ตอนที่ 3 ถึงจะเป็นตัวประกอบ แต่ตัวประกอบก็มีอดีตอันแสนเจ็บปวดในแบบของตัวเอง และแม้แต่คางามิ ซากุระเองก็มีด้านที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
ผมซื้อกัมมี่ที่คางามิเคยซื้อตอนมาที่ร้านสะดวกซื้อที่ผมทำงานพิเศษอยู่สิบสองชิ้น
ซึ่งมันมีเหตุผลอยู่
เดิมทีเหตุผลที่คนเราจะซื้อขนมชนิดเดียวกันในปริมาณมากที่ร้านสะดวกซื้อนั้นมีอยู่สองประเภท แต่คงต้องอธิบายจากตรงนั้นก่อนจะดีกว่า
อย่างแรกคือกรณีที่ชอบขนมนั้นจริงๆ เลยซื้อตุนไว้ในปริมาณมาก
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ…
“ทั้งหมดสิบสองชิ้น รวมเป็นเงินสองพันห้าร้อยเก้าสิบสองเยนครับ”
ในใจผมร้องตะโกนว่า แพง! แต่อดกลั้นไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแล้วจ่ายเงินไปอย่างราบเรียบ
ถึงจะเป็นสินค้าที่มีขายในร้านสะดวกซื้อที่ผมทำงานพิเศษอยู่ แต่ก็เป็นการซื้อของในร้านสะดวกซื้อที่ไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่
จุดประสงค์ของการซื้อของครั้งนี้ไม่ใช่ขนมในปริมาณมาก
ของที่ต้องการจริงๆ นั้นสามารถหาได้ที่ร้านที่ทำงานพิเศษอยู่ แต่ถ้าถึงขนาดต้องซื้อขนมที่ไม่ต้องการในปริมาณมากเพื่อให้ได้มาล่ะก็ คงจะโดนเพื่อนร่วมงานมองแปลกๆ แน่ เพราะอย่างนั้นผมเลยอุตส่าห์มาที่ร้านสะดวกซื้อที่ไม่ค่อยได้ไปแห่งนี้
“นี่คือสติกเกอร์ของแถมสำหรับการซื้อสินค้าครับ”
“ขอบคุณครับ”
ใช่แล้ว สิ่งนี้แหละ
สติกเกอร์ V-tuber ในสังกัดฟลาวเวอร์ไลฟ์ รุ่นลิมิเต็ดเฉพาะที่เซบอน-อิเลบอนเท่านั้น
มีทั้งหมดสามสิบแบบ สุ่มว่าจะได้สติกเกอร์ของ V-tuber คนไหน
ฮิรารินเป็นสมาชิกที่ได้รับความนิยม เลยมีทั้งแบบปกติและแบบซีเคร็ทอยู่สองชนิด
แน่นอนว่าเป็นแบบสุ่ม ผมเลยตั้งใจจะซื้อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ฮิราริน แต่ค่าจ้างพิเศษก็มีขีดจำกัด
ก่อนอื่นก็เลยลองซื้อมาหกใบก่อน ถ้ายังไม่ได้ก็ค่อยซื้อเพิ่ม
ผมเดินออกจากร้านสะดวกซื้อด้วยท่าทีองอาจราวกับทหารที่กลับมาจากสมรภูมิ พร้อมกับใบหน้าที่ยืดอกผายไหล่ที่สุดเท่าที่จะทำได้
ใบแรก ออกมาเป็น…
“โอ๊ะ!?”
ช่วยไม่ได้ที่จะเผลอส่งเสียงแปลกๆ ออกมา
ไม่นึกเลยว่าจะได้ฮิรารินตั้งแต่ใบแรก
นี่เป็นแบบปกติก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังส่องประกายงดงาม
เริ่มต้นได้สวย
เป้าหมายต่อไปที่ต้องเล็งด้วยความฮึกเหิมนี้ก็คือแบบซีเคร็ทซึ่งมีให้เฉพาะสมาชิกที่ได้รับความนิยมเท่านั้น
ถึงจะบอกว่าเป็นซีเคร็ท แต่แค่เห็นเงาที่พิมพ์อยู่ด้านหลังผมก็รู้ได้ง่ายๆ แล้วว่านั่นคือฮิราริน
ก็เพราะว่าผมคือชายผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของฮิรารินยังไงล่ะ
“ใบที่สอง…!”
การเปิดของสุ่มมันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
ถึงจะไม่ได้ฮิราริน แต่ก็เป็นหนึ่งในแบบซีเคร็ทของคนอื่นที่ไม่ใช่ฮิราริน
ก็ถือว่าได้ของดีแหละ แต่ผมรักเดียวใจเดียวกับฮิราริน
นอกจากฮิรารินแล้วผมก็ไม่ต้องการใคร
“ใบที่สาม…!”
โอ๊ะ อะไรกันครับเนี่ย
ซีเคร็ทของนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริที่เพิ่งจะได้มาในใบที่สอง ก็ซ้ำซะแล้ว
ฮิมะจังก็ป๊อปมากอยู่หรอกนะ แถมผู้ติดตามก็เยอะกว่าฮิรารินด้วย
แต่ว่า มันไม่ใช่
“ใบที่สี่…! ไม่จริงน่า…”
ฮิมะจัง
ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เลย!
“ใบที่ห้า! หา!?”
เป็นนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริอีกแล้ว
ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะว่านัตสึคาเสะ ฮิมาวาริเป็นสมาชิกที่ได้รับความนิยม แถมยังเป็นแบบซีเคร็ทอีก
ไม่ใช่ของที่จะหามาได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
หนึ่งในสามสิบแบบ ถ้าคำนวณง่ายๆ ก็คือหนึ่งในสามสิบ
แต่ที่เล็งอยู่คือซีเคร็ท เพราะงั้นการเล็งเป้าหมายเดียวย่อมยากกว่าแบบปกติมากโข
แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดว่าจะได้มาง่ายๆ หรอก
แต่ถ้าซีเคร็ทของนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริที่มีความหายากระดับเดียวกันจะออกมาบ่อยขนาดนี้ล่ะก็ ซีเคร็ทของฮิรารินสักใบก็น่าจะออกมาให้บ้างสิ
“ฟู่… ใบที่… หก!!”
“แล้วก็เลยมีกัมมี่กับสติกเกอร์แบบเดียวกันเต็มไปหมดเหมือนคนบ้าสินะ”
“นามิกินี่ตลกจริงๆ เลย”
พอมาถึงโรงเรียน ทาคามิที่เห็นผมกำลังหดหู่ก็เข้ามาถามไถ่เรื่องราว แล้วก็หัวเราะก๊ากอย่างมีความสุขจนท้องแข็ง
“ตลกตรงไหนกัน”
“ทางนี้อุตส่าห์ออกจากบ้านเร็วกว่าปกติสามสิบนาทีเพื่อไปซื้อกัมมี่นี่เลยนะ…”
“อะไรวะเนี่ยกัมมี่นี่ แข็งเกินไปจนกรามจะแตกอยู่แล้ว”
“ช่วยไม่ได้นะ จะช่วยกินแล้วกัน”
“ขอบใจนะ”
“ว่าแต่ ไม่ต้องกินกัมมี่ทั้งหมดก็ได้นี่นา?”
“ค่อยๆ ทยอยกินไปก็ได้นี่นา อีกอย่างจุดประสงค์คือสติกเกอร์ไม่ใช่เหรอ จะทิ้งไปก็ได้…”
“ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยยยย!!”
“ตกใจหมดเลย อยู่ๆ ก็ตะโกนทำไม”
“ว่าแต่ทำหน้าอะไรของแกวะ ตลกชะมัดเลย”
มันเป็นนโยบายของผม ถึงแม้ว่าจุดประสงค์จะเป็นของแถม แต่ขนมที่มาด้วยกันก็ต้องไม่เหลือทิ้ง
การที่ฮิรารินกลายมาเป็นสติกเกอร์ก็เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้กับกัมมี่นี้ นั่นก็หมายความว่า การไม่กินกัมมี่ที่แถมมาด้วยนี้ ก็เท่ากับเป็นการทรยศฮิราริน
“การทิ้งของกินเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด!”
“ถึงจะเป็นของแถมก็เถอะ แต่ถ้าทิ้งของกินไปล่ะก็ ฉันก็ไม่สามารถยืนเคียงข้างฮิรารินได้อย่างภาคภูมิใจ!”
“ของแถมมันคือสติกเกอร์นะ”
“นามิกิ แต่เช้าเลยนะ”
ผมที่ออกจากบ้านเร็วกว่าปกติเลยมาถึงโรงเรียนเร็ว กับทาคามิที่ปกติจะมาสายตลอดแต่วันนี้ดูนาฬิกาผิดเลยมาเร็ว และยาเอะคาเงะที่มาเร็วเป็นปกติไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็เดินเข้ามา
ยาเอะคาเงะที่ห้อยหูฟังที่น่าจะใส่ระหว่างเดินทางมาโรงเรียนไว้ที่คอ มองมาที่โต๊ะของผมแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ฉันน่ะ ได้ฮิรารินครบแล้วนะ”
“หาาา!?”
“ซื้อแค่สามอันก็ได้แล้วล่ะ”
เธอพูดอย่างนั้นพลางหยิบสติกเกอร์ฮิรารินสองแบบที่ผมอยากได้จนคอแทบยื่นออกมาจากกระเป๋าแล้วทำท่าชูสองนิ้ว
นึกว่าซื้อแค่สามอันก็ได้มานี่มันโชคดีอะไรขนาดนั้น แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว ผมเปิดหกอันได้ซีเคร็ทมาห้าใบ
ผมต่างหากที่โชคดีกว่าเยอะ
ถึงจะเป็นนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริทั้งหมดก็เถอะ
“ได้ฮิรารินแบบปกติ กับฮิรารินแบบซีเคร็ท แล้วก็อีกใบเป็นนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริจังแบบปกติ”
“แกก็มาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ…”
แฟนคลับที่เยอะที่สุดของฟลาวเวอร์ไลฟ์คือนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริอย่างท่วมท้น
แต่คนที่ผมต้องการมีเพียงฮิรารินคนเดียวเท่านั้น
“ยาเอะคาเงะ ถ้าไม่รังเกียจเอานี่ไปไหม?”
สติกเกอร์แบบซีเคร็ทของนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริ
ผมมีอยู่ห้าใบแล้ว ไม่ต้องการอีก
เดิมทีก็ตั้งใจจะเลิกหลังจากได้ฮิรารินมาครบสองแบบแล้ว เพราะงั้นแม้แต่ใบเดียวก็ไม่ต้องการ
ที่สำคัญที่สุดคือถ้าโดนมองว่านอกใจฮิรารินล่ะก็แย่แน่
“เอ๊ะ ให้เหรอ? นี่มันใบที่ป๊อปที่สุดเลยนะ?”
“รู้สิ”
“แต่หัวใจของฉันมอบให้ฮิรารินคนเดียวเท่านั้น และ…”
“ได้มาห้าใบแล้วน่ะ”
“ห้าใบ!?”
“นามิกินายซื้อขนมไปกี่อันเนี่ย!?”
“สิบสองอัน”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย หกใบในนั้นเป็นซีเคร็ทห้าใบเนี่ยนะ…”
จริงด้วย ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลย
ไอ้ร้านเซบอน-อิเลบอนนั่นมันกักตุนซีเคร็ทไว้เยอะเกินไปแล้ว
“แต่ว่าสำหรับนามิกิแล้วทั้งหมดนั่นคือของที่ไม่อยากได้สินะ?”
“น่าสงสารแล้วก็ตลกจริงๆ เลย ฮ่าๆๆๆ”
“ทาคามิแก”
พอมาคิดดูแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องแบบการกินขนมกับเพื่อนหรือโดนล้อแบบนี้เลย
การที่ได้สนิทกับสองคนนี้ก็เป็นเพราะคางามิอย่างไม่ต้องสงสัยเลยสินะ
เห็นว่าชอบกัมมี่นี่ด้วย ยกให้คางามิดีกว่า
“เมื่อกี้คิดถึงฉันอยู่ใช่ไหมคะ?”
“เหวอ!?”
“อย่าโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงสิ!”
คางามิที่งอกออกมาจากข้างหลังยาเอะคาเงะยิ้มกริ่มอย่างดีใจ ก่อนจะมองมาที่สติกเกอร์ฮิรารินที่วางอยู่บนโต๊ะของผม
“นี่คือ… โอชิของคุณนามิกิสินะคะ?”
“ใช่ๆ”
“คางามิ เธอบอกว่าชอบกัมมี่นี่ใช่ไหมล่ะ ให้”
“อย่าบอกนะคะว่า… ซื้อมาให้ฉันเหรอคะ!?♥”
ถึงจะไม่ใช่ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าอยากจะตอบแทนบุญคุณอยู่นะ
“จะคิดแบบนั้นก็ได้”
“ดีใจจังเลยค่ะ♥”
“ในที่สุดก็ได้รักกันสมใจกับนามิกิคุงแล้ว…”
“แค่ให้กัมมี่เองนะ”
ทำไมยัยนี่ถึงได้เพี้ยนขนาดนี้นะ
แต่ก็ต้องขอบคุณความเพี้ยนของคางามิที่ทำให้ผมยังไม่เผลอใจไปชอบเธอเข้า
บอกตามตรงว่าถ้าโดนแสดงความรู้สึกดีๆ ใส่แบบปกติล่ะก็ ถึงจะมีฮิรารินอยู่แล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ความตั้งใจของผมจะหวั่นไหว
ก็เป็นสาวสวยนี่นา
“หมายความว่า ถ้าซื้อขนมสองชิ้นก็จะได้รับสติกเกอร์โอชิของคุณนามิกิ แต่ว่ามันมีทั้งหมดสามสิบแบบ และไม่รู้ว่าจะได้ใครออกมาสินะคะ”
“ใช่ๆ”
“เพราะงั้นนามิกิเลยซื้อกัมมี่มาสิบสองอันก่อน แต่กลับได้ใบซ้ำมาห้าใบตั้งแต่แรกเลยไงล่ะ”
“ปุ๊ ตลก”
“ทาคามิแก”
พอทาคามิอธิบายให้คางามิที่ไม่รู้เรื่องฟัง คางามิก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็กอะไรบางอย่าง
“ถ้างั้นวันนี้หลังเลิกเรียน เราไปตระเวนร้านสะดวกซื้อกันเถอะค่ะ!”
“กัมมี่ฉันก็กินได้เหมือนกัน แล้วก็มีเพื่อนที่กินได้อยู่ด้วย ถ้าเหลือก็เอาไปแจกได้ค่ะ!”
“…ว่ายังไงคะ?”
ถ้าไปกับคางามิสองคนก็มีความเป็นไปได้ที่จะเผลอใจไปชอบเธอเข้า เลยปฏิเสธไป
แต่ถ้าไปกันหลายคนก็น่าจะโอเคอยู่
อีเวนต์ไปเที่ยวกับเพื่อนหลังเลิกเรียน ตั้งแต่เข้ามัธยมปลายมายังไม่เคยทำเลย
แอบใฝ่ฝันอยู่เหมือนกันนะ
“ฉันกลับก่อนสองทุ่มก็โอเค”
“ส่วนฉันก็ไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว น่าสนุกดี ไปด้วยแล้วกัน”
“ว่าไงนามิกิ?”
“…ไป”
“ฉันเองก็ต้องกลับก่อนสองทุ่มเหมือนกัน”
เป็นเวลาที่ไลฟ์ของฮิรารินจะเริ่มขึ้น
จะไปสายไม่ได้เด็ดขาด
ยาเอะคาเงะก็คงจะเหมือนกัน
“เย้!”
“น่าสนุกจังเลยค่ะ♥”
เพื่อนๆ ยอมสละเวลามาด้วยกันเพื่อของที่ผมชอบ
ทั้งที่มันเป็นงานอดิเรกของโอตาคุ แต่ทั้งคางามิและทาคามิที่เป็นคนป๊อปก็ไม่ได้ดูถูก แถมยังยอมรับอีกด้วย
ดูเหมือนว่าคนป๊อปทุกคนก็ไม่ได้เป็นศัตรูเสมอไป
“และแล้วก็มาถึงร้านแรก!”
“ทำไมไม่ไปร้านเซบอนใกล้ๆ โรงเรียนล่ะ?”
ยาเอะคาเงะที่สงสัยว่าทำไมถึงต้องเลี่ยงร้านสะดวกซื้อที่ผมทำงานพิเศษอยู่แล้วอุตส่าห์มาที่ร้านอื่นถามขึ้น
“ร้านสะดวกซื้อร้านนั้นคุณนามิกิทำงานพิเศษอยู่ บางทีคุณนามิกิอาจจะอายก็ได้มั้งคะ?”
“ช่วยเลิกพูดก่อนที่ฉันจะอธิบายได้ไหม?”
“อีกอย่าง เพราะมันป๊อปไงล่ะ ของเลยหมดเร็ว”
“มีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องไปตระเวนหลายที่นะ”
เราอุตส่าห์นั่งรถไฟจากสถานี Gakuen-Toshi ที่อยู่ใกล้โรงเรียนมาประมาณยี่สิบนาทีเพื่อมายังซันโนะมิยะ เมืองที่ใหญ่ที่สุดในโกเบ
ถ้าเป็นที่นี่ล่ะก็มีร้านเซบอน-อิเลบอนอยู่หลายที่
ปกติจะใช้บริการบ่อยๆ เวลาออกมาซื้อของของฮิราริน แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้มากับเพื่อนหลังเลิกเรียนแบบนี้
“ไปซื้อกัมมี่กันเถอะค่ะ!”
“ไปกันเลย~”
“ถ้าฉันได้มาจะเอาไปลงขายในแอปขายของมือสองนะ”
“ทาคามิแก”
พวกเราต่างก็ซื้อกัมมี่คนละสองชิ้น แล้วก็ได้สติกเกอร์มาคนละใบ
“งั้นฉันเริ่มก่อนนะ”
คนเปิดประเดิมคือยาเอะคาเงะ
เธอตัดที่ขอบถุงเพื่อไม่ให้สติกเกอร์ข้างในเสียหาย แล้วสติกเกอร์ข้างในก็เผยโฉมออกมา
“โอ๊ะ มาตั้งแต่แรกเลย”
“ฮิราริ~~~~~~~~~~~~~~~~~~น!!”
ไม่นึกเลยว่าจะได้ซีเคร็ทฮิรารินตั้งแต่ใบแรก
แต่ยาเอะคาเงะเองก็เป็นโอชิฮิรารินเหมือนกัน
ถึงจะมีอยู่แล้วหนึ่งใบ แต่ก็คงจะให้ไม่ได้
“ดีใจด้วยนะ… ช่วยดูแลส่วนของฉันให้ดีๆ ด้วยนะ…”
“ไม่ต้องทำท่าเหมือนซามูไรพ่ายศึกขนาดนั้นก็ได้ ให้”
“พูดอะไรของเธอ ต้องมีสามใบสำหรับเก็บรักษา สำหรับชม และสำหรับใส่ในเคสมือถือไม่ใช่เหรอ!?”
ถ้าเป็นโอตาคุล่ะก็มันเป็นเรื่องที่ต้องรู้อยู่แล้ว
เพราะงั้นถึงจะได้รับมาก็คงจะมาจากคางามิหรือทาคามิที่ไม่สนใจฮิราริน…
“แต่ฉันมีอยู่แล้วใบนึง”
“อีกอย่างของแบบนี้มันเหมือนกับว่าการได้เปิดซองคือจุดประสงค์หลักแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่แล้วนะ นี่สำหรับเผยแผ่ลัทธิแล้วกัน”
“อยากให้นามิกิได้สัมผัสถึงความสุดยอดของภาพประกอบที่สัมผัสได้จากซีเคร็ทฮิรารินเท่านั้น”
“ยาเอะคาเงะ… เธอนี่มัน…”
น้ำตาของผมไหลออกมาจริงๆ ไม่ใช่การล้อเล่นหรือการแสดง พอทาคามิเห็นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ ฮิรารินี่มันตลกขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”
“…อ๊ะ นี่มันฮิรารินไม่ใช่เหรอ?”
ทาคามิที่หัวเราะเสียงดังก็เริ่มเปิดซองของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สติกเกอร์ที่เขาได้ต่อจากยาเอะคาเงะคือซีเคร็ทฮิราริน
“ฮิราริ~~~~~~~~~~~~~~~~~~น!!”
“อ๊ะ นี่ต้องตะโกนทุกคนสินะ”
“งั้นต่อไปตาฉันนะคะ! เอ้ย”
“อ๊ะ! ฉันก็ได้เหมือนกันค่ะ!”
“ฮิราริ…!”
มือของยาเอะคาเงะเข้ามาปิดปากผมที่กำลังจะอาละวาด
“ไม่จริงน่า… แบบปกติไม่ออกมาเลยนี่นา”
ยาเอะคาเงะ ทาคามิ คางามิ สามคนได้ซีเคร็ทฮิรารินติดต่อกัน เหลือแค่ผมคนเดียว
กระแสนี้มันเหมือนกับนัตสึคาเสะ ฮิมาวาริเมื่อเช้าเลย
นั่นก็หมายความว่า…!
“ซีเคร็ทมันมาเป็นทอดๆ!!”
สติกเกอร์ที่ออกมาจากซอง ดูเหมือนจะช้าเป็นพิเศษ
สติกเกอร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เฉพาะซีเคร็ทเท่านั้นที่ขอบจะมีลายเหมือนเพชรประดับอยู่เป็นสีเงิน
และตรงกลางก็มีตัวละครอยู่ มุมขวาบนจะมีชื่อของตัวละครนั้นเขียนอยู่
สติกเกอร์ที่ผมเห็นเป็นภาพช้าตอนนี้ ขอบเป็นสีเงิน
อีกนิดเดียวก็จะเห็นชื่อแล้ว
ก่อนที่จะเห็นชื่อ ถ้าเป็นฮิรารินล่ะก็ต้องเห็นแขนเสื้อกิโมโนก่อนสิ
ซีเคร็ทมีทั้งหมดสี่แบบ
สี่แบบที่ถูกเลือกมาคือสี่คนที่ป๊อปที่สุดในฟลาวเวอร์ไลฟ์
หนึ่งในนั้นคือโอชิสุดที่รักของผม ฮิราริน
เอาล่ะ เป็นยังไง!!
“เอ่อ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกนะ แต่นี่ไม่ใช่โอชิของนามิกิสินะ?”
ทาคามิผู้ไร้ความปรานี ยาเอะคาเงะหัวเราะแห้งๆ
คางามิพูดกับทาคามิว่า “อย่าแกล้งนามิกิคุงไปมากกว่านี้เลยค่ะ… มันโอเวอร์คิลแล้วค่ะ…” แล้วก็คร่ำครวญไปพร้อมกับผม
“นัตสึคาเสะ ฮิมาวาริ”
“อัตราการปรากฏตัวของเธอมันเป็นยังไงกันแน่…”
นัตสึคาเสะ ฮิมาวาริใบที่หก แบบซีเคร็ท
ไม่ใช่ว่าเกลียดฮิมะจังหรอกนะ
เพียงแต่ มันออกมาเยอะเกินไปหน่อยรึเปล่า
“เอาน่าๆ นามิกิคุง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็ได้ฮิราริซังที่ต้องการแล้วนี่คะ”
พูดจบก็มีสติกเกอร์สามใบยื่นมาให้ผม
คางามิ ยาเอะคาเงะ ทาคามิ แต่ละคนกำลังจะให้ซีเคร็ทฮิรารินกับผมคนละใบ
“ส่วนฉันไม่ต้องการอยู่แล้ว แค่ได้เปิดซองด้วยกันก็สนุกแล้วล่ะ”
“ฉันเองก็มีใบนึงก็พอแล้วมั้ง”
“ส่วนฉันแค่เห็นนามิกิคุงดีใจก็มีความสุขแล้วค่ะ♥”
“ทุกคน…”
ผมรับสติกเกอร์สามใบนั้นมา แล้วก็คุกเข่าก้มหัวลงกับพื้นราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพื้น
“ข้าน้อยเป็นหนี้บุญคุณพวกท่านอย่างใหญ่หลวง!! บุญคุณครั้งนี้ชั่วชีวิตก็…!! ไม่ลืม!!”
“อ๊ะ ประโยคนั้นฉันก็รู้เหมือนกันนะ”
“น่าอายนะ เลิกทำเถอะ”
“ถ้าแต่งงานกับฉันก็ยอมค่ะ♥”
มีแค่คางามิที่พูดอะไรเหลือเชื่อออกมาหน้าตาเฉย แต่ขอทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน
“เอาล่ะ งั้นก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ไปเที่ยวกันเถอะ~”
“ดีเลยค่ะ! ไปไหนกันดีคะ”
“ท้องอิ่มเพราะกัมมี่แล้ว เพราะงั้นขอเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของกินนะ”
ทั้งสามคนหันหลังให้ผมราวกับเป็นเรื่องปกติ แล้วเดินออกไปเพื่อหาที่เที่ยว
ผมเนี่ยนะ จะไปเที่ยวกับทุกคนหลังเลิกเรียน
ผมคนนี้ที่เป็นคนธรรมดาๆ จะเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนป๊อปแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ
“ทำอะไรอยู่ล่ะนามิกิ รีบมาเร็วเข้า”
“ได้ซีเคร็ทฮิรารินแล้วถึงกับขาอ่อนเลยเหรอ?”
