ตอนที่ 2 เหตุผลที่คนเราจะตกหลุมรักใครสักคนน่ะ มันช่างเรียบง่ายกว่าที่คิด และต่อมความฮาของทาคามิ จุนก็เรียบง่ายเช่นกัน
รุ่งอรุณของผมเริ่มต้นขึ้นด้วยฮิราริน
ซึ่งหมายถึงเสียงนาฬิกาปลุกน่ะ
‘ตื่นได้แล้วค่ะ เดี๋ยวก็ไปสายหรอกนะคะ’
เสียงจากวิดีโอ ASMR ของฮิรารินที่ดังออกมาจากสมาร์ทโฟน
ผมตั้งเสียงนี้เป็นเสียงนาฬิกาปลุก แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะตื่นได้ด้วยเสียงปลุกที่เล่นซ้ำไปซ้ำมานั่น
เพราะว่าผมอุตส่าห์สวมหูฟังไร้สายตอนนอนเพื่อที่จะได้สัมผัสเสียงของฮิรารินข้างหู แต่พอตื่นขึ้นมาหูฟังไร้สายก็กลิ้งอยู่ข้างหมอนไปแล้ว
ถึงจะตั้งค่าให้มีเสียงออกจากสมาร์ทโฟนด้วยก็เถอะ แต่ด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาขนาดนั้นคงจะตื่นไม่ไหวหรอก
สุดท้ายแล้วผมก็ตื่นรับรุ่งอรุณด้วยนาฬิกาปลุกธรรมดาที่ใช้ถ่านซึ่งตั้งไว้เป็นประกันเพื่อไม่ให้ไปสาย
จากนั้นก็หยิบหูฟังไร้สายข้างหมอนขึ้นมาสวมที่หู
‘ตื่นได้แล้วค่ะ เดี๋ยวก็ไปสายหรอกนะคะ’
“หาว~ สุขสุดๆ~”
หลังจากเยียวยาหูแบบนี้แล้ว ผมก็จะนอนอู้ต่อบนเตียงอีกสักพัก
สิ่งที่ทำในตอนนั้นส่วนใหญ่ก็คือล็อกอินเกมมือถือ และกดไลค์โพสต์ของฮิรารินที่ทวีตทุกเช้าว่า ‘อรุณสวัสดิ์ค่ะ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ’ แล้วส่งรีพลายกลับไปว่า ‘อรุณสวัสดิ์ ขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้นะ’
ผมทำแบบนี้เป็นกิจวัตรทุกเช้า
ถ้ามองจากมุมมองคนนอกอาจจะดูเหมือนเป็นแฟนคลับตัวยงที่น่ากลัว แต่แฟนๆ ของฮิรารินส่วนใหญ่ก็เป็นแบบผมทั้งนั้น
นั่นก็คือ นี่แหละคือความธรรมดาในวงการนี้
แต่ว่า ช่วงนี้กิจวัตรตอนเช้าของผมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
‘นามิกิคุง อรุณสวัสดิ์ค่ะ! วันนี้ก็รักมากๆ นะคะ!’
ข้อความรักจากคางามิที่ส่งมาทุกวันตั้งแต่วันที่แลกไลน์กัน
บอกตามตรงว่าผมเริ่มจะเอือมแล้ว
ช่วยพอสักทีเถอะจริงๆ
ถึงคางามิจะสวยแค่ไหน แต่ผมก็มีคนที่อยู่ในใจอย่างฮิรารินอยู่แล้ว
อ๊ะ ไม่ใช่คนสิ เป็นเทพธิดาต่างหาก
เพราะฉะนั้น จะไปหลงรักคางามิไม่ได้เด็ดขาด
ถ้าเผลอหลงรักไป ก็จะกลายเป็นการทรยศฮิรารินที่จะแต่งงานกับผมในอนาคต
เรื่องแบบนั้น กฎหมายและศีลธรรมในใจของผมยอมไม่ได้
ตัวผมที่ไม่ยอมใจอ่อนแม้จะถูกเด็กสาวสวยๆ รุกหนักทุกวันนี่เท่ชะมัดเลยแฮะ
ฮิรารินเองก็คงจะหลงรักเข้าให้แล้ว
แต่การที่ไม่ตอบกลับเลยมันก็ดูนิสัยไม่ดีไปหน่อย แถมยังมีบุญคุณที่แนะนำให้รู้จักกับยาเอะคาเงะที่เป็นเพื่อนโอชิฮิรารินคนเดียวกันอีก
ก็ไม่ได้อยากจะตอบกลับหรอกนะ แต่ช่วยไม่ได้ก็เลยต้องตอบไป
จริงๆ นะ ไม่ได้มีความสุขกับการได้ไลน์กับสาวสวยแต่เช้าอะไรแบบนั้นเลยนะจะบอกให้!
‘อรุณสวัสดิ์ ขอบใจนะ’
ก็ประมาณนี้แหละ นี่คือขีดจำกัดของหนุ่มเวอร์จิ้น
ไม่ว่าจะพยายามตอบกลับอย่างเป็นมิตรแค่ไหน ความเขินอายก็เอาชนะไปอยู่ดี
ว่าแต่ วันนี้อากาศร้อนจังนะ
ทั้งที่ยังกลางเดือนพฤษภาคมอยู่เลย แต่กลับรู้สึกถึงกลิ่นอายของฤดูร้อนซะแล้ว
คนธรรมดาๆ อย่างผมค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางพวกเก็บตัว เพราะงั้นแน่นอนว่าไม่ชอบอากาศร้อนอยู่แล้ว
เดิมทีก็ไม่ชอบแสงแดดอยู่แล้วด้วยซ้ำ
มีทฤษฎีว่าผมอาจจะเป็นทายาทของแวมไพร์อยู่เหมือนกัน
ผมเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนแล้วกำลังจะเดินจากห้องตัวเองที่ชั้นสองไปยังห้องน้ำที่ชั้นหนึ่ง
มีบางอย่างผิดปกติ
บันไดดูยาวกว่าปกติ
จะว่าไป มันดูบิดเบี้ยวด้วย
…อ๊ะ ไม่ใช่ นี่มัน…
“แผ่นดินไหว… อ๊ะ เจ็บ!”
ผมก้าวพลาดบันได เกือบจะกลิ้งตกลงไปแต่ก็คว้าจับราวบันไดไว้ได้ทัน แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการก้นกระแทก
บันไดไม่ได้ยาวขึ้นหรือบิดเบี้ยวไปหรอก แต่เป็นสายตาของผมเองที่พร่ามัว
ไม่ใช่แค่นั้น ร่างกายยังหนักอึ้งอย่างมาก
อุณหภูมิร่างกายก็รู้สึกเหมือนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
อ่า นี่มัน…
“สามสิบแปดองศา”
“วันนี้หยุดพักก็ได้นะ นอนให้ดีๆ ล่ะ”
“ครับ”
แม่ที่แปะแผ่นเจลลดไข้ให้ที่หน้าผากแล้วเตรียมปรอทวัดไข้ให้พูดขึ้น
สุมิเระ น้องสาวของผมที่ทำท่าไม่สนใจอยู่ข้างหลัง กำลังเล่นสมาร์ทโฟนไปพลางเร่งแม่ไปพลาง
ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะให้แม่ขับรถไปส่ง และการที่ผมมาเป็นไข้ในเวลาแบบนี้ทำให้เวลาออกจากบ้านต้องเลื่อนออกไป
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องเร่งกันขนาดนั้นก็ได้มั้ง
ให้ตายสิ น้องสาวนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่ารักเลยถ้าไม่ได้อยู่ในโลกสองมิติ
“เพราะพี่แท้ๆ เลยไปสายเนี่ย! ถ้ารางวัลมาเรียนครบของฉันหายไปจะรับผิดชอบไหวไหมหา?”
“ขอโทษครับ”
น้องสาวเอ๋ย เธอน่ะหยุดเรียนไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะเป็นไข้ รางวัลมาเรียนครบมันก็หมดหวังไปแล้วล่ะ
แล้วก็อย่าลืมนะว่าไข้หวัดครั้งนี้มันติดมาจากที่ฉันดูแลเธอแทนแม่ที่ไปทำงานพาร์ทไทม์ไม่มีใครอยู่นะ
“เฮคุง ขอโทษนะ”
“แม่ต้องไปทำงานพาร์ทไทม์หลังจากส่งซูจังแล้ว กลับมาไม่ได้”
“แต่แม่วางข้าวกล่องของเฮคุงวันนี้ไว้ในครัวแล้วนะ กินนั่นซะ”
“อยากจะพาไปโรงพยาบาลอยู่หรอก แต่ว่า…”
“แม่ พี่ชายเป็นคนบ้า นอนพักเดี๋ยวก็หายแล้ว”
“รีบไปกันเถอะ”
น้องสาวเอ๋ย ถึงจะบ้าแต่ก็มีตอนที่เจ็บปวดเหมือนกันนะ
เพราะงั้นช่วยใจดีอีกหน่อยไม่ได้เหรอ?
พี่ชายจะร้องไห้แล้วนะ?
“แม่เลิกงานตอนบ่ายสามโมง หลังจากนั้นก็ได้ไหม?”
“อืม”
“อีกอย่างก็น่าจะแค่ไข้หวัดธรรมดาแหละ นอนพักเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
“ไม่เป็นไรหรอก รีบพาสุมิเระไปเถอะ”
“ทั้งที่เป็นพี่ชายแท้ๆ แต่พูดจาดีนี่นา”
“ขอบคุณมากครับ”
ก่อนจะออกจากบ้าน สุมิเระพูดกับผมว่า “ดูนี่แล้วร่าเริงซะนะ” แล้วเอาอครีลิคสแตนด์ของฮิรารินที่วางอยู่บนโต๊ะไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วทำหน้าเหมือนจะเป็นห่วงนิดหน่อยก่อนจะพูดว่า “พอกลับมาแล้วจะดูแลให้เอง เพราะงั้นห้ามตายจนกว่าจะถึงตอนนั้นนะ” แล้วปักธงมรณะครั้งใหญ่ก่อนจะออกไป
ให้ตายสิ น้องสาวนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่ารักเลย
หลังจากที่แม่กับสุมิเระออกไปได้ประมาณสี่ชั่วโมง ผมก็คิดว่าน่าจะถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว เลยเดินไปยังห้องครัวอย่างระมัดระวัง ก็เจอกล่องข้าวที่ปิดฝาวางอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เอาล่ะ กับข้าววันนี้มีอะไรบ้างนะ ผมตรวจสอบข้าวกล่องฝีมือแม่
ก่อนอื่นคือข้าวที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของกล่องข้าว
กับข้าวมีไส้กรอก มีทบอล ไข่หวาน คินปิระโกโบ และไก่ทอดคาราอาเกะ
ต้องขอโทษแม่ด้วย แต่ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้คงจะกินของพวกนี้ลำบากหน่อย
แต่ถ้าไม่กินอะไรเลยกระเพาะก็คงจะพังเพราะยาแน่ๆ
ทำข้าวต้มกินดีไหมนะ?
