ตอนที่ 1 ไอ้ความรู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหลังน่ะ ส่วนใหญ่มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเอง และไอ้ความรู้สึกที่ว่าพอเข้าร้าน 100 เยนแล้วต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อย มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเองเช่นกัน
เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
หลังจากขึ้นชั้นปีที่สองมาได้ราวหนึ่งเดือน บนเส้นทางกลับบ้านที่คุ้นเคยในวันที่อากาศเริ่มอุ่นขึ้น
ในวันธรรมดาอันแสนสงบสุขที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ขณะที่ผมกำลังวางแผนว่าจะรีบกลับไปอาบน้ำกินข้าวให้เสร็จเพื่อรอชมไลฟ์สดพูดคุยของฮิรารินที่จะเริ่มตอนสองทุ่ม คางามิที่อยู่ห้องเดียวกันซึ่งบังเอิญเดินผ่านก็เอ่ยทักขึ้นมา
“อ๊ะ! นามิกิคุง!”
“อ้าว คางามิ บ้านอยู่ทางนี้เหรอ”
คางามิมาคนเดียว
ทั้งที่ปกติแล้วน่าจะมีคนเดินตามหลังอยู่สักสองคนแท้ๆ
ถึงจะอยู่ห้องเดียวกัน แต่คนธรรมดาๆ อย่างผมแทบไม่เคยได้คุยกับคางามิผู้เป็นจุดสูงสุดของเหล่าคนป๊อปเลย
จะว่าไปอาจจะไม่เคยเลยด้วยซ้ำ
…ไม่สิ ไม่เคยเลยต่างหาก
“วันนี้พอดีมีธุระแถวนี้น่ะค่ะ”
“นามิกิคุงอาศัยอยู่แถวนี้เหรอคะ?”
ความสุภาพที่ไม่เหมือนนักเรียนมัธยมปลายคงจะมาจากที่เธอใช้คำสุภาพกับทุกคนเหมือนกันหมดสินะ
แค่รอยยิ้มกับการเอียงคอเล็กน้อยก็ดูสวยงามราวกับภาพวาดแล้ว
“อืม”
“แต่แถวสถานีนี้ไม่น่าจะมีอะไรเลยนี่นา ไปไหนมาเหรอ?”
ถึงจะไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่การเจอเพื่อนร่วมชั้นนอกสถานีที่ใกล้โรงเรียนที่สุดแล้วทำเป็นเมินเฉยมันก็แปลกๆ เลยคิดว่าจะคุยพอเป็นพิธีแล้วรีบกลับบ้าน
“…คุณย่าค่ะ”
“คือว่า ฉันรู้สึกเหมือนว่าบ้านคุณย่าจะอยู่แถวนี้น่ะค่ะ”
รู้สึกเหมือนว่า?
อะไรนั่น บ้านคุณย่ามันเป็นของที่ต้องตามหากันด้วยความรู้สึกเหมือนตามหาสมบัติล้ำค่างั้นเหรอ
“งะ-งั้นเหรอ”
“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะ…”
บรรยากาศมันเริ่มแปลกๆ แล้วสิ
อึดอัดชะมัด รีบกลับบ้านดีกว่า
บางทีอาจจะเป็นบ้านแฟนเขาก็ได้
คงพยายามจะพูดปดส่งเดชเลยกลายเป็นคำโกหกที่ไร้สาระแบบนั้นไปแน่ๆ
ก็คางามินี่นา ต้องมีแฟนหนุ่มหล่อระดับนักศึกษาอยู่แล้วแน่นอน
เป็นแฟนที่ฟังเพลงสากล สูงสักร้อยแปดสิบเซ็นฯ แล้วก็ทำงานพิเศษในร้านกาแฟเก๋ๆ อะไรทำนองนั้น
ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมชั้น แต่ก็คงไม่อยากเล่าให้คนธรรมดาๆ อย่างผมฟังเลยพูดปดไป
ผมไม่ได้เคารพบูชาคางามิถึงขนาดที่ต้องให้เธอมาใส่ใจพูดคุยด้วยหรอก
เห็นๆ กันอยู่ว่าจะต้องรู้สึกสมเพชตัวเองแน่ๆ รีบกลับบ้านดีกว่า
“เดี๋ยวก่อนสิคะ”
“…?”
คางามิที่รั้งผมซึ่งกำลังจะหันหลังกลับบ้านเอาไว้ มีสีหน้าเขินอายเล็กน้อย
“นามิกิคุงคะ ถ้าไม่รังเกียจ ไปดื่มชาด้วยกันไหมคะ?”
“นั่นสินะ ชาก็อร่อยดีเหมือนกัน… หืม?”
เดี๋ยวก่อนนะ
เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?
ไปดื่มชาด้วยกันนี่มันอะไรหว่า
เป็นการชวนไปสถานที่อย่างคาเฟ่หรือร้านน้ำชาสินะ
ใคร ชวนใคร ไปไหน เมื่อไหร่ ทำอะไร?
ว่าแต่ “หืม?” นี่มันอะไรวะเนี่ย
ตกใจเกินไปจนเผลอตอบอะไรไม่รู้เรื่องออกไปซะแล้ว
“ว่ายังไง… ดีคะ?”
อ๊ะ นี่เรื่องจริงจังสินะ
แต่ทำไมคนที่สวยที่สุดในโรงเรียนอย่างคางามิ ซากุระ ถึงมาชวนคนอย่างผมไปดื่มชากันล่ะ?
หรือว่านี่จะเป็นแผนที่มีคนอื่นแอบดูอยู่ แล้วพอผมดีใจรับคำชวนไปดื่มชาปุ๊บก็จะพากันมาหัวเราะเยาะงั้นเหรอ
ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว กว่าจะกลับถึงบ้าน อาบน้ำ กินข้าวเสร็จก็น่าจะเลยหนึ่งทุ่มไปแล้ว
ต่อให้เป็นคำชวนจริงๆ ก็จะไปสายไลฟ์ของฮิรารินที่จะเริ่มตอนสองทุ่มไม่ได้เด็ดขาด
ทางที่ดีควรจะปฏิเสธอย่างสุภาพ
ยังไงซะก็คงแค่แกล้งหยอกเล่นเท่านั้นแหละ…
“โทษทีนะ วันนี้ต้องรีบกลับบ้านน่ะ”
“งั้นเหรอคะ… เข้าใจแล้วค่ะ เดินทางกลับดีๆ นะคะ”
อืม เป็นเด็กดีจังแฮะ
แต่ผมรู้หรอก
ต้องมีใครแอบดูอยู่เงาๆ แน่
ผมไม่หลงกลกับดักง่ายๆ แบบนี้หรอกนะ
เพราะผมมีคนที่สาบานรักชั่วนิรันดร์อย่างโอโบโระสึกิ ฮิราริอยู่แล้ว
“งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“ค่ะ!”
สมน้ำหน้า พวกตัวท็อปที่แอบดูอยู่เงียบๆ
คงคิดจะล้อมวงหัวเราะเยาะผมที่ติดกับสินะ
ไม่มีทางหลงกลแผนตื้นๆ แบบนั้นหรอก
…มันเป็นกับดักจริงๆ ใช่ไหม?
ถ้าหากว่าไม่มีใครแอบดูอยู่เลย และคางามิชวนผมไปดื่มชาอย่างจริงจังล่ะก็…
ผมไม่ได้เคารพบูชาคางามิอะไรหรอกนะ
แต่ว่าเธอก็เป็นเด็กสาวโฉมงามขนาดนี้
เผลอๆ อาจจะหลงชอบเธออย่างไม่เจียมตัวเข้าก็ได้
ถ้าการถูกเด็กสาวโฉมงามขนาดนั้นชวนเป็นเรื่องจริงล่ะก็
สติสัมปชัญญะเข้าควบคุมร่างกายที่กำลังจะหันหลังกลับไปด้วยความเสียดาย
ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
ก็ผมนี่นะ
นามิกิ เฮตะผู้แสนธรรมดาสามัญนะ
พอแล้วล่ะ ไอ้การที่ดี๊ด๊าแล้วต้องมาอับอายขายหน้าน่ะ
ยังไงซะโลกสามมิติก็ไม่มีทางสู้เด็กสาวโฉมงามในโลกสองมิติได้อยู่แล้ว
แค่ได้อวยฮิรารินผมก็มีความสุขแล้ว
วันต่อมา ณ ร้านสะดวกซื้อที่เป็นที่ทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน
เสียงเข้าร้านดังขึ้นพร้อมกับประตูอัตโนมัติที่เปิดออก เด็กสาวโฉมงามเลิศล้ำเดินเข้ามาในร้าน
“ยินดีต้อนรับครั… อ๊ะ”
เด็กสาวโฉมงามส่งสายตาเร่าร้อนมาทางนี้แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านหน้าแผงนิตยสารเข้าไปด้านใน
เธอหยิบน้ำจากโซนเครื่องดื่มที่อยู่ลึกสุดของร้าน แล้วขณะที่ทำทีเป็นเลือกขนมตรงแผงขนมที่มองเห็นได้ชัดจากเคาน์เตอร์ เธอก็ชำเลืองมองมาทางนี้ พอสบตากันเข้าก็รีบหลบตา
ตกลงว่าเด็กสาวโฉมงามคนนั้นต้องการอะไรกันแน่ หลังจากนั้นเธอก็ยังคงเดินป้วนเปี้ยนไปมาในร้าน ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด
“อ้าว นามิกิคุง บังเอิญจังเลยนะคะ”
และแล้วก็บังเอิญเจอคางามิในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่โรงเรียนอีกจนได้
“เจอกันบ่อยจังนะ”
“นักเรียนดีเด่นอย่างคางามิก็แอบซื้อขนมกินระหว่างทางกลับบ้านเหมือนกันเหรอ”
ผมพูดไปพลางยิงบาร์โค้ดของน้ำและกัมมี่รสสัมผัสใหม่ที่กำลังฮิตล่าสุดซึ่งคางามิถือมา
“พอดีเพื่อนแนะนำมาน่ะค่ะ เลยว่าจะลองทานดู”
“ช่วยเก็บเป็นความลับกับคุณครูด้วยนะคะ?”
ผมใจเต้นเล็กน้อยกับท่าทางแสนเจ้าเล่ห์ที่ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากนุ่มนิ่มพร้อมกับขยิบตา แต่แล้วก็นึกถึงใบหน้าของฮิรารินผู้ซึ่งผมได้สาบานรักไปแล้วขึ้นมาเพื่อรักษาสติเอาไว้
“เข้าใจแล้ว”
“สามร้อยยี่สิบสี่เยนครับ”
“ด้วย ‘ป้อยป้อย’ ค่ะ”
ผมนึกว่าเธอจะจ่ายเงินอย่างรวดเร็วแล้วรีบจากไปเสียอีก แต่เธอกลับหยิบน้ำและกัมมี่ขึ้นมาแล้วจ้องมองมาทางนี้
ไม่รู้หรอกว่าสายตานั่นมีความหมายอะไร แต่ช่วยเลิกทำทีเถอะครับเพราะมันน่ารักทุกอิริยาบถเลย
“วันนี้… ทำงานถึงกี่โมงเหรอคะ…?”
