะจะทำยังไง
สุมิเระกับแม่ดูสนุกสนานกับการเลือกเสื้อผ้าให้ฉัน ทั้งสองคนพากันพูดคำที่ไม่เข้าใจอย่าง จีเล่ต์ กางเกงชิโน่ หรือเซ็ตอัพไม่หยุด ส่วนฉันก็ยืนกางแขนเป็นหุ่นโชว์อยู่ข้างหลังตลอดเวลา ทำให้ตอนนี้ปวดกล้ามเนื้อแขนไปหมดแล้ว
คราวหน้าคงต้องเลี่ยงการไปซื้อของกับสองคนนั้นแล้วล่ะ ถึงแม้จะสัญญากับสุมิเระไว้แล้วว่าจะไป Animate ด้วยกัน แต่ถ้าเป็น Animate ล่ะก็คนละเรื่องกันเลย เพราะนั่นคือสนามของฉัน บัฟจะทำงานแล้วฉันจะเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าปกติสามเท่า
ฉันทำนองนี้ของฉัน สำหรับสองคนนั้นแล้วก็คงจะเป็นคำพูดที่ไม่เข้าใจเหมือนกันสินะ
ตอนนี้เป็นเวลาก่อนเที่ยง ฉันนั่งรอคางามิอยู่บนม้านั่งใกล้ๆ กับ… จะเรียกว่าประติมากรรมกลไกขนาดใหญ่ที่อยู่บนถนน Center Street ชั้นหนึ่งของ umie ดีไหมนะ เอาเป็นว่ามันคือสวิตช์ของพีทาโกรัสขนาดใหญ่นั่นแหละ
umie ที่นี่แบ่งออกเป็น South Mall และ North Mall โดยมีถนนใหญ่ที่ฉันอยู่ตอนนี้มี Center Street คั่นกลาง จากชั้นสองของ South Mall จะมีทางเชื่อมไปยังอาคารที่ชื่อว่า Mosaic ด้วย Mosaic จะมีร้านอาหารเยอะ แล้วก็มีเกมเซ็นเตอร์กับร้านขายของจิปาถะด้วย
เป้าหมายแรกของเราในวันนี้คือโรงภาพยนตร์ที่อยู่ชั้นห้ากับชั้นหกของ South Mall ตัดสินใจกันว่าจะไปดูหนังอนิเมะที่กำลังฮิตกันอยู่ตอนนี้
เป็นผลงานของผู้กำกับชื่อดัง ที่มีภาพวาดที่สมจริงราวกับกำลังดูโลกแห่งความเป็นจริงอยู่ และการคลี่ปมที่หักมุมจนน่าขนลุก ในห้องก็มีหลายคนที่พูดถึงหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน คงจะฮิตน่าดูแล้วก็น่าจะไม่ผิดหวัง
แน่นอนว่าฉันเสนอให้คางามิดูแล้วถึงได้ตัดสินใจ แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่ว่ามันจะดีจริงๆ เหรอ ไม่ใช่ว่ากังวลกับคุณภาพของหนังนะ แต่กังวลว่าสิ่งที่ฉันเลือกจะทำให้คางามิสนุกได้จริงๆ รึเปล่าต่างหาก
“คุณนามิกิ รอแย่เลยนะคะ”
พอหันสายตาจากสวิตช์พีทาโกรัสขนาดยักษ์ไปทางต้นเสียง ก็เห็นคางามิที่บรรยากาศต่างจากทุกทียืนยิ้มให้ฉันอยู่
“คะ คางามิ อะไรกัน ดูต่างจากทุกทีเลยนะ”
“นั่นสินะคะ วันนี้ฉันแต่งหน้ามาค่ะ”
คงจะใช่เรื่องแต่งหน้าด้วย แต่แค่เป็นชุดไปรเวทก็ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปมากแล้ว
พอเห็นคางามิในชุดที่ไม่ใช่เครื่องแบบนักเรียน ก็ยิ่งทำให้ตระหนักได้ว่าวันนี้เรามากันแค่สองคน
“คุณนามิกิ เป็นอะไรไปรึเปล่าคะ? ดูหน้าแดงๆ นะคะ…”
“อื้อ ก็แค่อากาศร้อนนิดหน่อย…”
ชุดเดรสสีซากุระสวยงามที่มีทรงเข้ารูปช่วงเอว ชายกระโปรงบานออกตั้งแต่ช่วงเข่าลงมาทำให้ดูเหมือนนางเงือก ปกเสื้อสีขาวกับริบบิ้นสีดำเส้นเล็กที่หน้าอก ถุงเท้าสีขาวยาวถึงข้อเท้าโผล่ออกมาจากรองเท้าโลฟเฟอร์สีน้ำตาล
ฉันที่กำลังตะลึงในความน่ารักนั้น คางามิก็เอียงคอมองมาด้วยความสงสัย แค่ท่าทางเดียวนั้นก็เกือบจะทำให้สติของฉันพังทลายลง
“ไปกันเถอะ”
“ค่ะ♥”
เราไม่ได้คุยกันว่าจะไปกินข้าวกลางวันที่ร้านไหน แต่ก็เดินไปทาง Mosaic ด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ ในฐานะชาวเมืองโกเบด้วยกันแล้ว เรื่องกินต้องที่ Mosaic นี่คือสิ่งที่รู้กันดีอยู่แล้ว แน่นอนว่าที่ North Mall ก็มีฟู้ดคอร์ท แล้วที่ South Mall ก็มีคาเฟ่อยู่บ้าง แต่ถ้าไม่มีร้านที่อยากจะไปเป็นพิเศษล่ะก็ ไปหาที่ Mosaic จะมีตัวเลือกเยอะกว่า
“คางามิ วันนี้บรรยากาศต่างจากทุกทีเลยนะ”
“ฟุฟุ ก็เมื่อกี้ก็เพิ่งพูดไปนี่คะ เป็นเพราะชุดไปรเวทหรือเปล่าคะ? ส่วนของคุณนามิกิเป็นชุดใหม่สินะคะ อุตส่าห์แต่งตัวหล่อมาเพื่อวันนี้เลยเหรอคะ?”