ไม่สิ แค่ลงมาที่ชั้นหนึ่งนี่ก็ลำบากพอแล้ว
ถ้าเกิดเป็นลมล้มพับระหว่างทำข้าวต้มขึ้นมา ใช้ไฟอยู่ด้วยอันตรายแน่
แรงจะขึ้นไปชั้นสองก็ไม่มีแล้ว เลยตัดสินใจนอนพักบนโซฟาในห้องนั่งเล่นจนกว่าแม่จะกลับมา
ขยับตัวไม่ได้ แต่ถ้านอนนิ่งๆ ก็ไม่ค่อยทรมานเท่าไหร่
พอคิดว่าจะดูวิดีโอในสมาร์ทโฟน ก็เห็นว่ามีแจ้งเตือนไลน์เข้ามาประมาณสามสิบข้อความ
คนที่ไลน์มาหาผมก็นึกออกแค่แม่คนเดียว แต่ตอนนี้แม่น่าจะทำงานอยู่
ถ้าอย่างนั้นแล้วใครกัน…
‘นามิกิ ได้ยินว่าเป็นไข้เหรอ”
“หายไวๆ นะ”
“อย่ามัวแต่เล่นเกมล่ะ นอนพักให้ดีๆ’
ไม่ต้องห่วงยาเอะคาเงะ ไม่มีแรงจะเล่นเกมหรอก
ผมแอบประทับใจนิดหน่อยที่เธออุตส่าห์ติดต่อมา
ได้มีเพื่อนที่คอยเป็นห่วงตอนเป็นไข้ที่โรงเรียนมัธยมปลายแล้วสินะ
การที่มีคนเป็นห่วงมันน่าขอบคุณและดีใจมากๆ ก็จริง แต่การส่งมาตั้งสามสิบข้อความนี่มันก็เกินไปหน่อยนะ
เพราะฉะนั้นเลิกทำเถอะครับ คุณคางามิ
‘นามิกิคุง ไม่เป็นไรเหรอคะ?’
‘ทรมานรึเปล่าคะ?’
สติกเกอร์รูปกระต่ายเป็นห่วงหนึ่งอัน
‘วัดไข้รึยังคะ?’
‘แผ่นเจลลดไข้แปะที่หลังคอก็ได้ผลดีเหมือนกันนะคะ’
สติกเกอร์รูปกระต่ายปิ๊งไอเดียเขียนว่า ‘คิดค้นสำเร็จ!’ หนึ่งอัน
‘เป็นห่วงจังเลยค่ะ…’
‘เรียนไม่รู้เรื่องเลยค่ะ…’
สติกเกอร์รูปกระต่ายร้องไห้หนึ่งอัน
‘อ๊ะ แต่ว่าไม่ต้องห่วงนะคะ!’
‘ฉันอ่านหนังสือล่วงหน้าไปไกลแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาสำหรับฉันค่ะ!’
‘ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ!’
สติกเกอร์รูปกระต่ายทำหน้าโล่งใจหนึ่งอัน
‘แต่ว่าฉันเป็นห่วงนามิกิคุงมากกว่าค่ะ’
‘ปลอดภัยดีไหมคะ?’
‘ซัจจังก็บอกว่ายังไม่ตอบกลับเลย เป็นห่วงจังค่ะ’
‘ก็เพราะเป็นไข้อยู่ ไม่ตอบกลับก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมคะ?’
‘กำลังทรมานอยู่คนเดียวรึเปล่าคะ?’
‘ถ้าฉันไปดูแลให้ได้ก็คงจะดี…’
สติกเกอร์รูปกระต่ายร้องไห้เหมือนเมื่อกี้หนึ่งอัน
‘อ๊ะ ทำแบบนั้นก็ได้นี่คะ!’
‘เดี๋ยวฉันจะขอเลิกเรียนก่อนตอนเที่ยงแล้วไปที่บ้านนามิกิคุงนะคะ!’
สติกเกอร์รูปกระต่ายปิ๊งไอเดียเหมือนเมื่อกี้หนึ่งอัน
‘คิดว่าครอบครัวคงไม่มีใครอยู่แน่ๆ ถ้าฉันไม่ไปนามิกิคุงคงจะเหงาอยู่คนเดียวแน่เลย!’
‘คุณพ่อกับคุณแม่ก็ไปทำงาน ส่วนน้องสาวก็ไปโรงเรียนสินะคะ’
‘แบบนี้ไม่มีใครเหมาะสมเท่าฉันผู้เป็นภรรยาในอนาคตอีกแล้วค่ะ!’
‘ไว้ใจได้เลยค่ะ!’
สติกเกอร์รูปกระต่ายแอ่นอกหนึ่งอัน
‘ถ้าเห็นไลน์นี้ก่อนที่ฉันจะไปถึง แล้วมีอะไรอยากได้ก็ติดต่อมานะคะ!’
‘เดี๋ยวจะซื้อไปให้ค่ะ!’
‘ถ้างั้นก็รออย่างสบายใจได้เลยนะคะ!’
สติกเกอร์รูปกระต่ายกำลังวิ่งแดช ข้างหลังมีเต่าที่ดูคล้ายๆ ผมอยู่ด้วย
มีเรื่องอยากจะติอยู่หลายอย่าง แต่ขอเลือกมาติสักเรื่องแล้วกัน
“รู้ที่อยู่บ้านได้ยังไงวะเนี่ย”
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นเป็นเสียงปิ๊งป่องดังลั่นเกือบจะพร้อมๆ กับที่ผมบ่นพึมพำ
มาจริงๆ เหรอเนี่ยยัยคางามิ
ถ้าคนมาเป็นคุณลุงไม่ใช่สาวสวยนี่คงจะน่ากลัวมากเลยนะ
ถึงจะเป็นสาวสวยก็น่ากลัวอยู่ดีแหละ
ผมเดินไปยังประตูด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง แล้วส่องดูผ่านตาแมวก็เห็นผู้หญิงน่ากลัวคนหนึ่งยืนยิ้มแฉ่งอยู่
“ครับ ไม่ทราบว่าใครครับ”
ผมพูดไปเพื่อความแน่ใจ แต่ก็ต้องมาเสียใจทีหลังว่าไม่น่าถามเลย
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ ภรรยาในอนาคตของนามิกิ เฮตะคุงมาแล้วค่ะ♥”
“อ๋อ คุณนามิกิอยู่บ้านตรงข้ามครับ”
“ไม่มีทางค่ะ!”
“ฉันเห็นกับตาว่านามิกิคุงเข้าบ้านหลังนี้ไป!”
ถึงจะพูดแบบนั้นพร้อมกับทำจมูกบานเหมือนจะบอกว่า ‘เอ๊าะเห๊าะ!’ ก็ตาม แต่มันน่ากลัวนะครับจริงๆ
“ฮ่า…”
พอผมไขกุญแจให้ คางามิที่ถือถุงพลาสติกก็พูดว่า “ขอรบกวนนะคะ” แล้วโค้งคำนับหนึ่งทีก่อนจะเข้ามา
ดูท่าทางจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
คงเพราะได้เข้าบ้านผมเป็นครั้งแรกสินะ
…ครั้งแรกใช่ไหม?
“ฉันไม่ได้ลำบากอะไรอยู่คนเดียวหรอกนะ”
“แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องมาลาเรียนก่อนเพื่อฉัน กลับไปโรงเรียนตอนนี้เลยดีกว่าไหม?”
ตอนนี้ยังไม่ถึงเที่ยงเลย
ถ้าแม่กลับมาคงจะเกิดเรื่องยุ่งยากแน่ๆ แล้วผมก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่คนเดียวจริงๆ
ไม่ได้จะบอกว่ารบกวน แต่การที่ต้องให้ทำถึงขนาดนี้มันก็รู้สึกเกรงใจ
อีกอย่าง การให้สตอล์กเกอร์เข้าบ้านนี่มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ไม่รู้ว่าจะโดนวางกับดักอะไรบ้าง
ตรงกันข้ามกับความคิดของผม ร่างกายของผมกลับซื่อตรง
สายตาพร่ามัวจนยืนไม่ได้ถ้าไม่พิงกำแพง และที่สำคัญคือมันร้อน
เหมือนไม่ใช่ร่างกายของตัวเองเลย
คางามิใช้แขนที่ทั้งเรียวเล็กและนุ่มนวลประคองผมที่กำลังจะล้มลง แล้วพูดเพียงว่า “ขออนุญาตนะคะ” ก่อนจะพาผมไปที่โซฟา
หลังจากที่นอนอยู่บนโซฟาสักพัก ดูเหมือนว่าผมจะเผลอหลับไป
ในความรู้สึกที่พร่ามัว ไม่มีความรู้สึกถึงตัวตนของคางามิอยู่รอบๆ
มีเพียงเสียงเหมือนกำลังเคลื่อนย้ายจานชามอะไรบางอย่างอยู่ไกลๆ กับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของบ๊วย
“──… ตื่น…”
เป็นเสียงที่อ่อนโยน
เป็นเสียงของคนที่ผมรักและคอยเยียวยา ที่ได้ยินทุกเช้า
“──… ตื่นได้แล้วค่ะ”
เสียงที่กระซิบข้างหูขวา พร้อมกับลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาในเวลาเดียวกัน กำลังทำให้สมองของผมละลาย
ดูเหมือนว่าวันนี้ หูฟังไร้สายข้างซ้ายจะหลุดออกไปข้างเดียวสินะ
แต่ก็แปลกนะ เมื่อกี้สวมหูฟังด้วยเหรอ
เดิมทีหูฟังน่าจะวางอยู่ที่ชั้นสองนี่นา
ถ้าอย่างนั้นเสียงนี้ก็…
“นามิกิคุง ตื่นได้แล้วค่ะ”
“คางามิ…?”
“ค่ะ!”
“คางามิ ซากุระ ผู้ที่จะมาเป็นภรรยาสุดที่รักของนามิกิคุงค่ะ♥”
พูดจาแปลกๆ อีกแล้ว
ถ้าอย่างนั้นเสียงเมื่อกี้ก็เป็นเสียงของคางามิเหรอ?
สมาร์ทโฟนวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว
อยู่ห่างจากโซฟาพอสมควร และถึงเสียงของฮิรารินจะดังมาจากตรงนั้นก็ไม่น่าจะได้ยินชัดขนาดนั้น
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเสียงเมื่อกี้เป็นเสียงของคางามิจริงๆ
“ทำข้าวต้มไว้ให้แล้วค่ะ ทานซะนะคะ”
“กับข้าวในกล่องข้าวมันดูย่อยยาก เลยต้องขอโทษคุณแม่มากๆ นะคะที่ใช้ครัวโดยพลการ”
“ไม่ๆ นั่นไม่เป็นไรหรอก แต่ว่า…”
เสียงของคางามิ จะว่าไปแล้วก็คล้ายกับของฮิรารินจังเลยนะ
ปกติก็ใช้คำสุภาพอยู่แล้ว ตรงนั้นก็เหมือนกับฮิราริน
ขนาดผมที่เป็นโอตาคุของฮิรารินยังแยกไม่ออกเลยว่าเหมือนกันขนาดไหน
“คางามิ เสียงดีจังนะ”
“คล้ายกับโอชิของฉันเลย”
“งะ-งั้นเหรอคะ…? เขินจังเลยค่ะ หึๆ”
คางามิใช้สองมือประคองแก้มแล้วบิดตัวไปมา
ข้าวต้มที่เธอน่าจะทำนี่เองสินะ ต้นตอของกลิ่นบ๊วย
“แล้วโอชิคนนั้นคือใครเหรอคะ?”