วันนี้ไม่มีไลฟ์ของฮิราริน ผมเลยตั้งใจจะทำงานจนถึงสี่ทุ่มซึ่งเป็นเวลาทำงานสูงสุดที่นักเรียนมัธยมปลายจะทำได้เพื่อหาเงินไปเปย์ฮิราริน
แต่ว่า ถามเรื่องแบบนั้นไปจะทำอะไรกัน
“สี่ทุ่ม แต่ว่า…?”
ไม่รู้ว่าเธอตัดใจเรื่องอะไร แต่คางามิก็ดูหดหู่ลงอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกับทำหน้าเศร้าๆ แล้วพูดว่า “งั้นเหรอคะ…”
อะไรนั่น น่ารักชะมัดแต่ไม่ไหวๆ
“ถ้างั้นไว้เจอกันที่โรงเรียนนะคะ”
“อืม ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
คางามิเดินออกจากร้านไปด้วยท่าทีน่าเสียดาย
ตอนที่เธอหันหลังกลับ เรือนผมยาวสลวยของเธอก็พลิ้วไหวอย่างบางเบา
แค่ท่าทางธรรมดาๆ แบบนั้นยังดูงดงามได้
ใบหน้าที่ดูหดหู่แต่น่ารักของคางามิยังคงติดอยู่ในหัวของผมจนกระทั่งเลิกงาน ทำให้ผมทำพลาดไปหลายครั้ง
เวลาแบบนี้ต้องดูคลิปไฮไลต์ของฮิรารินเพื่อเยียวยาเท่านั้น
พอคิดว่าจะรีบกลับบ้าน ผมก็มาถึงสถานีรถไฟที่ใกล้บ้านที่สุด และในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกถึงใครบางคนจากด้านหลัง
ผมหันไปตามความรู้สึกที่สัมผัสได้อย่างคลุมเครือ แต่ที่นั่นกลับไม่มีใครอยู่เลย
คิดไปเองงั้นเหรอ แต่ระหว่างทางสิบนาทีกลับบ้าน ผมก็รู้สึกถึงร่องรอยเดิมๆ อีกหลายครั้ง
หรือว่า… มีใครบางคนกำลังสะกดรอยตามอยู่?
ไม่ๆ ไม่มีทางหรอก
ก็ผมนี่นะ
นามิกิ เฮตะผู้แสนธรรมดาสามัญนะ
สะกดรอยตามผมไปจะได้ประโยชน์อะไรกัน
ต้องคิดไปเองแน่ๆ
ผมเชื่อเช่นนั้นแล้วเปิดประตูบ้านของตัวเอง
วันต่อมา ระหว่างทางกลับบ้านผมก็รู้สึกถึงร่องรอยนั้นอีกครั้ง
เพื่อยืนยันว่าความสงสัยนี้เป็นแค่เรื่องคิดไปเอง ผมจึงตัดสินใจเดินออกจากเส้นทางปกติ
เส้นทางที่มีบันไดยาวซึ่งปกติแล้วไม่เคยใช้เด็ดขาด
ถ้าเป็นบันไดนี้จะมองเห็นได้ทั่วถึง และถ้ามีใครสะกดรอยตามอยู่จริง ต่อให้ไล่ตามหลังจากที่ผมขึ้นบันไดไปจนสุดแล้วก็คงคลาดกันอยู่ดี
นั่นหมายความว่า ถ้าผมหันหลังกลับไปแถวๆ ขั้นบนสุดของบันได คนร้ายที่สะกดรอยตามก็ต้องอยู่ที่นั่น
ถ้ามีคนร้ายที่พิสมัยการสะกดรอยตามคนธรรมดาสามัญอย่างผมอยู่น่ะนะ
ถ้าการขึ้นบันไดครั้งนี้สูญเปล่า ผมก็จะได้รับความจริงที่ว่าไม่มีใครสะกดรอยตามผมอย่างสบายใจ และถ้าคนร้ายอยู่ที่นั่น ตัวจริงของมันก็จะถูกเปิดเผย
ไม่ว่าจะออกทางไหนก็มีแต่ได้กับได้
เพียงแต่มีข้อเสียที่ต้องปีนบันไดที่ยาวชะลูดนี่เท่านั้นแหละ
ผมปีนบันไดที่ทั้งยาวและชันขึ้นไปพร้อมกับหอบหายใจ
พอขึ้นมาได้ประมาณครึ่งทางก็รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะบ่นว่านี่มันการฝึกตนสำหรับโอตาคุชมรมกลับบ้านรึไงกัน แต่ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกถึงร่องรอยด้านหลังอยู่
ดูเหมือนว่าจะติดกับดักเข้าเต็มๆ แล้วสินะ
เอาล่ะ จะหันหลังกลับแล้วนะ
…แต่พอคิดว่าจะมีคนอยู่จริงๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
คงไม่โดนจู่โจมกะทันหันหรอกนะ
ถ้าจะโดนจู่โจมก็ขอเป็นพี่สาวสวยๆ สุดเซ็กซี่แล้วกัน
ถ้าเป็นนักกล้ามบึกบึนที่ชอบเด็กหนุ่มล่ะจะทำยังไงดี
ถึงอย่างนั้นก็น่าจะไปจู่โจมหนุ่มหล่อน่ารักๆ มากกว่าคนอย่างผมสิ
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร
ไม่ใช่นักกล้ามบึกบึน
แล้วจะเป็นคนแบบไหนกัน…
นี่ผมมาที่บันไดนี่ก็เพราะคิดไปก็ไม่รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง
เออ จะเป็นไงก็ช่าง!
ผมหันกลับไป ลดสายตาลง แล้วมองสำรวจร่างของคนที่ตามผมมาจากด้านล่าง
เรือนผมสวยงามที่ไร้ซึ่งผมแตกปลาย เอวที่อยู่สูงกับเรียวขาที่ทั้งเรียวเล็กและยาว รูปลักษณ์สมบูรณ์แบบที่ใครเห็นก็ต้องหลงใหล ไม่ผิดแน่
“ทำไม…”
“หึๆ”
คนที่ยิ้มอย่างท้าทายคนนั้น ไม่ใช่นักกล้ามบึกบึน ไม่ใช่พี่สาวสุดเซ็กซี่
“เชื่ออยู่แล้วค่ะว่าถ้าเป็นนามิกิคุงจะต้องรู้ตัวแน่ๆ”
“การที่รู้ตัวได้ก็แปลว่าเรารักกันทั้งสองฝ่าย”
“ไม่ผิดใช่ไหมคะ?”
“──คางามิ”
เด็กสาวโฉมงามสมบูรณ์แบบไม่ว่าใครจะมองก็ตาม คือตัวจริงของร่องรอยด้านหลังนั่นเอง
ไม่ๆ ไม่มีทางหรอก
คางามิ ซากุระคนนั้นน่ะนะ จะเป็นสตอล์กเกอร์ของผม
ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ
“ขอถามอะไรหน่อยเถอะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”
จากสีหน้างุนงงก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มราวกับนางฟ้าเช่นเคย
น่ารัก
“ก็แหงอยู่แล้วนี่คะ เพราะว่านามิกิคุงกับฉันถูกผูกไว้ด้วยด้ายแดงแห่งโชคชะตายังไงล่ะคะ♥”
ทั้งที่พยายามจะเชื่อว่ามีอะไรผิดพลาด แต่คำพูดของคางามิกลับปฏิเสธความคิดนั้น
“ฉันอยากจะสนิทกับนามิกิคุงก็เลยเฝ้ารอโอกาสมาตลอดเลยค่ะ”
“คิดว่าถ้าไปทักที่โรงเรียนคงจะรังเกียจแน่ๆ เลยคิดว่านอกโรงเรียนน่าจะดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นระหว่างทางกลับบ้านก็น่าจะไม่รบกวนสินะ”
“ถึงอย่างนั้นถ้าอยู่ใกล้โรงเรียนเกินไปก็จะโดนนักเรียนคนอื่นเห็น… อ๊ะ ฉันไม่ได้รังเกียจนะคะ!”
“เพียงแต่ นามิกิคุงเป็นคนที่ไม่ค่อยอยากเด่นใช่ไหมล่ะคะ?”
“ถ้าอย่างนั้นเพื่อนามิกิคุงแล้วการโดนนักเรียนคนอื่นเห็นคงไม่ดีแน่ๆ”
“ดังนั้นฉันเลยคิดว่าจะลองไปทักแถวๆ สถานีที่ใกล้บ้านนามิกิคุงก่อน”
“เพราะฉะนั้นไม่ใช่การสตอล์กหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะคะ?”
“ก็แค่… อยากจะสนิทด้วยเท่านั้นเองค่ะ”
“พอได้คุยกับนามิกิคุง ฉันก็ประหม่าจนพูดจาไม่รู้เรื่อง เผลอพูดโกหกแปลกๆ ออกไปว่าอาจจะเป็นบ้านคุณย่า”
“ตอนนั้นต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“แต่ว่าแต่ว่า! ก็แค่เพราะอยากจะสนิทกับนามิกิคุงเท่านั้นเอง ยกโทษให้ฉันได้ไหมคะ?”
“วันต่อมาก็ไล่ตามนามิกิคุงไปเพื่อจะทำความสนิทด้วย แต่ว่าเขาไม่ออกมาจากร้านสะดวกซื้อสักทีเลยนึกแปลกใจ ที่ไหนได้นามิกิคุงทำงานอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อหน้าสถานีนี่เอง!”
“ดีจังเลยค่ะที่ทำงานที่ร้านสะดวกซื้อที่ใกล้โรงเรียนที่สุด”
“เท่านี้ก็สามารถไปดูนามิกิคุงในฐานะลูกค้าที่กำลังตั้งใจทำงานได้ตลอดเวลาแล้ว♥”
“นามิกิคุงน่ะไม่ว่าจะทำอะไรก็… เท่… เท่ไปหมดเลยค่ะ แต่ว่าตอนที่กำลังตั้งใจทำอะไรสักอย่างน่ะเท่เป็นพิเศษเลย แล้วก็ตอนที่ทำพลาดแล้วโดนลูกค้าดุก็น่ารักดีนะคะ♥”
“ฉันอยากจะกางเต็นท์หน้าเคาน์เตอร์แล้วเฝ้ามองไปตลอดเลยค่ะ♥”
“เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รังเกียจ วันนี้แหละไปดื่มชาด้วยกัน… ดีไหมคะ?”
ผมถึงกับพูดไม่ออกกับความเพี้ยนของคางามิ
ไอ้ “เพราะฉะนั้น” นี่มันมาจากไหนวะ
คางามิที่ร่ายมนตร์คาถาจบแล้วก็เข้ามาใกล้ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ในระยะที่ลมหายใจรดต้นคอ
บ้าเอ๊ย อะไรของยัยนี่เนี่ย
เป็นคนที่อันตรายสุดๆ แล้วก็น่ากลัว
แต่ทว่า… ก็น่ารักแล้วก็หอมเกินไป
“เข้าใจแล้วๆ ใจเย็นๆ ก่อน”
“จริงเหรอคะ!?”