“ก็เปล่าสักหน่อย… แม่กับน้องสาวน่ะ… ว่าแต่ทำไมถึงรู้ว่าเป็นชุดใหม่ล่ะ”
“การที่ฉันจะไม่รู้เรื่องเสื้อผ้าของคุณนามิกิสิคะแปลก♥”
“ช่างมันเถอะ…”
เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ ถึงจะรู้ก็น่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยก็ไม่ได้
“คุณนามิกิ ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันหน่อยเหรอคะ? แค่พูดสิ่งที่คิดอยู่ออกมาก็พอแล้วค่ะ♥”
“อะไรเล่า ไม่มีอะไรสักหน่อย”
สิ่งที่คิดอยู่น่ะ ก็มีแค่หิวข้าวเท่านั้นแหละ ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าคางามิวันนี้จะน่ารักกว่าปกติ
“โธ่ ไม่ต้องเขินแล้วพูดออกมาสิคะ… อุตส่าห์แต่งตัวน่ารักๆ มาเพื่อวันนี้แท้ๆ นะคะ…”
คางามิทำแก้มป่องแล้วงอน แค่ท่าทางงอนๆ ท่าเดียวก็ดึงดูดสายตาของผู้ชายรอบข้างได้แล้ว ในขณะเดียวกันทุกคนที่มองมายังฉันที่เดินอยู่ข้างๆ ก็ทำหน้าเหมือนกับว่ามีคำถามเต็มไปหมด นั่นก็แหงอยู่แล้ว ขนาดฉันเองยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“อยากกินอะไรเหรอ?”
“อืม คุณนามิกิเป็นสายกินป๊อปคอร์นตอนดูหนังรึเปล่าคะ?”
“ก็กินนะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าหิวแค่ไหนด้วย เพราะการได้กินป๊อปคอร์นกับโคล่าตอนดูหนังมันฟินดี เลยจงใจกินมื้อเที่ยงน้อยๆ บ้างเหมือนกัน”
“ถ้างั้นไปกินของหวานกันไหมคะ? หลังจากของหวานแล้วตามด้วยป๊อปคอร์นรสเค็ม ไม่สุดยอดไปเลยเหรอคะ?”
คางามิก็กินป๊อปคอร์นด้วยเหรอเนี่ย ออกจะน่าแปลกใจแฮะ
“ไปคิดเอาเองตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าฉันเป็นสายเค็มน่ะ?”
“เปล่าค่ะ คุณนามิกิเป็นสายเค็มค่ะ นี่เป็นทฤษฎีส่วนตัวของฉันนะคะ แต่คนที่บ้านทำไข่ม้วนรสเค็มจะเป็นสายเค็ม ส่วนคนที่บ้านทำรสหวานจะเป็นสายคาราเมลค่ะ”
“สุดยอด ถึงจะเป็นอคติแต่ก็ฟังดูเข้าท่าแฮะ… จริงอย่างที่ว่าฉันเป็นสายเค็ม แล้วก็เป็นพวกที่จะเลียเกลือที่ติดนิ้วจนหยดสุดท้ายอย่างไม่อายใครด้วย”
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะเอาเกลือมาติดที่นิ้วของฉันนะคะ ช่วยชิมให้ ‘หมดจด’ เลยนะคะ♥”
“จะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงเล่า!”
“อ๊ะ ร้านตรงนั้นเป็นยังไงบ้างคะ?”
พูดเรื่องที่ไม่รู้ว่าเล่นมุกหรือเอาจริงออกมา แล้วก็เมินคำตบมุกของฉันไปเฉยเลย คางามิชี้ไปที่คาเฟ่ที่ชื่อว่า ‘คันนนยะ’
บนป้ายร้านมีรูปชีสเค้กอยู่ แต่มันดูต่างจากชีสเค้กที่ฉันรู้จักอยู่นิดหน่อย
“ดูสิคะ! ชีสเค้กย่างแน่ะค่ะ!”
“เหรอ ย่างด้วยเหรอเนี่ย แปลกดีนะ ดีเหมือนกัน เอาร้านนี้แหละ”
“ค่ะ! น่าสนุกจังเลยค่ะ♥”
บรรยากาศในร้านดูสงบ และด้วยความที่พนักพิงของที่นั่งสูงเลยให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องส่วนตัว
พอดูเมนูแล้วก็เกือบจะเสียใจว่าอาจจะเกินตัวสำหรับนักเรียนม.ปลายไปหน่อย แต่พอชีสเค้กมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ความเสียใจนั้นก็ปลิวหายไปกับรูปลักษณ์และกลิ่นหอมของมัน
เป็นชีสเค้กที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในความคิดของฉันชีสเค้กส่วนใหญ่จะเป็นของเย็นๆ แล้วก็คิดมาตลอดว่าเป็นของที่ถึงจะเอาไปลนไฟบ้างแต่ก็คงไม่เอาไปย่างหรอก
เป็นรูปทรงกลมๆ คล้ายที่รองแก้วสูงประมาณสี่เซนติเมตร เพราะย่างมาชีสเลยละลายเยิ้ม ช่างยั่วน้ำลายเสียจริง
“น่าอร่อยจังเลยนะคะ♥”
“นั่นสิ แบบนี้เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเลย”
“ครั้งแรกของคุณนามิกิ… ฉันได้รับมาแล้วนะคะ♥”
มันฟังดูทะลึ่งๆ ยังไงไม่รู้ ช่วยเลิกพูดจะได้ไหมครับ?
“อื้ม รสชาติเค็มกว่าที่คิดนะคะ”
“เห็นเขียนไว้ที่ป้ายร้านนะ เหมือนว่าจะใช้ชีสจากเดนมาร์กน่ะ นั่นอาจจะเป็นความแตกต่างกับชีสเค้กที่เคยกินก็ได้”
“หลังจากของเค็มแล้วก็ต้องอยากกินของหวานสินะคะ แล้วป๊อปคอร์นจะเปลี่ยนเป็นรสคาราเมลไหมคะ?”
“ไม่ ยังไงก็ต้องรสเค็มเท่านั้น!”