“แต่งงานสินะคะ♥”
คุณคางามิครับ พอดีตอนนี้กำลังซึ้งอยู่ ช่วยเงียบๆ หน่อยได้ไหมครับ
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ผมวิ่งตามหลังสามคนนั้นไป
ไม่นึกเลยว่าจะได้มาอยู่ในกลุ่มคนป๊อปแบบนี้
ตัวผมตอนมัธยมต้นคงจะจินตนาการไม่ถึงแน่ๆ
“เอาไงดี? นามิกิมีที่ไหนอยากไปรึเปล่า?”
“ที่ที่อยากไป… นึกไม่ออกแฮะ…”
ทั้งที่ทาคามิอุตส่าห์ถาม แต่ผมกลับตอบอะไรดีๆ ไม่ได้เลย
สมกับที่เป็นคนธรรมดาจริงๆ
“เอาเถอะน่า ที่ที่ไปบ่อยๆ น่ะลองบอกมาสิ”
“โอตะมอลล์มั้ง”
“อะไรนั่น”
“นามิกิ ชื่อทางการของตึกนั้นมันไม่ใช่แบบนั้นนะ คนที่ไม่ใช่โอตาคุเขาไม่เข้าใจหรอก”
“ชื่อที่ถูกต้องคือซันมอลล์”
“ที่ถูกเรียกแบบนั้นเพราะมีร้านที่โอตาคุชอบไปบ่อยๆ น่ะ”
ยาเอะคาเงะช่วยเสริมคำพูดของผม
ยาเอะคาเงะเองก็ไม่ได้ดูเหมือนพวกเก็บตัวเลย แต่กลับเข้าใจเรื่องของโอตาคุดีจังเลยนะ
“หืม งั้นลองไปที่นั่นดูไหม?”
“เอ๊ะ แต่คนที่ไม่ใช่โอตาคุไปแล้วจะไม่เบื่อเหรอ?”
เป็นสถานที่ที่มีร้านอย่างอนิมาร์ทหรือซุยกะบุ๊กส์ ร้านขายการ์ดหรือร้านขายของเล่นเรียงรายอยู่
บอกตามตรงว่าไม่คิดว่าคางามิหรือทาคามิจะสนุกได้เลย
“ดีออก อยากรู้เหมือนกันว่าปกติแล้วนามิกิไปที่ไหน”
“ฉันเองก็ดูอนิเมะเหมือนกันนะจะบอกให้?”
“เอ๊ะ!? ทาคามิเนี่ยนะ!?”
“แปลกใจล่ะสิ”
“ก็ดูเยอะอยู่นะ”
ทาคามิพูดพลางยิ้มอย่างมั่นใจ
“อย่างโกระก้อนบอล หรือทูพีซ”
“อย่างนี้นี่เอง”
“อืม ก็ คงจะ อืม”
“อะไรเล่า”
ถึงจะเป็นอนิเมะที่ยอดเยี่ยมและเป็นผลงานระดับตำนานก็จริง แต่มันไม่ใช่แบบนั้นสิโว้ยทาคามิ
ถ้าคนที่ยกอนิเมะพวกนั้นมาเป็นอนิเมะที่ชอบไปที่โอตะมอลล์ล่ะก็ สเกาเตอร์คงจะระเบิดเพราะความแตกต่างของพลังต่อสู้กับโอตาคุแน่ๆ
“ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ว่าอยากจะชอบสิ่งที่นามิกิคุงชอบก็เลยอยากจะไปค่ะ!”
คางามิ หยุดเถอะ เดี๋ยวก็หลงรักเอาหรอก
“ก็ดีออก ลองไปกันดูเถอะ”
“อ๊ะ ก่อนหน้านั้นแวะโบนาเพทีกันก่อนไหม?”
“ดีเลยค่ะ!”
“อ่า อยากดื่มอะไรหวานๆ”
โบนาเพทีเป็นคาเฟ่เก๋ๆ ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น เป็นร้านที่พวกเก็บตัวอย่างผมเข้าไปได้ยาก
ผมเดินตามหลังสามคนนั้นไปพลางรู้สึกหวั่นๆ กับโบนาเพที สักพักก็เห็นพื้นที่เก๋ไก๋ที่มองเห็นภายในร้านผ่านกระจกได้
แถวรอที่เคาน์เตอร์ยาวจนแทบจะล้นออกมานอกร้าน และบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ก็คนแน่นมาก
“ดูคนจะเยอะนะ ฉันรอข้างนอกแล้วกัน”
ผมใช้เรื่องคนเยอะเป็นข้ออ้างเพื่อจะหนีออกจากโบนาเพที แต่ทาคามิคงจะรู้ทันเลยทำหน้าเหมือนหัวเราะเยาะ
“นามิกิ กลัวเหรอ?”
“ครับ เพราะงั้นช่วยยกโทษให้ด้วยครับ”
“ฮ่าๆๆๆ เป็นคนซื่อสัตย์ดีนี่นา”
“ได้ๆ เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้รออยู่ตรงนี้นะ”
“คางามิ ถือสี่คนไม่ไหวช่วยหน่อยได้ไหม?”
“แน่นอนค่ะ! ซัจจังล่ะจะเอายังไง?”
“ฉันก็รอเหมือนกัน”
“เดี๋ยวให้เงินทีหลัง ช่วยซื้ออันเดิมมาให้หน่อยได้ไหม?”
“อื้อ! ส่วนของคุณนามิกิคุงเดี๋ยวฉันจะซื้อของที่ฉันแนะนำมาให้นะคะ!”
“อ่า… ขอบใจนะ”
คางามิกับทาคามิเดินเข้าไปในร้านด้วยกัน
สองคนนั้นพออยู่ด้วยกันแล้วดูดีจริงๆ เลยนะ
“นามิกิ ไม่ได้ฝืนอยู่ใช่ไหม?”
ยาเอะคาเงะที่ใส่ใจรออยู่ด้วยกันถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
จากคางามิกับทาคามิสัมผัสได้ถึงออร่าของคนป๊อปอย่างชัดเจน แต่ยาเอะคาเงะน่าจะมีรากฐานมาจากฝั่งนี้สินะ
เพราะงั้นเธอถึงเข้าใจความรู้สึกของผมตอนนี้อย่างลึกซึ้ง
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ฉันแอบใฝ่ฝันเรื่องแบบนี้อยู่น่ะ”
“แต่ดูเหมือนว่าโบนาเพทียังเป็นด่านที่ยากเกินไปสำหรับฉัน”
“หึๆ เข้าใจเลย”
“ถ้าซากุระไม่พามา ฉันก็คงไม่มาเด็ดขาด”
เป็นอย่างนั้นจริงๆ สินะ
ยาเอะคาเงะใช้เวลากับคางามิผู้ร่าเริงสดใสนาน
คงจะได้รับอิทธิพลจนชินกับการกระทำของคนป๊อป แต่รากฐานก็ยังเป็นพวกเก็บตัวสินะ
“กับยาเอะคาเงะน่ะ ไม่รู้ทำไมถึงคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ”
“รู้สึกเหมือนว่าเราคล้ายกันน่ะ”
“อะไร จะจีบเหรอ?”
“ไม่มีทางหรอกน่า ก็เพราะหัวใจของฉันน่ะ”
“ติดแหง็กอยู่กับฮิรารินแล้วนี่นา”
ยาเอะคาเงะพูดสิ่งที่ผมกำลังจะพูดออกมาก่อน
ในชั่วพริบตานั้น ผมก็หันไปมองยาเอะคาเงะแล้วสบตากัน
ไม่รู้ว่าตลกอะไร แต่เราสองคนก็หัวเราะออกมา
“อ๊ะ นามิกิไม่ใช่เหรอ?”
เป็นเสียงที่คุ้นหู
เจ้าของเสียงที่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนมองมาที่หน้าผม แล้วก็เบนสายตาไปที่ยาเอะคาเงะที่ยืนพิงกำแพงอยู่ข้างๆ
“อะไร แฟนเหรอ? …ไม่น่าจะใช่สินะ”
“ชิมาดะ…”
ชิมาดะ คานะ
เป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนม.ต้น แต่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นธรรมดา
สำหรับผมแล้วเธอคือบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตในโรงเรียนมัธยมต้นของผม
“อะไร เพื่อนของคานะเหรอ? …แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะ”
ข้างหลังชิมาดะมีคนป๊อปอีกสามคนอยู่ ดูเหมือนว่าจะยังคงคบกับเพื่อนที่ดูเป็นเด็กเกเรไม่เปลี่ยนจากตอนม.ต้นเลย
“จะว่าเพื่อนก็ใช่ จะว่าคนรู้จักก็ได้มั้ง? ห้องเดียวกันน่ะ”
ห้องเดียวกันนี่มันอะไรกัน ฟังแล้วดูสองแง่สองง่ามชะมัด
“หืม ก็พวกเก็บตัวแบบนี้จะเป็นเพื่อนกับคานะได้ยังไงล่ะนะ”
เด็กหนุ่มสไตล์แกลพูดขึ้น
ปกติแล้วจะพูดต่อหน้าผมแบบนี้เลยเหรอ
ไม่ได้คิดว่าการเป็นพวกเก็บตัวมันเป็นเรื่องไม่ดีอะไรเลยนะ แต่มันน่าหงุดหงิดที่โดนดูถูกแบบนี้
“ก็แหงอยู่แล้ว”
“ก็แค่โดนไอ้นี่สารภาพรักมาเท่านั้นแหละ”
“จริงดิ! ไม่เจียมตัวเกินไปแล้ว!”
คนที่โกรธกับท่าทีดูถูกผมไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวสินะ
ยาเอะคาเงะเดินออกมาข้างหน้าผมแล้วจ้องเขม็งไปที่ชิมาดะ
“อะไร?”
“อาจจะอยากอวดว่าตัวเองป๊อปโดยการป่าวประกาศเรื่องที่โดนสารภาพรักก็ได้นะ แต่เธอก็รู้ใช่ไหมว่าทำแบบนั้นแล้วนามิกิจะอาย”
“ขอโทษซะ”
“หา? อะไรของยัยนี่ อยู่ๆ ก็มาโมโหใส่ ไม่เข้าใจเลย”
พูดกับเพื่อนที่อยู่ข้างหลังแล้วก็หัวเราะคิกคักกันสี่คน
ดูเหมือนว่ายาเอะคาเงะจะทนกับท่าทีแบบนั้นไม่ไหวแล้ว
“พอแล้ว ไปกันเถอะนามิกิ”
ยาเอะคาเงะพูดอย่างนั้นแล้วก็จูงมือผมเดินออกไป
ครึ่งหนึ่งรู้สึกดีใจที่เธอโกรธแทนผม อีกครึ่งหนึ่งก็รู้สึกขอโทษที่ทำให้ยาเอะคาเงะต้องมาเจ็บใจไปด้วย
คงจะเจ็บใจมากสินะ
เล็บของเธอกำลังจิกเข้ามาในมือของผม
…ค่อนข้างเจ็บเลยนะ
“ยาเอะคาเงะ ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันแค่หงุดหงิดเอง”
“แต่ว่า แยกออกมาแบบนี้ดีแล้วเหรอ? เดี๋ยวจะคลาดกับสองคนนั้นเอานะ”
“ถ้ายังอยู่ตรงนั้นต่อไป คงโดนพูดจาให้เจ็บใจกว่านี้แน่”
“เดี๋ยวติดต่อสองคนนั้นไปนัดเจอกันที่โอตะมอลล์ก็ได้”
ยาเอะคาเงะเป็นคนดีจริงๆ
ผมเคยโดนพวกคนป๊อปทำเรื่องไม่ดีใส่ในอดีต เลยเหมารวมไปเองว่าพวกคนป๊อปทุกคนคือศัตรู และพยายามจะเว้นระยะห่างกับยาเอะคาเงะที่สนิทกับพวกคนป๊อปอยู่บ้าง
แต่ว่า ยาเอะคาเงะไม่ใช่คนไม่ดี แล้วถึงจะเป็นคนป๊อปแต่คางามิกับทาคามิก็เป็นคนดี
คนป๊อปหรือคนเก็บตัว มันไม่เกี่ยวกันเลยสินะ
ควรจะมองที่ตัวคนมากกว่า
“ขอโทษนะนามิกิ”
“เรื่องอะไร…?”
“หลงทาง”
“จริงดิ…”
ถ้าเป็นคางามิกับทาคามิล่ะก็คงจะไม่หลงทางในซันโนะมิยะแน่ๆ แต่ผมกับยาเอะคาเงะเป็นประเภทเดียวกัน
นั่นก็คือ ไม่ได้คุ้นเคยกับเมืองใหญ่พอที่จะเดินได้อย่างอิสระในซันโนะมิยะ
“ฉันรู้จักแค่แถวสถานีกับโอตะมอลล์เองนะ”
“เหมือนกัน”
“ถนนเก๋ๆ แบบนี้ไม่เคยเดินเลย”
มองไปรอบๆ ก็มีแต่ร้านขายเสื้อผ้าที่อ่านชื่อไม่ออกว่าเป็นภาษาอังกฤษรึเปล่า
จะว่าไปแล้วเป็นร้านขายเสื้อผ้ารึเปล่าก็ยังไม่แน่ใจเลย
บรรยากาศเหมือนกับว่าถ้าลองเข้าไปอาจจะเป็นร้านเสริมสวยก็ได้
“เดี๋ยวจะติดต่อสองคนนั้นไว้ก่อนนะ”
“ขอบใจนะ”
ก่อนอื่นพวกเราก็พิงหลังกับตึกใหญ่แล้วนั่งยองๆ ลง
“นามิกิ ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไรนะ”
ยาเอะคาเงะเกริ่นนำแบบนั้น ด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะขอโทษ
“เรื่องของเด็กผู้หญิงที่ชื่อชิมาดะคนนั้น เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?”
“ที่นามิกิดูเหมือนจะเว้นระยะห่างกับเพื่อนๆ อยู่หน่อยๆ น่ะ บางทีอาจจะเพราะมีเรื่องอะไรกับเด็กคนนั้นรึเปล่านะ”
“เอ๊ะ ฉันดูเหมือนเว้นระยะห่างเหรอ?”
ผมไม่รู้ตัวเลย แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ สาเหตุก็น่าจะมาจากเรื่องของชิมาดะ
ถ้ายาเอะคาเงะที่เซนส์ดีจนสัมผัสได้ว่าผมมีเรื่องอะไรกับชิมาดะรู้สึกอย่างนั้นล่ะก็ คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“ก็แค่เรื่องอกหักธรรมดาๆ แหละ…”
“คงจะน่าเบื่อนะ แต่จะฟังเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าจะฟังเพราะมันน่าสนุกหรอกนะ”
“เพียงแต่ว่า… เรื่องของเพื่อนก็อยากจะรู้จักให้ดีๆ น่ะ”
“เพราะอยากจะสนิทกับนามิกิให้มากขึ้น ไม่อยากให้ต้องมาเกรงใจอะไรฉันเลย”
ถ้าเป็นคนใจดีอย่างยาเอะคาเงะล่ะก็ คงจะพูดออกมาได้โดยไม่ต้องอายแน่ๆ
ยาเอะคาเงะคงจะไม่หัวเราะเยาะหรอก
ที่คางามิเคยพูดว่าถ้าเป็นเพื่อนของคางามิล่ะก็ทุกคนเป็นคนดี ดูเหมือนจะไม่ผิดไปจากความจริงซะทีเดียว
ตอนนี้ผมก็รับรู้แล้วว่าทั้งคางามิ ทาคามิ และยาเอะคาเงะต่างก็เป็นคนดี
เพื่อที่จะไม่ให้ทั้งสามคนที่ใจดีกับผมโดยไม่ดูถูกว่าเป็นพวกเก็บตัวและพยายามจะทำความรู้จักผมต้องมาคิดว่าผมเว้นระยะห่าง
“เข้าใจแล้ว”
“อาจจะยาวหน่อยนะ แต่โอเคไหม?”
“อื้อ จะฟังกี่ชั่วโมงก็ได้”
เพื่อรอให้คางามิกับทาคามิหาเจอ ผมจึงส่งข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ไปให้ แล้วก็ตัดสินใจเล่าเรื่องในอดีตของผมให้ฟังระหว่างรอ
“เป็นเรื่องตอนม.ต้นน่ะ…”
*
ตัวผมในตอนนั้นยังไม่ได้เป็นโอตาคุขนาดนี้ ได้ยินบทสนทนาของพวกโอตาคุที่ใช้มีมในเน็ตก็ยังคิดอยู่เลยว่าพูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจ
ที่ผมมาติดวัฒนธรรมโอตาคุก็คือในคืนหนึ่งที่นอนดึก
ตอนนั้นผมที่กำลังติดเกม Smash Battlers หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า SumaBato อยู่ มักจะแอบพ่อแม่เล่นเกมบนทีวีในห้องนั่งเล่นจนดึกดื่นอยู่บ่อยๆ
พอคิดจะพักสักหน่อยเลยเปลี่ยนช่องทีวี แต่เพราะเป็นเวลาดึกมากแล้วเลยไม่มีรายการที่เด็กม.ต้นอย่างผมจะคิดว่าสนุกเลยสักรายการ เลยเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ
แล้วที่นั่น ผมก็ได้พบกับมัน
‘ไม่ใช่ว่าทำเพื่อนายซะหน่อยนะ!!’
ประโยคที่ดาษดื่นในวงการโอตาคุนั้น ได้กระตุ้นต่อมความรู้สึกของผมที่ไม่เคยสัมผัสวัฒนธรรมโอตาคุมาก่อน
ผมไม่ได้ฟังประโยคก่อนหน้าหรือหลังเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่ประโยคเดียว “ไม่ใช่ว่าทำเพื่อนายซะหน่อยนะ!!” น้ำเสียงของคำพูดนั้น และความรู้สึกที่อ่านออกได้ง่ายๆ จากสีหน้า
จากตรงนั้นแม้แต่ผมที่ไม่เคยสัมผัสอนิเมะมาก่อนก็ยังเข้าใจได้ว่า เด็กผู้หญิงคนนี้คงจะทำอะไรบางอย่างเพื่อ ‘นาย’ คนนั้นแน่ๆ
และไม่ใช่แค่ทำอะไรบางอย่าง แต่ยังเข้าใจได้ถึงขนาดที่ว่าทำไปเพราะชอบ
เพียงแค่ประโยคเดียว ราวกับว่าผมได้เห็นเรื่องราวทั้งหมดของเรื่องที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย
เด็กผู้หญิงผมทวินเทลที่สวมกระโปรงสั้นจนไม่น่าจะมีอยู่จริงในโลกความจริง
ดูแล้วเป็นเด็กผู้หญิงประเภทที่โอตาคุชอบแน่ๆ
“น่ารัก…”
เมื่อรู้สึกตัว ผมก็พึมพำออกมาอย่างนั้น
ไม่ได้ถึงกับหลงรักหรือติดใจ แต่ก็ทำให้คิดได้ว่าดูถูกโอตาคุไม่ได้เลยนะ
ผมที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา เริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอนิเมะเรื่องนั้น เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้น แล้วก็หยุดไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น จากภาพที่เกี่ยวข้องในผลการค้นหา ผมก็เจอเด็กผู้หญิงน่ารักอีกคนที่ลายเส้นต่างออกไปเล็กน้อยแล้วก็ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเธอคนนั้นดู
ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็น Vtuber
ช่วงนี้เคยได้ยินพวกโอตาคุในห้องพูดถึงอยู่บ่อยๆ
“เห~ มี Vtuber เยอะแยะเลยนี่นา…”
ผมเจอ Vtuber ที่แตกต่างออกไปเรื่อยๆ
ทุกคนน่ารักหมดเลย แต่ผมก็เจอคนหนึ่งที่น่ารักโดดเด่นออกมา
ดูเหมือนว่าจะเพิ่งเดบิวต์ได้ไม่นาน แต่ก็เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่ได้รับความนิยมแล้ว
ผมที่ได้เห็นเธอคนนั้น ก็ได้รับความรู้สึกช็อกครั้งใหญ่ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
วิชวลของเธอที่ชวนให้นึกถึงซากุระยามค่ำคืนนั้น ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของผมอย่างลึกซึ้งพร้อมกับความเจ็บปวดราวกับโดนบีบหัวใจ
ในตอนนั้นเอง บางทีผมอาจจะตกหลุมรักไปแล้วก็ได้
ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า Vtuber คืออะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะรู้จักเธอคนนี้ให้มากขึ้น อยากจะสนับสนุนเธอคนนี้
ผมเผลอคิดอย่างนั้นไปแล้ว
จากนั้นผมก็เอาแต่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Vtuber คนนั้น โอโบโระสึกิ ฮิราริอย่างบ้าคลั่ง จนเมื่อรู้สึกตัวก็ลืมเรื่องการฝึก SumaBato ไปสนิทแล้วก็หลงใหลไปกับเธอ
แล้วก็เผลอหลับไปจนโดนพ่อแม่ดุอย่างหนักในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนจะไปโรงเรียน
พอไปถึงโรงเรียน เพื่อนสองคนที่อยู่ด้วยกันเป็นประจำก็กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ริมหน้าต่าง ผมวางกระเป๋านักเรียนลงบนโต๊ะของตัวเองแล้วกำลังจะเดินไปหาพวกเขา
ตอนนั้นเองที่ผมเกิดความสนใจขึ้นมา สายตาของผมก็จับจ้องไปยังกลุ่มโอตาคุที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานกระซิบกระซาบอยู่ที่มุมห้อง
พวกนั้นที่ผมเคยดูถูกอยู่ในใจว่าเป็๋นโอตาคุ จะมีตัวละครที่ทำให้หัวใจเต้นแรงเหมือนกันรึเปล่านะ
ถ้าเป็นตัวละครเดียวกับผมล่ะก็ อยากจะคุยด้วยจัง
อยากจะพูดคุยเกี่ยวกับตัวละครที่ชอบ
“รุ่นสามของฟลาวเวอร์ไลฟ์นี่น่ารักกันทุกคนเลยนะ”
พอแอบฟังบทสนทนาของกลุ่มโอตาคุ ก็ได้ยินว่ากำลังพูดถึงฟลาวเวอร์ไลฟ์อยู่
เมื่อวานเพิ่งจะค้นหาข้อมูลมาอย่างละเอียดจนรู้ว่า โอโบโระสึกิ ฮิราริ เดบิวต์ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ของสังกัด Vtuber ที่ชื่อว่าฟลาวเวอร์ไลฟ์
ตอนนี้เอง เพื่อนร่วมชั้นกำลังพูดถึงคนที่ขโมยหัวใจของผมไป
อยากจะเข้าไปร่วมวงด้วย แต่ถ้าอยู่ๆ ผมเข้าไปร่วมวงด้วยมันจะดูแปลกไหมนะ
ผมไม่ใช่ตัวละครโอตาคุสักหน่อย แล้วก็ไม่เคยคุยกับพวกนั้นอย่างจริงจังเลย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ทนไม่ไหวจนเผลอเข้าไปร่วมวงด้วย
“นั่นมันคนที่ชื่อโอโบโระสึกิ ฮิราริสินะ?”
“เอ๊ะ อะไรนะ นามิกิก็ดู V เหมือนกันเหรอ?”
“ไม่สิ ไม่ได้รู้เรื่องละเอียดหรอกนะ แต่ว่าเมื่อวานบังเอิญไปเจอมาแล้วก็น่ารักดีน่ะ”
“เห~ ฮิราริจังนี่มีแววรุ่งมากเลยนะ”
“มาม่า (คนวาด) ก็ยังไม่มีการประกาศออกมาเลย มีคนบอกว่าดูจากลายเส้นแล้วน่าจะเป็นนักวาดชื่อดังมากๆ เลยล่ะ”
คาจิดะพูดด้วยน้ำเสียงรัวเร็วอย่างภูมิใจ
ผมที่อยากจะเข้าไปร่วมวงด้วยกลับรู้สึกแหยงนิดหน่อย แต่ก็พยายามพูดคุยต่อไป
“มาม่าคืออะไรเหรอ?”
“มาม่าก็คือนักวาดที่รับผิดชอบการออกแบบ V คนนั้นไงล่ะ”
“มาม่าของโอโบโระสึกิ ฮิราริจะมีการประกาศออกมาเมื่อไหร่เหรอ?”