“โอโบโระสึกิ ฮิราริ”
“เป็น V-tuber น่ะ”
“น่าอิจฉาจังเลยนะคะที่ได้นามิกิคุงเป็นโอชิ”
“ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกค่ะ!”
“ครับๆ”
ก็แค่เรื่องเสียงคล้ายกันมันก็มีอยู่ถมไป
เรื่องแค่นั้นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนจากฮิรารินไปเป็นคางามิหรอก
เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะรักแค่ฮิรารินคนเดียวเท่านั้น
“นามิกิคุง พยุงตัวไหวไหมคะ?”
“ถ้าไม่กินอะไรเลยเดี๋ยวก็ไม่มีแรงหรอกนะคะ อย่างน้อยก็อยากให้ทานข้าวต้มสักหน่อย…”
“อืม นอนไปพักนึงก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“ขอบใจนะ”
“ดีจังเลยค่ะ!”
“ถ้างั้น ขออนุญาตนะคะ”
“…? อะไรเหรอ”
พูดจบ คางามิก็ใช้ช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาแล้วเป่าลมใส่
จากนั้นก็ยื่นสิ่งที่อุณหภูมิลดลงแล้วเพื่อไม่ให้ลวกปากมาทางผม
“อ้า~”
“เอ๊ะ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน”
“เป็นอะไรไปเหรอคะ?”
เมื่อกี้พูดว่าอ้า~ใช่ไหม
ไม่อยากจะเชื่อเลย แต่คางามิจะป้อนข้าวต้มให้ผมงั้นเหรอ
ถ้าโดนทำแบบนั้นล่ะก็แย่แน่
“กินเองได้ ไม่เป็นไร”
“ไม่ได้ค่ะ!”
“มันร้อนนะคะ แล้วก็จริงๆ แล้วยังต้องนอนพักอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?”
“ไม่เป็นไรจริงๆน่า รู้สึกเหมือนไข้จะลดลงแล้วด้วยซ้ำ”
ก็เพราะว่าถ้าโดนทำแบบนั้นเข้าล่ะก็
“จริงเหรอคะ?”
ใบหน้าของคางามิที่สงสัยในคำพูดของผมก็ขยับเข้ามาใกล้
เข้ามาใกล้ในระยะที่ถ้าหายใจผิวหนังก็จะสัมผัสได้ถึงลมหายใจแล้วก็หยุด
ริมฝีปากอยู่ห่างกันเพียงสองเซนติเมตร ปลายจมูกสัมผัสกัน
ผมใจหายวาบคิดว่าจะโดนจูบกะทันหัน แต่เธอก็แค่เอาหน้าผากมาชนกันเพื่อวัดไข้เท่านั้นเอง
จะว่าแค่นั้นมันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน
สมัยนี้ไม่มีใครวัดไข้ด้วยวิธีแบบนั้นแล้วนะ
เพราะงั้นช่วยถอยห่างออกไปที
ไม่อย่างนั้น… ผมจะเผลอชอบคุณเข้า
“ยังร้อนจี๋อยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ โกหกไม่ดีนะคะ? อ๊ะ…”
พอสบตากันในระยะประชิด ดูเหมือนว่าคางามิจะเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป เธอหน้าแดงก่ำแล้วเบนสายตาไปที่ชามข้าวต้ม
“แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ช่วยพึ่งพาฉันเถอะนะคะ”
“ไม่ต้องมีของตอบแทนอะไรทั้งนั้น แค่อยากให้นามิกิคุงแข็งแรงก็พอแล้วค่ะ…”
“…เข้าใจแล้ว”
สุดท้ายแล้ว ผมก็โดนคางามิป้อนข้าวต้มจนหมดชาม
เป็นรสชาติที่อ่อนโยนและนุ่มนวล
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ”
หลังจากกินข้าวต้มเสร็จและกินยาแก้ไข้ที่คางามิซื้อมาให้จนเริ่มขยับตัวได้บ้างแล้ว เธอก็พูดขึ้น
อีกไม่นานแม่ก็น่าจะกลับมาแล้ว และผมก็มีแผนจะให้แม่ขับรถพาไปอยู่แล้ว
แต่คางามิไม่สนใจเรื่องนั้นเลย เธอเตรียมตัวของผมให้พร้อมสรรพ
“เสื้อคลุมตัวนี้ดีไหมคะ?”
“ถึงอากาศจะอุ่นขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ควรให้ร่างกายเย็นนะคะ”
“ต้องใส่ไปดีๆ นะคะ”
“คางามิ เดี๋ยวบ่ายสามแม่ก็กลับมาแล้ว แล้วจะให้ท่านพาไปให้ ไม่เป็นไรหรอก”
“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มาดูแล แต่ถ้ามากกว่านี้มันจะเกรงใจเกินไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“เพราะเป็นสิ่งที่ฉันอยากจะทำเอง”
“ไปโรงพยาบาลเร็วๆ จะดีกว่านะคะ อีกอย่างวันนี้เป็นวันพฤหัสบดี โรงพยาบาลแถวนี้ปิดหมดเลยค่ะ”
“โรงพยาบาลที่เปิดอยู่แห่งเดียวก็ปิดตอนบ่ายสามโมง เพราะฉะนั้นถ้ารอคุณแม่ก็จะไม่ทันนะคะ”
ดูเหมือนว่าเธอจะไปสืบเรื่องโรงพยาบาลรอบๆ มาให้เรียบร้อยแล้ว
เป็นสตอล์กเกอร์ที่ทำงานเก่งไปซะทุกเรื่องเลยจริงๆ
ไม่สิ คงต้องบอกว่าเป็นความสามารถในการรวบรวมข้อมูลในฐานะสตอล์กเกอร์สินะ
“แต่ว่าถ้าจะให้เดินไป คงไม่ไหวจริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฉันเรียกแท็กซี่ไว้แล้ว”
“อีกห้านาทีก็คงจะมาถึงแล้วค่ะ”
“แท็กซี่!?”
“ของแบบนั้นมันแพงนะ ฉันไม่เคยนั่งเลยนะ!?”
“ถ้าคิดจะให้ฉันจ่ายจากเงินค่าจ้างพิเศษล่ะก็ไม่มีทางหรอกนะ!?”
“เพราะฉันเอาไปเปย์ฮิรารินหมดแล้วในวันเงินเดือนออก!”
ถึงจะเป็นการใช้เงินที่โดนสุมิเระดูถูกสารพัด แต่ผมมีความสุขกับมันนี่นา
มีคนเคยบอกไว้ว่าถ้ามีความสุขก็โอเคแล้ว และผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโดนน้องสาวมาต่อว่า
“หงึ”
“อิจฉาโอชิคนนั้นจังเลยนะคะ”
“น่าอิจฉาจังเลยค่ะที่ได้รับความรักจากนามิกิคุงมากขนาดนั้น”
“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันเองก็ทำงานพิเศษได้เงินเยอะมากเหมือนกันค่ะ”
“ถึงจะบอกว่าได้เงินเยอะ แต่ค่าจ้างพิเศษที่นักเรียนม.ปลายจะหาได้มันก็มีจำกัดไม่ใช่เหรอ…”
“ฉันมีเงินเยอะกว่าเงินเดือนเดือนนี้ของนามิกิคุงเป็นสองเท่าสบายๆ ค่ะ ไม่เป็นไร”
เอ๊ะ เดือนนี้ฉันอุตส่าห์พยายามจนได้มาแปดหมื่นเลยนะ? ว่าแต่ทำไมเธอถึงรู้เงินเดือนของฉันได้ล่ะ
“ทำงานพิเศษอะไรกันแน่”
“ไม่ได้ทำอะไรน่าสงสัยอยู่ใช่ไหม?”
“ปลอดภัยสุดๆ แถมยังถูกกฎหมายด้วยค่ะ ภาษีก็จ่ายครบถ้วนไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ว่าแต่ แท็กซี่มาแล้วมั้งคะ ไปกันเถอะค่ะ!”
นอกหน้าต่างมีแท็กซี่จอดอยู่จริงๆ
มันจะปลอดภัยจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่เคยนั่งแท็กซี่มาก่อนเลยไม่รู้ราคาตลาดเลย
แค่ไปโรงพยาบาลคงไม่โดนเรียกเก็บเป็นหมื่นๆ หรอกนะ
ค่าแท็กซี่อยู่ที่หนึ่งพันสองร้อยเยน เป็นจำนวนเงินที่จ่ายได้ปกติกว่าที่คิด
ถึงอย่างนั้นก็ยังแพงกว่าการใช้รถบัสอยู่ดี…
ตอนนี้ผมทำเรื่องแจ้งชื่อติดต่อเสร็จแล้ว และกำลังกรอกแบบสอบถามอาการอยู่
แต่จะว่าไป คนที่กรอกไม่ใช่ผมแต่เป็นคางามิ
พอผมจะเขียนเอง เธอก็บอกว่า “คนป่วยนั่งเฉยๆ เถอะค่ะ” แล้วแย่งแบบสอบถามไปจากผม
เรื่องอาการผมก็คอยบอกอยู่ข้างๆ ให้คางามิเขียนแทนให้
ปัญหาคือส่วนที่เป็นข้อมูลส่วนตัวอย่างที่อยู่
ยังไงซะที่อยู่บ้านก็โดนรู้ไปแล้ว เลยคิดว่าจะบอกไปให้หมด แต่ก็โดนคางามิห้ามไว้
“เรื่องแค่นี้ฉันรู้ค่ะ”
“ไว้ใจได้เลย”
ถึงคางามิจะพูดอย่างมั่นใจก็เถอะ แต่ก็ยังมีข้อมูลอีกหลายอย่างที่เธอไม่น่าจะรู้ ทั้งเบอร์โทรศัพท์ กรุ๊ปเลือด และอื่นๆ
แต่ทว่า ทำไมกัน
“ทำไมถึงกรอกได้ครบทุกช่องเลยวะ”
แถมยังถูกหมดทุกอย่างอีกต่างหาก
“ถ้าเป็นควิซนามิกิคุงล่ะก็ ไม่มีใครสู้ฉันได้หรอกค่ะ”
“ไว้ใจได้เลย”
“นี่ไม่ใช่ควิซนะ นี่มันแบบสอบถามอาการ”
หลังจากกรอกแบบสอบถามเสร็จแล้วรอยู่พักหนึ่ง ก็มีคนมาเรียกเข้าไปในห้องตรวจ
ในห้องตรวจมีคุณหมอกับพยาบาลสองคนรออยู่ พวกเขามองเราสองคนอย่างสงสัย
มันก็แน่อยู่แล้วล่ะ เพราะแค่ดูจากหน้าตาก็รู้ว่ายีนส์มันต่างกันเกินกว่าจะเป็นครอบครัวกันได้ และพวกเราก็ยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ไม่มีทางที่จะดูเป็นสามีภรรยากันได้อยู่แล้ว
การมาเฝ้าไข้แฟน ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายในตอนบ่ายวันธรรมดา
“ขอโทษที่ต้องถามนะครับ ไม่ทราบว่ามีความสัมพันธ์กันยังไงเหรอครับ?”