เราสองคนหัวเราะออกมา บทสนทนาเมื่อครู่นี้ เป็นการหยอกล้อที่มีแค่เราสองคนที่เข้าใจ ฉันพยายามเลี่ยงที่จะเรียกมันแบบนี้มาตลอด เพราะรู้สึกว่าถ้าเรียกแบบนั้นไป ก็เหมือนกับยอมรับในสิ่งที่ไม่ควรยอมรับ แต่ว่านี่มันคือ ‘เดท’ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในตอนที่หัวเราะด้วยกันขณะกินชีสเค้กตอนนี้ ทั้งที่พยายามจะไม่ยอมรับ แต่ก็เผลอคิดไปแบบนั้นจนได้
“คุณนามิกิ ไม่ค่อยไปคาเฟ่เหรอคะ? เห็นท่าทางอยู่ไม่สุขมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เลยกังวลว่าฉันจะเลือกร้านผิดรึเปล่าน่ะค่ะ…”
“ก็ไม่ค่อยไปหรอก แต่ไม่ได้เลือกร้านผิดหรอกนะ แค่ว่า ตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ ไม่ค่อยชินกับร้านหรูๆ แบบนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าคางามิไม่เลือกให้ก็คงไม่ได้มาหรอก ได้รู้จักร้านดีๆ เลยนะ ขอบคุณ”
คางามิทำหน้าประหลาดใจ ในขณะเดียวกันก็แก้มแดงขึ้นมาอย่างเขินอาย
คงเป็นเพราะการที่ฉันพูดขอบคุณตรงๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยล่ะมั้ง ฉันรู้ตัวดี
โดยเฉพาะกับคางามิ การที่จะพูดขอบคุณมันน่าอายยังไงไม่รู้ เพราะปกติแล้วจะปฏิบัติต่อเธอในฐานะสตอล์กเกอร์ เลยมักจะเผลอพูดจาห้วนๆ ใส่บ่อยๆ การที่จะต้องมาพูดจาอ่อนโยนกับคนแบบนั้นมันรู้สึกจั๊กจี้ยังไงพิกล แต่ว่า ก็ต้องพูดออกไปให้ดีๆ เพราะกับคางามิน่ะ มีเรื่องที่อยากจะขอบคุณเยอะเกินไปแล้ว
“การที่คุณนามิกิพอใจ ฉันก็ดีใจค่ะ…♥ ที่จริงแล้วร้านนี้ เมื่อวานฉันมากับซัจจังค่ะ พอรู้ว่าจะได้มา umie ก็เลยขอให้ซัจจังมาเป็นเพื่อน เพราะเป็นเดทกับคุณนามิกิทั้งที ก็เลยไม่อยากจะให้พลาดน่ะค่ะ…”
“อย่างนั้นเหรอ… อืม สำเร็จนะ ตอนนี้สุดๆ ไปเลย… สนุกมาก”
“ฟุฟุ ดีจังเลยค่ะ♥”
ฉันประหลาดใจตัวเองที่ไม่ได้ปฏิเสธคำว่า ‘เดท’ ออกไป ทำไมถึงไม่ปฏิเสธกันนะ นั่นคงเป็นเพราะว่าในใจฉันเองก็มีความรู้สึกเดียวกันอยู่
การที่จะเรียกสิ่งนี้ว่าเดทมันน่าอายก็จริง แต่ในใจลึกๆ แล้วก็คิดแบบนั้นอยู่
“กินเสร็จแล้ว ไปกันเถอะค่ะ”
“นั่นสิ เหลืออีกสิบห้านาทีก่อนหนังจะเริ่ม น่าจะพอดีเลยล่ะมั้ง”
ถ้าหากนี่คือเดทล่ะก็ เวลาแบบนี้ฉันควรจะเป็นคนจ่ายเงินสินะ แต่คางามิกลับเดินไปที่เคาน์เตอร์ตอนที่ฉันกำลังสวมแจ็คเก็ตอยู่ แล้วก็สแกนจ่ายเงินไปก่อนแล้ว
“เท่าไหร่เหรอ? เดี๋ยวฉันจ่ายให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ฉันเป็นคนเอาแต่ใจชวนคุณมาเองนี่คะ”
“แต่ว่า…”
“ถ้างั้น แลกกับการขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ…”
คางามิยื่นมือขวาออกมา แล้วใบหน้าก็แดงก่ำอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“วันนี้เป็นวันอาทิตย์คนเยอะด้วย แล้วตอนเด็กๆ ฉันก็เคยหลงทางที่นี่บ่อยๆ ค่ะ เพราะงั้นเพื่อที่เราจะได้ไม่พลัดหลงกัน ช่วยจับมือฉันไว้หน่อยได้ไหมคะ?”
ทุกๆ คำพูดที่เลือกใช้ ทำให้ใจเต้นตึกตักไปหมด คางามิที่ยื่นมือขวาที่สั่นเทาออกมาพร้อมกับใบหูที่แดงก่ำ คงจะรวบรวมความกล้าอย่างมากถึงได้พูดออกมา การที่จะปฏิเสธเธอไป สำหรับฉันที่อยากจะตอบแทนบุญคุณเธอแล้วคงจะเป็นการกระทำที่ผิดแน่ๆ
“…เข้าใจแล้ว จะจับไว้ให้แน่นเลย”
มือของคางามิทั้งเล็ก ทั้งนุ่ม แล้วก็อุ่น รู้สึกเหมือนว่ามีแค่ที่มือซ้ายเท่านั้นที่ร้อนเป็นพิเศษ ไม่สิ ไม่ใช่แค่มือสินะ หน้าก็ร้อน หัวก็มึนไปหมด
ฉันจับมือขวาของคางามิไว้พร้อมกับความรู้สึกผิดต่อฮิราริน แล้วก็มุ่งหน้าไปยังโรงภาพยนตร์
ในลิฟต์ นอกจากพวกเราแล้วก็มีครอบครัวสามคนที่มากับลูกเล็กๆ แล้วก็มีผู้ชายกับผู้หญิงวัยราวๆ เดียวกับพวกเราอยู่ด้วย ผู้ชายในคู่นั้นมองมาทางพวกเราแวบหนึ่ง แล้วก็เห็นมือที่จับกันอยู่ของเรา จากนั้นเขาก็คงจะรวบรวมความกล้าขึ้นมาบ้าง เลยเอื้อมไปจับมือของเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ
คางามิจะรู้ตัวรึเปล่านะ ถ้าพูดเรื่องนี้ออกไป ก็คงจะต้องมองสถานการณ์ตอนนี้อย่างใจเย็นลงแน่ๆ แล้วก็น่าอายเกินกว่าจะพูดออกไป
ถ้าเธอรู้ตัวล่ะก็ คางามิจะรู้สึกยังไงกันนะ อาจจะรู้สึกอายเหมือนกันก็ได้ อาจจะกำลังส่งเสียงเชียร์ให้เด็กผู้ชายคนนั้นที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันอยู่ก็ได้ แล้วฝ่ายที่ถูกจับมือล่ะจะคิดยังไงนะ แก้มของเธอก็แดงๆ แล้วก็ดูดีใจนิดหน่อยด้วย คงจะไม่รังเกียจแน่ๆ ถ้างั้นฉันเองก็คงจะคิดว่า ไม่ได้รังเกียจ เหมือนกันสินะ
“ขอป๊อปคอร์นรสเค็มครับ”
“รับไซส์ไหนดีคะ?”