“อืม ไม่รู้สิ”
“กรณีที่ไม่มีการประกาศมาม่านี่เป็นครั้งแรกเลย เลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่คงจะมีเหตุผลที่เปิดเผยตัวตนไม่ได้ล่ะมั้ง”
“เพราะงั้นก็คงจะไม่รู้ไปตลอดนั่นแหละ”
“แต่ก็เพราะว่ามีประเด็นเรื่องว่าเขาคือใครอยู่ เลยทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้นเหมือนกันนะ”
เสียงของคาจิดะทั้งเบาและรัวเร็วจนฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่ผมก็พอจะจับใจความสำคัญได้
นั่นก็หมายความว่า ผมหลงใหลในภาพวาดของนักวาดที่ไม่เปิดเผยตัวตนนั่นเอง
ถ้าได้รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร ก็อาจจะได้รู้จักเด็กผู้หญิงน่ารักๆ เพิ่มขึ้นอีกเยอะแยะเลยก็ได้
“คาจิดะ รู้เรื่องละเอียดจังเลยนะ”
“ก็แน่สิ”
“เรื่อง V ล่ะก็มั่นใจว่าเป็นโอตาคุอันดับหนึ่งของโรงเรียนเลยล่ะ”
คาจิดะพูดอย่างภูมิใจพลางแอ่นอก แต่พอเห็นเด็กผู้หญิงที่เดินเข้ามาจากทางเข้าห้องเรียน เขาก็หดตัวลงทันที
เด็กผู้หญิงคนนั้นคือชิมาดะ คานะที่ถูกกล่าวขานว่าน่ารักที่สุดในชั้นปี
คนที่ผมชอบ
“อ๊ะ นามิกิคุยกับพวกคาจิดะด้วย แปลกจัง~”
“…อ่า อืม ก็ประมาณนั้น”
ผมรู้ว่าปกติแล้วชิมาดะมักจะดูถูกพวกโอตาคุอย่างคาจิดะอยู่
ถ้าเธอรู้ว่าผมกำลังคุยเรื่องโอตาคุอย่างสนุกสนานล่ะก็ อาจจะโดนรังเกียจก็ได้ ผมตัดสินใจอย่างฉับพลันแล้วตอบกลับไปอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
“คุยอะไรกับพวกคาจิดะอยู่เหรอ~?”
เป็นคำถามที่ตอบยาก
ผมพยายามจะเบี่ยงเบนประเด็นไปทางอื่น แต่คาจิดะกลับพูดขึ้นมาก่อน
“เรื่อง V นิดหน่อยน่ะครับ…”
คาจิดะพูดพลางดันแว่นขึ้นแล้วยิ้มแสยะ บรรยากาศในตอนนั้นก็เย็นเยียบลง
“เอ๊ะ V คืออะไรเหรอ?”
หยุดนะ
“หมายถึง Vtuber น่ะครับ”
“ไม่รู้จักเหรอครับ?”
หยุดเถอะ คาจิดะ
รู้ว่านายไม่ได้มีเจตนาร้าย
ไม่ได้รู้สึกว่านายพยายามจะทำให้ฉันเสียหน้าหรืออะไรทำนองนั้นเลย
คาจิดะก็แค่พูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่รู้สึกอายเท่านั้นเอง
แต่ว่านั่นแหละ มันไม่สะดวกสำหรับฉัน
ถ้าชิมาดะรู้ว่าฉันเข้าร่วมบทสนทนานั้นด้วยล่ะก็ ฉันต้องโดนชิมาดะเกลียดแน่ๆ
“อะไรนั่น”
“ว่าแต่ทำไมคาจิดะถึงพูดสุภาพล่ะ ตลกจัง”
“…”
คงจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ ในที่สุดคาจิดะก็เงียบไป
แต่ว่ามันก็สายเกินไปแล้ว
“นามิกิ ไม่นึกเลยว่าเป็นโอตาคุด้วยนะเนี่ย~”
“ไม่ใช่นะ…”
ชิมาดะไม่รอฟังคำแก้ตัวของผมแล้วเดินจากไปพร้อมกับเพื่อนๆ ของเธอ
คาจิดะไม่ได้ผิดอะไร
เขาก็แค่พูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น
แต่ผมกลับทำอย่างนั้นไม่ได้
เพื่อนๆ ที่ผมคุยด้วยเป็นประจำซึ่งมองดูเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ไกลๆ มองมาที่ผมด้วยสายตาเย็นชา
ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนเสียไป จนอยากจะหนีออกจากที่นี่ใจจะขาด
ชิมาดะรู้ว่าผมชอบเธอ
เพราะว่าผมเคยสารภาพรักกับชิมาดะไปแล้วครั้งหนึ่ง
ตอนขึ้นม.ต้นปีสอง ได้อยู่ห้องเดียวกัน แล้วก็ได้นั่งข้างกัน นั่นคือจุดเริ่มต้น
ผมดีใจมากที่ได้นั่งข้างชิมาดะที่เป็นคนดังมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
เพราะอย่างนั้น แค่โดนใจดีใส่หน่อยหรือโดนแกล้งนิดหน่อยก็เผลอชอบไปแล้ว
ความรักของเด็กม.ต้นมันก็เป็นแบบนั้นแหละ
แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เข้าใจผิดไปว่าชอบได้แล้ว มันคือช่วงวัยแห่งความใคร่
ชิมาดะไม่ได้ตอบรับคำสารภาพรักของผมอย่างชัดเจน และก็ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับผม
ตรงกันข้าม หลังจากสารภาพรักไปแล้วเธอกลับมาแกล้งผมหรือชวนคุยบ่อยขึ้นเสียอีก เพราะอย่างนั้นผมเลยคิดว่าตัวเองอาจจะยังมีโอกาสอยู่
ผมเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าชิมาดะเป็นคนชี้นำให้คนธรรมดาๆ อย่างผมเข้าใจผิดไปเอง
หลังจากเรื่องของคาจิดะ ท่าทีของชิมาดะและเพื่อนร่วมชั้นที่มีต่อผมก็เปลี่ยนไป
“ใกล้สอบแล้ว ชมรมก็หยุด ไปคาราโอเกะกันไหม?”
มีคนในห้องสองสามคนยกมือเห็นด้วยกับข้อเสนอของชิมาดะ
ผมก็พยายามจะเข้าไปร่วมวงด้วย แต่ชิมาดะที่มองมาที่ผมด้วยหางตาก็พูดขึ้น
“ฮาชิโมโตะไปด้วยไหม?”
ฮาชิโมโตะ เพื่อนสนิทของผม
ถึงจะไม่ได้ทะเลาะกันอย่างชัดเจน แต่หลังจากเรื่องของคาจิดะเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย
เขาคงจะไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นพวกเดียวกันกับผมถ้ามาคุยกับผมสินะ
ถึงผมจะพยายามเข้าไปคุย แต่สายตาเย็นชาในตอนนั้นก็ยังคงติดตาจนไม่มีความกล้าพอที่จะก้าวออกไป
“ไป!”
“แล้วนามิกิเอาไง?”
คำถามนั้นของชิมาดะ ถูกโยนไปให้ฮาชิโมโตะ
บทสนทนาของทั้งสองคน ดังพอที่ทุกคนในห้องจะได้ยิน
แน่นอนว่าผมก็ได้ยิน และทุกคนก็รู้ว่าผมได้ยิน
ดังพอขนาดนั้น
ชิมาดะรู้อยู่แก่ใจ
และชิมาดะที่มอบหมายการตัดสินใจว่าจะปฏิบัติต่อผมในห้องเรียนต่อไปอย่างไรให้กับฮาชิโมโตะ ก็หันมามองผมด้วยหางตาอีกครั้ง
“──ไม่มีก็ดีออก”
คำพูดของฮาชิโมโตะที่ยืดอกพูดออกมานั้น หนักอึ้งทับถมลงมา
มันเป็นการกระทำที่แยบยลจนไม่อาจเรียกว่าการกลั่นแกล้งได้
มือที่ผมกำลังจะยกขึ้นไม่มีที่ไป เลยต้องแกล้งทำเป็นเอามือวางบนหัวตัวเองอย่างฉับพลัน
“นั่นสินะ~ คงจะคุยกับโอตาคุไม่รู้เรื่องหรอก!”
ความเครียดที่ทำให้สายตาพร่ามัว และมิตรภาพที่เปราะบางจนน่าคลื่นไส้
เมื่อรู้สึกตัวผมก็วิ่งออกจากห้องเรียนไปแล้ว
อะไรคือเพื่อน
อะไรคือคนที่ชอบ
สุดท้ายแล้วก็โดนทรยศอยู่ดีไม่ใช่เหรอ
ในห้องเรียนนั้นไม่มีใครอยู่ข้างผมเลย
พอเข้าใจอย่างนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างกะทันหัน ผมจึงรีบหนีเข้าไปในห้องว่างที่บังเอิญเจอเพื่อไม่ให้ใครเห็น
ขณะที่กำลังจมอยู่กับความสิ้นหวัง ความจริงที่ว่าพอคาบเรียนเริ่มก็ต้องกลับไปนั้นยิ่งทำให้ความรู้สึกมืดมนลงไปอีก
จะกลับบ้านเลยดีไหมนะ
ไม่สิ ถึงจะกลับ กระเป๋านักเรียนก็ยังถูกทิ้งไว้ในห้องเรียน
ของที่ติดตัวมามีแค่สมาร์ทโฟนกับหูฟังแบบมีสายที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อ
ถ้ากลับไปแบบนี้ คงจะโดนแม่ดุแน่ๆ…
ผมคิดว่าจะหนีจากความจริง เลยเปิดเล่นไฟล์บันทึกการไลฟ์ของโอโบโระสึกิ ฮิราริที่ยาวสองชั่วโมงซึ่งลังเลที่จะดูอยู่
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่อยากกลับไปที่ห้องเรียนนั้นอีกอย่างน้อยสองชั่วโมง หัวใจของผมใกล้จะแหลกสลายเต็มที
ถึงจะค้นหาข้อมูลมาเยอะ แต่การได้ยินเสียงของโอโบโระสึกิ ฮิราริ นี่เป็นครั้งแรก
ราวกับกำลังไขว่คว้าความหวังสุดท้าย ราวกับกำลังร้องขอความช่วยเหลือจากปุ่มเล่น
ในโลกใบเล็กๆ ของผม คนที่ชอบกับเพื่อนคือทุกสิ่งทุกอย่าง
การสูญเสียทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน เป็นความเครียดที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าแม้แต่ความอาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้ก็พลอยสูญสิ้นไปด้วย
เพราะหน้าตาถูกใจ เพียงแค่เหตุผลนั้น เธอที่ทำให้ผมหลงใหลได้ในเวลาอันสั้น จะสามารถเยียวยาบาดแผลนี้ได้ จะกลายเป็นความหมายใหม่ของการมีชีวิตอยู่ได้ ผมคาดหวังกับความหวังอันริบหรี่เช่นนั้น
ถ้าหากว่าความรู้สึกใจเต้นเมื่อวานเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ถ้าหากว่าดูไฟล์บันทึกการไลฟ์แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะก็ ครั้งนี้แหละที่ความโดดเดี่ยวที่แท้จริงจะมาเยือน
มันน่ากลัวจนทนไม่ไหว แต่ปุ่มเล่นที่กดไปแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่หยุดจนกว่าจะกดปุ่มหยุด
ผมหลับตาลงเพราะกลัวความโดดเดี่ยว
ไม่อยากรู้สึกอะไร ไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากเจ็บปวด
“อา~ อา~ ได้ยินไหมคะ?”
เสียงที่มุ่งตรงไปยังผู้ชม กลับทำให้ผมที่หลับตารออยู่เข้าใจผิดไปว่ากำลังพูดกับตัวเอง
รู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังบอกให้ลืมตาขึ้นมามองทางนี้
ถึงจะน้ำตาคลอ แต่ผมก็ลืมตาขึ้นราวกับตอบรับเสียงนั้น
“อ๊ะ ดูเหมือนจะได้ยินแล้วสินะคะ”
ขณะที่เปิดเพลง BGM ฟรีที่สงบเยือกเย็นซึ่งเคยได้ยินมาแล้วนับหมื่นครั้งในยูทูบ เธอก็พูดต่อ
“สวัสดีค่า โอโบโระสึกิ ฮิราริ จากฟลาวเวอร์ไลฟ์รุ่นที่สามค่ะ”
“วันนี้ก็จะพยายามทำให้ทุกคนที่มารับชมไลฟ์ของฉันได้รับพลังใจกลับไปอย่างเต็มที่ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะคะ”
เป็นเสียงที่ช่วยเยียวยาจิตใจ
ก่อนที่ผมจะทันได้คิดว่าอยากจะสัมผัสเสียงนั้นให้ใกล้กว่านี้ มือของผมก็เอื้อมไปยังกระเป๋าเสื้อเสียแล้ว
หูฟังแบบมีสายสีขาวที่แถมมาตอนซื้อมือถือพันกันยุ่งเหยิงอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ดูท่าจะยังใช้ไม่ได้ในทันที
เร็วเข้า…
อยากจะสัมผัสเสียงนี้ด้วยหูของตัวเองโดยตรงเร็วๆ
ยิ่งพยายามอย่างสุดชีวิตเท่าไหร่ มือที่กำลังแกะหูฟังที่พันกันอยู่ก็ยิ่งขยับไม่ได้ดั่งใจ
คงเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องเรียนเมื่อครู่ ทั้งมือและเท้าของผมยังคงสั่นน้อยๆ
คงเพราะเธอยังเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ได้ไม่นานสินะ ผมรู้สึกเหมือนว่าในเสียงของเธอก็มีการสั่นไหวเล็กๆ อยู่เหมือนกับมือและเท้าของผม
ถึงจะเป็นไฟล์บันทึกการไลฟ์ที่ตั้งชื่อว่าไลฟ์สดพูดคุย แต่พอผมแกะหูฟังไปพลางฟังไปพลาง ก็มีช่วงที่เธอเงียบไปเพราะหมดเรื่องจะคุยอยู่เป็นพักๆ ตั้งแต่เริ่มไลฟ์ได้ไม่นาน
ถ้าเป็นไลฟ์สดพูดคุยทั่วไปอาจจะถือว่าเป็นอุบัติเหตุทางการออกอากาศได้เลย แต่แปลกที่ผมกลับยังฟังต่อไปได้
ผมสนุกไปกับการรอคอยว่าเธอจะเริ่มพูดอีกครั้งเมื่อไหร่
คงเป็นเพราะน้ำเสียงของเธอช่างงดงามราวกับเป็นรางวัลสำหรับหูของผม
กว่าผมจะแกะหูฟังเสร็จ เธอก็เริ่มอ่านคอมเมนต์จากผู้ชมแล้ว
“ถ้าสอบครั้งหน้าไม่ได้คะแนนเกินเจ็ดสิบแต้มจะโดนห้ามเล่นเกมครับ”
“ฮิราริจังมีวิธีเรียนดีๆ รู้จักบ้างไหมครับ?”
“…อืมมม ก็ขึ้นอยู่กับวิชาด้วยนะคะ แต่ว่าฉันจะเรียนเหมือนกับเล่นเกมเลยค่ะ!”
“จะคิดว่าพอจำอะไรได้สักอย่าง เลเวลของตัวเองก็จะเพิ่มขึ้น อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ”
“พอทำแบบนั้นแล้วก็จะสนุกกับการเรียนได้ค่ะ!”
“อ๊ะ แบบนี้ไม่ใช่วิธีเรียนสินะคะ… เอ๊เฮะเฮ~”
ท่าทางที่เอียงคอไปทางขวามากๆ พร้อมกับสีหน้าเขินอายนั้น ช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนทนไม่ไหว
ทั้งความกังวลและความโดดเดี่ยว ถูกลืมเลือนไปในระหว่างที่กำลังฟังเสียงนั้น
“โดนสาวที่ชอบรู้ว่าเป็นโอตาคุเข้าแล้ว อาจจะโดนเกลียดเข้าแล้วก็ได้”
“ฮิราริจังช่วยด้วย~”
คอมเมนต์จากผู้ชมที่เธออ่านขึ้น
เป็นสถานการณ์ที่เหมือนกับตัวเองในตอนนี้ไม่มีผิด ผมเผลอโน้มตัวไปข้างหน้าพลางรอดูว่าเธอจะตอบกลับคอมเมนต์นั้นอย่างไร เธอจะพูดอะไรกับผมในตอนนี้รึเปล่า คำตอบของเธอจะช่วยผมได้ไหม
ก็เพราะว่าผมมาถึงขีดสุดแล้ว ถึงขนาดที่ต้องมาพึ่งพา Vtuber ที่ไม่เคยเจอหน้าและเพิ่งจะรู้จักเมื่อวานนี้
“ถึงจะโดนเกลียดก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอคะ?”
คำตอบของเธอ ทำให้รอยร้าวในใจของผมขยายกว้างขึ้น
จะดีได้ยังไงกันที่จะโดนเกลียด สำหรับเธอแล้วอาจจะเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่สำหรับผมแล้วมันคือปัญหาใหญ่เลยนะ
สำหรับผมที่เป็นเด็กม.ต้นแล้ว สถานที่ที่เรียกว่าโรงเรียนคือทุกสิ่งทุกอย่าง
เรื่องแบบนั้นจะมาพูดง่ายๆ…
“การบอกว่าชอบในสิ่งที่ชอบมันผิดตรงไหนกันเหรอคะ?”
“นี่เป็นเพียงความเห็นของฉันนะคะ แต่ถ้าเป็นคนที่เกลียดคุณด้วยเรื่องแค่นั้นล่ะก็ ฉันคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปชอบหรอกค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่พูดจาอวดดี”
“แต่ว่า คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยไม่ใช่เหรอคะ”
“ฉันไม่อยากให้ผู้ชมของฉันต้องมาเสียใจเพราะคนแบบนั้นค่ะ”
การที่มีสตรีมเมอร์มาตอบคอมเมนต์จากผู้ชมอย่างจริงจังขนาดนี้คงจะเป็นเรื่องที่หาได้ยากสินะ ช่องคอมเมนต์ในตอนนั้นจึงคึกคักขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สุดยอดเลย, พูดได้ถูกเผง, สู้ๆ นะพ่อหนุ่ม, ฉันก็เป็นโอตาคุเหมือนกันแต่ถ้าเพื่อนเป็นโอตาคุด้วยก็ไม่มีปัญหา, พวกเราอยู่ข้างนายนะ, มาอวยฮิราริจังด้วยกันเถอะ
ทั้งที่เป็นไฟล์บันทึก แต่กลับรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังได้รับการเชียร์แบบเรียลไทม์
ทั้งที่ไม่ใช่คอมเมนต์ของผม ทั้งที่ไม่ใช่เสียงเชียร์ที่มุ่งตรงมาหาผม ทั้งที่ไม่ได้โกรธแทนผมเลยแท้ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ทำให้รู้สึกได้ว่ายังมีคนอยู่ข้างๆ ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
“ดูจะจริงจังเกินไปหน่อยนะคะ”
“มาสนุกกันเถอะค่ะ!”
“ถ้าโดนเกลียดเพราะเป็นโอตาคุล่ะก็ หันมาชอบฉันก็ได้นะคะ!”
“เพราะว่าฉันเองก็รักทุกคนมากๆ เหมือนกันค่ะ!”
ผมกดปุ่มหยุดไฟล์บันทึก แล้วล็อกสมาร์ทโฟน
หูฟังที่เคยพันกันยุ่งเหยิงราวกับแสดงอารมณ์เมื่อครู่ ตอนนี้กลับถูกแก้ออกแล้ว
ครั้งนี้ผมม้วนเก็บมันอย่างดีก่อนจะใส่ในกระเป๋าเสื้อเพื่อไม่ให้มันพันกันอีก
น้ำตาแห้งเหือดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และอาการมือเท้าสั่นก็หยุดลงแล้ว
จะอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้
สักวันก็ต้องกลับไปยังที่แห่งนั้น
ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆ ไปซะเลยดีกว่า
การหนีน่ะ พอแล้ว
คงจะต้องเจอเรื่องเจ็บปวดอีกแน่ๆ อาจจะโดนพูดจาไม่ดีใส่ หรือโดนทำท่าทีเย็นชาใส่ก็ได้
แต่การที่จะต้องมาทุกข์ทรมานเพราะคนที่พูดจาไม่ดีกับผมน่ะ ไม่เอาด้วยหรอก
ผมจะใช้ชีวิตมุ่งไปข้างหน้าตามที่ตัวเองชอบ
ไม่เป็นไรหรอก ก็เพราะว่าผมมีเธอคนนั้น มีโอโบโระสึกิ ฮิราริ และมีผู้ฟังของเธออยู่ข้างๆ
ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
*
“นามิกิแข็งแกร่งจังนะ”
ยาเอะคาเงะรับฟังเรื่องราวสมัยม.ต้นของผมอย่างเงียบๆ พลางน้ำตาคลอ
แค่เห็นดวงตาคู่นั้นก็สัมผัสได้ว่าคำพูดนั้นออกมาจากใจจริง และเธอก็เข้าถึงอารมณ์ของผม
ถ้าจู่ๆ มาเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟังคงจะโดนมองว่าเป็นเรื่องน่าอึดอัด การที่ผมสามารถเล่าทุกอย่างออกมาได้โดยไม่คิดในแง่ลบแบบนั้น เป็นเพราะผมสัมผัสได้จากการสื่อสารในแต่ละวันที่ว่ายาเอะคาเงะเป็นคนที่จะยอมรับฟังเรื่องนี้อย่างอ่อนโยน
ไม่ใช่แค่ยาเอะคาเงะเท่านั้น คางามิเองก็คงจะเหมือนกัน
ส่วนทาคามิถึงจะดูเหมือนจะแอบสนุกและคอยล้อเลียนอยู่บ้าง แต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมาดูถูกกันจากใจจริง
ที่คางามิเคยพูดว่าในหมู่เพื่อนของเธอไม่มีคนไม่ดีอยู่เลยนั้นก็พอจะเข้าใจได้
ค่านิยมของคางามิคล้ายกับของฮิราริน
คางามิเป็นประเภทที่สามารถสนิทกับใครก็ได้ แต่คนที่เธอจะคบหาอย่างลึกซึ้งจริงๆ นั้นมีจำกัด
นั่นคงเป็นเพราะว่าเธอคัดเลือกคนที่ควรจะคบหาอย่างถี่ถ้วนเช่นเดียวกับฮิราริน
หลักฐานก็คือ เพื่อนสนิทของคางามิทุกคน แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานก็สัมผัสได้ว่าเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม
“ฉันไม่ได้แข็งแกร่งอะไรหรอก”
“ตอนนี้พอเห็นหน้าชิมาดะมือไม้ก็ยังสั่นอยู่เลย”
“มันทำให้นึกถึงเรื่องตอนนั้นขึ้นมา”
“ฉันเป็นคนที่อ่อนแอ พอได้เจอชิมาดะเมื่อกี้ก็เลยนึกขึ้นได้”
“ถึงอย่างนั้นฉันก็นับถือนามิกินะ”
“ก่อนที่ซากุระจะแนะนำให้รู้จัก ฉันเคยเข้าใจนามิกิผิดไป”
“นึกว่าเป็นคนที่ไม่สนใจอะไร ไม่มีเจตจำนงของตัวเอง เอาแต่ไหลไปตามน้ำ”
“แต่พอได้คุยด้วยก็เข้าใจ”
“ว่านามิกิมีความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งที่ใครก็มาเปลี่ยนแปลงไม่ได้…”
“ดูเลี่ยนไปหน่อยไหมนะ?”
ยาเอะคาเงะหัวเราะเขินๆ กับคำพูดของตัวเอง
จะว่าไปแล้ว ผมไม่ค่อยเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของยาเอะคาเงะเท่าไหร่เลยนะ
ตอนที่คุยเรื่องเกมหรือเรื่องฮิรารินเธอก็ยิ้มอย่างสดใสเหมือนเด็กๆ อยู่บ้าง แต่รอยยิ้มนี้มันต่างออกไปเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เผลอตระหนักขึ้นมาว่าเธอเป็นผู้หญิง
ให้ตายสิ ทั้งคางามิทั้งยาเอะคาเงะ ช่วยเลิกทำอะไรที่มาสั่นคลอนความรู้สึกของผมที่มีต่อฮิรารินสักทีเถอะ
“นามิกิคู~น! ซัจจา~น! เจอแล้วค่า~!”