“เย้! ตอนนี้ฉันมีความสุขมากๆ เลยค่ะ♥”
เธอใช้สองมือปิดปากด้วยความตกตะลึง ก่อนจะชูแขนขึ้นด้วยความดีใจ
อืม น่ารัก
ถ้าไม่ใช่สตอล์กเกอร์ก็คงดี…
“แต่ว่าช่วยเก็บเป็นความลับกับทุกคนในห้องด้วยนะ”
การพูดแบบนี้ออกไปคือการเดิมพัน
ที่ว่าเดิมพันก็เพราะมีความกลัวที่ว่าพอพูดแบบนี้ไปแล้ว สตอล์กเกอร์อย่างคางามิอาจจะโกรธขึ้นมาแล้วพูดว่า “หมายความว่ามีคนอื่นที่คุณไม่อยากให้รู้ว่าไปดื่มชากับฉันเหรอคะ? ใครคะ? อยู่ห้องเดียวกันเหรอคะ? คบกับคนนั้นอยู่เหรอคะ?” แล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไรขึ้นมา
แต่ก็นะ ความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามของผมมันไม่มีอยู่แล้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ!”
“นั่นสินะคะ การรายงานให้ทุกคนทราบควรจะทำตามขั้นตอนที่เหมาะสมและเป็นทางการจะดีกว่าสินะคะ…”
“หืม? เรื่องอะไร?”
คางามิทำหน้างุนงงราวกับไม่เข้าใจว่าผมพูดเรื่องอะไร เหมือนกับที่ผมถามกลับไปว่าเธอพูดเรื่องอะไร
“ฉันไม่เคยคบกับผู้ชายมาก่อนเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ค่ะ แต่ว่าถ้าคบกันแล้วควรจะชวนครอบครัวกับเพื่อนๆ ไปทานข้าว แล้วรายงานต่อหน้าทุกคนจะดีกว่ารึเปล่านะ…”
“นั่นมันการสู่ขอแต่งงานแล้วเฟ้ย!”
“เอเฮะเฮะ นามิกิคุงนี่ใจร้อนจังเลยนะคะ”
“ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกันให้ดีๆ ก่อนสิคะ”
ยัยนี่… เพราะหน้าตาดีเลยเผลอให้อภัยไป แต่ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้วนะ
“ถ้างั้นไปกันเถอะค่ะ!”
“ไปคุยเรื่องอนาคตของเรากันดีไหมคะ♥”
และนี่คือนามิกิ เฮตะผู้ซึ่งกังวลกับอนาคตที่รออยู่ข้างหน้าจนทำอะไรไม่ถูก
พอพูดว่าจะไปดื่มชาก็นึกถึงคาเฟ่ขึ้นมา
แต่เพราะหาคาเฟ่ใกล้ๆ ไม่เจอ แม้จะกังวลว่าจะทานข้าวเย็นไม่ลง แต่ก็ตัดสินใจเข้าร้านโดนัทแทน
“นามิกิคุงชอบโดนัทแบบไหนเหรอคะ?”
มีโดนัทหลากหลายชนิดวางเรียงรายอยู่ การจะให้เลือกอันดับหนึ่งนั้นยากเหลือเกิน
เป็นร้านโดนัทชื่อดังที่ผมเองก็เคยทานมาแล้วหลายครั้ง
ไม่ใช่ระดับปาร์ตี้แต่ก็เป็นวันที่พิเศษน่ายินดีนิดหน่อย หรือไม่ก็เป็นของที่พ่อจะซื้อกลับมาในวันถัดไปหลังจากที่ทะเลาะกับแม่จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะอย่างนั้นโดนัทจึงมีความรู้สึกพิเศษสำหรับผม
แต่เพราะวันนี้มากับคางามิรึเปล่านะ ถึงได้มีความรู้สึกพิเศษที่แตกต่างไปจากเดิม
“น่าจะเมจาโมจิริงมั้ง”
“แล้วคางามิล่ะ?”
“ฉันชอบแองเจิลวิปค่ะ!”
“แต่ว่าก็อร่อยทุกอย่างเลยนะคะ!”
“ถ้าได้ทานกับนามิกิคุงล่ะก็ ต่อให้เป็นฝอยขัดหม้อก็ยอมค่ะ♥”
หยุดนะ
อย่าพูดอะไรน่าอายเหมือนคู่รักที่เพิ่งคบกันใหม่ๆ แบบนั้นสิ
เดี๋ยวพนักงานร้านก็ได้แหยงกันพอดี
ว่าแต่ฝอยขัดหม้อมันไม่ใช่ของกินนะเฟ้ย
“จะซื้อกลับบ้านเหรอ?”
เพราะร้านโดนัทแห่งนี้มีภาพลักษณ์ว่าเป็นพื้นที่ประกายวิบวับสำหรับเหล่าคนป๊อปเท่านั้น ผมเลยไม่ค่อยได้ใช้บริการในร้านเท่าไหร่
รู้สึกเหมือนว่าถ้ามีคนอย่างผมอยู่ด้วยแล้วจะโดนร้องเรียนน่ะสิ
…ความคิดนั่นมันดูจะด้อยค่าตัวเองเกินไปหน่อยรึเปล่านะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ลองถามเพื่อความแน่ใจดู แต่คางามิกลับทำแก้มป่องอย่างไม่พอใจ
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สินะ
“ไหนๆ ก็มาด้วยกันแล้ว อยากจะนั่งทานด้วยกันคุยกันไปเรื่อยๆ นี่คะ”
“อะ ครับ ขอโทษครับ”
อย่าทำหน้าแบบนั้นสิโว้ย เดี๋ยวก็หลงรักเอาหรอก
พอจ่ายเงินเสร็จแล้วกำลังจะไปนั่งที่นั่ง ประตูทางเข้าก็เปิดออกพร้อมกับเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลายโออิเคะมาเอะสี่คนเดินเข้ามา
จะว่าคุ้นหน้าก็คุ้น จะว่าไม่คุ้นก็ไม่คุ้น แต่ก็เหมือนจะคุ้นอยู่ดี…
“นามิกิคุง!”
คางามิรีบวางโดนัทลงบนที่นั่งแล้วดึงมือผมเข้าไปในห้องน้ำทันที
“ไม่อยากให้ใครรู้ใช่ไหมคะ?”
“อยู่นิ่งๆ นะคะ”
“คะ ครับ”
ถึงจะเห็นแค่แวบเดียว แต่สี่คนที่เข้ามาเมื่อกี้ก็คุ้นหน้าจริงๆ ด้วย
เป็นเด็กผู้หญิงห้องเดียวกัน
เคยเห็นพวกเธอคุยกับคางามิอย่างสนิทสนมด้วย
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น คางามิก็ดูเหมือนจะสนิทกับทุกคนอยู่แล้ว บางทีอาจจะไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันเป็นพิเศษก็ได้
“เอ่อ… คุณคางามิครับ”
“ใกล้ไปหน่อยไหมครับ?”
“หะ…?”
“อ๊ะ ทะ-แต่ว่ามันช่วยไม่ได้นี่คะ…”
เพราะเป็นเรื่องกะทันหัน อยากให้มองข้ามไปโดยถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
ภายในร้านมีโต๊ะสำหรับสี่คนสองตัว โต๊ะสำหรับสองคนสี่ตัว ร้านโดนัทที่ไม่ได้กว้างขวางอะไรขนาดนี้ ความกว้างของห้องน้ำจึงไม่จำเป็นต้องมากขนาดนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นจะแคบขนาดนี้เลยก็ได้เหรอ
ไม่สิ ไม่ใช่
เดิมทีห้องน้ำนี้มันสำหรับคนเดียว
ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เข้าสองคน
คางามิเองก็คงจะคาดไม่ถึงขนาดนั้นเหมือนกัน เธอจึงก้มหน้าลงพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ
“ขะ-ขอโทษนะ”
“เดี๋ยวฉันออกไปข้า──”
“ไม่ได้… นะคะ…?”
แขนที่โอบรอบเอวผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กำลังขัดขวางการเคลื่อนไหวของผม
แขนเรียวเล็กนั้นสั่นน้อยๆ ความรู้สึกหวาดกลัวที่ผมมีต่อคางามิมาตลอดกลับหายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก และผมก็เผลอคิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ว่าอยากจะปกป้องเธอ
“ถ้าออกไปตอนนี้ ทุกคนก็จะรู้ว่านามิกิคุงกับฉันอยู่ด้วยกันนะคะ…”
ผมรู้สึกถึงใครบางคนที่อยู่อีกฟากของประตู
จากเสียงก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าเด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นอยู่ที่เคาน์เตอร์คิดเงินซึ่งอยู่ใกล้กับห้องน้ำมาก
คงเพราะไม่อยากให้เด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นรู้ตัว คางามิจึงเปล่งเสียงที่ปนลมหายใจมากๆ ใส่หูของผม
แขนที่โอบรอบเอว กับเสียงที่กระเส่าราวกับลมหายใจที่ถูกเป่ารดหูในระยะประชิด
แน่นอนว่าเอวของผมถูกโอบเอาไว้จึงอยู่ในสภาพที่แนบชิดกับคางามิ…
“เอ่อ… ขะ-ขอโทษ… ใกล้ไปหน่อยจริงๆ…”
“ขอโทษค่ะ… แต่ว่ามันแคบ…”
ใช่แล้ว มันแคบ
ในสถานการณ์แบบนี้มันช่วยไม่ได้
ขนาดคางามิที่เคยรุกผมหนักขนาดนั้นยังหน้าแดงก่ำจนไม่กล้าสบตาในระยะนี้เลย มันคงช่วยไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
“เอ่อคือว่า…”
“…?”
“ถ้ามันโดน… ก็ขอโทษนะ”
“อะไรโดนเหรอคะ…? อ๊ะ”
พลาดจนได้
ถ้าไม่พูดก็คงไม่รู้ตัวแล้วแท้ๆ
น่าจะเงียบๆ ไว้ก็ดี
ในชั่วพริบตา ความร้อนบนใบหน้าของผมก็พุ่งสูงขึ้น
ถึงจะเป็นสตอล์กเกอร์ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเด็กสาวโฉมงาม
แถมยังอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้อีก
มีหรือที่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่กำลังอยู่ในช่วงวัยอยากรู้อยากเห็นจะทนไหว
“มะ-ไม่ต้องใส่ใจหรอกค่ะ”
“ถ้าเป็นนามิกิคุงล่ะก็ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ…”
ถ้า-เป็น-ฉัน-ไม่-เป็น-ไร-เหรอ
ไม่เป็นภัยก็บ้าแล้ว!