มีสามไซส์คือ S, M, L ถ้าสั่งไซส์ S คนละอันก็ดูจะเยอะไปหน่อย แบ่งกันกินไซส์ M ที่ใหญ่กว่า S นิดหน่อยน่าจะกำลังดี แต่ว่า…
“คุณนามิกิคะ เรามาแบ่งกันกินไซส์ M ไหมคะ? ถ้าไซส์ S คนเดียวก็คงจะกินไม่หมด แล้วถ้าจะแบ่งกันกินไซส์ M ก็น่าจะกำลังดีนะคะ”
“เอาแบบนั้นแหละครับ ขอไซส์ M ครับ แล้วก็โคล่าหนึ่งแก้วกับ… คางามิล่ะ?”
“งั้นขอเป็นน้ำส้มค่ะ”
“รับทราบค่ะ”
มือที่เคยปล่อยตอนจ่ายเงิน พอมีป๊อปคอร์นกับน้ำส้มมาอยู่ในมือแล้วก็เลยไม่ได้กลับไปจับกันอีก แต่ฉันก็สังเกตเห็นว่ามีทั้งตัวเองที่โล่งใจกับเรื่องนั้น และตัวเองที่รู้สึกเสียดายอยู่
คิดอะไรอยู่เนี่ยฉัน ฉันรักเดียวใจเดียวกับฮิรารินมาตลอด ตั้งแต่สมัยม.ต้นแล้วไม่ใช่เหรอ
“หนังน่าดูจังเลยนะคะ”
คางามิที่นั่งลงบนเก้าอี้พูดขึ้นอย่างดีใจแล้วก็ยิ้มให้ พอเห็นคางามิแบบนั้นก็รู้สึกขอโทษที่ในใจกำลังสับสนอยู่ระหว่างเธอกับฮิราริน
พอหนังเริ่มฉาย เราสองคนก็ค่อยๆ กินป๊อปคอร์นที่วางอยู่บนตักของฉันไปเรื่อยๆ บางครั้งมือที่พยายามจะหยิบป๊อปคอร์นก็มาสัมผัสกัน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนั้นฉันก็ต้องพยายามอดทนไม่ให้เนื้อหาของหนังหลุดลอยไป แต่หนังก็ทำออกมาดีมาก จนสามารถอินไปกับมันได้จนจบ พอช่วง End roll เริ่มฉาย ฉันก็หันไปมองทางคางามิแวบหนึ่ง ก็เห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของเธออยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคางามิร้องไห้ ฉันเคยคิดมาตลอดว่าคางามิคงไม่เคยร้องไห้เลยนอกจากตอนที่เกิดมา ไม่กินขนม ไม่เขิน ไม่อารมณ์เสีย
เพราะปกติแล้วไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีไปหมด เลยคิดว่าการควบคุมอารมณ์ก็คงจะเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนกัน
ไม่ใช่เลย คางามิก็โกรธเป็น ร้องไห้เป็น แล้วก็หัวเราะเป็น
เธอคือเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่หาได้ทั่วไป
พอได้อยู่กับคางามิแบบนี้ ก็ได้เห็นด้านที่ไม่เคยรู้จักโผล่ออกมาเรื่อยๆ
ฉันหลงไปกับข่าวลือ แล้วก็สร้างภาพของคางามิขึ้นมาเองโดยตัดสินจากภาพลักษณ์เท่านั้น
นั่นมันก็เหมือนกับชิมาดะที่ปฏิเสธงานอดิเรกโอตาคุทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน ต้องรู้จักคางามิให้มากกว่านี้ ต้องอยากรู้จักให้มากกว่านี้
พอ End roll ฉายจบ น้ำตาของคางามิก็ถูกเช็ดออกไปด้วยผ้าเช็ดหน้าแล้ว
“สนุกมากเลยนะคะ! ฉันดูผลงานของผู้กำกับฟุรุยามะมาหมดแล้ว แต่ว่าครั้งนี้อาจจะชอบที่สุดเลยก็ได้ค่ะ!”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน! เพราะครั้งที่แล้วดีมากๆ เลยไม่คิดว่าจะทำได้ดีกว่านั้นซะอีก แต่ก็ทำได้ดีกว่าจริงๆ ด้วยนะ”
“นั่นสิคะ! ครั้งหน้าก็อยากจะมาดูที่โรงหนังอีกแน่นอนค่ะ!”
ผลงานของฟุรุยามะ ทาดาชิ หลังจากที่หนังเรื่องหนึ่งดังเป็นพลุแตก ก็มีแฟนคลับติดตามมากมาย แล้วผลงานครั้งนี้ก็ถูกคาดหวังไว้สูงมาก คุณภาพของมันก็เกินความคาดหมายจริงๆ ขนาดฉันที่ไม่ค่อยรู้เรื่องหนังยังดูออกเลย
เป็นเรื่องราวความรักแนวไซไฟของนักเรียนม.ปลายชายหญิงวัยราวๆ เดียวกับพวกเรา
ฉากที่ทั้งสองคนที่พลัดพรากจากกันได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้วจับมือกัน ทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อครู่แล้วก็เขินขึ้นมา แต่คางามิก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นเลย เธอจะรู้สึกเหมือนกันรึเปล่านะ
“ขอโทษนะคะ อยากจะไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ ช่วยรอสักครู่ได้ไหมคะ?”
“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก จะรออยู่ตรงนี้แหละ”
“ค่ะ! เดี๋ยวรีบกลับมานะคะ!”