ปกติแล้วคงจะไม่ถามเรื่องแบบนี้กับคนไข้หรอก แต่คงจะสงสัยมากจริงๆ ถึงได้ถามออกมา
ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะตอบยังไงดี คางามิก็เปิดปากพูดก่อน
“เป็นภรรยาค่ะ♥”
“อ๊ะ ไม่ใช่ครับ”
เฮ้ย หยุดเลยคางามิ เขากำลังงงอยู่นะ
ความงงงวยนั้นคงจะเกิดจากที่ว่าทำไมเด็กสาวสวยอย่างคางามิถึงมาอ้างตัวเป็นภรรยาของคนธรรมดาๆ อย่างผมกันแน่
น่าหงุดหงิดชะมัด
คุณหมอทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาของเราด้วยรอยยิ้มฝืดๆ แล้วก็ตรวจคอ ฟังเสียงหัวใจ ถามคำถามสองสามข้อ แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ…
“เป็นไข้หวัดนะครับ”
“เดี๋ยวจะจัดยาให้”
“น่าจะหายภายในสามวัน อย่าหักโหมนะครับ”
ผมได้รับการรับรองจากคุณหมออย่างเป็นทางการว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา แล้วก็โดนคางามิบังคับให้นั่งแท็กซี่กลับบ้านอีกครั้ง
พลังทางการเงินของยัยนี่มันอะไรกันนะ ไม่เคยได้ยินว่าบ้านรวยอะไรทำนองนั้นเลย แต่พอดูจากกิริยาท่าทางเล็กๆ น้อยๆ และวิธีพูดที่สวยงามแล้ว ต่อให้เป็นคุณหนูก็ไม่น่าแปลกใจเลย
คิดไปก็ไม่รู้หรอก และถ้าถามเจ้าตัวเองก็คงจะพูดจาหลุดโลกไปเลยว่า “สนใจในตัวฉันเหรอคะ!? ดีใจจังเลยค่ะ ในที่สุดก็คิดจะรับฉันเป็นภรรยาแล้วใช่ไหมคะ♥” เลยตัดสินใจเงียบไว้ดีกว่า
“คางามิ ขอบใจนะ ทั้งเรื่องข้าวต้มแล้วก็เรื่องโรงพยาบาล”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฉันก็แค่อยากให้นามิกิคุงหายป่วยเร็วๆ เท่านั้นเองค่ะ”
“อืม ขอบใจนะ”
“ถ้างั้นก็คงจะถึงเวลา…”
“ไม่ได้นะคะ ถึงจะหายดีแล้วก็ห้ามเล่นเกมนะคะ”
“อืม ไม่เล่นๆ”
“ว่าแต่ว่าคงจะถึงเวลา…”
“ไม่ได้นะคะ ถึงจะหายดีแล้วก็ห้ามดูวิดีโอของโอชิคนนั้นนะคะ”
“เข้าใจแล้วๆ”
“เพราะงั้นคงจะถึงเวลา…”
“ถึงเวลา… แต่งงานเหรอคะ?”
“ไม่ได้พูดเฟ้ย”
ถ้าไม่รีบให้กลับไปล่ะก็ จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่ๆ
แต่ทว่าคางามิก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับเลยสักนิด
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป…
“กลับมาแล้วจ้า”
ดูสิ จบแล้ว จบสิ้นแล้ว
แม่กลับมาซะแล้ว
ถ้าแม่เห็นสถานการณ์นี้เข้าล่ะก็ อาจจะดีใจจนเรื่องแต่งงานกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้
เพราะว่าคางามิเป็นสาวสวยหยาดเยิ้มขนาดนี้
ถ้าได้ลูกสะใภ้แบบนี้มา ในฐานะแม่สามีคงจะภูมิใจน่าดู
นั่นก็หมายความว่าความตั้งใจของผมจะถูกเมินแล้วอาจจะโดนจับหมั้นหมายโดยพลการได้
“คางามิ ซ่อนตัวเร็ว”
“แม่กลับมาแล้ว”
“ทำไมต้องซ่อนตัวด้วยล่ะคะ?”
“ถ้าไม่ทักทายให้ดีๆ ก็จะเสียมารยาทนะคะ”
นั่นมันก็ใช่แหละ แต่ถ้าทักทายไปล่ะก็คงจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ทำไมเสียงฝีเท้าของแม่ถึงได้ดังตึงตังขนาดนี้นะทั้งที่ไม่ได้วิ่งเลย
“เฮคุง อยู่เรียบร้อยดีรึเปล่า?”
“ผมเป็นหมาเหรอ”
“ขอรบกวนด้วยค่ะ คุณแม่♥”
ผมไม่มีเหตุผลที่จะให้คุณมาเรียกแม่ผมว่าคุณแม่เลยนะ
ผมนึกว่าแม่จะเบิกตาโพลงแล้วแข็งทื่อหรือกรีดร้องด้วยความช็อกที่เห็นสาวสวย แต่แม่กลับดูใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีการแสดงท่าทีตกใจที่เห็นคางามิเลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น…
“อ้าว ซากุระจัง มาเยี่ยมเหรอจ๊ะ!”
“ค่ะ!”
“คิดว่าคุณแม่คงจะยุ่งอยู่กับงานพาร์ทไทม์ เลยมาดูแลคุณเฮตะแทนให้ค่ะ!”
“ขอโทษนะคะที่ใช้ครัวโดยพลการ”
“ไม่เป็นไรๆ”
“มีเรียนไม่ใช่เหรอ ไม่เป็นไรเหรอจ๊ะ?”
“เพราะเป็นวิกฤตของคู่หมั้นคนสำคัญ จะมัวมานั่งเรียนสบายใจได้ยังไงกันคะ”
อืมๆ ทั้งสองคนดูสนิทกันดีจังเลยนะ
“ไม่ใช่แล้ว!!”
““…?””
เดี๋ยวๆ ทำไมบรรยากาศมันกลายเป็นว่าผมพูดอะไรแปลกๆ ไปได้ล่ะ
“ทำไมถึงคุยกันเป็นปกติล่ะ! ปกติถ้าเพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงของลูกชายมาบ้าน ก็ต้องมีอีเวนต์อย่าง นี่อะไร!? แฟนเหรอ!? เกิดขึ้นสิ!”
“แม่เคยเจอซากุระจังมาหลายครั้งแล้ว แล้วก็ได้ยินมาว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกันดีกับเฮคุงนี่นา”
“เฮคุง ต้องดูแลซากุระจังให้ดีๆ นะรู้ไหม?”
“ช่วยดูแลให้ดีๆ ด้วยนะคะ♥”
ถึงจะขยิบตาให้ก็ไม่ดูแลหรอกนะ อย่ามองมาทางนี้
สมกับที่เป็นคางามิจริงๆ
การจะทำให้แม่ของผมเชื่องมันก็เป็นเรื่องง่ายดายสินะ
เล่นตีจากวงนอกเข้ามาก่อนนะ ยัยจอมวางแผน
ผมนอนมองสองคนที่กำลังช่วยกันเอาของที่แม่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตใส่ตู้เย็นอย่างสนิทสนมในครัวจากโซฟาไกลๆ แล้วถอนหายใจออกมา
ฮิราริน รีบมาแต่งงานกับผมเร็วๆ เถอะ
ไม่อย่างนั้นครอบครัวของผมจะโดนสตอล์กเกอร์กลืนกินไปหมดแล้ว
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ต้องขอบคุณการดูแลของสตอล์กเกอร์ที่ทำให้ผมหายดีในสามวัน และพอผ่านวันเสาร์อาทิตย์ไป วันจันทร์ชีวิตนักเรียนที่คุ้นเคยก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ถึงจะบอกว่าคุ้นเคย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าชีวิตนักเรียนใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้ต่างหาก
เพราะว่า ทันทีที่ผมนั่งลงที่ที่นั่งของตัวเองตามปกติ ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงมาหาผมทันที
“นามิกิ อรุณสวัสดิ์”
ยาเอะคาเงะที่เพิ่งเป็นเพื่อนกันได้ไม่นานมองลงมาที่ผมซึ่งกำลังนั่งอยู่ด้วยสายตาเหมือนแมวที่ดูเกียจคร้าน
จะว่าไปแล้ว ยาเอะคาเงะก็เป็นผู้หญิงนี่นา
“อรุณสวัสดิ์ ยาเอะคาเงะ”
ไม่นึกเลยว่าคนธรรมดาสามัญอย่างผมจะมีเพื่อนผู้หญิงได้
น้องสาวเอ๋ย พี่ชายที่แกเคยดูถูกสารพัด ตอนนี้ได้ทั้งเพื่อนผู้หญิงกับสตอล์กเกอร์สาวสวยมาแล้วนะ
อย่ามาดูถูกกันอีกนะ
…แบบนี้มันดีแล้วเหรอวะตัวเรา
“ร่างกายไม่เป็นไรแล้วเหรอ?”
“อ่า อืม ยังไงก็ขอบคุณนะ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ได้ยินว่าซากุระเป็นคนดูแลให้เหรอ?”
ไม่ได้ขอร้องแต่มาเองต่างหากล่ะ
“นามิกินี่โชคดีจังนะ ได้สาวสวยขนาดนั้นมาดูแลให้”
“อ่า ก็ คงงั้นมั้ง…”
ยาเอะคาเงะคงจะไม่รู้หรอกว่าคางามิเป็นสตอล์กเกอร์ของผม
ถ้าเธอรู้ว่าเพื่อนสนิทเป็นคนอันตรายแบบนั้น บางทียาเอะคาเงะอาจจะเลิกคบกับคางามิไปเลยก็ได้
ในฐานะที่ผมอยากให้ทั้งสองคนสนิทกันต่อไป ก็ควรจะเงียบไว้
เพียงแต่ ยาเอะคาเงะดูเหมือนจะเป็นคนเซนส์ดี ท่าทีปกติของคางามิอาจจะทำให้เรื่องแดงขึ้นมาก็ได้ ยังไงซะผมก็ต้องคอยตามเช็ดตามล้างเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนต้องพังลง
“คุยกันสองคนสนิทสนมเชียวนะคะ น่าอิจฉาจัง…”
“เฮ้ย! คางามิมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!”
สตอล์กเกอร์สุดอันตรายโผล่หน้าออกมาจากใต้โต๊ะของผมพร้อมกับทำแก้มป่อง
คงจะอิจฉาล่ะสิ ไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนั้นมาก่อนเลย
นึกว่าพวกสตอล์กเกอร์จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรลงไปเมื่อเกิดความอิจฉาซะอีก…
อย่างนี้นี่เอง ที่ผ่านมาเพราะรอบตัวผมไม่มีเป้าหมายให้เธอต้องอิจฉาเลยสินะ!
เข้าใจแล้ว!
อยากจะร้องไห้
“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้ค่ะ”
“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ?”
คางามิโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเอียงคอถาม
บ้าเอ๊ย น่ารัก
“ก็คุยกันว่านามิกิโชคดีจังที่ได้ซากุระมาดูแลให้ไง”
เป็นคำอธิบายที่ชวนให้เข้าใจผิดสุดๆ เลยนะ
“ว้าย! คิดว่าโชคดีด้วยเหรอคะ!?”
“ดีใจจังเลยค่ะที่ได้มีชีวิตอยู่”
เห็นไหมล่ะ
ยาเอะคาเงะ เป็นเพราะแกเลยนะ
“แต่ว่าแต่ว่า! ฉันคิดว่านามิกิคุงก็ควรจะมีเพื่อนผู้ชายด้วยนะคะ!”
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ตอนนี้มันก็หนักหนาสำหรับฉันไปหน่อยนะ”
ถ้าไปทำสนิทสนมกับคางามิเข้าล่ะก็ สุดท้ายก็คงจะโดนอิจฉาแล้วก็เกลียดขี้หน้าอยู่ดี
“ทำไมล่ะคะ?”
“นามิกิคุงเป็นคนดี เพราะงั้นต้องหาเพื่อนได้ง่ายๆ แน่ค่ะ!”
“พยายามเข้าสิคะ อย่าเพิ่งยอมแพ้!”
“ก็เพราะแกนั่นแหละ!”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนว่าคางามิจะเข้าใจความหมายของคำพูดผม สีหน้าของเธอก็หมองลงอย่างเห็นได้ชัด
นี่ผมพูดแรงไปรึเปล่านะ?
ถึงจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่น่าจะพูดออกมาเลย
ยาเอะคาเงะก็คงจะไม่เข้าใจ แล้วก็อาจจะรู้เรื่องที่เธอเป็นสตอล์กเกอร์ก็ได้
ทำเรื่องที่น่าขอโทษลงไปซะแล้ว
“นั่นสินะ ตราบใดที่ซากุระยังเป็นสตอล์กเกอร์ของนามิกิอยู่ การจะมีเพื่อนผู้ชายก็คงจะลำบากแหละ”
เดี๋ยว รู้ด้วยเรอะ!
“จริงด้วยค่ะ อาจจะเป็นความผิดของฉันก็ได้…”
“ถ้างั้น เพื่อเป็นการรับผิดชอบ ฉันจะช่วยนามิกิคุงหาเพื่อนผู้ชายเองค่ะ!”
“ว่าแต่เดิมทีก็มีแผนจะแนะนำให้อยู่แล้วค่ะ!”
ทั้งที่คุณเป็นต้นเหตุ แต่ถ้าคุณมาช่วยมันก็ยิ่งจะแย่ลงไม่ใช่เหรอ?
“แล้วจะทำยังไงล่ะ?”
ยาเอะคาเงะช่วยคุยต่อแทนผม
ช่วงนี้ต้องรับมือกับผู้หญิงสุดอันตรายอย่างคางามิบ่อยๆ จนรู้สึกขอบคุณในความมีสามัญสำนึกของยาเอะคาเงะจริงๆ
“ในบรรดาเพื่อนของฉันมีคนที่เหมาะกับนามิกิคุงตอนนี้อยู่ค่ะ”
“การที่เขาจะสนิทกับนามิกิคุงได้รึเปล่ามันก็เป็นการเดิมพันอยู่เหมือนกัน แต่ก็น่าจะโอเคค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน ที่สำคัญคือฉันอยากจะสนิทกับคนคนนั้นรึเปล่าต่างหาก”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เพื่อนของฉันไม่มีคนไม่ดีหรอกค่ะ!”
“เพราะฉะนั้นต้องอยากสนิทด้วยแน่ๆ!”
“นั่นก็หมายความว่านามิกิคุงที่ฉันรักมากๆ จะต้องเป็นที่ชื่นชอบของเขาอย่างแน่นอนค่ะ!”
เมื่อกี้แกเพิ่งจะพูดว่าน่าจะไปไม่ใช่เรอะ
“ก็ถ้าพูดขนาดนั้นจะลองพิจารณาดูให้ก็ได้”
ถ้ายาเอะคาเงะพูดอย่างนั้น จะลองไปเจอสักหน่อยก็ได้มั้ง
ยาเอะคาเงะเป็นคนมีสามัญสำนึกนี่นา
“เข้าใจแล้ว…”
“แล้วเพื่อนที่ว่านั่นคือใครเหรอ?”
ถ้าเป็นเพื่อนของคางามิก็น่าจะเป็นคนป๊อปแน่ๆ คิดแล้วก็รู้สึกหนักใจ
ผมมีความภูมิใจในฐานะที่เป็นคนธรรมดาที่มองไม่ออกว่าเป็นคนป๊อปหรือคนเก็บตัว
ในห้องนี้มีความเป็นไปได้สูงที่ตัวตนของผมจะไม่เป็นที่รู้จัก เพราะงั้นอาจจะไม่ใช่ทั้งคนธรรมดาหรือคนเก็บตัวด้วยซ้ำ
คนอย่างผมจะไปสนิทกับคนป๊อปได้รึเปล่านะ มีแต่ความกังวลเต็มไปหมด
…จะไม่โดนดูถูกใช่ไหม
“คือคุณทาคามิ จุนที่อยู่ห้องเดียวกันค่ะ!”
“เรียกเหรอ?”
ราวกับเล็งจังหวะไว้แล้ว คนที่ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังคางามิคือหนุ่มหล่อหุ่นเพรียวที่ให้บรรยากาศลึกลับราวกับอยู่ในวงไอดอลชาย
แน่นอนว่าผมรู้จักทาคามิ
เขาเป็นคนดังของโรงเรียนนี้เคียงข้างกับคางามิ และเรียกได้ว่าเป็นคนที่ป๊อปที่สุดในหมู่ผู้ชายเลยก็ว่าได้
แม้แต่ผมที่ไม่ค่อยสนใจคนอื่นก็ยังเผลอมองทาคามิเวลาที่เขาคุยกับใครในห้องเรียน
ดวงตาที่เรียวคมแต่ก็ไม่เล็กเพราะมีถุงใต้ตากับตาสองชั้น รูปทรงสวยงาม ใต้ตานั้นมีไฝเสน่ห์ที่ทำหน้าที่เหมือนหลุมดำที่ดูดกลืนสาวๆ จนหายไป จมูกโด่งจนอยากจะแซวว่าเป็นสไลเดอร์น้ำรึไง ฟันขาวที่พอยิ้มแล้วก็ส่องประกายเหมือนไฟในสนามเบสบอล ไอ้หล่อนี่มันมีข้อบกพร่องตรงไหนบ้างวะเนี่ย
พระเจ้า ทำไมท่านถึงสร้างความแตกต่างให้กับมนุษย์ได้ถึงขนาดนี้
ทาคามิไม่ใช่แค่หล่ออย่างเดียว แต่ยังเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้านเหมือนกับคางามิ
หน้าตาแน่นอนอยู่แล้ว การกีฬา การเรียน ความสัมพันธ์กับผู้คน สเตตัสที่ใช้วัดลำดับชั้นของนักเรียนมัธยมปลายนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับสูงสมชื่อของเขาทั้งสิ้น
“อ้าว เห็นคุยกันเป็นกลุ่มแปลกๆ เลยสนใจเดินเข้ามาดู พอดีกำลังพูดถึงฉันอยู่เลยนี่นา?”
“ก็ต้องสนใจสิใช่ไหม?”
“แล้วฉันก็ถือกำเนิดขึ้นมาตรงนี้แหละ”
อ๊ะ?
ยัยนี่ทั้งที่เป็นคนป๊อปแต่กลับรู้เรื่องมุกดังในเน็ตนั่นด้วยเรอะ อะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ
เป็นพระเอกสายโกงรึไง
ความชอบในตัวทาคามิเพิ่มขึ้นสามสิบ
แต่ว่ากลุ่มแปลกๆ นี่มันอะไรกัน
“ว่าแต่คางามิสนิทกับนามิกิด้วยเหรอเนี่ย แปลกใจจัง”
“ไม่ใช่แค่สนิทหรอกค่ะ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่สาบานรักกันแล้ว…”
“ไม่ได้สาบาน”
“การที่นามิกิคุงอยู่แล้วมีฉันอยู่ด้วย นี่มันเหมือนกับกฎหมายเลยนะคะ…”
“ให้ประเทศแบบนั้นมันล่มสลายไปเถอะ”
“ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือความสัมพันธ์แบบอาดัมกับอีฟน่ะค่ะ…”
“ตัวประกอบกับคนโรคจิตมากกว่ามั้ง”
“หึๆ”
ทาคามิหลุดขำออกมาเมื่อเห็นการโต้ตอบของผมกับคางามิ
พวกเก็บตัวโดยพื้นฐานแล้วจะระแวงพวกคนป๊อปอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคนธรรมดาอย่างผมก็เช่นกัน ผมจึงระแวงทาคามิ
ถึงจะรู้ว่าคงไม่โดนทำอะไร แต่ก็เผลอคิดไปเองว่าเป็นศัตรู
มันก็เป็นแบบนั้นแหละ
แต่ว่า พอคนป๊อปหัวเราะกับคำพูดของตัวเอง สมองก็จะเข้าใจผิดไปเองว่าเขาเป็นคนดีแล้วเปิดใจให้
เป็นปรากฏการณ์ที่น่าพิศวงจริงๆ
“นามิกินี่พูดเก่งกว่าที่คิดนะ แถมยังตลกอีกต่างหาก”
“อ๊ะ ก็พูดปกติแหละ แต่ว่า…”
“อย่ามาเขินกะทันหันสิ”
“คุยกับฉันแบบเมื่อกี้ก็ได้”
“จะเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”
“มาสนิทกันเถอะนะ”
เอ๊ะ อะไรกันเนี่ยคนคนนี้หล่อจังเลย~
คางามิส่งสายตาคมกริบกดดันทาคามิที่เข้ามาโอบไหล่ผมตั้งแต่แรก
หนทางข้างหน้าดูท่าจะลำบากเสียแล้ว
“นามิกิ ไปกินข้าวกันเถอะ”
พอถึงพักกลางวัน ทาคามิก็ถือกล่องข้าวมาที่โต๊ะของผม
“เฮะ!?”
“ได้สิ”
เพิ่งจะคุยกันครั้งแรกวันนี้เองจากการแนะนำของคางามิ ไม่นึกเลยว่าจะมาถึงขั้นชวนกินข้าวกลางวันด้วยกันแล้ว เสียงของผมเลยเพี้ยนไป
“อะไรของแกวะ”
“ฉันชวนแกกินข้าวแล้วมันแปลกตรงไหน”
“ไม่ แต่ว่า นายมีเพื่อนคนอื่นอีกไม่ใช่เหรอ?”