ไม่ไหวแล้ว! จะทนต่อไปไม่ไหวแล้วเฟ้ย!
“ไม่ไหว…”
ก่อนที่ผมจะทำอะไรบ้าๆ ที่เกินขีดจำกัดลงไป ผมก็พุ่งออกจากห้องน้ำ
พอพรวดพราดออกมาแล้วมองไปรอบๆ กลุ่มเด็กผู้หญิงเมื่อครู่ก็จ่ายเงินเสร็จแล้วและกำลังจะเปิดประตูพอดี
แต่พวกเธอก็จ้องมองมาทางผมที่พุ่งออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางที่ไม่ธรรมดา
ถ้าหากคางามิที่อยู่ข้างหลังออกมาตอนนี้ล่ะก็ จะเกิดอะไรขึ้น
นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างการที่ผมซึ่งไม่อยากเด่นจะต้องลำบากใจ
แค่การที่ผมกับคางามิมาที่ร้านโดนัทด้วยกันถูกรู้เข้าก็ไม่รู้จะโดนเอาไปพูดยังไงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีคนรู้ว่าเราสองคนออกมาจากห้องน้ำสำหรับคนเดียวด้วยกันล่ะก็ สิทธิมนุษยชนของผมคงจะถูกฝังอยู่ใต้ต้นไม้ในสนามโรงเรียนพร้อมกับไทม์แคปซูลของรุ่นพี่ที่จบการศึกษาไปแล้วแน่ๆ
“เอ๊ะ อะไรนั่นคนนั้น พุ่งออกมาจากห้องน้ำ”
“ท่าทางสุดยอด”
“ทำไมหายใจหอบขนาดนั้นอ่ะ? ว่าแต่ นั่นมันชุดนักเรียนโรงเรียนเรานี่”
“คนนั้นรู้สึกจะอยู่ห้องเดียวกัน… ซาโต้รึเปล่า หรือว่าซูซูกิ?”
นามิกิครับ
“อยู่คนละห้องแหละ ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
เฮ้ย ฮันซาวะ ฉันรู้จักแกนะเฟ้ย
“ช่างเถอะ ไปกันเถอะ”
ในเวลาไม่กี่วินาที พวกเธอก็หมดความสนใจในตัวคนประหลาด หรือก็คือตัวประกอบแสนธรรมดา แล้วจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คางามิโผล่หัวออกมาในจังหวะที่ดีที่สุดราวกับเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ สีหน้าของเธอที่โผล่ออกมาให้เห็นแค่ถึงระดับดวงตานั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเขินอาย
“มันใหญ่ขึ้นนะคะ…”
“ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้เฟ้ย!”
“ช่วงนี้อากาศอุ่นขึ้นแล้วนะคะ”
“ชาที่ดื่มที่บ้านก็เปลี่ยนจากชาร้อนเป็นชาเย็นแล้วค่ะ”
ผมหันไปมองไลฟ์ของโอชิไปพลาง กางอุปกรณ์การเรียนออกไปพลาง ทั้งที่ตัวเองโดนคำสาปให้ได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่แท้ๆ
สำหรับผมผู้แสนธรรมดาสามัญแล้ว คะแนนเฉลี่ยก็คือคะแนนเต็ม เพราะงั้นถ้าไม่อ่านหนังสือก็คงสอบตกตามระเบียบ
ดังนั้นผมจึงพยายามจะอ่านหนังสือแบบนี้ แต่ว่าวันนี้สมาธิกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัดกว่าทุกที
ซึ่งมันมีอยู่สองเหตุผลด้วยกัน
อย่างแรก เพราะวันนี้โอชิของผมก็ยังคงล้ำค่า
อย่างที่สอง เพราะเรื่องที่ร้านโดนัทกับคางามิยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่หายไปไหน
หลังจากนั้นพอกลับถึงบ้าน ผมก็รีบอาบน้ำกินข้าวให้เสร็จเพื่อรอชมไลฟ์ของฮิรารินเหมือนเช่นเคย แต่ทว่า ไม่ว่าจะตอนกินข้าว หรือแม้กระทั่งตอนกำลังทำความสะอาดให้น้องชาย กลิ่น เสียง สีหน้า และความอบอุ่นของคางามิ ก็ยังคงลูบไล้ความรู้สึกของผมราวกับขนนก
แม้กระทั่งตอนนี้ที่กำลังดูไลฟ์ของฮิรารินอยู่ ก็ยังไม่ค่อยมีสมาธิเลย
“วันนี้มีเรื่องสนุกๆ อยากจะมาเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ!”
เรื่องสนุกที่เกิดขึ้นในวันนี้ พอได้ยินคำนั้นไหล่ของผมก็กระตุก
เรื่องนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องสนุกงั้นเหรอ
ตัวตนราวกับหลุดออกมาจากนิยายที่เรียกว่าสตอล์กเกอร์สาวสวยได้ปรากฏตัวขึ้นในชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดาของผม
คางามิผู้ซึ่งทำให้หัวใจของผมที่เคยเต้นระรัวแค่กับไลฟ์ของฮิรารินต้องสั่นไหวอย่างรุนแรงได้โดยง่ายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ค้นพบความสนุกในช่วงเวลาที่ได้อยู่กับยัยนั่น
ช่วงโปรดของผม ‘เรื่องสนุกที่เกิดขึ้นในวันนี้’ กำลังจะเริ่มขึ้น เพราะปกติแล้วถ้าโอชิสนุกผมก็จะสนุกไปด้วย
ช่วงนี้ไม่มีบทสรุปอะไรทั้งนั้น เป็นเพียงช่วงที่ฮิรารินจะมาเล่าเรื่องสนุกๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นจริงๆ
แต่ว่านี่กลับเป็นช่วงที่ได้รับความนิยมจากผู้ฟังอย่างไม่น่าเชื่อ
ผู้ฟังของฮิรารินโดยรวมแล้ว ไม่ได้ต้องการความสนุกสนานจากไลฟ์ของเธอหรอก
สิ่งที่พวกเราต้องการ คือการได้สัมผัสว่าโอชิของเรามีความสุข
นั่นแหละคือการเยียวยาของพวกเรา
“วันนี้ฉันไปร้านโดนัทกับน้องชายมาค่ะ!”
“เฟะ!?”
ทันทีที่คำว่าร้านโดนัทหลุดออกมา การลูบไล้ความทรงจำราวขนนกก็เปลี่ยนเป็นการบีบขย้ำหัวใจในบัดดล
หรือว่าเรื่องวันนี้จะไปถึงหูฮิรารินแล้ว และนี่คือการขู่ว่าห้ามนอกใจฉันนะงั้นเหรอ?
“ฉันชอบแองเจิลวิปค่ะ แต่น้องชายดูเหมือนจะชอบเมจาโมจิริงนะคะ”
มันคือบทสนทนาเดียวกันกับของผมและคางามิในวันนี้ไม่มีผิด
น้องชายที่มักจะปรากฏตัวในเรื่องเล่าของฮิรารินอยู่บ่อยครั้ง คือตัวตนที่ในหมู่ผู้ฟังบางส่วนลือกันว่าเป็นแฟนของเธอ
จนถึงตอนนี้ผมคิดว่าเป็นแค่จินตนาการของพวกโอตาคุขี้ตื้อเท่านั้น
ก็เพราะว่าฮิรารินไม่มีทางคบกับผู้ชายคนอื่นนอกจากผมนี่นา
แต่พอมานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็อดจินตนาการไปไม่ได้
ภาพของฮิรารินกับชายแปลกหน้าที่แนบชิดกันในห้องน้ำสำหรับคนเดียวแล้วกระซิบถ้อยคำรักข้างหู
“อ๊าาาาาาาาาาา!!”
ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา!
เรื่องแบบนั้นรับไม่ได้!
ผมรู้สึกกังวลจนทนไม่ไหว ระหว่างที่มองไลฟ์ของฮิรารินที่กำลังเล่นอยู่บนจอเกมมิ่งมอนิเตอร์ ก็เปิดโซเชียลมีเดียของฮิรารินบนสมาร์ทโฟนขึ้นมา
ผมแตะที่แถบมีเดีย แล้วเลื่อนดูภาพในอดีต
“ร่องรอยของผู้ชาย… ไม่มีรูปภาพแบบนั้นนี่นา”
ไม่ว่าจะเลื่อนไปไกลแค่ไหนก็เจอแต่รูปดอกไม้ที่บานอยู่ริมทางหรือรูปแมวจรจัดแถวบ้านเท่านั้น
แต่ทว่า ในบรรดารูปเหล่านั้น ผมก็เจอวิดีโอหนึ่งที่เห็นมือคนติดเข้ามาด้วย
แน่นอนว่าในฐานะฮิรารินมาสเตอร์อย่างผมเคยดูวิดีโอนี้แล้ว แต่ก็เป็นเรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
ตอนนั้นผมดูวิดีโอนั้นโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ มันเป็นวิดีโอที่ใช้สองมือทำเป็นถ้วยเพื่อรองรับกลีบซากุระที่ร่วงหล่นลงมา
มือที่ปรากฏในวิดีโอถูกถุงมือสีดำบดบังผิวหนังไว้ แต่แค่ดูจากรูปทรงก็รู้ว่าเป็นมือของผู้หญิง
เพียงแต่ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ในวิดีโอนั้นมีมืออยู่ทั้งสองข้าง
“นั่นก็หมายความว่า… มีคนอื่นถ่ายวิดีโอนี้ให้…”
จากพื้นหลังและลักษณะของมือที่ปรากฏในวิดีโอ ทำให้พอจะจินตนาการได้ว่ามุมกล้องของวิดีโออยู่สูงประมาณศีรษะของฮิราริน
นั่นก็หมายความว่า การที่มืออยู่สูงขนาดนั้นก็พอจะสันนิษฐานได้ว่าอีกฝ่ายสูงกว่าฮิรารินประมาณสิบเซนติเมตร
จากโปรไฟล์อย่างเป็นทางการของฮิราริน ส่วนสูงของเธอคือหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร
นั่นหมายความว่าคนถ่ายสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร
เกือบจะเท่ากับผมเลย
หรือว่า… เป็นผู้ชายงั้นเหรอ?