ฉันมองคางามิที่วิ่งไปทางห้องน้ำ แล้วก็คิดว่าจะทำยังไงกันต่อดี
จะกินข้าวเย็นก็ยังเร็วไป แล้วที่สำคัญคือป๊อปคอร์นกับโคล่าก็ทำให้อิ่มพอสมควรแล้ว แต่จะให้ไปที่อื่นก็นึกไม่ออกเหมือนกัน หรือว่าจะไปเดินดูของใน umie ให้ท้องว่างก่อนแล้วค่อยไปกินข้าวเย็นดี แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหิวเลย
──เดทแรกน่ะ ควรจะรีบกลับหน่อยถึงจะดีนะ เพราะอยากจะทำให้เขารู้สึกว่าอยากจะอยู่ด้วยกันอีกสักหน่อยไงล่ะ ครั้งแรกแท้ๆ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันนานเกินไปใครๆ ก็ต้องเหนื่อยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าทำให้เขาเหนื่อย สุดท้ายแล้วก็จะจบลงด้วยความทรงจำที่เหนื่อยล้าไม่ใช่เหรอ? ความทรงจำน่ะ สิ่งสุดท้ายจะยังคงอยู่ในใจชัดเจนที่สุดนะ เพราะงั้น แนะนำให้รีบกลับดีกว่า
นึกถึงคำแนะนำของทาคามิขึ้นมา คำแนะนำของทาคามิบอกว่าขึ้นอยู่กับว่าอยากจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับอีกฝ่าย สถานที่ที่จะไปและการกระทำก็จะเปลี่ยนไป
พอมาคิดดูตอนนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะทำตามหรอก แต่ฉันก็ทำตามคำแนะนำของทาคามิในรูปแบบที่ว่า ‘ถ้าอยากจะคบกับอีกฝ่ายล่ะก็’ ไปแล้ว
เพื่อที่จะไม่ให้บทสนทนาน่าเบื่อ ก็เลยเลือกเดทในโรงหนังซะเลยจะได้ไม่ต้องคุยกันมาก แต่ว่าก็จะทำให้ความทรงจำเรื่องบทสนทนาเหลือน้อยลงไปด้วย อาจจะทำให้ความประทับใจจางลงได้ เพราะงั้นพอหนังจบก็ให้คุยกันด้วยเรื่องหนังที่เป็นหัวข้อร่วมกันซะก็สิ้นเรื่อง ทาคามิที่พูดออกมาอย่างมั่นใจ คงจะรู้ตัวแล้วสินะว่าเรื่องที่ปรึกษาน่ะไม่ใช่เรื่องของเพื่อนแต่เป็นเรื่องของฉันเอง ที่ไม่พูดออกมาก็คงจะคิดว่าถ้าล้อเลียนไปฉันอาจจะหัวแข็งแล้วเลือกที่จะไม่ไปก็ได้
ปกติแล้วเป็นคนที่ชอบทำตัวตลกๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างไม่เคยขาดเลยนะ ฉันรู้แล้วล่ะ
พอคิดว่าคางามิน่าจะใกล้กลับมาแล้ว ก็เลยหันไปมองทางห้องน้ำหญิง ก็เห็นหน้าคนที่คุ้นเคยอยู่ ไม่สิ อยากจะคิดว่าเป็นคนละคน
ในตอนที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าในหลายๆ เรื่องแล้วแท้ๆ ไม่อยากจะเจอเจ้านั่นเลย เพราะมันจะทำให้นึกถึงอดีตที่มืดมนและหดหู่ขึ้นมา แต่ว่าก็ใช่จริงๆ ด้วย ยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งเห็นหน้าชัดเจนขึ้น แล้วก็มั่นใจว่าใช่คนคนนั้นแน่ๆ
ชิมาดะ คานะ? หวังว่าจะไม่ใช่ ชิมาดะนี่นา… ไหงเผลอแต่งกลอนสดไปซะได้
“นามิกินี่นา เจอกันบ่อยจังนะช่วงนี้”
“อื้อ…”
“มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
“เปล่า ที่นี่มันโรงหนังนี่นา ก็มาดูหนังน่ะสิ…”
เผลอพูดจาแข็งกระด้างออกไปนิดหน่อย คงเป็นเพราะในใจยังมีความคิดว่าชิมาดะคือ ‘ศัตรู’ อยู่สินะ รู้ตัวเลยว่าเผลอขมวดคิ้วอยู่
อยากจะรีบไปจากที่นี่เร็วๆ แต่ว่าก็ต้องรอคางามิด้วย รีบๆ กลับมาเร็วๆ เถอะ คางามิ
“คานะ── ใครน่ะนั่น”
ความคาดหวังของฉันถูกเหยียบย่ำด้วยเสียงของผู้ชายผมทองที่ไม่รู้จัก
พอหันไปมองทางต้นเสียง ก็เห็นคนที่ไม่รู้จักสามคน หนึ่งในสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนของชิมาดะคือผู้หญิงในสไตล์เดียวกับชิมาดะ แต่ดูเป็นสาวแกลมากกว่านิดหน่อย ผู้ชายที่สาวแกลคนนั้นควงแขนอยู่คือผู้ชายตาตี่ที่ดูเหมือนจะเป็นแฟนของเธอ
“ม.ต้นเดียวกันนี่เอง ว่าแต่เพิ่งเจอกันที่โบนาเพตี้ไม่ใช่เหรอ”
ใช่แล้ว นึกออกแล้ว ตอนที่หนีไปกับยาเอะคาเงะ สามคนที่อยู่ข้างหลังชิมาดะนั่นเอง
“เหวอ นามิกิยังเป็นโอตาคุอยู่เหรอ? น่าขยะแขยงชะมัด ตลกอ่ะ”
พอเห็นสติกเกอร์ฮิรารินที่ฉันใส่ไว้หลังเคสมือถือ ชิมาดะก็หัวเราะเยาะ
นี่คือสติกเกอร์ฮิรารินที่ได้มาจากการช่วยเหลือของพวกคางามิเมื่อวันก่อน การที่โดนหัวเราะเยาะแบบนั้นมันน่าหงุดหงิด แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะพูดโต้ตอบออกไป ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ
อีกแล้ว สถานการณ์เหมือนกับตอนนั้นอีกแล้ว บาดแผลในอดีตมันหวนกลับมา ไม่ทันรู้ตัวขาก็สั่นไปหมดแล้ว เสียงก็ไม่ออกมาด้วย
“เอ๊ะ คนที่คานะบอกว่ามาสารภาพรักไม่ใช่เหรอ? ไม่เจียมตัวเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ”