คนที่เรียกพวกเราด้วยน้ำเสียงทะเล้นไม่สมกับเป็นตัวเองก็คือคางามิ
เธอวิ่งมาทางนี้พลางโบกมือให้จากระยะหลายเมตร
ทาคามิที่เดินอยู่ข้างหลังเธอ คอยวิ่งเหยาะๆ ตามเพื่อไม่ให้คลาดกับคางามิ พลางมองเธอด้วยรอยยิ้มฝืดๆ ที่ดูระอาใจเล็กน้อย
สีหน้าของคางามิดูร้อนรน คงจะกังวลเรื่องที่พวกเราแยกตัวออกมาน่าดู
คางามิคงจะคิดว่าผมเป็นพวกที่จะตัวสั่นงันงกอยู่ตามมุมของย่านการค้าแน่ๆ
เพราะรู้จักกันมาบ้างแล้วเลยพอจะรู้ แต่ยาเอะคาเงะเองก็คงจะเป็นประเภทนั้นเหมือนกัน
คางามิรู้เรื่องของพวกเราสองคนเป็นอย่างดี เธอจึงเข้าใจถึงระดับความอันตรายของการหลงทางในย่านการค้า
ก็ยาเอะคาเงะเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ส่วนผมก็โดนเธอสตอล์กอยู่นี่นา
ทาคามิที่ไม่ได้คาดการณ์เรื่องแบบนั้น คงจะคิดประมาณว่าแค่หลงทางเองทำไมต้องทำเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นด้วยสินะ ถึงได้ยิ้มฝืดๆ อย่างระอาใจ
“ขอโทษนะ ซากุระ”
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยเลยต้องออกมาจากหน้าโบนาเพทีน่ะ”
“ไม่เป็นไร! ปลอดภัยก็ดีแล้ว…”
คางามิที่เปลี่ยนจากสีหน้ากังวลเป็นโล่งใจก็เข้ามากอดยาเอะคาเงะ
เรื่องนี้ผมเองก็แอบระอาใจเหมือนกัน
ความสามารถในการเอาตัวรอดในย่านการค้าของพวกเรามันไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ
“เอ้ย โทษทีๆ”
“เป็นเพราะฉันดันพูดว่าจะไปโบนาเพทีเองแหละนะ”
“ไม่นึกเลยว่านามิกิจะไม่ใช่แค่เข้าไปในโบนาเพทีไม่ได้ แต่แค่ยืนอยู่ข้างหน้าก็ยังลำบาก”
“อย่ามายุนะเฟ้ยทาคามิ”
ทาคามิหัวเราะก๊ากอย่างมีความสุขอีกแล้ว
แปลกที่โดนไอ้นี่พูดจาแดกดันใส่แล้วก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไร
คงเป็นเพราะเขาจงใจใช้โทนเสียงและท่าทางตอนล้อเลียนให้ผมรับรู้ได้ว่าเป็นการหยอกล้อด้วยความรักใคร่สินะ
ดูเผินๆ เหมือนจะลวกๆ แต่ก็เป็นคนที่ละเอียดอ่อน
“แต่ว่าหารูปนั้นเจอได้ยังไงกันนะ”
“หลังจากส่งไปแล้วลองย้อนกลับไปดู มันก็เบลอๆ แถมไม่ค่อยเห็นตึกอะไรเลยนี่นา”
ดูเหมือนว่ายาเอะคาเงะจะส่งรูปทิวทัศน์ของที่ที่อยู่ตอนนี้ไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว
แค่ข้อมูลตำแหน่งอย่างเดียวมันก็มีโอกาสคลาดเคลื่อนได้อยู่แล้ว คงจะหาไม่เจอหรอกนะ
คางามิยิ้มกว้างให้กับคำพูดนั้นของยาเอะคาเงะ
“ตามกลิ่นของนามิกิคุงมาค่ะ♥”
“อืม อันตรายเกินไปแล้ว”
ทาคามิสวนกลับเร็วกว่าที่ผมจะรู้สึกแหยงซะอีก
แต่ทาคามิอาจจะคิดว่าคำพูดของคางามิเป็นมุกตลกที่พยายามจะเรียกเสียงหัวเราะก็ได้ แต่ถ้าเป็นคางามิล่ะก็ ต่อให้ตามหาที่อยู่เจอจากกลิ่นจริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเลย
…อืม อันตรายเกินไปแล้ว
“ใช่แล้วค่ะ นี่ค่ะ ซัจจังเอาอันเดิมนะคะ!”
ทั้งที่ยาเอะคาเงะเป็นมนุษย์ฝั่งมืดเหมือนกับผม แต่พอรับแก้วโบนาเพทีจากคางามิแล้วก็เปิดฝาที่ปากแก้วอย่างคล่องแคล่ว
สมกับที่เป็นเพื่อนสนิทของคางามิ หน้าตาดีเลยเข้ากับโบนาเพทีได้เป็นอย่างดี
“ส่วนของคุณนามิกิคุงเป็นของที่ฉันแนะนำค่ะ♥”
“ขอบใจนะ แล้วนี่มันอะไรเหรอ?”
“เนจลาเต้ค่ะ! ไม่ต้องห่วงนะคะ ปรับแต่งให้เข้ากับรสนิยมของคุณนามิกิแล้วค่ะ!”
“เนจลาเต้สินะ”
“ข้างในเป็นเอสเพรสโซค่ะ”
“แล้วก็มีอะไรอีกหลายอย่าง ความรักของฉันด้วยค่ะ♥”
“มีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนนี่หว่า”
เรื่องที่ว่าเธอรู้รสนิยมของผมที่ไม่เคยดื่มโบนาเพทีมาก่อนได้ยังไงนั้นเอาไว้ก่อน มาลองชิมรสชาติของโบนาเพทีครั้งแรกในชีวิตกันดีกว่า
ผมงงกับวิธีเปิดฝาอยู่เล็กน้อย แต่ก็ลองทำตามอย่างที่เห็นยาเอะคาเงะทำ
ผมเข้าใจว่าโบนาเพทีเป็นร้านกาแฟ แต่การที่มันฮิตในหมู่นักเรียนมัธยมปลายขนาดนี้ บางทีการเรียกว่าเป็นของหวานคงจะถูกต้องกว่า
ปกติผมก็ดื่มโกโก้หรือชานมบ่อยๆ อยู่แล้ว และก็ชอบเครื่องดื่มหวานๆ ด้วย
เนจลาเต้คือเอสเพรสโซที่ราดด้วยวิปครีม ตอนแรกรู้สึกถึงความเย็นของวิปครีมที่ริมฝีปาก
หลังจากนั้นไม่นานความรู้สึกอุ่นของเอสเพรสโซร้อนก็ไหลเข้ามา ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย แต่เอสเพรสโซที่ร้อนจัดก็สามารถดื่มได้อย่างคล่องคอเมื่อดื่มพร้อมกับวิปครีม
“ตัวการของความหวานที่ผิดปกตินี่คืออะไรเหรอ?”
“เนจไซรัปค่ะ”
“เป็นยังไงบ้างคะ?”
คางามิที่กังวลว่าของที่ตัวเองแนะนำจะถูกใจรึเปล่า มองช้อนขึ้นมาที่หน้าผมราวกับจะสำรวจ
“ตกใจเลยล่ะ รสชาติถูกใจมาก”
“ดีจังเลยค่ะ♥”
“แต่ว่ารู้รสนิยมของฉันได้ยังไงกันนะ”
“เรื่องที่ฉันชอบของหวานน่ะมีแค่คนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้นะ”
“ก็เพราะว่าปกติอยู่ที่บ้านก็ดื่มโกโก้ ส่วนที่ตู้กดน้ำที่โรงเรียนก็ซื้อชานมหวานๆ บ่อยๆ นี่คะ!”
เดี๋ยวก่อนนะ
“เรื่องที่ดื่มที่โรงเรียนน่ะพอจะเข้าใจได้”
“ทำไมถึงรู้ไปถึงของที่ดื่มที่บ้านได้ล่ะ”
“พลังแห่งความรักค่ะ♥”
“ฮ่าๆๆๆ ดีแล้วนี่นามิกิ เป็นที่รักดีนะ~”
“อย่ามาสรุปว่าเป็นที่รักสิ”
ก็เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วจะรู้อะไรไปก็ไม่น่าแปลกใจแล้วล่ะ และก็พอจะเดาได้ว่าไปสืบมาได้ยังไง
อย่างมากก็คงจะไปถามแม่มาอะไรทำนองนั้น
แต่ถ้าเริ่มคิดว่าไปสนิทกับแม่ได้ยังไงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะก็ดูเหมือนว่าความมืดมนมันจะลึกซึ้งเกินไป เลยตัดสินใจไม่คิดดีกว่า
“งั้นไปกันเถอะ ฐานทัพของนามิกิ”
ทาคามิที่ใช้คำพูดเหมือนโอตาคุเดินนำหน้าไป แต่คงจะไม่รู้ทางเลยหันกลับมาใช้นิ้วโป้งชี้ให้ผมเดินไปข้างหน้า
“จะไปจริงๆ เหรอ?”
“ฉันว่าคนป๊อปอย่างทาคามิกับคางามิคงจะไม่สนุกหรอกนะ”
“ทำไมล่ะ ก็เป็นสิ่งที่นามิกิชอบไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้างั้นนามิกิก็ต้องสนุกสิ”
“ฉันเองก็เป็นคนเหมือนกัน เพราะงั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะสนุกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ!”
“รสนิยมความชอบของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป แต่ฉันเองก็เล่นเกม ดูอนิเมะกับซัจจังเหมือนกันนะคะ!”
ทั้งสองคนที่เดินมาขนาบข้างผม ราวกับสัมผัสได้ถึงปมด้อยที่ผมมีอยู่ แล้วก็บอกผมด้วยรอยยิ้มว่าพวกเขาไม่มีทางปฏิเสธรสนิยมความชอบของผมแน่
“นามิกิ อย่างน้อยสองคนนี้ก็ต่างจากคนพวกนั้นนะ”
“ขอโทษนะ ทั้งที่รู้แต่ก็เผลอคิดในแง่ลบไปเอง”
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ จะนำทางให้เอง แล้วก็มีของที่อยากจะเผยแผ่ลัทธิเยอะแยะเลย”
“ต้องอยู่ด้วยกันก่อนนะ!”
“อ๊ะ แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องลามกอนาจารล่ะก็…”
“ไม่ได้จะเผยแผ่ลัทธินั้นเฟ้ย!?”
คิดว่าผมเป็นคนยังไงกัน
เรื่องแบบนั้นต้องรอให้ชินกับวัฒนธรรมโอตาคุในระดับหนึ่งก่อนสิ
ผมเผยแผ่ลัทธิสินค้าของฮิรารินที่อนิมาร์ท จนเมื่อรู้สึกตัวเวลาก็ล่วงเลยไปถึงห้าโมงเย็นแล้ว ข้างนอกก็เริ่มจะมืดลงเล็กน้อย
ไม่น่าเชื่อว่าทั้งคางามิและทาคามิจะดูสินค้าของฮิรารินแล้วก็แสดงความคิดเห็นว่าน่ารักบ้างอะไรบ้าง ทำให้ผมดีใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
ดูเหมือนว่าทั้งคางามิและทาคามิ ถึงจะเป็นคนป๊อปแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นศัตรูเลย
เป็นคนดีกันจริงๆ
หลังจากนี้จะทำยังไงต่อ พวกเราไม่ได้คุยกันเลย
หลังจากออกจากอนิมาร์ท พวกเราก็แค่เดินเตร็ดเตร่ไปมาในโอตะมอลล์ และถ้าไม่มีใครเสนอสถานที่ที่อยากไปขึ้นมาก็คงจะแยกย้ายกันไปตามกระแสนี้
อยากจะกลับบ้านก่อนที่ไลฟ์ของฮิรารินจะเริ่ม
จากซันโนะมิยะถึงบ้านใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
ยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่อยากจะไปเป็นพิเศษ
“โอ๊ะ มีเกมเซ็นเตอร์นี่นา”
“มีเกมคีบตุ๊กตาเยอะเลยนะคะ!”
“ที่นี่มีฟิกเกอร์เยอะนะ”
เป็นร้านที่ผมคิดว่าทุกคนน่าจะสนุกได้ที่สุดในบรรดาร้านในโอตะมอลล์
คนที่ไม่ใช่โอตาคุก็คงจะเล่นเกมกันบ้างแหละ และคนประเภททาคามิถึงจะไม่ต้องการฟิกเกอร์ แต่ก็น่าจะเล่นเกมคีบตุ๊กตาเพื่อความสนุก และคางามิก็น่าจะสนุกไปกับทุกอย่าง
ส่วนยาเอะคาเงะก็ชอบเกมอยู่แล้วต้องสนุกแน่ๆ
“แต่ว่าเรื่องเวลานี่สิ ทุกคนต้องกลับก่อนสองทุ่มไม่ใช่เหรอ?”
“อืม”
“แต่ว่าก็ยังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อยนะ”
“ฉันเองก็ถ้าอีกสักชั่วโมงนึงก็ยังไหวค่ะ!”
“นามิกิล่ะ?”
คำถามที่ถูกโยนมาจากทาคามิ
การตัดสินใจว่าจะไปเกมเซ็นเตอร์รึเปล่าขึ้นอยู่กับผม
ถ้าเป็นผมคนก่อนหน้านี้ คงจะตอบไปทันทีว่าไม่ไป
สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าฮิรารินอีกแล้ว
ถ้าเกิดเล่นจนถึงนาทีสุดท้าย แล้วเผลอหลับบนรถไฟขากลับล่ะก็ คงจะไปสายไลฟ์ของฮิรารินแน่ๆ
การที่จะต้องมาเสี่ยงขนาดนั้นเพื่อที่จะหลงใหลไปกับอะไรบางอย่างนั้นไม่มีทาง
การที่จะต้องมาเสี่ยงขนาดนั้นเพื่อที่จะเล่นกับเพื่อนซึ่งเป็นตัวตนที่ไร้สาระที่ยังไงก็ต้องสูญเสียไป ยังไงก็ต้องถูกทรยศ ผมไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นแน่
ผมคงจะคิดว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่า
แต่ว่า ทั้งคางามิ ยาเอะคาเงะ และทาคามิ ไม่ใช่คนแบบนั้น
จะมัวแต่ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีต แล้วไปตัดสินพวกเขาตามใจชอบแบบนั้นไม่ได้
และที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ ผมรู้สึกว่าอยากจะอยู่กับสามคนนี้ให้นานกว่านี้
“ไปกันเถอะ”
“เรื่องอื่นน่ะมั่นใจว่าแพ้หมดทุกอย่าง แต่ถ้าเป็นเรื่องเกมล่ะก็พอจะทำให้ทาคามิเจ็บใจได้อยู่”
“นามิกิคุงเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง เพราะงั้นจึงไม่ได้อยู่ในมิติของการแพ้ชนะค่ะ!”
“ใช่แล้ว ฉันนี่แหละคือชายผู้ที่จะแต่งงานกับฮิราริน”
“นั่นก็คือชายเพียงคนเดียวที่ดำรงอยู่ในโลกสามมิติและสองมิติไปพร้อมๆ กัน!”
ถ้าเป็นสามคนนี้ล่ะก็ ผมสามารถพูดว่าชอบในสิ่งที่ชอบได้โดยไม่ต้องอาย
ความสัมพันธ์แบบนั้น ช่างรู้สึกสบายใจ
“นามิกิคุงเท่จังเลยค่ะ♥”
“เอ๊ะ Vtuber นี่ข้างในเป็น──”
“ดูเหมือนว่าเธอจะรู้มากเกินไปแล้วนะ ทาคามิคุง”
ผมใช้สันมือสับไปที่คอเขาเพื่อไม่ให้พูดอะไรที่ไม่จำเป็นไปมากกว่านี้
ยาเอะคาเงะรีบเอามือปิดปากทาคามิ และทาคามิที่คงจะสัมผัสได้ว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ก็แกล้งทำเป็นสลบไปอย่างเข้าขา
พวกเราล้อเล่นกันพอหอมปากหอมคอ แล้วก็เข้าไปในร้าน ก่อนอื่นก็คงจะเป็นเพราะทาคามิรู้จัก เลยตัดสินใจจะไปเล่นเกมคีบฟิกเกอร์โกระก้อนบอลกัน
ทาคามิที่กำลังจะหยอดเหรียญร้อยเยนเพียงเหรียญเดียว
ผมเข้าไปห้ามมือของเขาอย่างแรงแล้วตักเตือน
“คิดว่าจะคีบได้ในครั้งเดียวรึไง?”
“ดูสิ นี่เป็นแบบที่หยอดห้าร้อยเยนแล้วจะได้เล่นหกครั้งนะ”
“ถึงจะหยอดทีละครั้งยังไงก็ต้องเล่นหกครั้งอยู่ดี หยอดห้าร้อยเยนไปทีเดียวคุ้มกว่าเห็นๆ”
“…? พูดอะไรของแกวะ”
ทาคามิทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจความหมายของคำพูดผมแล้วพูดต่อ
“เล่นสักครั้งสองครั้งก็เลิกแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อึก…! สามัญสำนึกของโอตาคุใช้ไม่ได้ผล!”
เกมคีบตุ๊กตามันต้องเล่นจนกว่าจะได้ไม่ใช่เหรอ
เงินที่ลงทุนไปจนกว่าจะได้มันจะกลายเป็นเงินเปย์ให้โอชิไม่ใช่เหรอ
ยิ่งเล่นหลายครั้งแล้วไม่ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าความรักที่มีต่อโอชินั้นแข็งแกร่งไม่ใช่เหรอ…!
“ก็คอยดูแล้วกัน”
ทาคามิกดปุ่มเลื่อนเครนไปทางขวาอย่างมั่นใจ
ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน แต่นี่น่าจะเป็นแบบที่ความแรงของแขนกลจะเปลี่ยนไปตามความน่าจะเป็นที่กำหนดไว้
เป็นเครื่องที่ขึ้นอยู่กับดวงเป็นส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ถ้าดวงไม่เข้าข้างล่ะก็ การที่จะคีบได้ในครั้งหรือสองครั้งมันก็…
“โอ๊ะ ได้แล้วๆ”
“ทำไมวะเนี่ย”
ไอ้นี่ นอกจากจะเรียนเก่ง กีฬาเก่งแล้วยังดวงดีอีกเหรอ
เป็นไลน์ฮาร์ดรึไง
“นามิกิคุง! มาทางนี้หน่อยค่ะ!”
คางามิกับยาเอะคาเงะเรียกผมอย่างดีใจจากที่ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
ผมไปเก็บฟิกเกอร์กับทาคามิแล้วก็เดินไปหาสองคนนั้น
ตู้ที่ยาเอะคาเงะกำลังเล่นอยู่แล้วนั้น มีเทพธิดาในชุดกิโมโนที่งดงามยืนสงบนิ่งอยู่
“ฮิราริ~~~~~~~~~~~~~~~~~~น!!”
รู้ว่ามีการทำเป็นฟิกเกอร์อยู่แล้ว แต่เป็นของลิมิเต็ดที่แพงเกินกว่าค่าจ้างพิเศษจะเอื้อมถึง
รู้ว่าแขนกลคงจะถูกตั้งค่าให้อ่อนมากแน่ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ฮิรารินกำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่
──ช่วยฉันออกจากตู้ใบนี้ด้วยเถอะค่ะ ท่านสามี
“ไว้ใจได้เลย เจ้าหญิงสุดที่รักของข้า!!”
“ฮ่าๆๆๆ นามิกิเสียงดังชะมัด”
“นามิกิ เรามาช่วยกันเอาลงแล้วเป่ายิ้งฉุบเอากันไหม ไม่มีการโกรธกันนะ ว่าไง?”
ยาเอะคาเงะก็รู้ว่ามันเอาลงมาไม่ง่ายเลยเสนอขึ้น
ถ้าเล่นคนเดียว ด้วยเงินที่มีตอนนี้ประมาณสามพันเยน ก็มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้เลย
แน่นอนว่าความสมบูรณ์แบบนั้นสูงมาก ความพลิ้วไหวของชุดกับท่าโพสของฮิรารินก็ดูดี
เป็นของที่ถ้าเป็นแฟนคลับแล้วต้องหามาให้ได้
แต่การจะสู้ด้วยเงินสามพันเยนมันก็ดูจะน้อยไปหน่อย
“ยาเอะคาเงะ ตอนนี้ฉันมีอยู่ประมาณสามพันเยน แล้วทางนั้นล่ะ?”
“ฉันก็พอๆ กัน”
“ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอไอ้นี่ที่นี่… ถ้ารู้ล่ะก็คงจะพกมาเยอะกว่านี้…! บ้าเอ๊ย…!”
การที่มีฟิกเกอร์หายากขนาดนี้ในเกมคีบตุ๊กตาเป็นเรื่องที่หาได้ยาก
โอกาสแบบนี้อาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้
“หลังชนฝาแล้ว”
“นั่นสินะ”
““ร่วมมือกัน!””
“ฮ่าๆๆๆ เข้าขากันดีจังเลย ตลกดี”
ทาคามิหัวเราะท้องแข็งเมื่อเห็นพวกเราที่กำลังจำลองฉากสุดร้อนแรงที่ศัตรูในอดีตต้องมาร่วมมือกันเมื่อมีศัตรูร่วมกันปรากฏตัวขึ้น
และข้างหลังเขานั้นมีคางามิที่กำลังอุ้มฟิกเกอร์ลิมิเต็ดของฮิรารินอยู่
…………หา?
“ได้มาแล้วค่ะ เอ๊เฮะเฮ~”
“ได้มาแล้วค่ะ เอ๊เฮะเฮ~ ไม่ใช่แล้วเฟ้ย!! ทำไมถึงได้มาล่ะ!?”
“ฉันน่ะดูเหมือนไม่เก่ง แต่ซัจจังเคี่ยวเข็ญให้ฉันเล่นเกมเก่งนะคะ!”
การที่ได้มาในชั่วพริบตาเดียวนั่นก็หมายความว่าเด็กคนนี้ได้มาในครั้งเดียวเหรอ
สเปคสูงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยสตอล์กเกอร์คนนี้
“ซะ-ซากุระ นั่นน่ะ จะเอายังไงเหรอ…?”
ยาเอะคาเงะที่ดูเหมือนจะน้ำลายไหลยืดมือไปยังฟิกเกอร์ลิมิเต็ดพลางถาม
ไม่จริงน่า ไอ้นี่ คิดจะทรยศกันเหรอ…!
“อืม นามิกิคุงกับซัจจัง ไม่ว่าจะให้ใครไปก็คงจะทะเลาะกันแน่ๆ เพราะงั้นถ้าได้มาอีกตัวนึงจะให้เป็นของขวัญกับคนที่ไม่ได้นะคะ! ถ้าไม่ได้อีกตัวนึง ฉันจะรับไว้เองค่ะ!”
ฟิกเกอร์ลิมิเต็ดที่นึกว่าจะตกไปเป็นของยาเอะคาเงะโดยไม่มีข้อโต้แย้งด้วยความเป็นเพื่อนสมัยเด็ก กำลังรอคอยอยู่ในอ้อมแขนของคางามิ
รอยยิ้มของคางามิกับฮิรารินที่ยิ้มอยู่บนกล่อง ดูเหมือนจะคล้ายกันยังไงไม่รู้
จะว่าไปแล้ว วิธีพูดหรือเสียง ก็รู้สึกเหมือนจะคล้ายกันนะ
ก็คงจะบังเอิญล่ะมั้ง
“นามิกิ เหลืออีกตัวนึงแล้วนะ”
“อ่า คู่หู”
พวกเราชนกำปั้นเข้าหากันอย่างเข้าขาแล้วสาบาน
“ต้องช่วยออกมาให้ได้ จากในตู้แคบๆ ใบนี้!”
“รอเดี๋ยวนะฮิราริน!”
การต่อสู้ของพวกเราเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น! (โปรดติดตามผลงานชิ้นต่อไปด้วย!)
“นามิกิ เหลือเงินเท่าไหร่?”
“เทเรเทเรเท~เททเทะ เททเทะ~เทเรรเร เทเรเทเรเท~เททเท~ เททเท~เทเรรเร♪”
““ซีโร่~♪””
“ฮ่าๆๆๆ ตลกดี”
“ทาคามิแก”
สุดท้ายแล้วพวกเราสองคนก็ท้าทายไปหกพันเยน แต่ก็ไม่ได้ฟิกเกอร์ลิมิเต็ดมา
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฟิกเกอร์ลิมิเต็ดที่คางามิอุ้มอยู่ ก็จะโดนสตอล์กเกอร์ที่ไม่ใช่แฟนคลับของฮิรารินเอากลับบ้านไป
“ช่วยไม่ได้นะ”
“คางามิ เรามาช่วยกันเอามันลงมาเถอะ”
“นั่นสินะคะ”
ทาคามิพับแขนเสื้อขึ้นแล้วหยอดเหรียญร้อยเยน
คางามิกำลังจะหยิบเหรียญออกจากกระเป๋าสตางค์พับสีขาวชมพูที่อยู่ข้างหลังเธอ
“ทำแบบนั้นมันไม่ดีนะ”
“ใช่แล้ว จะให้มาทำถึงขนาดนั้นเพื่อของที่พวกเราอยากได้ได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“พวกเราสองคนก็ได้มาในครั้งเดียวแล้ว และพวกเราสองคนก็สนุกกับเกมคีบตุ๊กตาไปพอสมควรแล้ว แต่พวกเรายังรู้สึกว่ามันยังไม่พอค่ะ”
เธอถึงกับต้องหาข้ออ้างแย่ๆ เพื่อไม่ให้พวกเรารู้สึกเกรงใจ
ทาคามิยิ้มอย่างสดใสเหมือนเด็กที่นึกเรื่องแผลงๆ ออก ขณะที่เลื่อนแขนกลไปทางขวา
“ถ้าฉันได้มาจะเอาไปลงขายในแอปขายของมือสองนะ”
““ทาคามิแก””
“ล้อเล่นน่า”
“แต่ว่า ช่วยกันเอาลงมามันสนุกกว่าไม่ใช่เหรอ?”