ไม่ๆ ไม่มีทางที่ฮิรารินจะทำเรื่องทรยศผมหรอก
ต้องเป็นน้องชายแน่ๆ
ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่
หรือไม่ก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ตัวสูงหน่อย
ถึงจะพยายามเชื่ออย่างนั้น แต่ก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้อยู่ดี
พอสายตาของผมลดต่ำลงโดยธรรมชาติ ก็ไปหยุดอยู่ที่อุปกรณ์การเรียนที่วางทิ้งไว้ ทำให้ผมใจเย็นลงเล็กน้อย
สิ่งที่ทำอยู่มันคือการเป็นเน็ตสตอล์กเกอร์ ก็ไม่ต่างอะไรกับคางามิเท่าไหร่
ผมรู้ตัวดี
แน่นอนว่ารู้สึกผิด แต่การที่อยากจะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับฮิรารินมันก็เป็นเรื่องธรรมดาในฐานะสามีในอนาคต
“ฮ่า…”
การที่ผมไปใจเต้นกับเด็กผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ฮิรารินในตอนที่เธอไม่เห็นคงเป็นกรรมตามสนองสินะ
พอที จะไม่ยอมให้หัวใจหวั่นไหวไปกับคางามิอีกแล้ว
ผมรักเดียวใจเดียวกับฮิราริน
นอกใจ ไม่ได้ เด็ดขาด
เพราะไม่อยากทำให้ฮิรารินเสียใจ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะไม่มีวันใจเต้นกับคางามิอีกเด็ดขาด
ไม่ว่าจะน่ารักแค่ไหน ไม่ว่าจะถูกบอกชอบมากแค่ไหน ความรู้สึกของผมก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ก็เพราะคางามิเป็นสตอล์กเกอร์ และที่สำคัญที่สุดคือเธออยู่ในโลกสามมิติ สุดท้ายแล้วก็ต้องทรยศผมอยู่ดี
โอ๊ะ ไม่ได้การล่ะ รู้สึกจะคิดในแง่ลบไปหน่อย
มาคิดในแง่บวกกันดีกว่า
เรื่องที่เกือบจะเหมือนกันกับผมในวันนี้ก็ได้เกิดขึ้นกับฮิรารินเหมือนกัน
นั่นก็หมายความว่านี่คือพรหมลิขิต
ผมที่ไปร้านโดนัทกับคางามิ
ฮิรารินที่ไปร้านโดนัทกับน้องชาย
พวกเราใช้เวลาเหมือนๆ กัน
นั่นก็หมายความว่า… เป็นการเดท!
“หึๆๆๆๆๆ พรหมลิขิตล่ะ”
แสงไฟจากโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหนังสือสาดส่องใบหน้าของผมในห้องที่มืดมิดอย่างน่าขนลุก
วันรุ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่ร้านโดนัท วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ
จะว่าไปแล้ว แทบจะไม่ได้นอนเลยต่างหาก
ปกติแล้วผมผู้เป็นนักเรียนมัธยมปลายแสนธรรมดาจะนอนขดอยู่ในผ้าห่มจนถึงนาทีสุดท้าย แต่เพราะเรื่องเมื่อวานรึเปล่านะ ถึงได้นอนไม่ค่อยหลับ
เรื่องของคางามิจะยังไงก็ช่างมันเถอะ ก็ผมมีฮิรารินอยู่แล้วนี่นา
ทั้งที่น่าจะได้ข้อสรุปแบบนั้นไปแล้ว แต่ความทรงจำในตอนนั้นกลับถูกประสาทสัมผัสทั้งห้าปลุกขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนที่นับแกะก็เผลอไปนับคางามิแทนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอรู้สึกตัวก็หัวเสียจนเอาหัวโขกกับโครงเตียงไปหลายที
ถึงจะเช้ากว่าปกติ แต่ถ้าเตรียมตัวเสร็จแล้วก็รีบไปโรงเรียนเลยดีกว่า
ถ้ายังกลัดกลุ้มอยู่แบบนี้ต่อไปสักวันคงถึงขีดจำกัดแล้วเผลอหลับไปแน่ๆ
ถ้าไปสายก็จะเด่นเกินไปอีก
สถานีรถไฟที่ใกล้โรงเรียนที่สุดอยู่ห่างจากสถานีใกล้บ้านผมแค่สถานีเดียว ระยะทางก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก
ปกติจะไปโดยรถบัสกับรถไฟ แต่วันนี้ถ้าไม่ขยับร่างกายอาจจะเผลอหลับไปก็ได้ เลยตัดสินใจไปโดยจักรยานแทน
หลังจากปั่นจักรยานมาได้ประมาณยี่สิบนาทีก็ถึงโรงเรียน พอมาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้ ในโรงเรียนจึงมีเพียงนักเรียนที่ขยันเป็นพิเศษเดินอยู่ประปรายเท่านั้น
ไหนๆ ก็มาเช้าแล้ว ไปนอนที่ห้องเรียนดีกว่า
พอคิดอย่างนั้นผมก็เปิดประตูห้องเรียนของตัวเอง
ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนที่น่าจะเป็นคนแรกพร้อมกับเสียงครืดคราด ต้นเหตุของความกังวลใจก็ออกมาต้อนรับ
“เกะ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ♥”
ต้นตอแห่งการนอนไม่หลับของผม ดักรออยู่หน้าประตูราวกับรู้ว่าผมจะมาตอนนี้
เธอยิ้มแฉ่งราวกับว่าเรื่องเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะ-อรุณสวัสดิ์”
“มาเช้าจังนะ”
“ค่ะ!”
“พอดีมาเช้าแล้วกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก็บังเอิญเห็นนามิกิคุงนอกหน้าต่างพอดี ก็เลยมายืนรอตรงนี้ ตลอดเลยค่ะ♥”
นั่นมันบังเอิญจริงๆ เหรอครับ
ใช่สินะ ใช่เลยสินะ บังเอิญสินะ
“งะ-งั้นเหรอ… ขยันแต่เช้าเลยนะ”
คางามิกลับไปนั่งที่ของตัวเอง ส่วนผมซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าเธอก็ต้องเดินผ่านโต๊ะของคางามิไป แต่จริงๆ แล้วแม้แต่คนธรรมดาอย่างผมก็สนใจวิธีการเรียนของคนที่ได้ที่หนึ่งของชั้นปีเหมือนกันนะ
พอแอบมองสมุดที่กางอยู่บนโต๊ะของคางามิ ก็ดูเหมือนว่าเธอกำลังท่องจำอะไรบางอย่างอยู่ เพราะมีแผ่นพลาสติกสีแดงใสวางอยู่ด้วย
“นี่มันอะไร… เอ๊ะ”
“อ๊ะ ไม่ได้นะคะ!”
ถึงเธอจะรีบปิดซ่อนมันไว้ทันที แต่เนื้อหาที่เขียนอยู่บนนั้นกลับเป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“เอะเฮะเฮะ… เขินนิดหน่อยน่ะค่ะ ห้ามดูนะคะ”
“…”
พูดไม่ออกเลยทีเดียว
คำถามสำหรับท่องจำที่เขียนอยู่ในสมุดนั้นผมเห็นอยู่สองสามข้อ ซึ่งเขียนไว้ว่า
‘วิชาที่นามิกิคุงชอบที่สุดคือ?’
‘วรรณกรรมญี่ปุ่นร่วมสมัย’
ถูกต้อง!
‘ความผิดพลาดที่นามิกิคุงทำระหว่างทำงานพิเศษแล้วยังคงฝังใจอยู่คืออะไร?’
‘ทอนเงินให้ลูกค้าผิดไปเยอะ’
ปิ๊งป่อง!
‘วันเกิดของนามิกิคุงคือ?’
‘วันที่ยี่สิบห้าเดือนกันยายน’
ยอดไปเลย~!
‘คนที่นามิกิคุงเคยได้รับช็อกโกแลตวาเลนไทน์ให้เพียงคนเดียวคือใคร?’
‘คุณแม่ค่ะ♥’
ไม่เบาเลยนี่นา!
“รู้ได้ยังไงวะ!”
“ด้วยพลังแห่งความรักยังไงล่ะคะ♥”
มีแต่ข้อมูลที่แค่พลังแห่งความรักอย่างเดียวไม่น่าจะทำให้รู้ได้ทั้งนั้นเลยนี่หว่า ตกลงว่ารู้มาได้ยังไงกันแน่
“ให้ตายสิ…”
“ว่าแต่ทำไมคนอย่างคางามิถึงมาใส่ใจคนธรรมดาๆ อย่างฉันด้วยล่ะ”
“ยังไงก็ไม่คู่ควรกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ!”
“ฉันรู้ข้อดีของนามิกิคุงตั้งมากมายเลยนะคะ!”
“โกหกน่า”
“ทำเป็นพูดแบบนั้นเพื่อแกล้งฉันเล่นล่ะสิ”
ต้องใช่แน่ๆ
การที่คนป๊อปอย่างคางามิมาสตอล์กผมมันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่แล้ว
ไม่ได้จะอวดนะ แต่ตั้งแต่เข้ามัธยมปลายมาผมก็เป็นพวกธรรมดา… ไม่สิ ต้องเรียกว่าพวกเก็บตัวที่ไม่มีเพื่อนเป็นชิ้นเป็นอันเลยต่างหาก
ตอนมัธยมต้นเคยเข้าชมรมอยู่บ้างก็เลยพอมีเพื่อนอยู่บ้าง เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่พอเข้ามัธยมปลายมา ชีวิตไฮสคูลของผมก็มืดมนจนการจะเรียกตัวเองว่าธรรมดายังรู้สึกกระดากอาย
“ทำไมถึงมองตัวเองต่ำขนาดนั้นล่ะคะ?”
“ฉันรู้นะคะว่านามิกิคุงเป็นคนดี”
“อยากให้นามิกิคุงคนดีแบบนั้นรักตัวเองให้มากๆ ค่ะ”
“ถ้ามันจะทำให้นามิกิคุงมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้ล่ะก็ ฉันยอมทำทุกอย่างเลยนะคะ?”
อย่าให้เด็กสาวสวยๆ มาพูดคำว่ายอมทำทุกอย่างง่ายๆ สิ
เด็กหนุ่มม.ปลายที่สุขภาพแข็งแรงดีได้ยินแบบนั้นก็ฟินไปห้ารอบแล้วนะ
“ฉันไม่ได้เกลียดตัวเองสักหน่อย”
“ก็แค่รู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาเท่านั้นแหละ”
“ก็บอกแล้วไงคะว่านามิกิคุงไม่ใช่คนธรรมดา!”
“ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจคะ!?”
“ทำไมคางามิต้องโมโหด้วยล่ะ…”
“ไม่ได้โมโหค่ะ! หึ”
โมโหเห็นๆ
การที่โดนเด็กสาวสวยๆ พูดให้ขนาดนี้ก็น่าขอบคุณอยู่หรอก แต่ว่าทำไมยัยนี่ถึงมายอมรับในตัวผมขนาดนี้กันนะ
“ฉันเข้าใจแล้วว่าคางามิคิดว่าฉันเป็นคนดี”
“ขอบใจนะ”
“แต่ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความเห็นเหมือนคางามินะ”
“ลองไปถามเพื่อนของคางามิเกี่ยวกับชื่อเสียงของฉันดูสิ”
“นามิกิเหรอ? ใครอ่ะ ห้องเรามีคนแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอ? ผลลัพธ์มันเห็นๆ กันอยู่แล้ว”
อันที่จริงก็เป็นเรื่องที่โดนพูดใส่ที่ร้านโดนัทเมื่อวานนี้เอง
คนเกินครึ่งห้องอาจจะไม่รู้จักผมเลยก็ได้
นั่นอาจจะพูดเกินไปหน่อย
อาจจะมีแค่สามคนในห้องที่รู้จักผม
…น่าจะมีสักสามคนที่รู้จักเราอยู่หรอกนะ?