ผู้ชายผมทองหัวเราะ แล้วอีกสองคนก็หัวเราะตาม เสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในสมอง รู้สึกเหมือนสติจะลอยหลุดไป
ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนนั้นเลยสักนิด การที่จะชอบในสิ่งที่ชอบ มันไม่มีอะไรผิดสักหน่อย ควรจะรู้ดีอยู่แล้วนี่นา คำพูดของชิมาดะ เสียงหัวเราะเยาะของคนอื่นๆ ทั้งหมดนั่นแค่เมินไปซะก็สิ้นเรื่องแล้วนี่นา
ทำไมถึงไม่ทำแบบนั้น ทำไมถึงทำไม่ได้
“โดนโอตาคุอย่างแกมาสารภาพรักนี่น่าอายชะมัดเลย”
ชิมาดะพูดเสียงดังให้คนรอบข้างได้ยิน แต่จริงๆ แล้วเธอไม่ได้คิดว่าน่าอายหรอก ถ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ คงไม่พูดเสียงดังให้คนอื่นได้ยินหรอก ที่จริงแล้วก็แค่อยากจะอวดว่าตัวเองป๊อป แล้วก็แค่ต้องการจะเติมเต็มความต้องการการยอมรับที่น่ารังเกียจของตัวเองเท่านั้น
“โทษทีนะ คานะน่ะคบกับฉันอยู่ เพราะงั้นเลิกหวังซะเถอะ ฮ่าๆๆๆๆ”
“──นั่นมันแปลกๆ นะคะ”
เสียงที่งดงามนั้นดังมาจากข้างหลังของชายผมทอง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นหันไปมอง
“อะไรของแกวะ…”
ชายผมทองที่กำลังจะหันไปตะคอกใส่เจ้าของเสียงนั้น แต่พอเห็นคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตัวแข็งทื่อไปราวกับถูกช่วงชิงหัวใจไป ราวกับได้เห็นเทพธิดา ดวงตาก็เปล่งประกาย แล้วก็ตกตะลึงไป
“ก็เพราะว่าแฟนของคุณน่ะ เมื่อวานยังเดินควงแขนอยู่กับผู้ชายคนอื่นที่ซันโนะมิยะอยู่เลยนี่คะ? ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายวัยสี่สิบกว่าๆ นะคะ แล้วก็ เมื่อวันศุกร์ก็เห็นเดินอยู่กับคุณผู้ชายตาตี่คนนั้นสองต่อสองด้วยนี่คะ… ได้ยินมาว่าเป็นคนรู้จักของคุณนามิกิ แล้วก็จำได้เพราะเพิ่งเห็นที่โบนาเพตี้เมื่อวันก่อนด้วย ไม่น่าจะจำผิดหรอกนะคะ…”
คางามิสบตากับฉันแล้วก็ยิ้มให้ เธอมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ก็รู้ได้เลยว่าเธอกำลังโกรธอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถึงจะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มนั้นก็มีเงาอยู่ สัมผัสได้ถึงความตั้งใจอันแรงกล้าว่าไม่มียอมยกโทษให้เด็ดขาด
“หมายความว่ายังไงวะคานะ”
“หะ หา? จะเป็นไปได้ยังไงกัน แล้วอีกอย่างยัยนี่เป็นใคร แกจะไปรู้อะไร!?!”
ถ้าสิ่งที่คางามิพูดเป็นเรื่องจริงล่ะก็ เรื่องมันจะยุ่งเหยิงมากเลยทีเดียว
ชิมาดะกับชายผมทอง ตาตี่กับสาวแกลเป็นแฟนกัน แต่ชิมาดะกับตาตี่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วชิมาดะก็เดินควงแขนอยู่กับผู้ชายวัยสี่สิบกว่า… หรือว่าจะเป็นเด็กป๋า
สำหรับสาวแกลแล้วก็เหมือนโดนเพื่อนตัวเองแย่งแฟนไป ส่วนตาตี่ก็ไปนอกใจกับเพื่อนของแฟน ชิมาดะก็มีข้อสงสัยเรื่องเป็นเด็กป๋าแล้วยังไปแย่งแฟนเพื่อนอีก อายุ่งเหยิงชะมัด ว่าแต่คางามิไม่น่าจะเห็นพวกชิมาดะที่โบนาเพตี้ไม่ใช่เหรอ แต่ถึงจะบอกว่าแกล้งปั่นข้อมูลเนื้อหาก็ดูจะชัดเจนเกินไป หรือว่าจะได้ยินเรื่องของพวกชิมาดะจากยาเอะคาเงะแล้วก็ไปรวบรวมข้อมูลมางั้นเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็น่ากลัวชะมัด
“คานะ แกเป็นเด็กป๋าเหรอวะ!”
“อากาเนะก็ทำเหมือนกันนี่!”
ชิมาดะขายเพื่อนเพื่อเบี่ยงเบนความโกรธไปทางอื่นหน้าตาเฉย
นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์วุ่นวายลงไปอีก จนไม่รู้แล้วว่าใครควรจะโกรธใครกันแน่
คนเดียวที่ดูปกติคือชายผมทองแฟนของชิมาดะเท่านั้น อาการสั่นเมื่อครู่ของฉันหายไปแล้ว ไม่ทันรู้ตัวก็เผลอเห็นใจชายผมทองไปซะได้
“พอแล้วล่ะ อุตส่าห์คบให้เพราะป๊อปที่สุดแล้วแท้ๆ แต่อากิโตะเรื่องอย่างว่าก็ห่วยแตก”
อากิโตะเหรอ ชื่อของชายผมทองคนนี้ โดนพูดเรื่องไม่จำเป็นออกมาด้วย น่าสงสารจริงๆ
“งั้นไปล่ะนะ กลับดีกว่า หมดอารมณ์จริงๆ”
ชิมาดะเดินจากไปโดยมีสาวแกลที่ชื่ออากาเนะเดินตามไปข้างหลัง โดนแฉขนาดนั้นแล้วยังคิดจะอยู่ด้วยกันอีกนะ
“ฉันก็กลับด้วยล่ะ”
ตาตี่พูดทิ้งท้ายไว้กับชายผมทองแล้วก็จากไป ชายผมทองกับตาตี่ก็คงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนน่าดู ชายผมทองที่ยืนอยู่คนเดียวตรงนั้น ดูเหมือนจะพยายามอดทนไม่ให้ทรุดลงไปกับพื้น โดนแฟนตัวเองนอกใจ แล้วคู่นอกใจก็เป็นคุณลุงที่ไม่รู้จักกับเพื่อนตัวเองอีก แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว
“คางามิ เมื่อกี้เรื่องจริงทั้งหมดเลยเหรอ?”