““ทาคามิแก…””
อะไรของไอ้นี่เนี่ย เป็นคนดีสุดๆ เลยนี่หว่า
ผมกับยาเอะคาเงะยืนน้ำตาคลออยู่ข้างๆ กัน
แขนกลที่ทาคามิควบคุมเคลื่อนไปยังด้านในของตู้ แล้วก็ลดระดับลงไปข้างล่าง
แขนกลเข้าประชิดจากสองฝั่งของกล่องที่ใส่ฟิกเกอร์อยู่ แล้วก็จับไว้อย่างมั่นคง
ถึงตรงนี้ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนกับของผมและยาเอะคาเงะ
แต่ว่า มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
แขนกลที่ดูเหมือนจะจับไว้อย่างมั่นคงพอสูงขึ้น แขนกลก็หลุดออกจากกล่องอย่างง่ายดาย
“อ่า ก็คงจะไม่ได้ในครั้งเดียวหรอกนะ~”
“ต่อไปตาฉันค่ะ! จะต้องเอามาให้ได้ แล้วทำให้ซัจจังกับนามิกิคุงดีใจให้ได้เลย!”
คางามิเข้ามาท้าทายต่อ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนกับพวกเราสามคนไม่มีผิด
ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ไม่ว่าจะดวงดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะเอาฮิรารินลิมิเต็ดออกมาได้ง่ายๆ หรอก
“ต่อไปฉัน… ก่อนหน้านั้น”
ดูเหมือนว่าทาคามิจะเจออะไรบางอย่างก่อนที่จะหยอดเหรียญร้อยเยน เขาจึงเดินตรงไปยังสิ่งนั้น
พอเขาไปคุยอะไรบางอย่างกับพนักงานหญิงที่อยู่ตรงนั้น ทั้งสองคนก็เดินมาทางนี้อย่างสนิทสนม
“นี่แหละครับนี่”
“ใช้เงินไปเยอะแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เลย มีเคล็ดลับอะไรบ้างไหมครับ?”
“สินค้าชิ้นนี้เป็นที่นิยมมาก ทางเราเลยตั้งค่าให้ค่อนข้างยากน่ะค่ะ…”
เฮ้ยๆ ทาคามิ ทำเรื่องขี้ตืดแบบนั้นพนักงานเขาก็ลำบากใจแย่สิ
มันก็แน่อยู่แล้ว ก็เป็นฟิกเกอร์ลิมิเต็ดนี่นา
จะให้เอาออกมาง่ายๆ…
“แต่ว่าจะให้เป็นพิเศษเฉพาะคุณลูกค้าเท่านั้นนะคะ♥”
…หืม?
เพิ่งจะสังเกตเห็น แต่ทั้งที่เป็นโลกสามมิติ แต่ตาของพนักงานกลับดูเหมือนจะเป็นรูป ♥ ไปแล้ว
“จริงเหรอครับ!?”
“ดีจังเลยที่ได้มาปรึกษาคุณพี่สาว”
“แต่ว่าจริงๆ แล้วอยากจะได้เบอร์ติดต่อของคุณพี่สาวมากกว่าฟิกเกอร์อีกนะครับเนี่ย…”
“แน่นอนค่ะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ให้ได้ไม่อั้นเลยค่ะ♥”
ทาคามิไอ้นี่ ไม่จริงน่ามันจีบเขาเหรอ
จากคำพูดของคุณพี่สาวที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ ดูเหมือนว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างทำให้การเล่นครั้งต่อไปจะถูกตั้งค่าให้ง่ายมาก และหลังจากเล่นเสร็จแล้วจำเป็นต้องตรวจสอบการตั้งค่าอีกครั้ง เพราะงั้นเลยอยากให้เรียก “ฉัน♥” อีกครั้ง
ความเป็นไปได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างทำให้การตั้งค่าง่ายขึ้น พนักงานคนอื่นไม่ได้
กลิ่นของการทุจริตมันโชยมาเต็มๆ เลยนะ…
“เอาล่ะ งั้นก็ได้เคล็ดลับจากคุณพี่สาวมาแล้ว ลองดูดีกว่า”
“เสแสร้งชะมัด”
ที่ได้ยินมามันคือเบอร์ติดต่อไม่ใช่เหรอ
แต่ทว่า ถ้าพูดถึงจำนวนเงินแล้วพวกเราสี่คนก็ใช้ไปเยอะพอสมควร และถึงการตั้งค่าจะง่ายลงก็คงจะไม่ได้มาในทันทีหรอก
“โอ๊ะ แขนกลแข็งแรงกว่าเมื่อกี้อีกแฮะ”
“ฝีมือใครวะ”
ถึงอย่างนั้นแขนกลก็ยังคงคว้าอากาศต่อไป และฟิกเกอร์ลิมิเต็ดก็แค่ลอยขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
“ต่อไปฉันจะลองดูค่ะ!”
แล้วหลังจากผมกับยาเอะคาเงะ ก็เป็นตาของทาคามิกับคางามิสลับกันท้าทาย และก็ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ความรู้สึกเกรงใจค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แต่จะมาบอกให้เลิกตอนนี้ก็พูดยาก
ผมกับยาเอะคาเงะมองหน้ากัน และก็ได้แต่ภาวนาให้ได้มาเร็วๆ เท่านั้น
“ครั้งหน้าก็สามพันเยนแล้วสินะ… พอแค่นี้แหละ”
ดีจังเลย ดูเหมือนว่าทาคามิจะเป็นคนที่สามารถเลือกที่จะหยุดกลางคันได้
ถึงจะไม่ได้มาในครั้งนี้ แต่ความรู้สึกของทั้งสองคนที่อยากจะทำให้ผมกับยาเอะคาเงะดีใจก็ส่งมาถึงแล้ว
แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“โอ๊ะ ดูท่าจะดีนะ”
“อ้าว ไม่ใช่สถานการณ์ที่ถึงจะไม่ได้แต่ก็ขอบคุณพวกเราสองคนที่พยายามเพื่อพวกเราหรอกเหรอ!?”
“แอบคาดหวังนิดหน่อยเลยนะเนี่ย!?”
แขนกลยกฟิกเกอร์ลิมิเต็ดขึ้นสูงกว่าที่เคย และตำแหน่งก็เคลื่อนไปมาก
“ถึงตาจนแล้ว คงต้องทำแบบนี้นะคะทาคามิคุง”
“ที่เหลือไว้ใจฉันได้เลยค่ะ!”
อาจจะดูเหมือนว่าคางามิออกมาเพื่อจะฉวยโอกาส แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น
นี่คือการเล่นเพียงครั้งเดียวที่ต้องแบกรับความกดดันอันใหญ่หลวงว่าถ้าพลาดไปแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะกลับไปที่ตำแหน่งเริ่มต้นแล้วเสียโอกาสดีๆ ไปได้เลย ไม่ว่าจะได้หรือจะกลับไปที่เดิม
เป็นหนึ่งครั้งที่มีความหมายแตกต่างไปจากหนึ่งครั้งที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
“คางามิ ถึงจะพลาดไปก็ไม่มีใครโกรธหรอกนะ!”
“ใช่ๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า เล่นสบายๆ เถอะ”
“ซากุระ สู้ๆ!”
“ไว้ใจได้เลยค่ะ! …นามิกิคุง”
คางามิที่หยอดเหรียญร้อยเยนเข้าไป เรียกผมด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเป็นพิเศษแล้วพูดขึ้น
“ถ้าได้อันนี้มา เรามาแต่งงานกันนะคะ”
“อย่ามาปักธงใหญ่โตแบบนั้นสิ”
จะว่าไปแล้วคางามิ เธอก็ชอบเล่นมุกที่ต้องเป็นโอตาคุถึงจะเข้าใจอยู่เรื่อยๆ หรือว่าจะเป็นโอตาคุสายซุ่มกันนะ?
“ซากุระ ก่อนอื่นต้องเลื่อนไปด้านข้างนะ แต่จากที่ฉันประเมินดูแล้วน่าจะปล่อยมือเร็วกว่าที่คิดจะดีกว่า”
“เพราะว่าการตอบสนองมันช้า หลังจากปล่อยมือไปแล้วมันยังไม่หยุดเคลื่อนที่ทันทีน่ะ”
“อื้อ รู้สึกเหมือนกันเลย”
“ส่วนการเคลื่อนที่ไปด้านลึก เพราะว่ามีตู้อื่นอยู่ข้างๆ เลยมองไม่ค่อยเห็นรายละเอียด แต่รู้สึกเหมือนว่าถ้าปล่อยตรงนิ้วก้อยขวาของตัวอย่างที่ตั้งโชว์อยู่น่าจะพอดีเลย”
“ว่าไง?”
“อืม คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะ”
“สุดยอดไปเลยนะซากุระ”
สองคนนี้ดูเข้าขากันดีจังเลยนะ
สมกับที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก
“จะไปแล้วนะคะ…!”
แขนกลเริ่มเคลื่อนที่ตามการเคลื่อนไหวในอุดมคติที่คางามิกับยาเอะคาเงะได้คุยกันไว้
การเคลื่อนที่ไปด้านข้างหยุดลงในตำแหน่งที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
คางามิสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง สีหน้าของเธอเผยให้เห็นว่ากำลังจะถูกความกดดันที่ว่าห้ามพลาดเด็ดขาดบดขยี้
คงจะเป็นเพราะเธอกำลังพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ผมกับยาเอะคาเงะได้พาฮิรารินกลับบ้านสินะ
ทาคามิเองก็ด้วย พวกเขาทำเพื่อพวกเราถึงขนาดนี้
อยากจะตอบแทนบุญคุณจัง
“คางามิ ถ้าได้อันนี้มาล่ะก็ บอกสิ่งที่อยากให้ฉันทำให้มาสักอย่างสิ”
“จะทำเท่าที่ทำได้เลย”
“เพราะงั้น… พยายามเข้านะ!”
“แต่งงา…”
“ไม่แต่ง”
รู้อยู่แล้วนี่นา
อย่ามาทำเสียงตกอย่างเห็นได้ชัดแบบนั้นสิ
“แต่ว่าความกระตือรือร้นมันพลุ่งพล่านขึ้นมาแล้วค่ะ”
“ตอนนี้รู้สึกเหมือนว่าจะทำอะไรก็ได้หมดเลยค่ะ!”
ทั้งที่เป็นสาวสวยสมบูรณ์แบบที่ทำอะไรก็ได้อยู่แล้วแท้ๆ พูดอะไรของเธอ
จะบอกให้ว่าฉันน่ะไม่ว่าจะทำอะไรก็ธรรมดาไปหมด อย่ามาดูถูกกันนะเฟ้ย
“ฟู่…”
วินาทีแห่งความตึงเครียด
ทาคามิคงจะคิดว่างานของตัวเองจบแล้ว เลยทำหน้าสบายๆ แต่ก็ยังคงจ้องมองไปที่ตู้เพื่อไม่ให้พลาดวินาทีนี้
ส่วนยาเอะคาเงะ ถึงจะอยากได้ฮิราริน แต่ความเป็นห่วงคางามิผู้เป็นเพื่อนสนิทก็แสดงออกมาทางสีหน้า
สิ่งที่ผมทำได้ อย่างน้อยก็คือการภาวนา
ผมประสานมือเข้าด้วยกัน หลับตาข้างหนึ่งแล้วแอบมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ปุ่มที่สอง การเคลื่อนที่ไปด้านลึก
นิ้วก้อยขวาของฮิรารินที่ใช้เป็นดิสเพลย์ ตำแหน่งที่คุยกับยาเอะคาเงะไว้แล้ว มันหยุดลงตรงนั้นอย่างแม่นยำ
“มาแล้ว…!”
“ไปได้แน่ซากุระ!”
“สุดยอดเลย ตัดสินใจได้เด็ดขาดจริงๆ คางามิ”
“ขอร้องล่ะ…!!”
แขนกลลดระดับลงไปยังตำแหน่งที่เล็งไว้ แล้วก็คว้าจับฟิกเกอร์ลิมิเต็ดไว้อย่างแรง
“ขึ้นมาแล้ว!”
ยาเอะคาเงะที่ปกติจะเงียบๆ กลับแสดงความตื่นเต้นออกมาด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ และทาคามิคนนั้นถึงกับเหงื่อตก
ทั้งที่ไม่ใช่คนเล่นแท้ๆ แต่ผมกลับเหงื่อออกที่มือ
ฟิกเกอร์ลิมิเต็ดลอยข้ามหัวของฮิรารินลิมิเต็ดที่ใช้เป็นดิสเพลย์ แล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ช่องปล่อยของจากด้านบน
และในที่สุด
“เย้! ทำได้แล้วค่า!”
ในวินาทีที่ฟิกเกอร์ลิมิเต็ดตกลงมา พวกเราสี่คนก็ทำเป็นวงกลมแล้วโอบไหล่กัน
แล้วก็กระโดดโลดเต้น หมุนตัว แล้วก็หัวเราะให้กัน
ใช่แล้ว แบบนี้แหละที่ดี
“ค่ะ นี่ค่ะ เชิญเลยค่ะนามิกิคุง♥”
“ขอบคุณนะ คางามิ ทาคามิ ยาเอะคาเงะ”
“หึๆๆ♥ ดีใจจังเลยค่ะที่ชอบ♥”
“ก็เอาน่า เพื่อเพื่อนนี่นา”
“…? ฉันด้วยเหรอ?”
“อืม ยาเอะคาเงะด้วย”
“หลังเลิกเรียน พะ-เพื่อนๆ… การมาเที่ยวเล่นด้วยกัน ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”
“อู้ววว นามิกิเขินด้วย~ ตลกจังเลย~”
“ทาคามิแก”
หลังจากที่ทาคามิล้อผมเสร็จ เขาก็ไปคุยกับพนักงานคนเมื่อครู่แล้วแลกเบอร์ติดต่อกันก่อนจะกลับมา
คุณพี่สาวคนนั้น ดูจากภายนอกแล้วน่าจะเป็นนักศึกษา แต่ไอ้นี่มันป๊อปในหมู่คนอายุเยอะกว่าขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย น่าหงุดหงิดชะมัด
“เอาล่ะค่ะ เวลากระชั้นชิดเข้ามาแล้วนะคะ!”
พอโดนคางามิพูดใส่ ผมก็เช็กสมาร์ทโฟน เวลาก็คือหกโมงครึ่ง
“โอ๊ะ แย่แล้วนี่นา”
“นามิกิกับยาเอะคาเงะต้องกลับแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แย่แล้ว”
“ซากุระ กลับกันเถอะ!”
“อื้อ”
“ไปสถานีด้วยกันนี่นา วิ่งไปด้วยกันเลย!”
ตามข้อเสนอของทาคามิ พวกเราสี่คนก็วิ่งไปยังสถานี
ยาเอะคาเงะวิ่งช้าแถมยังไม่มีแรง คางามิเลยใส่ใจคอยชะลอความเร็วให้เป็นพักๆ ส่วนผมก็มองดูอยู่ข้างๆ ยาเอะคาเงะ
นั่นก็คือผมเองก็ช้าเหมือนกัน
“สองคนนั้น… แฮ่ก เร็วไปไหม? ทำไมถึงไม่หอบเลยสักนิดวะ… แฮ่ก สมกับที่เป็นนักเรียนดีเด่น…!”
“นั่นสิ…! แฮ่ก ทาคามิน่ะ วิ่งกลับไปกลับมาอยู่ได้…!”
ข้างหน้า ทาคามิกำลังวิ่งกลับไปกลับมาเพื่อล้อเลียนพวกเราโอตาคุที่วิ่งช้าพลางรอพวกเราอยู่
ทำหน้าเหมือนลิงแล้วยังมาตบก้นอีกนะ เดี๋ยวจะต่อยให้คว่ำเลย
แต่ว่า แม้แต่เรื่องที่น่าหงุดหงิดขนาดนี้ก็ยังทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา
ชีวิตประจำวันแบบนี้ คงจะเป็นสิ่งที่ผมเฝ้าตามหามาตลอดสินะ
วันนี้ผมมั่นใจว่า ได้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าฟิกเกอร์ลิมิเต็ดมาครองแล้ว
“นามิกิกับยาเอะคาเงะช้าเกินไปจนโดนเด็กที่ไม่รู้จักขอเบอร์เลยเนี่ย~”
ทาคามิที่ได้เบอร์ติดต่อของเด็กผู้หญิงอีกคนมาในช่วงไม่กี่วินาทีที่รอพวกเรา ล้อเลียนผมกับยาเอะคาเงะด้วยสีหน้าที่น่าหงุดหงิดจากใจจริง
““ทาคามิแก…!””
หลังจากแยกย้ายกับทุกคนแล้วกลับมาถึงบ้าน เวลาก็คือหนึ่งทุ่มสี่สิบห้า
ก่อนที่ไลฟ์จะเริ่มพอดี
เรื่องอาบน้ำเอาไว้หลังไลฟ์จบแล้วกัน รีบกินข้าวเย็นที่แม่น่าจะเตรียมไว้ให้ดีกว่า
“กลับมาแล้วครับ”
“กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ มาช้าจังนะ”
“ข้าวเย็นเสร็จแล้วนะ จะอาบน้ำก่อนไหม?”
“ขอกินข้าวก่อนครับ!”
แม่ที่ต้อนรับผมด้วยประโยคเหมือนภรรยาข้าวใหม่ปลามัน ยกจานที่แรปไว้แล้วมาจากในครัว
สุมิเระที่นอนมองอยู่บนโซฟาด้วยหางตาขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้น
“ไปไหนมาถึงเวลานี้เนี่ย”
“พี่กลับมาช้าแบบนี้แปลกนะ”
“ก็เปล่านี่นา แค่ไปซันโนะมิยะกับเพื่อนมาเท่านั้นเอง”
“มีเพื่อนด้วยเหรอ”
“หึ อย่ามาดูถูกพี่ชายคนนี้ให้มากนักนะ?”
“ดูถูก…? อะไรนั่น น่าขยะแขยง”
“ไม่ได้พูดเฟ้ย!”
“เอาน่าๆ สนิทกันดีก็พอแล้ว สองคนมากินข้าวได้แล้วจ้ะ”
““ไม่ได้สนิทกัน!””
พอสังเกตดีๆ จานที่แม่ยกมามีสองใบ และจากคำพูดเมื่อครู่ก็พอจะรู้ว่าสุมิเระยังไม่ได้กินข้าว
ปกติแล้วสุมิเระจะกินตอนหกโมงเย็น
พอกลับมาจากชมรมเทนนิสก็จะโวยวายว่าหิวแล้ว แม่ก็เลยเตรียมข้าวเย็นให้พอดีกับเวลานั้น
“สุมิเระ วันนี้หลังเลิกชมรมไปไหนมารึเปล่า?”
“ก็ไม่ได้ไปนี่นา”
“อะไร? ไม่เกี่ยวกับพี่สักหน่อย”
แม่ยิ้มอย่างดีใจแทนสุมิเระที่มีท่าทีโอหัง
“ซูจังน่ะ เขารอจะกินข้าวพร้อมกับเฮคุงพอกลับมาถึงไงล่ะ”
“ไม่ได้รอสักหน่อย! ก็แค่คิดว่าถ้าแม่ต้องมาเตรียมแยกกันสองคนมันจะลำบากก็เท่านั้นแหละ!”
“หึๆ ขอบใจนะซูจัง”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำเพื่อพี่! อย่ามาเข้าใจผิดน่าขยะแขยงนะ”
“ครับๆ ไม่เข้าใจผิดหรอก”
“อย่าพูดย้ำสองครั้งสิ น่าหงุดหงิด!”
ให้ตายสิ น้องสาวในโลกสามมิตินี่ไม่น่ารักเลย
จะว่าไปแล้ว เพราะรู้จักน้องสาวตัวจริงที่ชื่อสุมิเระอยู่ เลยทำให้ผมแทบจะไม่รู้สึกถึงเสน่ห์ของน้องสาวในโลกสองมิติไปเลย
เป็นเด็กที่น่าปวดหัวจริงๆ
เมื่อก่อนไม่ได้เอาแต่ใจขนาดนี้นี่นา
“จะทานแล้วนะครับ”
อีกสิบนาทีไลฟ์ก็จะเริ่มแล้ว
ต้องรีบๆ กินแล้วไปบูชาฮิรารินในห้องแล้ว
“พี่ชาย เคี้ยวดีๆ ด้วยนะ”
“มีไลฟ์ที่อยากดูตอนสองทุ่มน่ะ”
“ถ้าไม่ทันล่ะก็ไปสู่สุขคติไม่ได้แน่”
“อะไรนั่น สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“สนุกสิ”
“แถมยังเยียวยาจิตใจด้วย”
“สนุกแล้วยังเยียวยาจิตใจอีก มันแนวไหนกันแน่”
“ค้นหาว่าอะไรถึงจะเจอเหรอ?”
“โอโบโระสึกิ ฮิราริ”
“ลองดูสิ ฟินจนเหาะได้เลยนะ?”
สุมิเระเงยหน้าขึ้นมองเฉียงๆ คงจะกำลังคิดอยู่ว่าโอโบโระสึกิ ฮิราริเป็นคนทำอะไรกันแน่
“ไอดอลเหรอ?”
ฟลาวเวอร์ไลฟ์น่ะ โดยหลักแล้วไลฟ์เวอร์ทุกคนก็ทั้งร้องทั้งเต้นกันอยู่แล้ว และแต่ละคนก็มีภาพลักษณ์เป็นดอกไม้ชนิดต่างๆ ไลฟ์เวอร์ที่สังกัดอยู่ก็จะรวมกันเป็นกลุ่มๆ แล้วก็มีกิจกรรมไลฟ์ด้วย จะเรียกว่าเป็นไอดอลก็ไม่ผิดนัก
จะว่าไปก็เป็นไอดอลนั่นแหละ
“ก็ประมาณนั้น”
“หืม นึกว่าเป็นนักแคสเกมซะอีก”
ก็แคสเกมอยู่ด้วยเหมือนกันนี่นะ…
“นั่นก็ถูกเหมือนกัน”
“หา? ทำเยอะแยะเลยนี่นา”
“นอกจากนั้นก็มีร้องเพลงคัฟเวอร์ เต้นคัฟเวอร์ ไลฟ์วาดรูป แล้วก็ไลฟ์พูดคุย…”
“เดี๋ยวก่อน”
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไอดอลต้องมีเรียนร้องเพลงกับเต้นด้วยนี่นา ทำเยอะขนาดนั้นมันจะไม่ลำบากแย่เหรอ”
“ก็คงจะอย่างนั้นแหละ”
“แต่ว่าเธอก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้แฟนๆ มีความสุขทุกวันโดยไม่แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาเลย”
“เพราะงั้นถึงได้อวยไงล่ะ!”
“หืม”
“ลองดูหน่อยดีกว่า”
“จริงเหรอ!?”
ไม่นึกเลยว่าสุมิเระที่เอาแต่พูดว่าโอตาคุอย่างผมน่าขยะแขยงๆ จะมาดู V ด้วย
เท่านี้คนที่จะมาสนับสนุนฮิรารินก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว และการที่มีคนในครอบครัวให้คุยเรื่องฮิรารินได้มันช่างน่ายินดีอะไรขนาดนี้
ถ้าได้ดูล่ะก็ต้องโดนเสน่ห์ของฮิรารินจับใจไว้แน่ๆ
ผมมั่นใจว่าเธอจะต้องกลายเป็นแฟนคลับแน่นอน
“ถะ-ถ้าดูแล้วจะมาบอกความรู้สึกนะ…”
“อื้ม! รออยู่นะ!”
“เอาล่ะ กินเสร็จแล้ว! แม่ครับ ขอบคุณสำหรับอาหาร! เดี๋ยวผมล้างจานเอง วางไว้ได้เลยครับ!”
“หึๆ เดี๋ยวแม่ทำเอง ไม่เป็นไรหรอก”
“ขอบคุณครับ!”