คงไม่ได้กินข้าวคนเดียวทุกวันเหมือนผมหรอก
ถ้าเป็นทาคามิล่ะก็ต้องมีเพื่อนสนิทคนอื่นอีกเยอะแยะแน่ๆ
แต่ทว่า ทำไมถึงมาชวนผมล่ะ
“ก็มีแหละ แต่ว่าตอนนี้คนที่ฉันสนใจคือนามิกิไง”
หยุดนะ เดี๋ยวก็หลงรักเอาหรอก
ผมนึกว่าพวกหล่อๆ จะป๊อปได้ก็เพราะหน้าตาอย่างเดียวซะอีก
คนที่ไปคอมเมนต์ในวิดีโออย่าง ‘แฟนหนุ่มในอุดมคติของสาวๆ’ ในยูทูบว่า ‘แต่จำกัดเฉพาะคนหล่อเท่านั้น’ ก็คือผมเองนี่แหละ
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคงจะไม่คอมเมนต์แบบนั้นอีกแล้ว
ก็เพราะว่ามีคนที่ไม่ใช่แค่หน้าตาดีอย่างเดียวอยู่ที่นี่แล้วนี่นา
“แต่ว่าฉันจะตลกขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมไม่รู้ตัวเลย แล้วก็ไม่ค่อยมีใครพูดแบบนั้นด้วย
เดิมทีถ้าผมตลกจริงก็คงไม่จำเป็นต้องให้คางามิมาแนะนำเพื่อนให้หรอก
ทั้งคางามิ ยาเอะคาเงะ และทาคามิ ประเมินผมสูงเกินไป
ผมไม่ใช่ประเภทที่จะรู้สึกกดดันว่าต้องทำอะไรตลกๆ หรือต้องแสดงเป็นตัวเองในแบบที่คนอื่นคาดหวัง แต่พอคิดว่าคนที่เคยยอมรับในตัวเราจะผิดหวังในตัวเราขึ้นมามันก็รู้สึกเจ็บปวดนิดหน่อย
“อืม จะว่านามิกิมีเซนส์เรื่องตลกอะไรแบบนั้นรึเปล่า ก็ยังไม่รู้นะ”
ทาคามิเกริ่นนำแบบนั้นแล้วก็พูดว่า “ขอยืมหน่อยนะ” แล้วก็ดึงเก้าอี้ของโต๊ะข้างหน้ามานั่งโดยพลการเพราะเจ้าของไม่อยู่
“อย่างน้อยนายก็เป็นผู้ชายที่คางามิคนนั้นยอมรับใช่ไหมล่ะ?”
“ฉันว่านั่นมันสุดยอดมากเลยนะ”
จริงด้วย การที่คางามิคุยกับผู้ชายก็จะโดนผู้ชายคนอื่นอิจฉา
คางามิน่าจะรู้เรื่องนั้นดี
ถึงจะรู้แต่ก็ยังพยายามจะทำความสนิทสนม นั่นคือความเอาแต่ใจในแบบของคางามิ
เป็นการยอมรับกลายๆ ว่า ‘ฉันจะทำให้คุณเดือดร้อน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยากจะสนิทกับคุณ’
“ส่วนฉันน่ะ ไม่มีใครกล้าบ่นหรอกใช่ไหมล่ะ?”
“เพราะงั้นคางามิก็เลยสนิทสนมได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ”
“รู้ตัวด้วยเหรอเนี่ย สดชื่นดีจัง”
“ก็แน่สิ”
“มันก็เหมือนกับ คุโด้แห่งตะวันออก ฮัตโตริแห่งตะวันตก นั่นแหละ ฉันกับคางามิน่ะ”
เป็นคำเปรียบเทียบที่เหมาะเจาะ
แต่พูดออกมาเองแล้วไม่อายบ้างเหรอ
“ฉันเองถ้าไปสนิทกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ เด็กคนนั้นก็อาจจะโดนแกล้งได้เลยนะ”
“เพราะงั้นก็เลยต้องใช้วิธีที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด”
“นั่นก็คือการพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้ามสินะ”
“อ่า ไม่ๆ”
“นั่นมันคางามิต่างหาก”
“ส่วนกรณีของฉันคือการรักทุกคนน่ะสิ”
“เลวสุดๆ!”
“ฮ่าๆๆๆ”
“มันคือระบบหนึ่งสามีหลายภรรยาไงล่ะ”
“ถูกกฎหมายด้วยนะ”
“ที่ญี่ปุ่นมันผิดกฎหมายเฟ้ย!”
“เข้าที่เข้าทางแล้วนี่นา”
“นามิกินี่ตลกจริงๆ ด้วย”
ทาคามิหัวเราะอย่างสดใสเหมือนเด็กๆ
พอเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วก็รู้สึกกลัวว่าสักวันเขาจะแนะนำใครสักคนว่า “เด็กคนนี้คือภรรยาคนที่ร้อยที่น่าจดจำ!” ขึ้นมาจริงๆ
“แล้วทำได้ยังไง?”
“…? อะไรเหรอ”
ทาคามิหันไปมองรอบๆ ครั้งหนึ่ง แล้วก็กระซิบข้างหูผม
“วิธีที่ทำใหคางามิคนนั้นหลงใหลจนกลายเป็นสตอล์กเกอร์ได้ไงล่ะ”
หอมโดยไม่จำเป็นเลยนะ
ว่าแต่…
“รู้ได้ยังไง”
“ดูก็รู้แล้ว”
“ไม่เคยเห็นคางามิยึดติดกับผู้ชายคนเดียวขนาดนั้นมาก่อนเลยนะ?”
“พวกนายอยู่ห้องเดียวกันตอนปีสองใช่ไหมล่ะ?”
“เท่าที่ฉันรู้ก่อนหน้านั้นไม่น่าจะมีจุดเชื่อมโยงกันเลยนี่นา และพวกนายก็เพิ่งจะมาสนิทกันเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“เลยสงสัยอยู่น่ะสิว่าไปเจอกันที่ไหนเมื่อไหร่มีอะไรเกิดขึ้นถึงได้เป็นแบบนั้น”
จริงอย่างที่ทาคามิพูด ผมเพิ่งจะมาอยู่ห้องเดียวกับคางามิก็ตอนขึ้นม.ปลายปีสองนี่เอง และก่อนหน้านั้นก็มีข้อมูลแค่ว่าชื่ออะไรแล้วก็น่ารักมากเท่านั้นเอง
พอขึ้นปีสองมาก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เทียบกับตอนปีหนึ่งแล้วการที่ได้อยู่ห้องเดียวกันทำให้ชื่อกับหน้าตาเริ่มจะจำได้ขึ้นมาบ้าง และได้รู้ว่านอกจากหน้าตาแล้วอย่างอื่นก็เพอร์เฟกต์ไปหมด
นั่นเป็นข้อมูลที่ผมรู้มาฝ่ายเดียวจากการแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือในห้องเรียนเพราะว่างเกินไป
คางามิไม่มีทางรู้เรื่องของผมที่ไม่เคยคุยกันมาก่อนหรอก
คงจะรู้แค่ชื่อกับหน้าตา แล้วก็เรื่องที่ผมแทบไม่คุยกับใครในห้องเรียนเท่านั้นแหละ
“ว่าไงล่ะ บอกหน่อยสิ”
“ไม่แย่งไปหรอกน่า”
“ไม่สิ ฉันอยากจะให้นายแย่งไปใจจะขาดอยู่แล้ว แต่ว่าฉันไม่รู้จริงๆ”
“ไม่มีทางหรอกน่า ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสิ?”
“ไม่น่าจะใช่รักแรกพบกับนามิกิหรอก”
“เสียมารยาทนะ ถึงจะอาจจะไม่ใช่ก็เถอะ”
“หยอกเล่นน่า”
“ไม่เคยถามเจ้าตัวเองเหรอ?”
“โดนพูดปดไปว่าเรื่องความรักอะไรทำนองนั้นน่ะ”
“หืม หมายความว่าบอกเหตุผลไม่ได้สินะ”
“…ถ้างั้นเอาการไขปริศนานั่นมาเป็นงานอดิเรกแก้เบื่อของฉันดีกว่า”
ทาคามิที่กินข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ โยนขยะลงถังที่อยู่ห่างออกไปพอสมควรลงในครั้งเดียวแล้วลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นใหม่
“ตั้งแต่เด็กแล้วไม่ว่าจะทำอะไรก็เก่งกว่าคนอื่น”
“อะไร อวดเหรอ?”
“ใช่ๆ อวด”
“เพราะงั้นชีวิตมันถึงได้น่าเบื่อไงล่ะ”
“เพราะงั้นปริศนาที่แม้แต่ฉันคนนี้ยังไม่เข้าใจมันถึงได้น่าตื่นเต้นไงล่ะ”
“จากนี้ไปสักพักคงจะไม่เบื่อแล้วล่ะ”
“นึกว่าเป็นเรื่องของคนอื่นไปได้…”
ทำไมกันนะ
ถ้าถามอย่างจริงจัง คางามิจะยอมตอบรึเปล่า เหตุผลที่เธอมาสตอล์กผม
*
“สุดท้ายของการไลฟ์นะคะ มีเรื่องจะมาแจ้งให้ทุกคนทราบค่ะ!”
กิจกรรมไลฟ์สดในวันและเวลาที่กำหนดไว้ทุกสัปดาห์
ได้รับการสนับสนุนจากผู้ฟังมากมาย และแม้จะเป็นนักเรียนมัธยมปลายก็ยังได้รับเงินเดือน
เป็นงานที่น่ายกย่องและสนุกสนาน แต่แน่นอนว่าก็มีเรื่องที่รู้สึกว่าลำบากอยู่เหมือนกัน
เคยเจ็บปวดจากคำพูดใส่ร้ายป้ายสีของคนที่ไม่รู้จักมานับครั้งไม่ถ้วน
ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยมีแอนตี้เท่าไหร่ แต่คนที่มียอะกว่าคงจะเจ็บปวดยิ่งกว่านี้
แต่ที่ยังทำต่อไปได้ก็เพราะมีเรื่องสนุกๆ อยู่ด้วย และคอมเมนต์สนับสนุนมากมายที่กลบคำพูดใส่ร้ายป้ายสีก็ช่วยฉันไว้เสมอ
คุณบนตะที่มักจะคอมเมนต์เป็นคนแรกเสมอ และคอยสนับสนุนฉันมาตลอดตั้งแต่ช่วงเดบิวต์ใหม่ๆ
เขาคนนั้นมักจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของฉันเสมอ คอยเป็นห่วง และคอยสนับสนุน
ไม่รู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ชื่อจริงอะไร อายุเท่าไหร่ เพศอะไร ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนที่พึ่งทางใจ
‘ประกาศเหรอ!?’
‘หน้าหนาวแล้ว คงจะเป็นชุดใหม่สำหรับฤดูหนาวสินะ’
‘ไม่ใช่หรอก ต้องเป็นเรื่องมีแฟนแล้วแน่ๆ’
‘ฮิรารินไม่มีทางทรยศพวกเราหรอก!’
ในบรรดาคอมเมนต์มากมายที่ได้รับ สายตาของฉันก็จับจ้องไปที่คอมเมนต์ของคุณบนตะในทันที
‘มีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ก็เพื่อรอฟังประกาศของฮิรารินนี่แหละ’
เขาที่พูดจาไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ช่างน่าขบขัน
“หึๆ ทุกคนตอบผิดหมดเลยค่ะ!”
“จริงๆ แล้วอีกไม่นานนี้ จะมีการจัดอีเวนต์ใหญ่ที่สนับสนุนโดยฟลาวเวอร์ไลฟ์ สังกัดของฉันเองค่ะ!”
“แปะๆๆ!”