พอคิดว่าคางามิไม่ได้สตอล์กฉันเมื่อวานซืน ก็คิดได้ว่าเป็นไปได้ว่าพอได้ยินเรื่องของฉันกับชิมาดะจากยาเอะคาเงะแล้ว ก็ไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชิมาดะด้วยการสตอล์กที่เป็น sở trường ของเธอ ไม่งั้นคงไม่สามารถกุมจุดอ่อนได้อย่างแม่นยำขนาดนั้นหรอก
“เปล่าค่ะ แค่ลองเชิงดูเฉยๆ ค่ะ”
ยัยนี่โกหกแน่ๆ
“เอ่อ ขอโทษนะครับ เพราะคางามิพูดอะไรไม่เข้าเรื่องออกไป…”
ฉันก็รู้ดีว่าคางามิทำไปเพื่อปกป้องฉัน แต่ชายผมทองคนนี้ก็น่าสงสารเกินไปหน่อย อีกสามคนน่ะสมควรแล้ว แต่ชายผมทองคนนี้ก็แค่ล้อเลียนฉันไปนิดหน่อย ไม่ได้นอกใจหรือขายตัวสักหน่อย
“ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงแล้วฉันก็พอจะรู้ตัวอยู่แล้ว ถึงจะไม่แน่ใจก็เถอะ แต่ก็รู้สึกว่าคานะคงจะคิดว่าฉันเป็นแค่เครื่องประดับของเธอล่ะมั้ง ก็ฉันต่อยตีเก่งนี่นะ แล้วก็ อืม หล่อด้วยมั้ง?”
สุดยอดเลยนะเจ้านี่ ขนาดสถานการณ์แบบนี้ยังมองโลกในแง่ดีได้ขนาดนี้
“แล้วก็ ขอโทษด้วยนะที่ล้อเลียนไปน่ะ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่ว่า…”
“คานะน่ะ ดูถูกคนที่ชอบอะไรแบบโอตาคุใช่ไหมล่ะ”
ชิมาดะมีแนวโน้มที่จะพยายามยกคุณค่าของตัวเองขึ้นมาโดยการพูดจาดูถูกคนอื่น โอตาคุคงจะเป็นเหยื่อชั้นดีล่ะมั้ง
“เพราะงั้นเลยบอกใครไม่ได้เลย แต่จริงๆ แล้วฉันเองก็ดู Vtuber เหมือนกันนะ”
ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตขนาดนั้น พอโค้งคำนับอย่างแรงแบบนั้นแล้วมันดูมีพลังกดดันแล้วก็เด่นเกินไป ช่วยเลิกทีเถอะ แต่ว่า ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ
“โอชิใคร!?”
“คือเด็กที่ชื่อนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริจากฟลาวเวอร์ไลฟ์น่ะ แต่ว่า…”
มาแล้ว น้องฮิมะที่สุ่มได้แต่ซีเคร็ต
“พวกนั้นน่ะ เป็นพวกที่ดูถูกโอตาคุใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นเลยบอกใครไม่ได้เลย เรื่องของนายด้วย ฉันก็ไปร่วมวงล้อเลียนกับพวกนั้นด้วย ขอโทษจริงๆ นะ”
ชายผมทองโค้งคำนับอย่างสุดตัวแล้วก็ขอโทษฉัน อะไรกัน เป็นคนดีนี่นา
ทั้งที่ไม่รู้จักดีแท้ๆ แต่เพราะอยู่กับชิมาดะก็เลยเหมารวมว่าเป็น ‘ศัตรู’ ไปซะได้
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิเสธงานอดิเรกของคนอื่นทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่เหรอ ต้องมองให้ดีๆ ต้องรู้จักให้ดีๆ
กับทุกคน… แม้แต่กับคางามิเองก็ด้วย
“อากิโตะคุง… สินะ?”
“เออ อากิโตะโว้ย”
ทำไมต้องเติมคำขู่ไว้ท้ายประโยคด้วยล่ะ เป็นนิสัยเหรอ? น่ากลัวนะ
“อันนี้ ถ้านายไม่รังเกียจล่ะก็นะ”
“นี่มัน…!?”
สติกเกอร์เวอร์ชันซีเคร็ตของนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริที่บังเอิญใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์อยู่
ฉันมีแบบเดียวกันอยู่หลายใบแล้ว ถ้ายกให้อากิโตะคุงที่โอชิมากกว่าฉันล่ะก็ น้องฮิมะก็คงจะดีใจมากกว่าแน่ๆ
“จะดีเหรอ!?”
“แน่นอน ฉันมีอยู่หลายใบแล้ว”
“แต่ว่านี่ มันต้องซื้อขนมเยอะมากเลยไม่ใช่เหรอ…? ซื้อไปเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ฉันมีเพื่อนที่ยอมคบหากับงานอดิเรกของฉันอยู่น่ะ ทุกคนช่วยกันกิน ก็เลยพอไหว”
“ดีจังเลยนะ เพื่อนแบบนั้นน่ะ”
“ไม่ใช่เพื่อนหรอกค่ะ… เป็นคู่ที่สาบานรักกันแล้วต่างหากค่ะ♥”
“คางามิช่วยเงียบๆ แป๊บนึงได้ไหม”
“หงอย…”
ตอนนี้มันกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่นะเฟ้ย หงอยอะไรกัน น่ารักชะมัดให้ตายสิ… ตั้งสติก่อน
“ถ้าเป็นคนที่จะตีตัวออกห่างไปเพราะเราชอบในสิ่งที่เราชอบล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกันต่อไปหรอก โอชิของฉันเคยพูดไว้น่ะนะ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงมากๆ เลยล่ะ ฉันชอบตรงที่โอชิของฉันสามารถใช้ชีวิตโดยยึดมั่นในความเชื่อของตัวเองแบบนั้นได้มากๆ เลยนะ”
“…อะวาวา”
ทำไมถึงหน้าแดงขึ้นมาล่ะยัยสตอล์กเกอร์นี่ เมื่อกี้คำว่าชอบน่ะฉันพูดถึงฮิรารินนะ
“แต่ว่าฉันไม่มีเพื่อนแบบนั้น…”
“ถ้าไม่รังเกียจฉันล่ะก็ มาคุยเรื่อง V ด้วยกันสิ ฉันเองก็อยากจะมีเพื่อนคุยเรื่อง V เหมือนกันนะ”
“นามิโมริ…!”