ผมเอาจานไปไว้ในครัว แล้วก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไป
พอเข้าห้อง อย่างแรกเลยก็คือเปิดคอมพิวเตอร์ ระหว่างที่รอก็เปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านด้วยความเร็วราวกับกระสุนปืน
ตอนนี้เวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบเก้านาที
เตรียมตัวพร้อมสรรพ ผมนั่งรอให้ไลฟ์เริ่มพลางฟังเสียงติ๊กต็อกของนาฬิกาแขวนในห้อง
ติ๊ก เสียงเข็มวินาทีในวินาทีที่เปลี่ยนเป็นสองทุ่มดังขึ้นเป็นพิเศษ และในขณะเดียวกันหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนไป ภาพของฮิรารินในร่างจิบิกำลังกินซันโชกุดังโงะอย่างเอร็ดอร่อยใต้ต้นซากุระก็ปรากฏขึ้น
หลังจากไลฟ์เริ่มได้ไม่กี่วินาที บางครั้งก็นานหลายนาที ผมจะต้องรอให้ฮิรารินปรากฏตัวบนหน้าจอรอ
แต่ผมชอบเวลานี้มาก
ดูเผินๆ อาจจะน่าเบื่อ แต่พอเห็นฮิรารินกินขนมญี่ปุ่นที่เธอชอบด้วยสีหน้าที่มีความสุขแล้ว ผมก็มีความสุขไปด้วย
ความสุขของโอชิคือความสุขของผม
ภาพที่ฮิรารินดูมีความสุขแบบนี้ ผมดูได้ตลอดไปเลย
ไม่ได้พูดเกินจริงเลยนะ
จริงๆ แล้วมีวีรกรรมที่เผลอนั่งจ้องวิดีโอทนดูหน้าจอนี้ไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมง จนทำให้สอบวันรุ่งขึ้นได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยไปเล็กน้อยด้วย
แค่ชั่วโมงเดียวก็จบแล้วเนี่ยนะ ฟังแล้วทนดูไม่ได้เลย
เตรียมวิดีโอที่ยาวกว่านี้มาสิ ไม่อย่างนั้นล้มฉันไม่ได้หรอกนะ
“ทุกคน สวัสดีค่า”
“ได้ยินไหมคะ~?”
ในระหว่างที่กำลังพูดอยู่นั้น หน้าจอรอก็เปลี่ยนไป ใบหน้าอันทรงเกียรติและน้ำเสียงที่งดงามของฮิรารินก็ออกมาต้อนรับผม
‘ฮิรารินสวัสดี ได้ยินจ้ะ’
“คอมเมนต์แรกเป็นของฉันเอง!”
ถึงจะคิดว่าคอมเมนต์แรกแล้วมันยังไงก็เถอะ แต่การที่เป็นคนแรกในไลฟ์ของโอชิก็เป็นสิ่งที่โอตาคุอยากจะเป็น
จริงๆ แล้วผมพิมพ์คอมเมนต์ไว้ก่อนที่ฮิรารินจะพูดเสียอีก
เพื่อที่จะเล็งคอมเมนต์แรกหลังจากที่เริ่มไลฟ์ ไม่ใช่คอมเมนต์ที่ส่งไประหว่างหน้าจอรอ ผมเลยเอานิ้วชี้ไปวางรอไว้บนปุ่มเอ็นเทอร์ตลอดเวลา
ผมรู้ว่าฮิรารินมักจะทักทายตอนแรกพร้อมกับเช็กว่าได้ยินเสียงรึเปล่าเสมอ
เพราะงั้นผมเลยพิมพ์คอมเมนต์ว่าได้ยินก่อนที่จะได้ยินเสียงของฮิราริน แล้วก็ส่งคอมเมนต์ไปได้เร็วที่สุด
นี่แหละคือที่เรียกว่าการโกง
ฮิรารินของวันนี้ก็น่ารัก
และไลฟ์ที่ฮิรารินจะทำในวันนี้ก็คือไลฟ์พูดคุย
ประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของไลฟ์ของฮิรารินคือไลฟ์พูดคุยนี้ และสิ่งที่แฟนๆ ต้องการก็คือไลฟ์พูดคุยนี้
นั่นก็เพราะว่าเสียงและการพูดคุยของฮิรารินได้รับความนิยมขนาดนั้น
ไม่ได้หมายความว่าเธอพูดเก่งอะไรหรอกนะ แต่นั่นแหละคือข้อดี
แฟนๆ ที่เป็นคุณลุงมักจะคอมเมนต์ว่าดูด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังดูลูกสาวอย่างสงบ
ส่วนในหมู่คนรุ่นใหม่ก็ได้รับความนิยมจากวิชวลและแก๊ปที่ถึงจะทำอะไรก็เก่งไปหมดแต่วิธีพูดปกติกลับดูเหมือนคนมึนๆ เธอจึงเป็นสาวสวยสมบูรณ์แบบที่ได้รับความรักจากทุกเพศทุกวัย
จะว่าไปแล้วแค่โอชิพูดข้าวก็อร่อยแล้ว
“วันนี้ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนมาหลังเลิกเรียนค่ะ!”
“แล้วก็เลยไปเล่นเกมคีบตุ๊กตากัน แล้วก็มีฟิกเกอร์ลิมิเต็ดของฉันอยู่ด้วย ก็เลยเล็งอันนั้นเลยค่ะ!”
‘ฟิกเกอร์ลิมิเต็ดอันนั้นอยู่ในเกมคีบตุ๊กตา!?’
‘ความยากน่าจะสุดๆ เลย’
‘เป็นของที่หาได้ยากแล้วนะตอนนี้”
“แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว’
ผมนึกย้อนไปพลางมองดูฟิกเกอร์ที่ได้มาจากการช่วยเหลือของคางามิและคนอื่นๆ ในวันนี้
ฮิรารินเองก็เล็งของชิ้นเดียวกันแล้วก็เล่นเกมคีบตุ๊กตาเหมือนกันเหรอ นี่มันเหมือนกับพรหมลิขิตเลยนะ
เบโธเฟนเลยล่ะ
“แต่ว่าเกมคีบตุ๊กตานี่ยากจังเลยนะคะ”
“ใช้เงินไปเยอะเลยค่ะ”
“แต่ว่าก็ได้มาพร้อมกับเพื่อนๆ สนุกมากเลยค่ะ เพราะงั้นก็เท่ากับศูนย์เยนค่ะ!”
ทฤษฎีปริศนา กับการพูดคุยเหมือนไดอารี่ของเด็กประถมที่ไม่มีเนื้อหาอะไร
แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ดี
เรื่องเล่าของฮิรารินควรจะเป็นเหมือนไดอารี่ต่อไป
การได้ฟังเรื่องนั้น ทำให้ผมสามารถเข้าใจผิดไปเองได้ว่ากำลังใช้เวลาร่วมกันกับฮิราริน
“ปกติแล้วฉันจะไลฟ์พูดคุยแบบไม่มีแผนเท่าไหร่ค่ะ แต่ว่าวันนี้ฉันวางแผนมาอย่างดีค่ะ!”
“ในบรรดาทุกคนคงจะมีคนที่เข้าร่วมอยู่ด้วยสินะคะ วันนี้จะมาตอบกลับมาร์ชเมลโล่ที่เปิดรับสมัครใน X ค่ะ!”
“ปาจิงปาจิง~!”
มาร์ชเมลโล่ เว็บไซต์ที่สามารถส่งข้อความได้โดยไม่เปิดเผยตัวตน
เพราะความง่ายในการส่งแบบไม่เปิดเผยตัวตน และผู้รับเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ เลยเป็นเว็บไซต์เทพที่รวบรวมคอมเมนต์ได้ง่าย
เพราะ V มักจะใช้ในไลฟ์พูดคุยบ่อยๆ แน่นอนว่าผมเองก็เชี่ยวชาญวิธีการใช้เป็นอย่างดี
‘ปาจิงปาจิง~’
‘ฉันก็ส่งไปเหมือนกัน’
‘ยังไงก็คงไม่โดนอ่านหรอก’
ขณะที่แต่ละคนกำลังคึกคักกันอยู่นั้น ผมก็เช็กมาร์ชเมลโล่ที่ส่งไปบนสมาร์ทโฟน
แน่นอนว่าผมก็ส่งไปเหมือนกัน แต่เพราะอยากจะให้โดนอ่านให้ได้ เลยส่งไปคนเดียวเกือบสามสิบข้อความ
เพราะไม่มีประวัติการส่งเหลืออยู่ ผมเลยถ่ายรูปหน้าจอก่อนจะส่งไป พอทำแบบนั้นแล้วก็จะสามารถดูจากคลังภาพได้ว่าส่งอะไรไปบ้าง
พอส่งไปตั้ง 30 ข้อความขนาดนั้น ก็เริ่มจะแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนเป็นของตัวเอง เลยตัดสินใจถามไปพลางเช็กไปด้วย
“อย่างแรกเลยนะคะ ช่วยบอกแชมพูที่ฮิรารินใช้หน่อยค่ะ ประมาณนี้ค่ะ”
“ที่ฉันใช้น่ะเป็นยี่ห้อที่ไม่ค่อยเห็นตามท้องตลาดเท่าไหร่…”
ไม่ใช่คำถามของผม
ผมรีบปิดคลังภาพแล้วเปิดเว็บไซต์ขายของออนไลน์ทันที
“ปกติแล้วจะซื้อทางออนไลน์ค่ะ เป็นยี่ห้อ SAKURA สีชมพูค่ะ!”
“ลองใช้มาหลายอย่างแล้ว แต่ว่าชอบกลิ่นนี้ที่สุดเลยค่ะ♥”
นะ-นั่นมัน…
ผมเปิดเว็บไซต์ขายของออนไลน์แล้วรอที่จะซื้อแชมพูที่ฮิรารินใช้
ยังไงซะถ้าฮิรารินใช้ล่ะก็ ในวินาทีที่ประกาศออกมาโอตาคุที่คิดเหมือนผมก็ต้องซื้อกันแน่ๆ
เพราะงั้นผมเลยจะซื้อมันให้เร็วกว่าใคร
ผมคิดอย่างนั้นแต่ทว่า
“อันเดียวกับที่ฉันใช้นี่นา…!”
“มันเข้ากับสภาพเส้นผมของฉันด้วยค่ะ ชอบมากๆ เลย”
ในกรณีของผม แม่เป็นคนชอบแล้วก็ซื้อมา แต่คงเพราะยีนส์ใกล้เคียงกันล่ะมั้ง ทั้งผมทั้งสุมิเระก็เลยเข้ากับสภาพเส้นผมด้วย
นั่นก็หมายความว่าผมกับฮิรารินมีสภาพเส้นผมที่คล้ายกัน และก็มีกลิ่นเดียวกันด้วย
ผมไม่รู้กลิ่นของตัวเอง แต่รู้กลิ่นที่หอมออกมาจากแม่กับสุมิเระ
นั่นก็หมายความว่าถ้าได้ดมกลิ่นของแม่กับสุมิเระ ก็จะได้ดมกลิ่นของฮิรารินด้วยสินะ
เดี๋ยวค่อยไปขอสุมิเระดมทีหลังดีกว่า
“คำถามต่อไปค่ะ”
“อยากจะชวนเด็กผู้ชายที่ชอบไปเดท แต่ว่าถ้าไปกันสองคนเขาคงจะไม่ไปแน่ๆ ค่ะ”
“เคยไปเที่ยวกับเพื่อนสี่คนมาแล้ว แต่อยากจะชวนไปเล่นกันสองคนต้องชวนยังไงดีคะ?”
“เด็กผู้ชายคนนั้นก็เป็นแฟนคลับของฮิรารินด้วย เพราะงั้นถ้าเป็นฮิรารินจะชวนยังไง ช่วยบอกหน่อยค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง~”
เด็กผู้หญิงที่อยากจะชวนเด็กผู้ชายที่เป็นแฟนคลับของฮิรารินไปเดท
ไม่จริงน่า… ไม่ใช่คางามิใช่ไหม?
“ถ้าเป็นฉันล่ะก็คงจะบอกไปตรงๆ ว่าชอบเลยอยากไปเดทด้วยค่ะ”
“แต่ว่าคงจะบอกไม่ได้สินะคะ~… ตื่นเต้นสินะคะ”
“เดิมทีฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องความรักเท่าไหร่ เพราะงั้นทุกคน มาช่วยกันคิดหน่อยดีไหมคะ?”
‘เรื่องความรักไว้ใจฉันผู้เป็นมาสเตอร์ได้เลย’
‘ถ้าโดนฮิรารินชวนล่ะก็ ต่อให้สุดขอบโลกก็จะเหาะไป’
‘สุดท้ายแล้วถ้าหน้าตาดีก็ไปแหละ’
ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องความรักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องพลังมโนล่ะก็มั่นใจเลย
ถ้าหากว่าได้เรียนโรงเรียนเดียวกับฮิราริน ถ้าหากว่าได้อยู่ห้องเดียวกับฮิราริน ถ้าหากว่าได้ไปเที่ยวกับเพื่อนรวมฮิรารินสี่คน แล้วถ้าหากว่าโดนชวนว่าครั้งหน้าไปเดทกันสองคนไหม จะอยากโดนชวนแบบไหนกันนะ
อะไรวะนั่น…
“สุดยอดไปเลยโว้ยยยยยยยยยยย!!”
“พี่ชายเสียงดังตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ!”
สุมิเระทุบกำแพงจากห้องข้างๆ พร้อมกับเตือน
จริงด้วย ผมเสียงดังไปหน่อย
ขอโทษด้วย
แต่ก็อดที่จะเสียงดังไม่ได้
ก็แค่จินตนาการว่าโดนฮิรารินชวนไปเดทมันก็…
“ฮึก…!! สุดยอดไปเลยโว้ย…!!”
ถึงจะพยายามกลั้นเสียงไว้ แต่ก็เผลอหลุดออกมาจนได้
จะว่าไปแล้วน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาด้วย
ผมหันหน้าไปที่คอมพิวเตอร์ทันที แล้วก็เริ่มพิมพ์ข้อความ
เมื่อรู้สึกตัว คอมเมนต์นั้นก็ยาวเกินกว่าจะเป็นคอมเมนต์ไปแล้ว กลายเป็นนิยายมโนของผมที่อัดแน่นจนเกือบจะเต็มขีดจำกัดจำนวนตัวอักษร
ถ้าคิดอย่างใจเย็นแล้วนี่ไม่ควรจะส่งไปเลย
แต่ว่าจะลบมโนนี้ไปก็เสียดาย
ขอบูชายัญในช่องคอมเมนต์แล้วกัน
‘ผมที่โดนเรียกไปที่หลังโรงเรียนหลังเลิกเรียน ตรงหน้าคือฮิรารินที่แก้มแดงก่ำพลางเอามือไพล่หลัง และแสดงท่าทีอยู่ไม่สุขเพราะความตื่นเต้น”
“ฮิรารินสังเกตเห็นผม แล้วก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาใกล้แล้วพูดว่า ‘ครั้งหน้าไปเที่ยวด้วยกันสองคน สองคนเท่านั้นนะคะ?’ ดวงตาของฮิรารินชุ่มฉ่ำ ขาสั่นเทา”
“นั่นคือการแสดงออกถึงความตื่นเต้น ผมสังเกตเห็นแล้วก็พยักหน้าเพื่อทำให้ฮิรารินสบายใจโดยเร็วแล้วพูดว่า ‘ขอบคุณนะที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้ามาชวนทั้งที่อายขนาดนี้”
“ไปสิ ไปเดทกัน’”
“คำว่าเดทที่ฮิรารินอายจนไม่กล้าพูดออกมา”
“การที่ผมพูดคำนั้นออกไป ทำให้ความสัมพันธ์นี้ชัดเจนขึ้นว่าเป็นมากกว่าเพื่อน”
“ฮิรารินคงจะโล่งใจแล้วสินะ เธอลูบหน้าอกด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นเคยแล้วพูดว่า ‘ดีจังเลยค่ะ”
“ถึงจะตื่นเต้น แต่ก็ดีใจที่ได้บอกออกไปค่ะ”
“เพราะว่าอยากจะรู้จักคุณให้มากขึ้นค่ะ♥’”
“ขอแบบนี้ครับ’
“หึๆๆๆ ฮิราริน เดทกับผม”
“หึๆๆๆ”
คอมเมนต์ยาวๆ ของผม ทำให้ช่องคอมเมนต์เกิดความโกลาหล และฮิรารินก็หัวเราะอย่างน่าสงสัยเหมือนกับผม
“หึๆ คุณบนตะนี่สุดยอดไปเลยนะคะ”
“หึๆ”
‘บนตะนี่น่ากลัวเกินไปแล้วwwww’
‘ขนาดฉันที่เป็นโอตาคุของฮิรารินยังสยองเลย’
‘นี่มันไม่ใช่การเล่นมุกตลกนะเฟ้ย’
ผมส่งไปทั้งที่รู้ตัวว่าน่าขยะแขยง แต่ฮิรารินผู้เป็นนักบุญคนนั้นถึงกับต้องเอ่ยชื่อผู้ใช้ของผมออกมาด้วยความน่าขยะแขยงที่ไม่คาดคิด
การที่ถูกเอ่ยชื่อทำให้ผมแทบจะถึงจุดสุดยอดจนต้องพยายามอดกลั้นไว้ แต่ก็ทำไม่ได้
“ฮิราริ~~~~~~~~~~~~~~~~~~น!!”
“พี่ชายเสียงดัง!!”
กำแพงจะพังเอาได้นะน้องสาว เลิกทุบกำแพงได้แล้ว
แล้วก็ขอโทษด้วยที่ตะโกนเสียงดังครับ
หลังจากนั้นผมก็สนุกกับการไลฟ์ของฮิรารินไปอีกประมาณสองชั่วโมง อาบน้ำเสร็จแล้วก็เข้านอน
ผมกอดหมอนข้างฮิรารินพลางเปิดสมาร์ทโฟนขึ้นมา
เพื่อทำกิจวัตรก่อนนอนคือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับฮิราริน ผมจึงตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของ X ของฮิราริน รูปภาพในโพสต์คอมมูนิตี้ของยูทูบ
จากการค้นหาแบบนี้ทุกวัน รวบรวมข้อมูลสถานที่ที่ฮิรารินไปหรือของที่ซื้อมา ผมก็สืบจนรู้แล้วว่าเธออาศัยอยู่ในคันไซเช่นเดียวกับผม
ปกติแล้วผมจะลำบากใจกับความน่ารำคาญของสตอล์กเกอร์อย่างคางามิ แต่สิ่งที่ผมทำอยู่เป็นเพียงการรวบรวมข้อมูล
ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้กับฮิรารินเลยสักนิด เพราะงั้นผมจึงไม่ได้แสดงความรู้สึกดีๆ ในทางที่ผิดเหมือนกับคางามิ
คางามิคือสตอล์กเกอร์ตัวแม่สุดอันตราย ส่วนฉันคือสตอล์กเกอร์ออนไลน์ชั้นดี แบบนี้ฉันก็รอดสิ
เอาล่ะ ได้เวลาจบช่วงส่องเน็ตแล้วไปนอนฝันหวานถึงเดทกับฮิรารินดีกว่า พอหลับตาลง โลกแห่งจินตนาการถึงการเดทก็เริ่มต้นขึ้น
“ฟุเฮะเฮะเฮะ ฮิราริน…… ฟุเฮะเฮะเฮะ”
ขณะที่กำลังกอดหมอนข้างฮิรารินแน่นและปล่อยใจไปกับจินตนาการ ความง่วงก็ค่อยๆ เข้ามาครอบงำ
‘ตื่นได้แล้วค่ะ เดี๋ยวจะไปสายนะคะ’
ฉันลืมตาขึ้นด้วยเสียงของฮิราริน วันนี้ก็ยังเป็นเสียงที่ไพเราะเหมือนเคย จริงๆ แล้วฉันตื่นด้วยนาฬิกาปลุกธรรมดาๆ นี่แหละ แล้วค่อยจงใจหยิบหูฟังบลูทูธที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวม
พอปิดเสียงนาฬิกาปลุก หน้าจอสมาร์ทโฟนก็ปรากฏแก่สายตาพร้อมกัน
‘คุณนามิกิ อรุณสวัสดิ์ค่ะ วันนี้ก็หวังว่าจะได้เจอกันนะคะ’
‘อรุณสวัสดิ์’
ฉันตอบไลน์จากคางามิไปส่งๆ แบบเดิม จากนั้นก็ไปคอมเมนต์และกดไลค์โพสต์ทักทายตอนเช้าของฮิรารินใน X แล้วก็ล็อกอินเข้าเกมมือถือให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น
ว่าแต่ ปกติแล้วข้อความไลน์ที่ส่งมาแต่เช้าตรู่จะต้องเป็นประเภท ‘รักนะคะ♥’ อะไรทำนองนั้นนี่นา แต่วันนี้กลับดูสงบเสงี่ยมผิดปกแฮะ
“พี่อ่ะ ทุกคืนๆ เสียงดังเกินไปแล้วนะ”
ทันทีที่เข้าห้องนั่งเล่นไป ก็โดนสายตาพิฆาตกับคำด่าทอของสุมิเระสาดใส่ ก่อนจะเริ่มกินขนมปังปิ้งกับไข่ดาวซึ่งเป็นอาหารเช้า
“พี่ก็พยายามจะอดทนแล้วนะ แต่ฮิรารินน่ารักเกินต้านนี่นา…”
“นั่นก็… จริงอยู่ก็เถอะ”
“ใช่ไหมล่ะ? …………!?”
เมื่อกี้สุมิเระยอมรับว่าฮิรารินน่ารัก ความตกใจนั้นทำให้ไข่แดงเยิ้มๆ ไหลทะลักลงมาจากส่วนที่เป็นไข่แดงของไข่ดาวที่ฉันกำลังจะเอาเข้าปาก
“กะ ก็เมื่อวานหนูลองดูไลฟ์แล้ว ก็จริงที่ฮิรารินน่ารัก”
“สุมิเระ…”
“จะว่าไงดีล่ะ คือ… แบบนั้นแหละเนอะ”
“ใช่ๆ แบบนั้นเลย!”
“แบบว่า ดีเนอะ”
“นั่นแหละ!! หมายถึงน่ารักเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ใช่ไหมล่ะ!?”
“ก็ประมาณนั้น เหมือนความรู้สึกตอนมองดูพวกสิ่งมีชีวิตน่ารักๆ อย่างทารกหรือแมวอะไรแบบนั้น อันนั้นน่ะสุดยอดเลย ไม่แปลกใจเลยที่จะเผลอตะโกนออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเสียงดังไปอยู่ดีนะ ทำให้ไม่มีสมาธิจะดูไลฟ์ของฮิรารินเลย”
“เรื่องนั้นต้องขออภัยอย่างสูงครับ ว่าแต่ สุมิเระเรียกฮิรารินว่า ‘ฮิราริน’ แบบนี้ แสดงว่าติดกับเข้าแล้วสินะ?”
โอโบโระสึกิ ฮิราริ มีชื่อเล่นตอนเดบิวต์ช่วงแรกว่า ‘ฮิราริจัง’ ตัวฉันเองตอนแรกก็เรียกแบบนั้น และถึงตอนนี้ก็ยังมีคนเรียกแบบนั้นอยู่หลายคน แต่ทว่า เหล่าผู้ที่จมดิ่งลงไปในบึงของฮิรารินต่างก็พากันเรียกเธอว่า ‘ฮิราริน’ กันหมด
นี่คือเรื่องที่รู้กันดีในหมู่โอชิฮิราริน
เราสามารถวัดระดับความคลั่งไคล้ที่มีต่อฮิรารินได้จากตรงที่ว่าเรียกเธอว่า ‘ฮิราริน’ หรือ ‘ฮิราริจัง’ นี่แหละ ส่วนพวกที่เรียก โอโบโระสึกิ ฮิราริ เต็มยศนั่นชัดเลยว่ายังไม่เคยดูวิดีโอหรือไลฟ์ของฮิรารินด้วยซ้ำ
เพราะการได้เห็นฮิราริน ได้รู้จักฮิราริน แล้วยังไม่รักฮิรารินนั้น เป็นทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมวลมนุษยชาติ
“ก็เพราะพี่นั่นแหละ นี่ๆ วันนี้กลับมาแล้ว เอาของสะสมของฮิรารินที่มีมาให้ดูหน่อยสิ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันมีของบางอย่างที่เก็บไว้สำหรับป้ายยาด้วย ถ้าจำเป็นก็จะยกให้เลย”
จริงๆ แล้วมันคือของสะสมเวอร์ชันปกติที่สุ่มได้ซ้ำๆ ตอนที่เล็งเวอร์ชันลับต่างหาก สำหรับฉันที่เป็นแค่นักเรียนม.ปลาย การจะซื้อของสะสมของฮิรารินที่ออกมาไม่หยุดหย่อนทุกชิ้นเพื่อเอาไว้ป้ายยาคนอื่นนั้นเป็นเรื่องยากลำบาก กะว่าถ้าในอนาคตหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำเมื่อไหร่ แน่นอนว่าจะเก็บให้ครบทุกอย่าง แต่ตอนนี้แค่เปย์โดเนทกับเก็บของสะสมบางอย่างก็เต็มกลืนแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อจากนี้ไปมันอาจจะยากขึ้นอีกก็ได้ เพราะว่าตอนนี้ฉันมีเพื่อนที่จะไปเที่ยวด้วยกันหลังเลิกเรียนแล้วนี่นะ
“วันนี้พี่จะกลับมากี่โมงเหรอ?”