‘โอ้’
‘อยากไปแต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานที่นะ คงจะเป็นในโตเกียวล่ะมั้ง…’
‘แน่นอนว่าฮิรารินก็เข้าร่วมด้วยใช่ไหม?’
“หึๆๆ ทุกคนใจเย็นๆ นะคะ”
“ฉันแน่นอนอยู่แล้ว และไลฟ์เวอร์ทุกคนที่สังกัดฟลาวเวอร์ไลฟ์ก็ตัดสินใจเข้าร่วมทุกคนค่ะ!”
‘แปะๆๆ’
‘นี่เป็นครั้งแรกที่ฮิรารินเข้าร่วมอีเวนต์รึเปล่า?’
‘ฮิรารินเป็นนักเรียนม.ปลายอยู่เลยต้องให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับแรกไง’
“อื้อๆ ใช่แล้วค่ะ”
“ฉันเพิ่งจะเดบิวต์มายังไม่ถึงปีเลย แล้วก็ทางสังกัดก็บอกให้ให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับแรกด้วย เพราะงั้นการเข้าร่วมอีเวนต์แบบนี้เลยเป็นครั้งแรกค่ะ!”
จริงๆ แล้วครั้งนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วมหรอก
ฉันอาศัยอยู่ที่เฮียวโงะ ถ้าจะจัดอีเวนต์ก็ต้องเดินทางไกล
เพราะเพิ่งจะเดบิวต์ได้ไม่นาน ฐานะทางการเงินก็ไม่ได้ดีเท่ารุ่นพี่ไลฟ์เวอร์ แล้วก็ยังไม่มีชื่อเสียงและความนิยมมากพอ
แต่ถึงอย่างนั้นในที่สุดฉันก็ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากพอที่จะเข้าร่วมอีเวนต์ได้แล้ว
เท่านี้ในที่สุดฉันก็จะได้ทักทายกับแฟนๆ ที่คอยสนับสนุนฉันโดยตรงแล้ว
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยใบหน้า การจะบอกว่าโดยตรงมันก็แปลกๆ อยู่
“สถานที่คือโตเกียว ส่วนวันและเวลายังไม่กำหนดนะคะ ถ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่จะมารายงานให้ทุกคนทราบอีกครั้งค่ะ!”
“ถ้างั้นสำหรับวันนี้ก็ขอบคุณที่รับชมนะคะ!”
‘โอสึฮิระ~’
‘ฮิรารินไว้เจอกันใหม่นะ~’
‘วันนี้ก็ได้ยินเสียงโอชิมีความสุขจังเลย’
ฉันคลิกปุ่มสิ้นสุดการไลฟ์ พร้อมกับถอนหายใจออกมา
วันนี้สามารถทำให้ทุกคนสนุกได้รึเปล่านะ
ถ้ามีคนสนุกกับการไลฟ์ของฉันแม้เพียงคนเดียวก็คงจะดีใจมากเลย
หลังจากนั้นวันจัดงานอีเวนต์ก็ถูกประกาศออกมา และฉันก็เตรียมใจให้พร้อมสำหรับวันนั้น
ความสนุกสนานค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความกดดัน จนเพื่อนในชีวิตจริงยังทักว่าดูไม่มีชีวิตชีวาเลย
ปกติแล้วฉันจะไลฟ์โดยมีคนดูอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นคนอีกฟากของหน้าจอ
ถ้าพิจารณาจากความจุของสถานที่จัดงานแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ถ้าอย่างนั้น แล้วจะมีอะไรให้ต้องกังวลอีกเล่า
ถึงจะพยายามคิดปลงๆ แบบนั้น แต่ความรู้สึกมันก็ไม่ยอมตามมาด้วย
ความตึงเครียดพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงวันก่อนวันจัดงานอีเวนต์
ฉันอยากจะลองนั่งรถบัสนอนที่ใฝ่ฝันมาตลอด แม้พ่อแม่จะคัดค้าน แต่คงเพราะเห็นว่าฉันไม่ยอมถอยซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก ท่านก็เลยอนุญาตอย่างง่ายดายกว่าที่คิด
ฉันจองรถบัสที่มีระบบไม่ให้ผู้ชายนั่งข้างๆ ซึ่งระบุไว้ในเว็บไซต์จองว่าปลอดภัยสำหรับผู้หญิง
แต่ทว่า──
“ขอโทษนะจ๊ะ พอดีจำนวนคนมันไม่ลงตัว ข้างๆ เลยต้องเป็นผู้ชายนะ”
“งั้นเหรอคะ…”
ไม่เหมือนที่สัญญาไว้เลย!
แต่พอตรวจสอบเว็บไซต์ให้ดีๆ ก็มีหมายเหตุตัวเล็กๆ เขียนไว้ข้างล่างว่าไม่เสมอไป เป็นประโยคหลอกลวงนี่นา
มันเป็นความผิดของฉันเองที่ตรวจสอบไม่ดีพอ เพราะงั้นก็ยอมรับแต่โดยดีเถอะ
ถึงจะตื่นเต้นนิดหน่อยที่ต้องนั่งข้างผู้ชาย แต่คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก…
“ฝากตัวด้วยนะครับ”
พอเดินไปยังที่นั่ง ฉันก็ทักทายคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างก่อนแล้วก่อนจะนั่งลง
เป็นเด็กผู้ชายที่ดูอายุไม่น่าจะต่างจากฉันเท่าไหร่
เขาพยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วก็เบนสายตาไปที่สมาร์ทโฟน
ตอนนั้นเองที่ฉันเผลอเห็นหน้าจอของเขาแวบหนึ่ง แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นร่างอีกร่างหนึ่งของตัวเองปรากฏอยู่บนนั้น
ไม่นึกเลยว่าเป็นผู้ฟัง
…ต้องพยายามไม่ให้ตัวจริงถูกเปิดเผย
คนคนนี้ก็นั่งรถบัสคันเดียวกัน แสดงว่าจุดหมายปลายทางก็น่าจะเป็นโตเกียวที่จัดงานอีเวนต์
ถ้างั้นก็น่าจะเป็นอีเวนต์ของฟลาวเวอร์ไลฟ์สินะ
ก็เขาดูไลฟ์ของฉันนี่นา…
ถึงจะไม่ได้แต่งหน้า แล้วก็ใส่หน้ากากอนามัยมาเพราะอายที่จะให้ใครเห็นตอนนอน แต่ดูเหมือนว่ามันจะช่วยปิดบังใบหน้าได้ด้วย
ถึงจะไม่เคยเปิดเผยใบหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้วตัวจริงถูกเปิดเผยเมื่อไหร่
ต้องระวังตัวไว้ก่อน
ไม่กี่นาทีต่อมา หลังจากมีเสียงประกาศจากคนขับรถ รถบัสก็ออกเดินทาง
ภายในรถมืดสนิท มีเพียงเสียงผ้าเสียดสีกัน เสียงเครื่องยนต์ที่ได้ยินแว่วๆ มาแต่ไกล และแรงกระแทกจากการที่รถกระโดดขึ้นลงบนเนินเล็กๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้นที่สัมผัสได้
ความตื่นเต้นที่ได้นั่งรถบัสนอนซึ่งเป็นความปรารถนาของฉัน ช่วยกลบเกลื่อนความตึงเครียดเรื่องอีเวนต์ไปได้
ฉันรู้สึกตื่นเต้นราวกับไปทัศนศึกษา แม้จะเตรียมตัวนอนเต็มที่แล้วแต่ก็ยังข่มตาไม่หลับ
แต่ทว่า ความตื่นเต้นนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความรู้สึกคลื่นไส้
จริงด้วยสิ ฉันเมารถนี่นา ต้องกินยาแก้เมาด้วยนี่
เมื่อรวมกับความกดดันเรื่องอีเวนต์ อาการจึงแสดงออกมาเร็วกว่าปกติ
พอรีบจะหยิบกระเป๋าใบเล็กออกจากกระเป๋าถือ ก็พบว่าไม่มีกระเป๋าใบเล็กที่ใส่ยาแก้เมาอยู่ในนั้น
ดูเหมือนว่าฉันจะเผลอใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทางล้อลากไปเสียแล้ว
ช่วยไม่ได้ คงต้องทนไปจนกว่าจะถึงเวลาพัก แล้วค่อยบอกคนขับรถให้ช่วยหยิบให้
แม้จะคิดอย่างนั้น แต่เหงื่อเย็นก็ไหลออกมาไม่หยุด และอาการก็แย่ลงเรื่อยๆ
อย่างน้อยถ้ามีถุงพลาสติกก็ยังดี แต่ถ้าอาเจียนออกมาในรถที่เงียบสงบแบบนี้ ก็จะไปรบกวนทุกคนบนรถได้ และคนข้างๆ ก็คงจะได้กลิ่นด้วย
เรื่องแบบนั้น ทั้งน่าอายและน่าขอโทษ
ทำยังไงดี ถ้าฉันไม่เอาแต่ใจอยากจะนั่งรถบัสนอน ถ้าฉันไม่ใส่กระเป๋าผิด ถ้าฉันไม่ยอมแพ้ต่อความกดดัน…
“…ไม่เป็นไรเหรอครับ?”
เสียงเล็กๆ ที่มุ่งตรงมาหาฉันเพียงคนเดียวในรถ
เป็นเด็กผู้ชายข้างๆ นั่นเอง
เขาถอดที่ปิดตาออกเมื่อสังเกตเห็นฉันที่กำลังก้มตัวลงและหายใจหอบ สีหน้าของเขาดูเป็นห่วง แต่ในขณะเดียวกันก็ดูไม่แน่ใจว่าจะเข้ามาทักดีรึเปล่า
ฉันไม่สามารถพูดออกมาได้ดีนัก เลยได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“เมารถเหรอครับ?”
พอฉันพยักหน้าเบาๆ เขาก็หยิบยาหนึ่งเม็ดออกจากกระเป๋าถือของตัวเองแล้วยื่นให้
“นี่ครับ ยาแก้เมา”
“ทานซะนะครับ”
“อ๊ะ ถ้าเป็นการจุ้นจ้านเกินไปก็ขอโทษด้วยนะครับ…”
เป็นยาแก้เมารถยี่ห้อเดียวกับที่ฉันทานเป็นประจำ
ไม่น่าสงสัย เป็นเพียงความหวังดีอย่างแท้จริง
ยาแก้เมาที่เขาหยิบออกมาจากกระเป๋าถือมีเพียงเม็ดเดียว
น่าจะเป็นเม็ดที่เขาเก็บไว้สำหรับขากลับของตัวเองแน่ๆ
แต่เขากลับยื่นมันให้กับฉันผู้เป็นคนแปลกหน้า
ถึงจะเป็นสถานการณ์ที่ควรจะเกรงใจ แต่ฉันไม่มีแรงพอจะทำอย่างนั้นแล้ว เลยตัดสินใจรับความช่วยเหลืออย่างขอบคุณ
ถ้าอาเจียนออกมาในรถ ก็จะเป็นการรบกวนคนอื่นมากกว่านี้อีก
เขาหยิบน้ำจากที่วางแก้วข้างหน้าฉัน แล้วเปิดฝาก่อนจะยื่นให้
“ขอบ… คุณ”
ฉันไม่มีแรงพอที่จะพูดจาสุภาพได้อีกต่อไป รับยาแล้วกลืนลงไปพร้อมกับน้ำ
“อีกประมาณชั่วโมงนึงถึงจะพักนะครับ พักผ่อนให้ดีๆ ดีกว่า”
“ข้างหลังผมไม่มีใครนั่งอยู่ เพราะงั้นเอนเบาะได้เต็มที่เลย เดี๋ยวผมเปลี่ยนที่ให้ครับ”
เขาคงจะรู้ว่าฉันคงจะเกรงใจ เลยลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนที่ฉันจะทันได้ตอบ แล้วจูงมือฉันเพื่อกระตุ้นให้ย้ายที่
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ขออ้อนให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน
ด้วยสภาพตอนนี้ไม่มีทางที่จะทนได้อีกหนึ่งชั่วโมงแน่ๆ และถ้าขอบคุณอย่างดีในภายหลังเขาก็คงจะให้อภัย
น้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขาทำให้ฉันคิดเช่นนั้น
“ช่วย… ลูบท้องให้หน่อยได้ไหมคะ…?”