“ถ้างั้นก็ทำให้พวกเขารู้จักสิคะ!”
ลางสังหรณ์ไม่ดีเลย
คางามิพูดต่อด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับตอนที่ดักรอผมในห้องเรียน ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างออก
“ก่อนอื่นฉันจะแนะนำนามิกิคุงให้เพื่อนสนิทของฉันรู้จักก่อนค่ะ!”
“ต้องสนิทกันได้แน่ๆ ค่ะ!”
ไม่ได้การแล้ว ยัยนี่ไม่เข้าใจอะไรเลย
“หยุดเลยๆ แนะนำคนอย่างฉันไปมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของคางามิเสียหายเปล่าๆ”
“มันจะเหมือนกับความรู้สึกที่โดนเพื่อนที่คิดว่าเป็นเพื่อนกันมาตลอดจู่ๆ ก็มาขายของแปลกๆ ให้เลยนะ”
“โดนเลิกคบเป็นเพื่อนแน่”
“ถ้าเป็นคนที่เลิกคบเพื่อนด้วยเรื่องแค่นั้นล่ะก็ ทางนี้เองก็ไม่เสียดายหรอกค่ะ”
“แล้วก็นะคะ นามิกิคุงเองก็เสียมารยาทเหมือนกันนะคะ”
“ตรงไหนกัน แค่การมีตัวตนอยู่เหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ!”
“เพื่อนของฉัน ไม่ใช่คนแบบนั้นค่ะ!”
“หมายความว่าทุกคนเป็นคนดีต่างหากค่ะ!”
ว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันมักจะดึงดูดกัน แต่พอได้คุยกับคางามิแล้วก็พอจะเข้าใจว่าเพื่อนของเธอก็น่าจะเป็นคนดีจริงๆ
บางทีการลองพยายามหาเพื่อนสักครั้งอาจจะดีกว่าการใช้ชีวิตมัธยมปลายแบบตัวคนเดียวต่อไปก็ได้นะ
“เข้าใจแล้ว…”
“จะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ”
ในวินาทีที่ผมตัดสินใจแน่วแน่ นักเรียนคนที่สามของห้อง 2-A ก็ก้าวเข้ามา
คนคนนั้นจ้องเขม็งมาที่ผมด้วยสายตาเหมือนแมว
บรรยากาศเหมือนจะโดนถ่มน้ำลายใส่ตอนเดินผ่านด้วยซ้ำ
กับคนนี้น่าจะสนิทด้วยไม่ได้แน่ๆ
อีกอย่าง บรรยากาศก็ไม่เหมือนเพื่อนของคางามิเลยสักนิด
“มาได้จังหวะพอดีเลย!”
“เธอคนนี้คือยาเอะคาเงะ ซัตสึกิจัง เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันเองค่ะ!”
ไม่จริงน่า~
“นี่ๆ คางามิ ไม่เอาดีกว่ามั้ง?”
“ฉันไม่มีเพื่อนก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
“อีกอย่าง มันเป็นการรบกวนคุณยาเอะคาเงะด้วย”
ดูสิ ยังจ้องอยู่เลยอ่ะ~ อยากจะร้องไห้แล้วทำไงดี~
“อรุณสวัสดิ์ ซากุระ”
“วันนี้มาเช้าจังนะ”
ยาเอะคาเงะหันสายตาจากผมไปหาคางามิ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป กลายเป็นแมวที่อ่อนโยน
ทำไมถึงมองผมด้วยสายตาของแมวจรจัดแค่คนเดียวล่ะ
“อื้อ ซัจจังก็มาเช้าเหมือนกันนะ”
“พอดีเล่นเกมอยู่ รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว เลยว่าจะรีบมานอนที่โรงเรียนน่ะ”
เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นประเภทเดียวกับเรา?
การเล่นเกมจนเช้าเป็นกิจวัตรยามค่ำคืนที่ผมเองก็ทำบ่อยๆ
เพราะบอกว่าเป็นเพื่อนของคางามิ เลยเผลอคิดไปว่าอาจจะเป็นสาวแกลทำเล็บวิบวับ แต่ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะสนิทกันขึ้นมาแล้ว
“ว่าแต่ นามิกิ ทำไมนายถึงคุยกับซากุระ?”
ขอถอนคำพูด
พอคู่สนทนาเปลี่ยนจากคางามิเป็นผมปุ๊บก็กลายเป็นคนละคนเลย
คนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
คนอย่างผมแม้แต่จะคุยกับคางามิก็ยังไม่ได้รับอนุญาตงั้นเหรอ
ว่าแต่ผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าไปคุยก่อนสักหน่อย ไม่เห็นจะมีเหตุผลให้ต้องมาโดนจ้องเลยนี่?
“ซัจจัง ทำหน้าตาน่ากลัวอยู่แล้วนะ?”
“ทั้งที่น่ารักขนาดนี้ เสียดายแย่เลย!”
“เอ้า ยิ้มหน่อย~ ยิ้มๆ~”
คางามิใช้สองมือประคองแก้มของยาเอะคาเงะอย่างอ่อนโยน
ยาเอะคาเงะหน้าแดงก่ำแล้วบิดตัวไปมาเหมือนเด็กหนุ่มไร้เดียงสาพร้อมกับพูดว่า “ยะ-อย่าสิ… อายนะ…”
ความเป็นสาวสวยของคางามินี่ไม่เกี่ยงเพศเลยสินะ
“ฉันมีข้อเสนอให้ซัจจังด้วยล่ะ”
ผมฟังอย่างไม่ใส่ใจ แต่บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคางามิพูดแบบเป็นกันเอง
นั่นคงหมายความว่ายาเอะคาเงะเป็นคนที่เธอเปิดใจให้สินะ
ถ้าอย่างนั้น ยาเอะคาเงะก็คงเป็นคนดีแน่ๆ
ถึงจะมีความเป็นไปได้ว่าจะมีนิสัยสตอล์กเกอร์ก็เถอะ
“ลองเป็นเพื่อนกับนามิกิคุงดูไหม?”
“ฉันว่าสองคนน่าจะเข้ากันได้ดีนะ”
“ฉันเนี่ยนะ กับนามิกิ…?”
ไม่ต้องทำหน้าแหยขนาดนั้นก็ได้…
“ไม่เป็นไรๆ เป็นการรบกวนเปล่าๆ ไม่ต้องก็ได้”
“คางามิ แค่ความรู้สึกก็พอ…”
“ได้สิ”
“เอ๊ะ?”
ผมถึงกับงงกับคำตอบที่ไม่คาดคิด ส่วนคางามิก็พยักหน้าราวกับเป็นเรื่องปกติ
“กะ-ก็ไม่ค่อยรู้จักนามิกิดีหรอก แต่ซากุระไม่เคยแนะนำใครให้ฉันรู้จักมาก่อนเลย ถ้าเป็นเพื่อนของซากุระก็คงจะเป็นคนดีแหละมั้งนะ”
เอ๊ะๆๆๆ ทำไมจู่ๆ ก็มองเห็นยาเอะคาเงะดูใจดีขึ้นมาแล้วล่ะ
“ขอบคุณนะซัจจัง! รักที่สุดเลย!”
คางามิดูดีใจจากก้นบึ้งของหัวใจ เธอกอดแล้วเอาแก้มถูไถยาเอะคาเงะ
ดีใจเพื่อผมขนาดนั้นเลยเหรอ คางามิเป็นคนดีจริงๆ ด้วย
…โอ๊ะ อันตราย ยัยนี่เป็นสตอล์กเกอร์ เกือบจะหลงรักเข้าให้แล้วไงล่ะ
ถ้าไม่มีฮิรารินในสมองของผมล่ะก็คงตกหลุมรักไปแล้ว
ร้ายกาจนักนะ
“แต่ว่าฉันก็ไม่ใช่คนเพื่อนเยอะอะไร จะทำความสนิทกันยังไงก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกนะ”
“นั่นฉันก็เหมือนกัน”
“เห็นไหมคะว่าสองคนเหมือนกัน!”
““งั้นเหรอ… อ๊ะ””
ดูเหมือนว่าจะเหมือนกันจริงๆ ด้วย
“ถ้างั้น… เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
คางามิเดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับทำท่าทางประมาณว่า ที่เหลือก็ฝากหนุ่มสาวสองคนด้วยนะ
เดี๋ยวก่อน จะปล่อยให้อยู่กันสองคนมันยังไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?
ทันทีที่คางามิออกจากห้องเรียนไป ยาเอะคาเงะก็ไปนั่งที่ของตัวเอง
ที่นั่งของผมคือริมหน้าต่างแถวที่สามจากข้างหลัง ส่วนที่นั่งของเธออยู่ห่างออกไปทางขวาสามที่นั่ง
“ต่อหน้าซากุระก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แต่ฉันไม่ต้องการเพื่อนคนอื่นนอกจากซากุระหรอกนะ”
ยาเอะคาเงะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาโดยไม่มองมาทางผมพลางเล่นสมาร์ทโฟนไปด้วย
ดูเหมือนว่าการที่ทำท่าทีจะเป็นเพื่อนกันต่อหน้าคางามินั้นจะเป็นเรื่องโกหกสินะ
จริงด้วยสิ ถ้าคิดดูดีๆ การปฏิเสธคำขอของเพื่อนก็คงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ ในสถานการณ์นั้นคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดแบบนั้นไปก่อน
ยิ่งกว่านั้นนี่ไม่ใช่แค่คำขอของเพื่อนธรรมดา แต่เป็นคำขอของเพื่อนสนิท
“เอ่อ อะ อ๋อ ใช่เลยนะ”
“ฉันเองก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไรหรอก ไม่ต้องใส่ใจก็ได้”
อาจจะสนิทกันได้ก็ได้นะ
บางทีอาจจะเป็นอย่างที่คางามิพูดก็ได้ว่าผมเองก็มีข้อดีอยู่ และอาจจะมีเพื่อนเยอะแยะก็ได้
ความหวังเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้น ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะนะ
โดนคางามิยุจนเหลิงไปหน่อย
โดนประเมินค่าสูงเกินตัวจนได้ใจ แต่ผมมันก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
ถ้าไม่เจียมตัวก็ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้แหละ
“นายเองก็คงคิดจะใช้ฉันเป็นสะพานเพื่อเข้าใกล้ซากุระล่ะสิ”
“เสียใจด้วยนะ คนที่คิดจะเข้าใกล้ซากุระด้วยวิธีขี้ขลาดแบบนั้นน่ะ ในฐานะเพื่อนสมัยเด็กของซากุระฉันไม่ยอมรับหรอก”
“ซากุระเป็นคนดีอาจจะโดนหลอกใช้ได้ง่ายๆ แต่ฉันไม่ยอมรับเด็ดขาด”
ดูเหมือนว่าจะโดนเข้าใจผิดซะแล้ว
ยาเอะคาเงะเป็นเพื่อนสมัยเด็กของคางามิเหรอ
คงจะคอยกันท่าผู้ชายที่เข้ามาจีบคางามิด้วยเจตนาไม่ดีมาตลอดสินะ
เธอทำหน้าเหมือนจะบอกว่าเอือมระอาเต็มทีแล้ว
“ฉันไม่ได้…”
ผมกำลังจะพูดต่อ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าจะแก้ตัวไปทำไม
ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลยนี่นา
เพราะว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับยาเอะคาเงะอยู่แล้ว
จะโดนมองยังไงก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรด้วย
“จริงอย่างที่ว่าคนอย่างฉันคงไม่คู่ควรที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับคางามิหรอก”
“──แต่ว่านะ”
“…?”