“ช่วงนี้ไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ เลยบอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ แต่ว่า…”
วันนี้ฮิรารินก็ไม่มีไลฟ์ตามตารางด้วย ถ้าเกิดว่าทุกคนชวนไปเที่ยวกันอีกก็คงจะเล่นกันจนดึกแน่ๆ แต่จะให้เที่ยวหลังเลิกเรียนติดกันทุกวันก็คงไม่น่าจะเป็นไปได้หรอกมั้ง
ถึงจะเป็นพวกตัวท็อป แต่ชีวิตก็คงไม่ได้เป็นเทศกาลรื่นเริงอะไรขนาดนั้นหรอกน่า
“มู่ว… พี่ รีบๆ กลับมานะ…”
“รู้แล้วๆ วันนี้จะรีบกลับมานะ”
“เย้! สัญญาแล้วนะ!?”
“การป้ายยาก็ถือเป็นการสนับสนุนฮิรารินที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน (ในฐานะที่อ้างตัวเองว่า)เป็นสุดยอดโอตาคุของฮิราริน ขอให้วางใจฉันได้เลย”
รู้สึกเหมือนว่าการที่มีฮิรารินเป็นสื่อกลาง ทำให้ฉันได้คุยกับสุมิเระเป็นเรื่องเป็นราวได้ในรอบหลายปีเลย ฉันแกล้งทำเป็นไม่เห็นแม่ที่กำลังมองพวกเราจากในครัวแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
พอมาถึงโรงเรียน คางามิก็วิ่งเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า นั่นคือรูปแบบที่คุ้นเคยในช่วงนี้ แต่การคุยกับคางามิจะทำให้ฉันดูโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยเลี่ยงเธอเป็นกิจวัตร แต่ทว่าวันนี้ คางามิกลับทำเรื่องผิดปกติ แค่ชำเลืองมองมาทางฉันแวบเดียวแล้วก็ไม่เข้ามาคุยด้วย
ยาเอะคาเงะที่สวมหูฟังอยู่ พอเห็นฉันก็ถอดหูฟังออกแล้วทักว่า “หวัดดี” คำหนึ่ง ฉันก็ทักทายกลับเบาๆ เธอก็กลับไปสวมหูฟังแล้วเล่นมือถือต่อ ปฏิกิริยาของยาเอะคาเงะไม่ได้มีอะไรผิดปกติ คิดว่าปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แล้วก็ทาคามิ…
“โย่ว นามิเฮ”
“อย่ามาตั้งชื่อเล่นแปลกๆ ให้คนอื่นนะเฟ้ย แบบนั้นฉันก็กลายเป็นคุณปู่ผมเส้นเดียวไปพอดีสิ”
“ฮ่าๆๆๆๆ เช้าๆ แบบนี้ตบมุกได้คมกริบเลยนะ”
“นี่ทาคามิ คางามิดูแปลกๆ ไปนะว่าไหม…”
ถ้าเป็นยาเอะคาเงะหรือทาคามิล่ะก็ อาจจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับท่าทีที่แปลกไปของคางามิก็ได้
“เอ๋? ตอนฉันคุยเมื่อกี้ก็ปกติดีนี่”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ดีไป…”
ทาคามิทิ้งท้ายไว้ว่า “เดี๋ยวจะลองดูลาดเลาให้หน่อยละกัน ท่าทางน่าสนุกดี” แล้วก็เดินไปทางคางามิ
ราวกับกะจังหวะไว้ ยาเอะคาเงะก็ลุกขึ้นเดินตรงมาหาฉัน จากนั้นก็ดึงมือฉันไป
“มานี่หน่อย”
“เฮ้ย! ยาเอะคาเงะ เป็นอะไรไปน่ะ”
ในห้องเรียนตอนนี้มีเพื่อนร่วมห้องอยู่กันเกือบครบ ไม่ว่าจะคุยอะไรก็เสี่ยงที่จะมีคนได้ยิน
ยาเอะคาเงะคงจะกังวลเรื่องนั้น เธอจึงพาฉันออกจากห้องเรียนมาถึงชานพักบันไดแล้วยังมองซ้ายมองขวารอบๆ พอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ถึงได้เริ่มพูด
“โทษทีนะ คือเรื่องเมื่อวานตอนที่พลัดหลงกันที่โบนาเพตี้ ดูเหมือนซากุระจะเก็บไปคิดมากน่ะ ฉันเลยคิดว่าน่าจะเก็บเป็นความลับดีกว่า แต่ว่า…”
“อ๋อ เรื่องนั้นเองเหรอ”
ยาเอะคาเงะที่เผลอเล่าเรื่องในอดีตของฉันไป ก้มหัวลงด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย แต่สำหรับฉันแล้วเรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง เพราะตอนนี้ฉันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ฉันมีเพื่อนที่ยอมอยู่ด้วยกันและยอมรับในสิ่งที่ฉันชอบได้แล้ว
“ถึงจะมีคนรู้ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าคางามิดูแปลกๆ ไปนะ เกี่ยวกับเรื่องนั้นรึเปล่า?”
“……? งั้นเหรอ? สำหรับฉันก็ดูเหมือนเดิมนะ”
สุดท้ายแล้ว คนอื่นก็มองเห็นเป็นแบบนั้นสินะ แต่คางามิวันนี้ยังไงก็แปลกๆ ไลน์เมื่อเช้าก็ดูไม่กระตือรือร้นเหมือนทุกที หรือว่าฉันไปทำอะไรให้เธอเกลียดเข้าแล้วรึเปล่านะ แต่ถ้าเกลียดกันแล้วก็คงไม่ส่งมอร์นิ่งไลน์มาแต่แรกหรอกมั้ง
“ช่างเรื่องของฉันเถอะ ไม่ใช่ปัญหาหรอก ที่น่าเป็นห่วงคือชิมาดะต่างหาก”
“ชิมาดะนี่ ใช่คนเมื่อวานรึเปล่า…?”
“ใช่ๆ ผู้หญิงคนนั้นแหละ”
ผู้หญิงที่ฉันเคยชอบตอนม.ต้น และเป็นคนที่ทำให้ฉันเริ่มมาคลั่งไคล้ฮิรารินด้วย มาถึงตอนนี้ก็ต้องขอบคุณเธอที่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฉันได้มาเจอฮิราริน แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าบาดแผลในใจตอนนั้นยังไม่จางหายไป
ฉันคิดว่าถ้าเป็นคางามิ ทาคามิ หรือยาเอะคาเงะ ก็เล่าให้ฟังได้ไม่เป็นไร เพราะงั้นเรื่องที่ยาเอะคาเงะเผลอพูดไปจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร พวกนั้นคงไม่เอาไปล้อเลียนหรอก… แต่ทาคามินี่น่าสงสัยนิดหน่อยแฮะ
อาจจะไว้ใจเร็วเกินไปหน่อย แต่นี่คงเป็นผลจากการที่ฉันเป็นพวกสันโดษมานานล่ะมั้ง แค่มีคนใจดีด้วยนิดหน่อยก็เปิดใจให้แล้ว ถึงนั่นจะเป็นเพราะนิสัยที่ดีของทุกคนก็เถอะ…
“ทำไมถึงต้องเป็นห่วงคนคนนั้นด้วยล่ะ? ฉันว่านามิกิอยู่ในฐานะที่จะเกลียดเธอก็ไม่แปลกนะ”
“เธอคิดว่าคางามิคนนั้นจะยอมยกโทษให้ชิมาดะที่มีอดีตเคยทำร้ายฉันเหรอ? ยัยนั่นทำได้ทุกอย่างนี่นา แถมปกติไม่ค่อยแสดงออกแต่ก็เป็นถึงสตอล์กเกอร์ มีมุมที่ค่อนข้างอันตรายอยู่ไม่ใช่รึไง กลัวว่าจะแอบวางแผนแก้แค้นแทนฉันอยู่น่ะสิ…”
“นั่นสินะ ปกติเธอจะใจกว้างกับทุกคน แต่ถ้าเป็นเรื่องของนามิกิแล้วก็คาดเดาไม่ได้เลย… ฉันว่าเธอมีความสามารถที่จะล้างบางให้สิ้นซากไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้เลยนะถ้าไปเป็นศัตรูกับซากุระเข้า… แต่ในความเห็นของฉันที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กและเพื่อนสนิทของเธอ คิดว่าถ้าซากุระไม่คิดจะมาทำร้ายนามิกิอีก เธอก็น่าจะปล่อยไปนะ ถ้าเป็นเรื่องในอดีตแล้วอาจจะสำนึกผิดไปแล้วก็ได้ ตราบใดที่ไม่ทำอีกก็น่าจะโอเคนี่”
“อืม ถ้าเพื่อนสนิทอย่างยาเอะคาเงะว่าอย่างนั้นก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง”
ยาเอะคาเงะแก้มแดงขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“โธ่… อะไรเล่า อยู่ๆ ก็พูดออกมาตรงๆ เขินนะ”
ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าเธอเขินอะไร แต่เมื่อกี้มันอาจจะฟังดูเหมือนฉันพูดว่าฉันกับยาเอะคาเงะเป็นเพื่อนสนิทกันรึเปล่านะ
ฉันพูดเรื่องน่าอายแบบนั้นออกไปไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดด้วย แต่การที่เธอเขินก็หมายความว่าไม่ได้ไม่ชอบสินะ ไม่รู้ทำไมฉันถึงเขินตามไปด้วยเลย
“มะ ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าซากุระไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า ถ้ามีอะไรจะมารายงานนะ ไม่ต้องห่วง เพื่อนสนิท”
ยาเอะคาเงะใช้นิ้วจิ้มที่สีข้างของฉันแล้ววิ่งจากไป กำแพงความเป็นเพื่อนสนิทนี่มันต่ำจังแฮะ แล้วเพื่อนสนิทก็ไม่จำเป็นต้องมีคนเดียวสินะ ดูอย่างทาคามิสิ ท่าทางจะมีเพื่อนสนิทเยอะแยะเลย
หลังจากนั้น ท่าทีของคางามิก็ยังคงแปลกๆ เหมือนเดิม และเธอก็ยังคงไม่เข้ามาคุยกับฉันแค่คนเดียวต่อไป
ทั้งที่คุยกับทาคามิ ยาเอะคาเงะ และเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ตามปกติ แต่กลับไม่ยอมคุยกับฉันแค่คนเดียว แถมพอสบตากันก็รีบหลบสายตาทันที
การที่เธอมาสตอล์กมันก็น่ากลัวน่ารำคาญอยู่หรอก แต่พอไม่เข้ามาคุยด้วยเลยมันก็รู้สึกเหงาๆ ขึ้นมาแฮะ หรือว่ายัยคางามินั่น กำลังใช้แทคติกดึงแล้วผลักอยู่รึเปล่านะ
ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ดูถูกฉันเกินไปแล้ว ไม่มีทางที่ฉันจะเปลี่ยนใจจากฮิรารินไปหาคางามิด้วยวิธีง่ายๆ แค่นั้นหรอก
เพราะฉะนั้น เพราะฉะนั้นรีบกลับมาเป็นคางามิคนเดิมเร็วๆ เถอะ ทั้งที่คิดว่าเป็นเพื่อนกันแล้วแท้ๆ แต่พอโดนเมินใส่แบบนี้… มันก็เจ็บจี๊ดเหมือนกันนะ
พอถึงเวลาพักกลางวัน ยาเอะคาเงะกับคางามิก็มาที่โต๊ะของฉัน ทาคามิที่มานั่งยึดที่นั่งของคุณมาเอคาวะที่อยู่ข้างหน้าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ โบกขนมปังที่หยิบออกมาจากถุงร้านสะดวกซื้อเพื่อต้อนรับทั้งสองคน
“นามิกิ กินข้าวด้วยกันเถอะ”
ยาเอะคาเงะพูดด้วยสายตาว่า ‘เอาเป็นว่าลากมาด้วยแล้วนะ’ ทำได้ดีมาก ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้คงค่อยๆ ห่างกันไป แล้วฉันก็คงต้องเสียเพื่อนที่เพิ่งได้มาไปแน่ๆ
“นามิกิ ข้าวกล่องวันนี้น่ากินจัง ขอเครื่องเคียงหน่อยดิ”
ทาคามิยื่นมือมาที่กล่องข้าวของฉันด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กเกเร ยาเอะคาเงะปัดมือของเขาออก แล้วขู่ด้วยเสียงคำรามเหมือนแม่แมวที่กำลังดุลูกแมว
“กับข้าวชิ้นนั้นฉันเล็งไว้อยู่ เพราะฉะนั้นห้าม”
“เธอก็จะแย่งด้วยเรอะ”
มันน่ากินขนาดนั้นเลยรึไงนะ ไข่ม้วนเนี่ย แม่ฉันทำอาหารเก่งก็จริง แต่ทั้งสองคนก็มีข้าวกลางวันของตัวเองอยู่แล้วนี่ กินของตัวเองไปสิ แต่การที่ทั้งสองคนกำลังแย่งกับข้าวในกล่องของฉันมันกลับทำให้ฉันรู้สึกดีใจแฮะ จิตวิญญาณแห่งความสันโดษของฉันนี่มันสุดโต่งเกินไปแล้ว
“ว่าแต่นามิกิ เมื่อวานฉันดูไลฟ์ของโอชิจังของนายแล้วนะ เห็นทั้งยาเอะคาเงะทั้งนามิกิคลั่งกันขนาดนั้น เลยคิดว่ามันต้องสนุกมากแน่ๆ”
“จริงดิ!! เป็นไงบ้าง!?”
“น่ารักดีนะ แต่ดันเผลอหลับไปกลางคันเลยจำอะไรไม่ค่อยได้เลยว่ะ”
“จริงด้วย การได้ยินเสียงของฮิรารินมันทำให้ง่วงจริงๆ รู้จักคลื่นความถี่ 1/f ไหม มันคือเสียงที่ใช้ในพวกเพลงบำบัด เป็นเสียงที่ทำให้มนุษย์รู้สึกผ่อนคลายได้ ซึ่งฮิรารินมีสิ่งนั้นอยู่ในเสียงของเธอโดยธรรมชาติเลยนะ”
“จริงดิ? สุดยอด อัจฉริยะนี่หว่า”
ถึงจะพูดส่งเดชไป แต่ก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ เลยให้มันเป็นแบบนั้นไปแล้วกัน จริงๆ แล้วเสียงของฮิรารินมีผลช่วยให้ผ่อนคลายได้จริงซึ่งก็พิสูจน์แล้วด้วยตัวฉันเอง คิดว่าไม่น่าจะโกหกหรอก ไม่รู้เหมือนกันแต่
“นามิกิ นั่นจริงเหรอ? ขนาดฉันยังไม่รู้เลย”
“เปล่า พูดไปเรื่อย”
“อะไรเนี่ย! นามิกิก็พูดเล่นเป็นด้วยเหรอ ฮ่าๆๆๆ”
การที่มันตลกกว่าที่คิดทำให้ฉันดีใจ เลยพยายามจะเล่นมุกต่อ แต่คางามิที่เงียบมาตลอดกลับหัวเราะออกมา
“ฟุฟุ คุณนามิกินี่ตลกจังเลยค่ะ”
“หัวเราะแล้ว…”
ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้โดนเกลียดซะแล้ว การที่คางามิหัวเราะออกมาทำให้ฉันโล่งใจจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าฉันชอบคางามิหรืออะไรแบบนั้น แค่ดีใจในฐานะเพื่อนเท่านั้น ไม่ใช่ว่าทำให้คนที่ชอบหัวเราะได้หรืออะไรทำนองนั้นเด็ดขาด เพราะงั้นฮิราริน นี่ไม่ใช่นอกใจนะ
ฉันมัวแต่สนใจที่คางามิหัวเราะ แต่เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าฉันกำลังสังเกตท่าทีของคางามิอยู่ ฉันจึงหันความสนใจกลับไปที่กล่องข้าวของตัวเอง แล้วก็สังเกตเห็นเรื่องแปลกๆ
“ไข่ม้วนหายไป…”
ยาเอะคาเงะกับทาคามิพยายามหลบสายตาฉันพร้อมกับเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ในปาก ถึงจะไม่มีหลักฐานว่าเป็นไข่ม้วน แต่คนร้ายน่าจะเป็นสองคนนี้แหละ
“ทาคามิ ที่มุมปากนายมีเศษไข่ม้วนติดอยู่ด้วย”
“โกหกน่า จริงดิ? แย่แล้ว โดนจับได้แล้วเหรอ?”
“โกหกน่ะ ไอ้ทาคามิแก!”
“ไม่ได้เรื่องเลยทาคามิ ต้องทำให้เนียนๆ ไม่ให้จับได้สิ”
“เธอก็โดนจับได้เหมือนกันนั่นแหละยาเอะคาเงะ แล้วอีกอย่าง ในกล่องข้าวของเธอก็มีไข่ม้วนอยู่ไม่ใช่เรอะ”
“พูดอะไรของนาย นามิกิ นี่ฉันกำลังทดสอบฝีมือการทำอาหารของคุณแม่ของนามิกิต่างหากล่ะ ในบรรดาอาหารในกล่องข้าว ไข่ม้วนเนี่ยแหละที่บอกฝีมือการทำอาหารได้ดีที่สุดเลยนะ”
“อย่ามาพูดอะไรไม่เข้าเรื่องน่า เอาไข่ม้วนของยาเอะคาเงะมานี่เลย”
“อ๊า…! ไข่ม้วนของฉัน…! นามิกิใจร้ายที่สุด…”
“คุณนามิกิเนี่ยใจร้ายที่สุดเลยนะคะเนี่ย!”
ทำไมกลายเป็นฉันที่เป็นคนเลวไปได้ล่ะเนี่ย แล้วคาแรกเตอร์นั่นของทาคามิมันคืออะไรกัน
ไข่ม้วนที่ฉันแย่งมาจากยาเอะคาเงะกำลังจะถูกส่งเข้าปากของฉัน แต่ก็ถูกคางามิที่จับมือฉันไว้นำไปส่งเข้าปากของเธอเอง
“อื้ม~! สมแล้วที่เป็นฝีมือคุณแม่ของซัจจัง อร่อย! ส่วนของคุณนามิกิฉันจะให้ของฉันนะคะ ทานเลยค่ะ♥”
คางามิพูดพลางยื่นไข่ม้วนในกล่องข้าวของเธอมาให้ฉัน แต่ปกติแล้วควรจะใส่ไว้ในกล่องข้าวของฉันแท้ๆ แต่ทำไมตำแหน่งของไข่ม้วนที่ยื่นมาถึงได้อยู่ตรงระดับปากของฉันก็ไม่รู้ พอรู้ตัวว่าเธอกำลังจะป้อนให้ฉัน ทาคามิก็ผิวปากล้อเลียน
คางามิรู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรอยู่ การที่เธอพยายามจะป้อนฉัน มันจะกลายเป็นจูบทางอ้อมนะ ไม่สิ เอาจริงๆ ตอนที่เธอกินไข่ม้วนของยาเอะคาเงะที่อยู่บนตะเกียบของฉันไปน่ะ มันก็เป็นไปแล้วนี่นา
“มะ ไม่เอาสิ ทุกคนมองอยู่ น่าอายจะตาย…”
ฉันยกกล่องข้าวขึ้นมาระดับปาก แล้วใช้กล่องข้าวรับไข่ม้วนมาอย่างแข็งขัน ทำไมถึงชอบทำอะไรแบบนี้หน้าตาเฉยนะ… ไม่รู้ตัวเลยรึไง…?
“นามิกิเขินด้วยล่ะ~”
“ไอ้ทาคามิแก…!”
หลังจากนั้น คางามิก็เลิกหลีกเลี่ยงฉันอย่างผิดธรรมชาติไป เวลาพักกลางวันก็ผ่านไป ทาคามิกับยาเอะคาเงะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง แต่ไม่รู้ทำไมมีแค่คางามิที่ไม่ยอมลุกไปจากหน้าฉัน
ด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง และท่าทางกระสับกระส่ายที่ใช้นิ้วมือทั้งสองข้างประกบกันเพราะความตื่นเต้น
ในที่สุด ฉันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงหลีกเลี่ยงฉันมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้
“คางามิ มีอะไรอยากจะพูดรึเปล่า? การที่โดนเธอหลีกเลี่ยงอยู่เรื่อยๆ มันทำให้ฉันพลอยเกรงใจไปด้วยนะ ถ้ามีอะไรก็บอกมาเถอะ”
ถ้าเปิดอกคุยกันแบบนี้ เชื่อว่าคางามิจะต้องตอบกลับมาแน่ ฉันรู้ดีว่าเธอเป็นคนซื่อสัตย์ ถ้าไม่นับเรื่องสตอล์กเกอร์ล่ะก็เป็นคนดีจริงๆ นะ ถ้าไม่นับเรื่องสตอล์กเกอร์น่ะนะ!
“คือว่า… ที่นี่มันพูดยากน่ะค่ะ หลังเลิกเรียนช่วยไปที่หลังอาคารเรียนให้หน่อยได้ไหมคะ? มีเรื่องที่อยากจะคุยด้วย… แค่สองต่อสองค่ะ”
ด้วยสีหน้าเปี่ยมเสน่ห์ เสียงที่สั่นเครือ และแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว
หลังจากนั้นจนถึงหลังเลิกเรียน ฉันก็ไม่มีสมาธิเรียนเลยแม้แต่น้อย
ณ หลังอาคารเรียนที่อยู่ในเงามืดและเต็มไปด้วยความชื้น ใกล้ๆ กันคือโรงยิมสองที่ชมรมบาสเกตบอลกำลังฝึกซ้อมอยู่ มีเสียงรองเท้ายางเสียดสีกับพื้นโรงยิมดังมาให้ได้ยิน
นอกจากเสียงแล้วยังมีเสียงของสมาชิกชมรมที่ตะโกนคุยกัน และเสียงดังๆ ของชายที่น่าจะเป็นโค้ช ลอดออกมาจากหน้าต่างที่เปิดไว้เพื่อระบายอากาศและปรับอุณหภูมิ
รู้สึกว่าตัวเองจะอ่อนไหวกับเสียงรอบข้างเป็นพิเศษแฮะ ฉันที่มาถึงที่นี่ได้อย่างง่ายดายหลังจากที่ทาคามิทักทายเบาๆ ตอนหลังเลิกเรียน ช่างต่างกับคางามิที่น่าจะมาช้าเพราะถูกผู้คนรายล้อม
ฉันตัดสินใจรอคางามิอยู่ที่นี่ และใช้เวลาไม่กี่นาทีที่รออยู่นั้นฝึกฝนอะไรบางอย่าง
เหตุผลที่คางามิเรียกฉันมาหลังอาคารเรียนนั้น ฉันนึกออกอยู่เพียงอย่างเดียว
ฉันกำลังจะถูกคางามิสารภาพรัก การที่เธอเรียกฉันมาที่นี่ และท่าทีแปลกๆ ของเธอตั้งแต่เช้า ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็จะลงล็อกพอดี เพราะฉะนั้น ฉันจำเป็นต้องฝึกฝนก่อนที่คางามิจะมาถึง
“ว้าว! เย้! ที่หนึ่งครับที่หนึ่ง!”
วิดีโอที่กำลังดูอยู่บนสมาร์ทโฟน ฉันกำลังรวบรวมสมาธิด้วยการดูคลิปตัดต่อที่ชื่อว่า ‘รวมช็อตดีใจของฮิราริน’
สมมติว่าถ้าคางามิสารภาพรักกับฉันจริงๆ ฉันก็จะไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ธงที่ปักไว้ในใจว่า ‘จะโอชิฮิรารินไปตลอดชีวิต’ ถูกคางามิหักโค่นลง ฉันจึงต้องเติมสารอาหารที่ได้จากฮิรารินเท่านั้นเอาไว้ล่วงหน้า ทำแบบนี้แล้วต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับคางามิ ฉันก็จะมองเธอเป็นแค่แมลงตัวหนึ่ง ไม่ใช่สาวงามได้ เพราะถ้าเทียบกับฮิรารินแล้ว ทุกคนก็เป็นแค่แมลงทั้งนั้นแหละ จริงไหมล่ะ บอนตะ
“คุณนามิกิ! รอแย่เลยนะคะ!”
“เฮือก! คะ ครับ!”