ต้นไม้เยอะไปสองต้นแล้วนะ
ฉันแลกเบอร์ติดต่อกับชายผมทอง หรือก็คือคุณคาสึกะ อากิโตะ อดีตแฟนของชิมาดะ แล้วก็สัญญากันว่าจะมาคุยเรื่อง V กันอีก ก่อนจะแยกย้ายกันไป
“คางามิ สรุปแล้วข้อมูลนั้นเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“เรื่องจริงค่ะ แต่ว่าฉันอาจจะทำเกินไปหน่อยก็ได้ค่ะ ต้องขอโทษคุณคาสึกะด้วยนะคะ…”
“อืม แต่อากิโตะคุงเองก็อาจจะรู้ตัวเร็วขึ้นก็ดีแล้วก็ได้นะ”
เราสองคนนั่งอยู่บนม้านั่งริมทะเลที่อยู่สุดทางของ Mosaic มองดูทะเลที่กำลังเป็นสีส้มเพราะพระอาทิตย์ตก
หนังจบแล้ว จะกินข้าวเย็นก็ยังเร็วไป แต่จะกลับเลยก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อย รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา
ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นอยู่คนเดียว คางามิเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาว่า “คุยกันอีกสักหน่อยไหมคะ?”
ที่น่าแปลกใจคือการที่ฉันรู้สึกว่ายังไม่อยากจะกลับนี่แหละ
ถ้าเป็นฉันเมื่อก่อนล่ะก็ คงจะไม่มีทางมาที่นี่ในวันนี้แต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
“คางามิ”
“……?”
ฉันน่ะ ตลอดมา ตั้งแต่ตอนนั้นสมัยม.ต้น ก็เอาแต่หนีจากโลกสามมิติมาตลอด หนีจากความเป็นจริง แล้วก็หมกมุ่นอยู่กับโลกสองมิติ เพื่อที่จะได้บอกกับตัวเองว่า ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว ฉันกำลังสนุกกับชีวิตอยู่ คงจะเป็นการรักษาความภาคภูมิใจในตัวเองที่เกือบจะสูญเสียไปในตอนนั้นไว้สินะ
แน่นอนว่าโลกสองมิติกลายเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของฉันไปแล้ว ฉันนึกภาพชีวิตที่ไม่มีฮิรารินไม่ออกเลย และแม้กระทั่งตอนนี้ความทะเยอทะยานที่จะแต่งงานกับเธอก็ยังไม่เคยจางหายไป
แต่ว่า ถึงอย่างนั้นก็ตาม… การที่จะปฏิเสธโลกสามมิติไปซะหมดแล้วตีตัวออกห่าง มันก็เหมือนกับสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุด
เพราะงั้น──
“ฉันจะมองให้ดีๆ จะเลิกที่จะทิ้งความคิดไปเพราะว่าเป็นโลกสามมิติ หรือเพราะไม่ใช่ฮิราริน ความรู้สึกของคางามิน่ะ ฉันรับรู้แล้วก็ดีใจด้วยนะ ไม่มีอะไรจะน่ายินดีไปกว่านี้แล้ว ต่อจากนี้ไป ฉันจะมองคางามิให้ดีๆ ด้วยนะ”
“คุณนามิกิ…”
ฉันเองก็เปลี่ยนไปนะ ที่เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ คงเป็นเพราะได้เจอกับคางามิล่ะมั้ง
ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ฉันหันไปมองตัวตนที่อยู่ข้างหลัง แล้วก็เห็นคางามิอยู่ตรงนั้น
“สักวันหนึ่ง ฉันจะพยายามทำให้คุณนามิกิชอบฉัน ให้ได้มากกว่าความรักที่มีต่อโอชิซังของคุณเลยนะคะ♥”
“นั่นไม่มีทางหรอกน่า เพราะในใจฉันฮิรารินคือที่หนึ่ง!”
เป็นคำพูดที่พูดออกไปเพื่อแก้เขิน แต่พอพูดว่าฮิรารินคือที่หนึ่งแล้วเธออาจจะเสียใจก็ได้นะ ทำให้เธอเศร้ารึเปล่านะ พูดอะไรไม่คิดเลยรึเปล่านะฉัน แต่คางามิกลับยิ้มอย่างดีใจผิดคาด
“ฟุฟุ คอยดูไปเถอะค่ะ”
รู้สึกเหมือนว่าใบหน้าจะร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะรอยยิ้มนั้น แต่ด้วยแสงของพระอาทิตย์ตกดิน ความร้อนนี้คงจะไม่ส่งไปถึงคางามิหรอก
Chapters
Comments
- ตอนที่ 4.2 ปัจฉิมลิขิต กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 4.1 บทส่งท้าย เรื่องราวเลิฟคอเมดี้กับน้องสาวน่ะมันมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้นแหละ และโอชิของผมไปตลอดกาลก็มีเพียงฮิรารินคนเดียวเท่านั้น กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 4 การเดทน่ะ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าว่าจะไปที่ไหน ก็คือการได้ไปกับใครต่างหาก และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเริ่มต้น ก็คือการสิ้นสุด กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 3 ถึงจะเป็นตัวประกอบ แต่ตัวประกอบก็มีอดีตอันแสนเจ็บปวดในแบบของตัวเอง และแม้แต่คางามิ ซากุระเองก็มีด้านที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 2 เหตุผลที่คนเราจะตกหลุมรักใครสักคนน่ะ มันช่างเรียบง่ายกว่าที่คิด และต่อมความฮาของทาคามิ จุนก็เรียบง่ายเช่นกัน กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 1 ไอ้ความรู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหลังน่ะ ส่วนใหญ่มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเอง และไอ้ความรู้สึกที่ว่าพอเข้าร้าน 100 เยนแล้วต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อย มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเองเช่นกัน กรกฎาคม 3, 2025
MANGA DISCUSSION