มันเป็นไปโดยไม่รู้ตัว
คำพูดที่หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัวนั้น พรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกของหัวใจราวกับจะระบายความในใจออกมา
“ฉันมีคนที่ยอมรับในตัวตนของฉันแบบนี้อยู่”
“เพื่อคนคนนั้นด้วย ช่วยเลิกพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับฉันทั้งที่ยังไม่รู้อะไรเลยจะได้ไหม”
คนที่ประเมินค่าตัวเองต่ำที่สุดก็คือตัวผมเอง
ผมมองตัวเองต่ำต้อยมาตลอดว่าเป็นคนธรรมดาสามัญ
แต่ทว่า การที่ผมโกรธที่โดนกล่าวหาว่าเป็นคนขี้ขลาดทั้งที่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมเลยนั้น เป็นเพราะรู้สึกเหมือนกับว่าคางามิที่ยอมรับในตัวผมยิ่งกว่าใครถูกปฏิเสธไปด้วย
ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นานและเป็นสตอล์กเกอร์ก็เถอะ แต่การที่คางามิยอมรับในตัวผมมันก็ทำให้ผมดีใจล่ะมั้ง
ตัวเองก็คิดอยู่ว่าพูดอะไรออกไปวะเนี่ย
ดูนิสัยไม่ดีเลยนะ รู้ตัวอยู่
“ก่อนอื่นช่วยทำความรู้จักฉันก่อน แล้วหลังจากนั้นจะพูดจาตามใจชอบยังไงก็เชิญเลย”
“ไม่จำเป็นต้องมาสนิทกันก็ได้”
“เพียงแต่ การโดนปฏิเสธทั้งที่ยังไม่รู้อะไรเลยมันน่าหงุดหงิด แล้วก็รู้สึกขอโทษคางามิที่ยอมรับในตัวฉันแล้วให้โอกาสแบบนี้ด้วย”
รู้สึกจะอินไปหน่อยแล้ว
พอกลับไปนึกถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ต้องรู้สึกอายแน่ๆ เลย
แต่ก็อดที่จะพูดออกไปไม่ได้
พอเป็นโอตาคุ V-tuber ก็มักจะโดนพวกที่ไม่ใช่โอตาคุหัวเราะเยาะ
เมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่กำลังเดินอยู่ในเมือง ผู้ชายในคู่รักคู่หนึ่งเห็นพวงกุญแจยางของฮิรารินที่ห้อยอยู่บนกระเป๋าของผมแล้วพูดว่า “อะไรวะนั่น น่าขยะแขยง”
ตอนนั้นผมโกรธมากที่เขาพูดแบบนั้นทั้งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฮิรารินเลย
แน่นอนว่าไม่ได้พูดสวนกลับไปหรอกนะ แต่ผมคิดว่าถ้าคนคนนั้นได้รู้จักฮิราริน ความเห็นก็คงจะเปลี่ยนไป
ถึงจะไม่กลายมาเป็นแฟนคลับระดับเดียวกับผม แต่อย่างน้อยก็คงไม่ได้มีความคิดเห็นว่าน่าขยะแขยง
การปิดกั้นสิ่งที่ไม่รู้เพียงเพราะว่าไม่รู้ ถือเป็นการสูญเสียโอกาสที่จะได้พบเจอกับสิ่งที่ตัวเองอาจจะหลงใหลได้ เป็นพฤติกรรมที่น่าเสียดาย
ผมไม่อยากให้คางามิที่ยอมรับในตัวผมแบบนี้ และยาเอะคาเงะที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอต้องมาทำพฤติกรรมที่น่าเสียดายแบบนั้น
“ขอโทษนะ รู้สึกจะอินไปหน่อย”
“แต่ว่า นี่แหละคือสิ่งที่ฉันคิด…”
ยาเอะคาเงะทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบกลับไปมองสมาร์ทโฟนของตัวเอง
ผมเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วน เลยแกล้งเปิด LINE ขึ้นมาดูประวัติการแชททั้งที่ไม่มีเพื่อนให้ต้องติดต่อด้วยซ้ำ
รีบกลับมาเร็วๆ เถอะ คางามิ
หรือใครก็ได้รีบมาโรงเรียนทีเถอะ
“นะ…นามิกิ เล่นเกมอะไรรึเปล่า?”
คำถามที่ถูกถามขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น แฝงไว้ด้วยเจตนาของยาเอะคาเงะที่ว่าอยากจะลองทำความรู้จักผม
เมื่อผมสัมผัสได้ถึงสิ่งนั้น ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาจนเผลอยิ้มออกมา
“ก็เล่นเยอะอยู่นะ”
“ช่วงนี้ก็คงจะเป็น GGA III ล่ะมั้ง อาจจะไม่ค่อยดังเท่าไหร่”
“จำนวนคนเล่นออนไลน์ก็น้อย หาห้องเล่นช้าอยู่เหมือนกัน”
สกิลเฉพาะตัวของเผ่าโอตาคุ ‘พูดคล่องปรื๋อเมื่อเป็นเรื่องที่ชอบ’ ถูกใช้งานซะแล้ว
ผมคิดว่าตัวเองอาจจะพูดมากเกินไปหน่อยเลยลองแอบดูท่าทีของยาเอะคาเงะ
แต่ทว่า ยาเอะคาเงะกลับใช้สกิลเดียวกับผมออกมาก่อน
“อ๊ะ นั่นฉันก็เล่นอยู่เหมือนกัน”
“เมื่อคืนก็อดหลับอดนอนเล่นเกมนั้นแหละ”
“จริงดิ! คนเล่นน้อยลงเยอะเลยนะ ในรายชื่อเพื่อนก็ไม่มีใครเล่นเลย!”
“ถึงภาคใหม่ล่าสุดอย่าง GGA IV จะได้รับความสนใจมากกว่า แต่ฉันว่าภาค III นี่แหละคือผลงานชิ้นเอก”
“เข้าใจเลย”
“ภาค IV ถึงจะมีองค์ประกอบใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาแล้วทำให้มีอะไรให้ทำเยอะขึ้น แต่ GGA มันต่างจาก FPS อื่นๆ ตรงที่การควบคุมมันลื่นไหลไม่มีสะดุดนี่แหละ ถึงจะไม่มีองค์ประกอบใหม่ๆ ก็ยังสนุกได้เต็มที่อยู่ดี”
“แค่ Team Deathmatch ง่ายๆ ก็เล่นรวดเดียวห้าชั่วโมงได้สบายๆ แล้ว”
“โอ้โห โคตรเห็นด้วยเลยว่ะ”
“ชนิดของปืนก็กำลังดีด้วยนะ พอมาภาค IV ปืนมันเพิ่มขึ้นมาพรวดพราดจนซับซ้อนไปหมด ข้อดีของ GGA ที่เรียบง่ายแต่สนุกมันเลยหายไปเลย”
“นั่นดิ”
“นอกจาก GGA แล้วเล่นเกมอื่นอีกไหม?”
“หลักๆ ก็ RPG แล้วก็มีเกมต่อสู้กับ FPS บ้าง… อ้อ บางทีก็ติดเกมเรโทรอยู่เหมือนกันนะ”
“เกมเรโทรนี่แปลกดีนะ”
“ฉันเองก็เล่นอยู่เยอะเหมือนกันแต่ไม่ค่อยเจอคนเล่นเท่าไหร่เลยแอบดีใจนิดหน่อยน่ะ”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาของพวกเราเปลี่ยนจากสมาร์ทโฟนมาเป็นมองหน้ากันและกัน และบรรยากาศที่น่าอึดอัดก็ค่อยๆ หายไป
จนในที่สุดปลายเท้าของพวกเราก็หันเข้าหากัน และคุยเรื่องงานอดิเรกกันอย่างออกรสออกชาติจนแทบจะโน้มตัวเข้าหากัน
“เห~ ยาเอะคาเงะก็เล่นเกมเรโทรด้วยเหรอ”
“เล่นเกมอะไรบ้างอ่ะ?”
“ค่อนข้างเก่าหน่อยนะ… ประมาณนี้”
เธอลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วโชว์หน้าจอสมาร์ทโฟนให้ดู
เป็นหน้าจอประวัติการเล่นของบัญชีเกม
รายการเกมที่เธอโชว์ให้ดูอย่างเขินๆ นั้น คล้ายกับของผมอย่างน่าประหลาดใจ
“สุดยอด เหมือนของฉันเป๊ะเลย”
“นึกว่าของตัวเองซะอีก”
“เห~ นามิกิ รสนิยมดีนี่นา”
ผมมีเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกเกมที่จะเล่นอยู่
แน่นอนว่าปัจจัยหลักคือมันดูน่าสนุกรึเปล่า
แต่ที่สำคัญที่สุดคือฮิรารินเคยเล่นเกมนั้นในไลฟ์เกมรึเปล่า
รสนิยมเกมของผมกับฮิรารินตรงกัน
และยาเอะคาเงะที่มีประวัติการเล่นคล้ายกับผมขนาดนี้ หรือว่า…
“ยาเอะคาเงะนี่ดูไลฟ์เกมอะไรรึเปล่า?”
“เอ๊ะ นั่นฉันก็คิดเหมือนกัน”
“หรือว่านามิกินาย…”
““โอชิฮิรารินเหรอ?””