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน แน่นอนว่าอีเวนต์อย่างการถูกสารภาพรักนั้นไม่เคยแม้แต่จะรู้สึกถึงความเป็นไปได้ ถึงขนาดที่คิดว่ามันเป็นอีเวนต์ที่จะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของฉันเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่า ณ ที่แห่งนี้ ชีวิตของฉันกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
“เรื่องที่จะคุยด้วยน่ะค่ะ…”
คางามิประสานนิ้วมือทั้งสองข้างแล้วเหลือบมองลงด้านล่าง ท่าทางนั้นทำให้รู้ได้ชัดเจนว่าเธอกำลังตื่นเต้น
ปกติเธอก็พูดบ่อยๆ ว่า “รักนะคะ♥” แต่อันนั้นมันมีบรรยากาศเหมือนพูดเล่นครึ่งหนึ่ง แต่ครั้งนี้มันจริงจัง แค่บรรยากาศก็บอกได้แล้ว
ถ้าปฏิเสธเธอที่นี่ไป ความสัมพันธ์แบบเพื่อนก็คงจะจบลงไปด้วยสินะ ถ้าคิดตามปกติแล้ว การเป็นเพื่อนกับคนที่ปฏิเสธตัวเองไปมันก็เหมือนกับการทรมานดีๆ นี่เอง เพื่อตัวคางามิเองแล้ว ฉันควรจะทำตัวเย็นชาเพื่อให้เธอตัดใจได้เร็วๆ สินะ
เพราะว่าฉันมีฮิรารินอยู่ จะทรยศฮิรารินไม่ได้เด็ดขาด
“คุณนามิกิ”
แม้จะตื่นเต้น แต่คางามิก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะก้าวข้ามมันไป เธอขยับเข้ามาใกล้ฉันจนหยุดลงในระยะที่แค่เอื้อมมือไปก็สัมผัสได้ คางามิประสานนิ้วที่ไขว้กันอยู่ แล้วพูดออกมาเหมือนกำลังสวดภาวนา
“──ครั้งหน้า เราสองคน ไปเที่ยวด้วยกัน… แค่สองคนนะคะ?”
“เหะ…?”
“คือว่า นานๆ ทีจะเป็นไรไหมคะ ถะ ถะ ถ้าคุณนามิกิไม่ชอบก็จะยอมแพ้ค่ะ แต่ถ้าหากว่า ถ้าหากว่าคิดว่าไปก็ได้แม้เพียงนิดเดียวล่ะก็!”
คางามิกับฉัน สองคน ไปเที่ยวด้วยกัน…?
“ฉันอยากจะสนิทกับคุณนามิกิมากกว่านี้ค่ะ ฉันอยากจะอยู่กับคุณนามิกิมากกว่านี้ค่ะ ฉันอยากจะรู้จักคุณนามิกิให้มากขึ้น และอยากให้คุณนามิกิรู้จักฉันให้มากขึ้นด้วยค่ะ!”
“…อืม”
“ฉันเข้าใจดีว่าคุณนามิกรักโอชิซังของคุณมากแค่ไหน และไม่ได้คิดจะปฏิเสธเรื่องนั้นเลยค่ะ แต่ว่า เหมือนกับที่คุณนามิกรักโอชิซังของคุณมาก ฉันก็รักคุณนามิกิมากเหมือนกันค่ะ ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง… เพราะฉะนั้น ช่วยให้โอกาสฉันหน่อยได้ไหมคะ? ฉันจะทำให้คุณสนุกให้ได้เลยค่ะ! …ว่ายังไงคะ…?”
คางามิเหมือนกับตอนที่อยู่ในห้องเรียน เสียงและมือของเธอกำลังสั่นเพราะความตื่นเต้น ตอนนี้ตาของเธอยังคลอไปด้วยน้ำตาอีกด้วย ขนาดฉันที่อยู่ในโหมดซูเปอร์บอนตะที่ตัดสินใจแน่วแน่ด้วยฮิรารินแล้วแท้ๆ ตราชั่งในใจก็ยังเอนเอียงไปทางคางามิ ทำให้ความรู้สึกอยากจะปกป้องถูกกระตุ้นขึ้นมา
การไปเที่ยวกับคางามิเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันไม่ชอบ ฉันอยากจะสนิทกับเธอในฐานะเพื่อน แล้วก็รู้สึกขอบคุณเรื่องต่างๆ ในแต่ละวันด้วย
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ฉันกลัวคงไม่ใช่เรื่องของฮิรารินหรืออะไรทำนองนั้นหรอก คงเป็นแค่ความกลัวที่จะถูกทรยศเหมือนตอนม.ต้นเท่านั้นเอง
ต่อให้ชอบผู้หญิงในโลกสามมิติ สุดท้ายก็ต้องจากกันไปอยู่ดี เรื่องนั้นมันน่ากลัวอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
“ไปกันเถอะ”
“จริงเหรอคะ!?”
ถึงจะน่ากลัว แต่คางามิ ยาเอะคาเงะ และทาคามิ ถึงจะคบกันได้ไม่นาน แต่ฉันก็รู้ว่าทุกคนเป็นคนดี รู้ว่าทุกคนจะไม่ปฏิเสธสิ่งที่ฉันชอบ เพราะฉะนั้น ฉันถึงได้รวบรวมความกล้าแบบนี้ได้
“ดีใจจังเลยค่ะ! ฉันกังวลมาตลอดเลยว่าจะถูกปฏิเสธ!”
คางามิดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา การได้เห็นภาพนั้นทำให้ฉันพลอยดีใจไปด้วย
“จะไปไหนกันดีล่ะ ฉันไม่เคยไปเที่ยวกับผู้หญิงมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี…”
“ที่จริงฉันก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันค่ะ…”
เราสองคนนิ่งอึ้งไปเลย ฉันไม่ค่อยรู้ว่าปกติคางามิไปที่ไหน ส่วนที่ที่ฉันไปก็เพิ่งไปกับทุกคนเมื่อวานนี้เอง…
“จริงสิ! เวลาแบบนี้เราไปถามคุณทาคามิที่ดูเชี่ยวชาญเรื่องความรักกันเถอะค่ะ!”
นั่นสินะ ถ้าเป็นทาคามิล่ะก็คงจะรู้ดีแน่ๆ แต่ทำไมการไปถามเจ้านั่นมันถึงได้น่าหงุดหงิดอย่างนี้นะ… ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไปถามว่าจะไปเที่ยวกับคางามิสองต่อสองที่ไหนดี รับรองว่าโดนล้อแน่ๆ คงต้องถามแบบไม่บอกว่าจะไปกับใครน่าจะดีกว่า
“เดี๋ยวฉันไปถามให้เอง แค่กำหนดวันกันไว้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องสถานที่ทีหลังดีไหม?”
“ตกลงค่ะ! ขอบคุณนะคะ♥ วันอาทิตย์สุดสัปดาห์นี้ฉันว่างทั้งวันเลยค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ?”
วันอาทิตย์อีกสามวันข้างหน้างั้นเหรอ เรื่องราวมันเร็วจังแฮะ พอเป็นอีกสามวันข้างหน้าแล้วมันก็ยิ่งรู้สึกเป็นจริงขึ้นมาทันที
ถ้าเป็นวันอาทิตย์นี้ฮิรารินก็มีตารางหยุดไลฟ์พอดี ไม่ว่าจะกี่โมงก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเท่าไหร่ ว่าแต่ปกติแล้วเรื่องแบบนี้มันต้องตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงกันนะ
คงจะเหมือนกับการไปเที่ยวกับเพื่อนตามปกติแหละมั้ง แต่ว่าฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเลยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ เรื่องพวกนั้นก็ลองไปถามทาคามิแบบเนียนๆ ดูดีกว่า
“วันอาทิตย์เหรอ ไปได้ แล้วเรื่องรายละเอียดค่อยคุยกันในไลน์อีกทีไหม…?”
“นั่นสินะคะ งะ งั้นวันนี้กลับกันเถอะค่ะ”
คางามิรู้ตัวว่าเธอกำลังค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉันโดยไม่รู้ตัว เธอจึงถอยห่างแล้วหันไปมองสมาร์ทโฟน ใบหน้าด้านข้างที่งดงามนั้นแดงกว่าปกติ ยิ่งตั้งสติได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติในตอนนี้
“งั้น งั้นไว้เจอกัน…”
“ค่ะ! …ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
เราสองคนต่างพยายามหนีออกจากที่ตรงนี้ ทั้งที่ทางกลับสถานีเป็นทางเดียวกันแท้ๆ แต่กลับพยายามเดินแยกกันกลับ การเดินเรียงกันหน้าหลังนั้นฉันชินแล้วเพราะถูกสตอล์กอยู่ แต่ของวันนี้มันต่างจากทุกที พวกเราต่างฝ่ายต่างก็ตระหนักถึงกันและกัน บรรยากาศมันเลยน่าอึดอัด
ฉันที่เดินอยู่ข้างหน้า ตัดผ่านสนามเบสบอล แล้วก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงหันไปมองทางสนามเบสบอล ในชั่วพริบตานั้นเอง อะไรบางอย่างสีขาวกลมๆ ก็พุ่งเข้ามา
“คุณนามิกิ!!”
พร้อมกับเสียงของคางามิ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็พุ่งเข้าที่หน้าผาก
“…คุณ…นามิกิ”
ได้ยินเสียงคางามิเรียกฉันอยู่ไกลๆ ไม่รู้ทำไมเสียงนั้นถึงได้รู้สึกคล้ายกับเสียงของฮิรารินตอนที่เธอตะโกนเสียงดังผิดปกติระหว่างไลฟ์เกมเลย
“เพดานที่ไม่คุ้นเคย…”
จริงๆ แล้วก็พอจะเดาได้อยู่หรอก แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้มองมันแบบนี้ ดูเหมือนว่าฉันที่เพิ่งฟื้นจากสลบไปจะพึมพำออกมา ทำให้คางามิที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พับข้างๆ เข้ามาในสายตา
“คุณนามิกิ! ดีจังเลย…!”
หลังจากเพดานที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นใบหน้าที่สวยงามอย่างไร้ที่ติ ไม่รู้ว่าสมองยังทำงานไม่เต็มที่รึเปล่า ฉันได้แต่มองใบหน้าน่ารักนั้นอย่างเหม่อลอย แล้วใบหน้านั้นก็ค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าจ้องแบบนั้นสิคะ…”
“อ๊ะ โทษที…”
อะไรกันเนี่ย ทั้งที่เพิ่งบอกว่า ‘ไว้เจอกัน’ ไปแท้ๆ
ฉันที่นอนอยู่บนเตียงในห้องพยาบาล กับคางามิที่มองมาด้วยความเป็นห่วงอยู่ข้างๆ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าล่ะก็ ไม่รู้จะโดนนินทาว่าอะไรบ้าง
“ไม่มีใครอื่นอยู่เหรอ?”
“คุณครูห้องพยาบาลเหมือนจะออกไปข้างนอกอยู่ค่ะ พอดีมีพี่ชมรมยูโดอยู่ใกล้ๆ เลยช่วยอุ้มมานอนที่นี่ก่อนน่ะค่ะ ว่าแต่ มีตรงไหนรู้สึกผิดปกติบ้างไหมคะ?”
“ก็ไม่ค่อยมีนะ”
ถ้าจะให้พูดล่ะก็ แค่รู้สึกร้อนๆ นิดหน่อย แต่เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากให้ใครรู้เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคางามิ เพราะฉันมั่นใจว่าความร้อนนี้เกิดขึ้นจากการที่ได้อยู่กับคางามิในสถานการณ์แบบนี้
“คุณนามิกิ ล้มลงไปเหมือนในการ์ตูนเลย ฉันเป็นห่วงมากเลยนะคะ…”
“ถ้าเป็นทาคามิล่ะก็คงจะหัวเราะแน่ๆ ว่าแต่ ไม่ต้องกลับบ้านเหรอ?”
พอมองนาฬิกาก็พบว่าเวลาผ่านไปประมาณสามสิบนาทีแล้วนับจากที่ฉันโดนลูกเบสบอลอัด คางามิดูยุ่งๆ อยู่ตลอด จะมาดูแลฉันอยู่ที่นี่ดีเหรอ… พอคิดดูดีๆ เธอก็ตามหลังฉันอยู่ตลอดนี่นา คงจะว่างสินะ
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วอีกอย่างคุณนามิกิยังไม่ควรขยับตัวด้วย รอให้คุณครูมาตรวจก่อนแล้วค่อยกลับกันเถอะค่ะ จนกว่าจะถึงตอนนั้น อยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอคะ…?”
“เปล่า ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ว่า…”
ไม่ได้ไม่ได้ ไม่ได้เลย เพราะงั้นเลิกทำสายตาช้อนมองด้วยดวงตาชุ่มน้ำนั่นซะทีเถอะ น่ารักโว้ย
“ขอบคุณค่ะ♥ งั้นระหว่างรอคุณครู เรามาคุยเรื่องความรักกันดีไหมคะ?”
“เรื่องความรัก?”
ถึงจะพอเข้าใจความหมายอยู่หรอก แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ เรื่องวันอาทิตย์มันแวบเข้ามาในหัวเลย
“ค่ะ คุณนามิกิ ชอบตรงไหนของฮิราริซังเหรอคะ?”
“ถามไปจะทำอะไรน่ะ จะไม่พูดว่าตามหาแล้วไปจัดการทิ้งซะหรอกนะ?”
“ฟุฟุ ก็ไม่แน่นะคะ”
ทำได้จริงแน่ๆ ถ้าเป็นคางามิล่ะก็
“จะให้บอกว่าตรงไหนมันก็… ทั้งหมดนั่นแหละ ใบหน้า เสียง วิธีพูด แนวคิด ทั้งหมดมันคืออุดมคติเลยรึเปล่านะ… ไม่ใช่สิ พอได้รู้จักฮิรารินแล้ว ฮิรารินก็กลายเป็นอุดมคติของฉันไปเอง ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้นน่ะ ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว”
พอพูดจบ ฉันก็เบือนหน้าหนีจากคางามิ ราวกับจะทำเป็นไม่รับรู้สิ่งที่ตัวเองรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจว่าคางามิที่อยู่ตรงหน้าก็อาจจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
“ฉันจะสามารถแทรกเข้าไปในช่องว่างในหัวใจของคุณนามิกิได้ไหมคะ? ถ้าหากว่ามีความเป็นไปได้แม้เพียงนิดเดียว ช่วยบอกฉันตามตรงได้ไหมคะ”
เสียงที่จริงจังของคางามิทำให้ฉันหันกลับไปมองเธออีกครั้ง สายตาที่ร้อนแรงและแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นนั้น ทำให้โกหกไม่ได้ ในชั่วพริบตา ความรู้สึกที่แท้จริงที่เมื่อครู่พยายามจะทำเป็นไม่เห็นก็หลุดออกมา
“ไม่มีทาง… ก็พูดได้ไม่เต็มปาก”
ฉันคิดว่าการพูดคำพูดครึ่งๆ กลางๆ ที่ยังทิ้งความหวังเล็กน้อยไว้ให้คางามิเป็นเรื่องที่ไม่จริงใจ แต่ทว่า ตัวฉันที่รักเพียงฮิราริน กับตัวฉันที่คอยเตือนว่าจริงๆ แล้วแค่กำลังหนีไปสู่โลกสองมิติ กำลังต่อสู้กันอยู่ในสมอง และคำตอบที่หลุดออกมาในทันทีก็คือสิ่งนั้น
ฉันเองก็ไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกัน และการที่บอกว่าหนีไปสู่โลกสองมิตินั้นก็พยักหน้ายอมรับได้ ฉันรู้ดีว่าเพราะเรื่องในอดีต ทำให้ฉันกลัวที่จะผูกพันกับใครอย่างลึกซึ้ง กลัวที่จะต้องเจ็บปวดจากการที่ชอบใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนที่รักก็ตาม และกำลังเบือนหน้าหนีจากโลกสามมิติอยู่
การที่รักฮิรารินจนหมดหัวใจนั้นก็เป็นความจริงใจเช่นกัน ฉันไม่มีความมั่นใจที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีฮิรารินได้ ถ้าไม่มีฮิรารินล่ะก็ ฉันคงจะกลายเป็นพวกเก็บตัวที่ไม่ยอมรับอะไรเลยมาตั้งแต่ตอนที่หนีเข้าไปในห้องเรียนร้างตอนนั้นแล้ว
เป้าหมายที่จะแต่งงานกับVtuber โอชิของตัวเองนั้น ในใจก็คิดอยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าตัดใจว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วหนีออกจากโลกสองมิติไปด้วย ฉันจะไปที่ไหนได้อีก
ฉันกำลังแก้ตัวกับใครกันอยู่นะ
“…อย่างนั้นเหรอคะ”
“โทษที ที่ตัดใจให้เด็ดขาดไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ สำหรับฉันแล้ว แค่คุณนามิกิมีความสุขก็พอแล้วค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ฉันเข้าใจความรู้สึกของคางามิได้นิดหน่อย
คงจะเหมือนกับที่ฉันชอบฮิรารินสินะ แค่ฮิรารินมีความสุขนั่นก็ดีที่สุดแล้ว ฉันก็คิดอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าในโลกแห่งความสุขนั้นมีฉันอยู่ด้วยก็คงจะดีกว่า
แค่เพียงอยากจะชอบ แค่เพียงอยากจะอยู่ข้างๆ แค่เพียงอยากจะเฝ้ามอง ความรู้สึกนั้นมันรุนแรงเกินไป จนทำให้คางามิกลายเป็นสตอล์กเกอร์ และฉันก็กลายเป็นสตอล์กเกอร์ออนไลน์ไป
พวกเรานี่มัน ช่างเป็นพวกที่คล้ายกันจริงๆ
“ขอโทษนะครับ”
““……!?””
เสียงที่ดังขึ้นในห้องพยาบาลอย่างกะทันหัน กำลังค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาใกล้ทีละก้าว
จากน้ำเสียงแล้วคงจะเป็นนักเรียนชายที่มาหาครูห้องพยาบาลสินะ
บนเตียงที่ล้อมรอบด้วยม่าน ข้างๆ กันคือนักเรียนสาวสวยอันดับหนึ่งของชั้นปี คางามิ ซากุระ ถ้าสถานการณ์นี้ถูกเห็นเข้าล่ะก็ ชีวิตม.ปลายอันสงบสุขของฉันคงต้องปิดฉากลง
คางามิหันไปทางต้นเสียง แล้วก็มองมาที่ฉันด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ดูเหมือนว่าเธอจะเดาได้ว่าฉันกำลังกังวลเรื่องอะไร
เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
“มีใครอยู่ไหมครับ?”
ในทันใดนั้น ฉันก็คว้ามือของคางามิที่กำลังจะลุกจากเก้าอี้พับ
ม่านถูกเปิดออก และนักเรียนชายชมรมเบสบอลในชุดยูนิฟอร์มสีขาวก็โผล่หน้าออกมา
“อ๊ะ อยู่นี่เอง คนที่ทำลูกบอลลอยไปเมื่อกี้น่ะครับ ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? พอดีมีคนจากชมรมยูโดมาบอกทีหลังเลยรีบมาขอโทษน่ะครับ…”
“ไม่เป็นไรเลยครับ พอดีเขาบอกให้รอครูห้องพยาบาลมาก่อนเลยแค่อยู่เฉยๆ น่ะครับ ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ”
พอฉันพูดอย่างนั้น นักเรียนชายคนนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แหม่ ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ! ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะตีลูกได้ไกลขนาดนั้น”
“ฮ่าๆ ตีได้สวย”
เร็วๆ สิ
“เห็นด้วยเหรอครับ!? ลูกยากๆ แบบนั้นผมตีไปได้ไกลขนาดนั้นเลยนะครับ!? แหม่ นึกว่าเป็นโชเฮย์ โอทานิรุ่นต่อไปซะอีก”
“ผมไม่ทันเห็นจนกระทั่งลูกบอลจะโดนตัวแล้วล่ะครับ ถ้าเป็นโชเฮย์ โอทานิรุ่นต่อไปล่ะก็ น่าจะได้ดูไว้ซะหน่อย”
จะอยู่อีกนานแค่ไหน รีบๆ ออกไปได้แล้ว
“งั้นขอโทษจริงๆ นะครับ! ขอให้หายเร็วๆ นะครับ!”
“คร้าบ”
ดูไม่ค่อยจะรู้สึกผิดเท่าไหร่ แต่ก็มาขอโทษแล้วก็ดีแล้วล่ะ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ
เสียงฝีเท้าของนักเรียนชายที่ค่อยๆ ห่างออกไป พอแน่ใจว่าไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาแล้ว ฉันก็เปิดผ้าห่มขึ้นแล้วมองเข้าไปข้างใน
“ตกใจหมดเลยค่ะ…”
ก่อนที่นักเรียนชายคนนั้นจะเปิดม่าน ฉันได้ดึงคางามิเข้ามาซ่อนในผ้าห่มอย่างรวดเร็วจนรอดพ้นวิกฤตไปได้ แต่ในผ้าห่มนี่สิเรื่องใหญ่เลย
คางามิซบหน้าลงกับสีข้างของฉันที่นอนอยู่ แล้วขดตัวกลมเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่ามีคนสองคนอยู่ และตอนนี้ พอฉันเปิดผ้าห่มขึ้น คางามิที่รู้ว่านักเรียนชายคนนั้นไปแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา ทำให้ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันมาก หัวของคางามิอยู่ตรงปลายจมูกของฉันพอดี ทำให้ได้กลิ่นหอมๆ ที่เคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน น่าจะเป็นกลิ่นแชมพู
เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่ามีคางามิอยู่ด้วย เราจึงต้องแนบชิดกัน แขนที่โอบรอบเอวเธอไปในทันทีนั้น ประคองร่างกายที่บอบบางของคางามิไว้
ถ้ามีแค่นั้นก็ยังพอทนได้ แต่นี่มันใกล้กว่าตอนที่อยู่ร้านโดนัทเสียอีก ระยะห่างที่ถ้าพลาดนิดเดียวริมฝีปากก็คงจะชนกัน ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุอะไรบางอย่างขึ้นมา ต้องรีบถอยห่าง แต่ทว่า แม้ฉันจะคลายแขนออก ร่างกายของเราก็ยังไม่แยกจากกัน
“คางามิ…?”
เพราะไม่มีสติเลยไม่ทันได้สังเกต แขนของคางามิกำลังกอดร่างกายของฉันอยู่
“ขะ ขอโทษค่ะ! เผลอไปหน่อย… เดี๋ยวจะลุกเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
คางามิที่พยายามจะลุกขึ้นในท่าคลานสี่ขาบนตัวฉัน ผมของเธอตกลงมาที่หูของฉันเบาๆ ทำให้รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าแล่นไปทั่วแผ่นหลัง แปลกจัง ปกติฉันไม่ใช่คนอ่อนไหวง่ายขนาดนี้นี่นา
“เดี๋ยวสิ คางามิ…!”
“เอ๊ะ?”
ตอนที่คางามิก้มตัวลงนั่นเองที่ฉันสังเกตเห็น
“ริบบิ้น หลุดอยู่นะ…!”
“อ๊ะ… อะวาวาวาวา”
ส่วนนูนสองข้างที่ไม่ได้เล็กเลยสักนิด กำลังทักทายออกมาจากช่องว่างตรงหน้าอกที่เกิดจากริบบิ้นที่หลุดออก
พอนึกย้อนกลับไป เมื่อกี้นี้สิ่งนี้กำลังแนบชิดอยู่กับร่างกายของฉันสินะ เป็นเพราะฉันดึงเธอเข้ามาในเตียงอย่างแรงเมื่อกี้นี้เอง ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย…
คางามิที่ตื่นตระหนกรีบลงจากเตียง ก่อนที่จะสวมรองเท้าแตะก็รีบผูกริบบิ้นให้เรียบร้อย แล้วหันหลังให้ฉันพร้อมกับหันแค่คอมามอง
“เห็นรึเปล่าคะ…?”
“…อะไรล่ะ”
“มู่ว… คุณนามิกิ ลามก”
ก็โดนลูกเบสบอลอัดที่หัวมานี่นะ ดูท่าว่าจะไม่ลุกจากผ้าห่มสักพักน่าจะดีกว่า คุณครูครับ ได้โปรดอย่าเพิ่งมาตอนนี้เลย
ตามจนจบได้ที่ octodex
Chapters
Comments
- ตอนที่ 4.2 ปัจฉิมลิขิต กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 4.1 บทส่งท้าย เรื่องราวเลิฟคอเมดี้กับน้องสาวน่ะมันมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้นแหละ และโอชิของผมไปตลอดกาลก็มีเพียงฮิรารินคนเดียวเท่านั้น กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 4 การเดทน่ะ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าว่าจะไปที่ไหน ก็คือการได้ไปกับใครต่างหาก และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเริ่มต้น ก็คือการสิ้นสุด กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 3 ถึงจะเป็นตัวประกอบ แต่ตัวประกอบก็มีอดีตอันแสนเจ็บปวดในแบบของตัวเอง และแม้แต่คางามิ ซากุระเองก็มีด้านที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 2 เหตุผลที่คนเราจะตกหลุมรักใครสักคนน่ะ มันช่างเรียบง่ายกว่าที่คิด และต่อมความฮาของทาคามิ จุนก็เรียบง่ายเช่นกัน กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 1 ไอ้ความรู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหลังน่ะ ส่วนใหญ่มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเอง และไอ้ความรู้สึกที่ว่าพอเข้าร้าน 100 เยนแล้วต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อย มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเองเช่นกัน กรกฎาคม 3, 2025
MANGA DISCUSSION