ตอนเด็กๆ ก่อนวันแสดงเปียโน ฉันเคยรู้สึกไม่สบายเพราะความตื่นเต้นแบบนี้อยู่หลายครั้ง
เวลาแบบนั้น แม่จะคอยลูบท้องให้เสมอ
แล้วเรื่องน่าแปลกก็คือ อาการไม่สบายจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ฉันที่ถึงขีดสุดแล้ว ได้เอ่ยขอร้องในสิ่งเดียวกันกับคนแปลกหน้า
“…เข้าใจแล้วครับ”
เขาไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจเลยสักนิด แล้วก็ลูบท้องให้ฉันที่นอนหงายอยู่
สัมผัสที่อ่อนโยนนั้น ช่างคล้ายกับของแม่เหลือเกิน ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างมาก
“พยายามเข้านะครับ”
ในรถที่เงียบสงบและมืดมิด เขาได้พบฉันที่กำลังลำบากโดยไม่สามารถบอกใครได้
เขาได้ช่วยฉันไว้
ไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงดี
เมื่อรู้สึกตัวอีกที ความกดดันเรื่องอีเวนต์ก็ค่อยๆ บรรเทาลง และฉันก็เผลอหลับไป
“ตื่นได้แล้วครับ”
พอรู้สึกตัวเมื่อถูกปลุก ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาพักแล้ว ภายในรถสว่างขึ้นเล็กน้อยด้วยแสงไฟสีส้ม
“ออกไปข้างนอกกันเถอะครับ”
“ยาแก้เมารถน่าจะออกฤทธิ์แล้ว แต่ว่าเปลี่ยนบรรยากาศไว้หน่อยก็ดีครับ”
“ค่ะ”
ฉันลุกขึ้นตามที่เขาบอก แล้วก้าวออกจากรถบัส พอได้สัมผัสกับอากาศเย็นๆ ข้างนอกก็รู้สึกตัว
มีเพียงท้องเท่านั้นที่ยังอุ่นอยู่
ฉันเอามือทาบลงบนเสื้อ แล้วก็สัมผัสได้ว่าเขาคงจะลูบท้องให้ฉันมาตลอดหนึ่งชั่วโมงนี้
ตัวเขาเองก็คงอยากจะนอนเหมือนกัน การลูบตลอดเวลาก็คงจะเหนื่อยน่าดู แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังทำต่อไป
“นั่งรอสักครู่นะครับ”
“คะ…?”
เขาวิ่งไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ติดกับจุดพักรถ แล้วก็วิ่งกลับมาในเวลาประมาณสามนาที
“แฮ่ก แฮ่ก”
“นี่ครับ ถ้าไม่รังเกียจ”
พอตรวจสอบในถุง ก็มีบ๊วยดอง โค้ก และน้ำอัดลมอยู่
เป็นการจัดชุดแบบไหนกันนะ
“เมื่อกี้ลองหาข้อมูลดู เหมือนว่าโซดาจะมีสรรพคุณช่วยลดอาการไม่สบายท้องครับ”
“คาเฟอีนก็มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ และสิ่งที่สามารถรับได้พร้อมกันก็คือโค้กครับ”
“แต่ว่าถ้าไม่ชอบโค้กก็เลยซื้อน้ำอัดลมมาด้วย… แต่ถ้าไม่ชอบโค้กก็อาจจะเพราะเป็นโซดา… อ๊ะ แล้วก็บ๊วยดองก็ดูเหมือนจะดีเหมือนกันครับ”
“หึๆ อะไรกันคะนั่น”
คำอธิบายเรื่องบ๊วยดองอยู่ๆ ก็ดูส่งเดชจังเลยนะ เป็นคนที่น่าสนใจจังเลย
“ดีจังเลยครับ ที่กลับมายิ้มได้แล้ว”
“ผมเองก็เมารถบ่อยๆ เลยเป็นห่วงน่ะครับ”
“ขอบคุณจริงๆ นะคะ”
ฉันลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งอีกครั้ง
การที่คนดีๆ แบบนี้ดูไลฟ์กับวิดีโอของฉัน ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
และพอคิดว่าจะมีคนแบบนี้มาในงานอีเวนต์ด้วย ความตึงเครียดก็ดูเหมือนจะบรรเทาลงไป
“อ๊ะ แย่แล้ว เวลาพักจะหมดแล้วครับ”
“ไปกันเถอะครับ”
“ค่ะ!”
พวงกุญแจยางพลิ้วไหวแล้วร่วงหล่นลงมาจากกระเป๋าของเขาที่กำลังวิ่งไปยังรถบัส
พวงกุญแจยางนั้นคงจะติดอยู่กับสมาร์ทโฟนหรืออะไรสักอย่าง ก่อนที่จะตกถึงพื้นมันก็เด้งกลับขึ้นไปห้อยอยู่
นั่นคือของที่ฉัน โอโบโระสึกิ ฮิราริ ผลิตออกมาจำกัดเพียงสิบชิ้นในช่วงที่เพิ่งเดบิวต์ได้ไม่นาน
ฉันพอจะจำได้คร่าวๆ จากคอมเมนต์ปกติว่าใครเป็นเจ้าของมันบ้าง
“คุณบนตะ…?”
ฉันพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาที่เขาไม่ได้ยิน
เขาหันกลับมามองฉัน แล้วเอียงคออย่างสงสัย
“เร็วเข้าครับ!”
“หึๆ ค่ะ!”
หลังจากนั้นเมื่อฉันขึ้นชั้นมัธยมปลายปีที่สอง ฉันก็ได้พบกับเขาอีกครั้งในฐานะเพื่อนร่วมชั้น
ฉันคิดว่ามันคือพรหมลิขิต
แต่ว่าเขา──นามิกิคุง กลับจำฉันไม่ได้
ก็เพราะว่าในใจของเขานั้น มีโอโบโระสึกิ ฮิราริอยู่
เขารักฮิราริมากจนช่วยอะไรไม่ได้
แน่นอนว่าเรื่องนั้นมันน่ายินดี
เพราะว่าโอโบโระสึกิ ฮิราริ ก็คือฉันเอง
แต่ว่ามันไม่ใช่
“นามิกิคุง วันนี้ก็ดูดีจังเลยค่ะ♥”
“ครับๆ…”
“เออนี่ ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ?”
“มีผู้ชายดีๆ คนอื่นอีกตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ”
“พูดอะไรน่ะคะ! นามิกิคุงคือผู้ชายที่ดูดีที่สุดในโลกนี้แล้วค่ะ!”
“ไม่ใช่สิ ก็ถามว่าทำไมไง”
“มีเหตุผลอะไรรึเปล่า?”
“มีสิคะ”
“เราผูกพันกันด้วยด้ายแดงแห่งโชคชะตามาตั้งนานแล้วค่ะ♥”
“พูดอะไรแปลกๆ อีกแล้วนะยัยสตอล์กเกอร์สุดอันตราย”
“ใจร้าย! เรื่องจริงนะคะ!”
“ครับๆ…”
ฉันยังไม่ได้บอกนามิกิคุงว่าพวกเราเคยเจอกันมาก่อนในอดีต
เพราะถ้าบอกไป ก็มีความเป็นไปได้ที่ตัวจริงของฉันจะถูกเปิดเผยจากจุดหมายปลายทางและวันเวลาของรถบัสนอน
ถ้านามิกิคุงคือคุณบนตะล่ะก็ ฉันรู้ดีว่าเขามีความสามารถในการรวบรวมข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตที่ยอดเยี่ยม
ถ้าเขารู้ว่าฉันอยู่บนรถบัสคันนั้นด้วย บางทีเขาอาจจะสืบจนรู้ตัวจริงของฉันได้
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพรหมจรรย์ของฉันจะถูกคุกคามโดยสตอล์กเกอร์สุดอันตราย… ต้องให้ฮิรารินมาช่วยเร็วๆ แล้ว!”
“เดี๋ยวสิคะ นามิกิคู~น! อย่าหนีสิคะ!”
แน่นอนว่าถ้านามิกิคุงรู้ว่าตัวจริงของฉันคือฮิราริ เขาก็คงจะหันมาชอบฉันด้วย
แต่แบบนั้นมันไม่ได้
ฉันอยากให้เขาชอบตัวตนที่แท้จริงของฉัน
ไม่ใช่ในฐานะ ‘คนใน’ ของโอโบโระสึกิ ฮิราริ แต่ฉันอยากให้เขารักแค่คางามิ ซากุระคนนี้
เพราะฉะนั้น วันนี้ก็เช่นกัน เพื่อที่จะให้เขาหันมาชอบฉัน ฉันจึง──
สะกดรอยตามเขานั่นเอง
แปลโดยเพจ Aileen Sub
อ่านจนจบได้ที่ octodex https://octodex.org/novel/BWVJ3H5U9FSdNIkieTCl
Chapters
Comments
- ตอนที่ 4.2 ปัจฉิมลิขิต กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 4.1 บทส่งท้าย เรื่องราวเลิฟคอเมดี้กับน้องสาวน่ะมันมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้นแหละ และโอชิของผมไปตลอดกาลก็มีเพียงฮิรารินคนเดียวเท่านั้น กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 4 การเดทน่ะ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าว่าจะไปที่ไหน ก็คือการได้ไปกับใครต่างหาก และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเริ่มต้น ก็คือการสิ้นสุด กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 3 ถึงจะเป็นตัวประกอบ แต่ตัวประกอบก็มีอดีตอันแสนเจ็บปวดในแบบของตัวเอง และแม้แต่คางามิ ซากุระเองก็มีด้านที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 2 เหตุผลที่คนเราจะตกหลุมรักใครสักคนน่ะ มันช่างเรียบง่ายกว่าที่คิด และต่อมความฮาของทาคามิ จุนก็เรียบง่ายเช่นกัน กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 1 ไอ้ความรู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหลังน่ะ ส่วนใหญ่มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเอง และไอ้ความรู้สึกที่ว่าพอเข้าร้าน 100 เยนแล้วต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อย มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเองเช่นกัน กรกฎาคม 3, 2025
MANGA DISCUSSION