เสียงของพวกเราประสานกัน
ในชั่วพริบตานั้น บรรยากาศน่าอึดอัดเมื่อครู่ก็หายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก พวกเราต่างก็หลุดขำออกมาแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ไม่นึกเลยว่าจะมีโอชิคนเดียวกันอยู่ในห้องด้วยนะ”
“ยาเอะคาเงะก็รสนิยมดีเหมือนกันนะ ที่รู้ถึงความดีงามของฮิรารินได้”
“คนที่มองไม่เห็นความดีงามของฮิรารินน่ะ ไม่มีอยู่บนโลกนี้หรอกนะ”
“ก็เธอคือร่างจำแลงของคำว่าการเยียวยานี่นา”
“ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไปหมด แต่คนที่มีเสียงกับวิธีพูดแบบนั้นแล้วจิตใจยังงดงามขนาดนั้นน่ะหาได้ยากนะ”
“เป็นนักบุญเลยล่ะ จริงๆนะ”
“จิตใจมันปลอดโปร่ง”
“เข้าใจลึกซึ้งเกินไปแล้ว”
“การได้ดูไลฟ์ของฮิรารินมันเยียวยาได้ดีกว่าการนอนแปดชั่วโมงอีกนะ”
“HP ไม่ใช่แค่ฟื้นเต็มหลอด แต่ยังเพิ่มค่า HP สูงสุดไปพร้อมๆ กันด้วย”
คำพูดของยาเอะคาเงะมีศัพท์เฉพาะของโอตาคุเกมออกมาเป็นระยะๆ
คนธรรมดาคงไม่พูดว่าเพิ่มค่า HP สูงสุดหรอก
“ที่สำคัญที่สุดคือวิชวลนั่นแหละ”
“ตาตกนิดๆ นั่นแหละคือที่ที่พลังการเยียวยาของฮิรารินแสดงออกมา แล้วก็ดีไซน์ชุดก็สมบูรณ์แบบ”
“ทุกครั้งที่มีชุดใหม่ออกมาฉันต้องพยายามกลั้นน้ำตาแทบตายเลยนะ”
“ถึงจะออกแบบโดยคิดมาให้ฮิรารินใส่ก็เถอะ แต่มันก็ไม่มีชุดไหนที่จะเหมาะกับฮิรารินเท่านี้อีกแล้ว”
“คนที่คิดน่ะเป็นพระเจ้าจริงๆ”
“มาม่า (คนวาด) เป็นนักวาดนิรนาม แต่หาเท่าไหร่ก็หาคนที่มีลายเส้นเหมือนกันไม่เจอเลย”
ขณะที่กำลังคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ผมก็เห็นเงาคนแอบมองมาทางนี้จากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ฝั่งทางเดินด้านหลังของยาเอะคาเงะ
เมื่อผมรู้ตัว คนที่ซ่อนอยู่ก็โผล่หน้าออกมาแล้วยิ้ม
“โล่งใจจังเลยค่ะที่ดูเหมือนจะสนิทกันได้”
“อ๊ะ… ซากุระ มาช้าจังนะ”
“พอดีโดนครูเรียกไว้น่ะ”
“ขอโทษนะ ทั้งที่ฉันเป็นคนแนะนำแท้ๆ”
“ไม่เป็นไรๆ นามิกิเป็นคนที่น่าสนใจกว่าที่คิด”
“น่าสนใจเหรอ…? ไม่ใช่ว่าเข้ากันได้ดีเหรอ?”
“อืม”
“ก็ปกตินายเอาแต่อ่านหนังสือ ไม่ก็เล่นเกม ไม่ก็ดูวิดีโออยู่ในห้องเรียนใช่ไหมล่ะ”
“อย่างแรกเลยคือคุยกับคนอื่นได้ด้วย แถมยังพูดมากอีกต่างหาก ตลกดี”
“อย่ามาล้อกันนะ”
“จะบอกให้ว่าตอนมัธยมต้นน่ะ เวลาพูดเรื่องที่ชอบทีไรจะพูดรัวเป็นปืนกลจนโดนรำคาญนิดหน่อยด้วยซ้ำ”
“นั่นมันนิดหน่อยจริงๆ เหรอ?”
“จริงๆ แล้วโดนเกลียดเยอะเลยรึเปล่า?”
“…งั้นเหรอ เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ”
“ปุ๊ ล้อเล่นน่า”
“อย่างน้อยฉันก็สนุกดีนะ”
ผมนึกว่ายาเอะคาเงะจะเป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้มและเข้าถึงยากซะอีก
ความประทับใจแรกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และเอาจริงๆ ก็แอบกลัวนิดหน่อย
แต่พอได้คุยกันแล้วก็พบว่ารสนิยมตรงกัน แถมยังชอบพูดเล่นอีกด้วย สมกับที่เป็นเพื่อนสนิทของคางามิ ถึงจะเป็นพวกอินดอร์แต่ความสามารถในการสื่อสารก็ค่อนข้างสูง
ทั้งหมดนี้คงไม่มีทางรู้ได้เลยถ้ายาเอะคาเงะไม่ชวนผมคุยเรื่องเกม
ฝ่ายที่พยายามจะจบเรื่องโดยที่ไม่รู้อะไรเลย คือผมเองสินะ
ถึงคางามิจะเป็นสตอล์กเกอร์ แต่ก็ต้องขอบคุณเธอที่ช่วยเชื่อมผมเข้ากับยาเอะคาเงะที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีขนาดนี้
“ใช่สิ นามิกิ ขอไลน์หน่อยสิ”
“เดี๋ยวจะส่งเฟรนด์โค้ดไปให้ อยากเล่นเกมด้วยกัน”
“อะ อืม”
ตั้งแต่เข้ามัธยมปลายมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้แลกไลน์กับเพื่อนร่วมชั้น
ไม่ใช่ว่าในรายชื่อเพื่อนจะมีแต่ครอบครัวอะไรแบบนั้นหรอกนะ
ผมเป็นคนธรรมดาไม่ใช่คนไร้ตัวตน เพราะงั้นก็มีเพื่อนที่แลกไลน์กันอยู่ประมาณสามสิบคน
แต่แน่นอนว่าในนั้นไม่มีไลน์ของผู้หญิงเลย
ถึงจะไม่ได้มองยาเอะคาเงะในฐานะผู้หญิงหรือเพศตรงข้ามก็เถอะ แต่ก็รู้สึกแปลกใหม่ยังไงไม่รู้
“เปิดคิวอาร์มาสิ จะสแกน”
“เข้าใจแล้ว”
ขณะที่กำลังสแกนคิวอาร์โค้ดที่แสดงอยู่บนหน้าจอ ผมก็เหลือบไปมองคางามิโดยบังเอิญ เธอดูมีความสุขมาก… ไม่สิ นี่มันดูมีเลศนัยนิดหน่อย
เหมือนมีอะไรอยากจะพูด
เป็นอารมณ์ประมาณว่า ‘ยังไม่ได้แลกไลน์กับฉันเลย แต่กลับไปแลกกับซัจจังเหรอคะ งั้นเหรอคะ’ งั้นเหรอ
ก็ดูเหมือนจะใช่นะ แต่ก็ไม่เคยโดนขอให้แลกไลน์ด้วยสักหน่อย
“เพิ่มแล้วนะ เดี๋ยวส่งเฟรนด์โค้ดไปให้”
“โอเค ขอบใจ”
คงเพราะไม่ได้มีอีเวนต์แลกไลน์กับเพื่อนนานมากแล้ว ผมเลยไม่รู้ถึงฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาในการอัปเดต แต่ที่แบนเนอร์ด้านบนของรายชื่อเพื่อนมีหัวข้อ ‘เพื่อนใหม่’ อยู่ และในนั้นก็มีโปรไฟล์ของยาเอะคาเงะที่เพิ่งเพิ่มเข้าไปแสดงอยู่
บัญชีของยาเอะคาเงะลงทะเบียนด้วยชื่อเล่นว่า ‘ซัตสึ’
ไอคอนโปรไฟล์เป็นรูปสุนัข พันธุ์คอร์กี้
อาจจะเป็นสุนัขที่เลี้ยงที่บ้านก็ได้
พื้นหลังไม่ได้ตั้งค่าอะไรไว้ เป็นแบบเริ่มต้น
แต่ว่า เรื่องแบบนั้นมันยังไงก็ได้
ฟังก์ชันใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวก็ดี ชื่อเล่นของยาเอะคาเงะก็ดี หรือการที่สุนัขเป็นพันธุ์คอร์กี้ก็ดี เรื่องพวกนั้นมันยังไงก็ได้หมดเลย เพราะตอนนี้มีเรื่องที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าเกิดขึ้น
“คางามิ”
“คะ…?”
คางามิที่ยิ้มแฉ่งแสดงความดีใจอย่างเปิดเผย
รอยยิ้มนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว
“ทำไม… ทำไมชื่อของคางามิถึงมาอยู่ในหัวข้อเพื่อนใหม่ได้ล่ะ!”
บัญชีที่ชื่อว่า ‘ซากุระ’ ซึ่งปรากฏอยู่ในหัวข้อเพื่อนใหม่นั้น มีไอคอนเป็นรูปคู่กับยาเอะคาเงะ
แน่นอนว่าผมไม่มีความทรงจำว่าเคยแลกไลน์กับคางามิเลย
“ไม่ได้จริงๆ สินะคะ…”
“ไม่ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ว่าเอาจริงๆ นะ คือปกติแล้ว เมื่อไหร่…?”
ไม่มีความทรงจำว่าเคยเพิ่มเป็นเพื่อนเลย ทำได้ยังไงครับ น่ากลัวจริงๆนะ
“การเป็นเพื่อน ถือเป็นการโกหกสินะคะ”
“ไม่ได้สินะคะ…”
อ้อ ที่ว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสินะ
ผมรู้เลย คนคนนี้ต้องพูดอะไรประหลาดๆ ออกมาอีกแน่
“ต้องเป็นหัวข้อ ‘คนแห่งโชคชะตา’ ถึงจะถูกสินะคะ♥”
มาแล้วไงล่ะ
ขนาดเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างๆ ยังแอบแหยงเลย ช่วยเจียมตัวหน่อยนะ
ด้วยประการฉะนี้ ผมจึงได้เพื่อนที่มีรสนิยมตรงกันมาหนึ่งคน
…ด้วยการแนะนำของสตอล์กเกอร์
แปลโดยเพจ Aileen Sub
อ่านจนจบได้ที่ octodex https://octodex.org/novel/BWVJ3H5U9FSdNIkieTCl
Chapters
Comments
- ตอนที่ 4.2 ปัจฉิมลิขิต กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 4.1 บทส่งท้าย เรื่องราวเลิฟคอเมดี้กับน้องสาวน่ะมันมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้นแหละ และโอชิของผมไปตลอดกาลก็มีเพียงฮิรารินคนเดียวเท่านั้น กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 4 การเดทน่ะ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าว่าจะไปที่ไหน ก็คือการได้ไปกับใครต่างหาก และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเริ่มต้น ก็คือการสิ้นสุด กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 3 ถึงจะเป็นตัวประกอบ แต่ตัวประกอบก็มีอดีตอันแสนเจ็บปวดในแบบของตัวเอง และแม้แต่คางามิ ซากุระเองก็มีด้านที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 2 เหตุผลที่คนเราจะตกหลุมรักใครสักคนน่ะ มันช่างเรียบง่ายกว่าที่คิด และต่อมความฮาของทาคามิ จุนก็เรียบง่ายเช่นกัน กรกฎาคม 3, 2025
- ตอนที่ 1 ไอ้ความรู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหลังน่ะ ส่วนใหญ่มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเอง และไอ้ความรู้สึกที่ว่าพอเข้าร้าน 100 เยนแล้วต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปสักหน่อย มันก็เป็นแค่เรื่องคิดไปเองเช่นกัน กรกฎาคม 3, 2025
MANGA DISCUSSION