บทที่ 3 : ก้าวแรกแห่งพันธ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพ้นจากขอบทะเล เป็นสัญญาณการเริ่มต้นของวันใหม่ อคินถูกปลุกด้วยสภาพงัวเงีย “ล้างหน้าล้างตาเถอะ เราต้องเดินทางกันแต่เช้า” ขันน้ำใบใหญ่ถูกวางไว้ตรงหน้าพร้อมผ้าสาก ๆ หนึ่งผืน อคินเช็ดหน้าราวกับเป็นเครื่องจักรที่ขาดน้ำมัน ท่าทางงุ่นง่ามทำเอาลูน่าจดจ้องอยู่นาน ก่อนที่เธอจะตัดใจหันกลับไปทำอาหารเช้าต่อ
“เรามีสลัดเบา ๆ ตอนเช้า สำหรับเจ้าที่ยังอ่อนแรง ทานของหนักไปจะไม่ดี” ลูน่าจัดแจงแปลงร่างเป็นแม่ครัวหัวป่า เธอชำนาญอย่างน่าประหลาด ทุกการเคลื่อนไหวไม่มีติดขัด ทุกกระบวนท่าไม่มีบิดพลิ้ว แปลกตายิ่งกว่าเห็นพระราชาสวม ‘เสื้อผ้าวิเศษที่คนโง่ไม่อาจมองเห็น’ มายืนอยู่ตรงหน้าเสียอีก อคินถึงกับสร่างเลยทีเดียว คงเป็นเพราะห้องเช่าของโรงเตี้ยมสำหรับนักผจญภัยที่เข้าพักชั่วคราว ซึ่งปกติแล้วก็มีไว้เพื่อพักค้างคืนและเก็บข้าวของเท่านั้น จึงไม่มีเตาไฟหรือห้องครัวให้ นั่นคงเป็นอีกเหตุผลที่เธอทำเมนูสลัดแทน เมื่อคิดเรื่อยเปื่อยมาถึงตรงนี้ เสียงอันอ่อนนุ่มก็ดังแทรกขึ้นมา
“เป้าหมายแรกคือการลงทะเบียนนักผจญภัย ถึงแม้ว่ามันจะไม่จำเป็นเท่าไหร่… แต่การเป็นสมาชิกไว้ก็ดีกว่านะ” เธอพูดขณะช้อนส้อมยังจ่อคาอยู่ที่ปาก
“ลงทะเบียนหรอครับ? แล้วผมต้องเตรียมอะไรบ้าง? มีใช้เอกสารอะไรมั้ยครับ?” อคินถามอย่างสงสัย เนื่องจากเขาพึ่งข้ามโลกมาได้ยังไม่ทันครบหนึ่งวันเต็ม ดังนั้นขอมูลทั่วๆไปแล้วเค้ายังขาดอยู่อีกมาก
“อื่มม… ในตอนนี้ยังไม่มีระบบสำมะโนครัวนะ เพราะงั้นส่วนใหญ่แล้วเค้าจะใช้การสอบเอาหน่ะ” เธออธิบายพร้อมสายตามองบนเล็กน้อยและควงส้อมในมือเบาๆ
“สอบ? อย่างพวกวัดฝีมือการต่อสู้อะไรทำนองนี้หรอครับผมว่าไม่น่าไหวนะ”อคินพูดขึ้นฉากนักสู้กราดิเอเตอร์ในคอลอสเซียมก็ลอยเข้ามาในหัว เสียงฝูงเชียร์ดังสนั่นกึกก้อง และภาพที่เขาถูกแทงเข้าที่ปาก…ด้วยเบคอนแผ่นกรุบกรอบ
“มันก็มีแหล่ะ แต่สำหรับการเลื่อนแรงค์หน่ะ ถ้าสมัครครั้งแรกเค้าไม่มาวัดฝีมือหรอกนะ เพราะว่าชาวบ้านค้าขายทั่วไปก็สามารถลงทะเบียนได้ การเป็นนักผจญภัยไม่ใช่ว่าต้องจับดาบแล้วพุ่งหาศัตรูเสมอไปหรอกนะ” ลูน่าชูนิ้วเป็นการย้ำเตือน ว่านักผจญภัยไม่ได้เกี่ยวกับแค่การต่อสู้เหมือนในเกม แต่มันยังมีรายละเอียดมากกว่านั้น และแล้วช่วงเช้ามืดก็ผ่านไปอย่างเรียบง่ายโดยโปรตีนจากแผ่นเบคอนกรุบกรอบและวิตามินจากผัก
ทันทีที่เติมเสบียงเสร็จเรียบร้อยก็ไม่รอช้า ทั้งคู่เดินออกมาจากโรงเตี้ยม ชาวบ้านเริ่มที่จะทำงานของตัวเองกันแล้ว ไม่ว่าจะคนงานเหมืองที่กำลังมุ่งไปภูเขาทางตะวันตก หรือชาวนาที่เห็นระหว่างทางประปรายทางด้านตะวันออก พวกเขาเดินไปตามทางเดินธรรมชาติที่กว้างใหญ่ ที่แห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆเท่านั้นเอง หากต้องการเดินให้ทั่วก็คงใช้เวลาไม่เกินสิบนาที ระหว่างคิดเช่นนั้น อคินก็เริ่มมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตและโอ่อ่า เป็นอาคารสามชั้น แตกต่างกับบ้านเรือนทั่วๆไป ดูจากภายนอกมันถูกสร้างขึ้นด้วยปูนซีเมนต์ ไม่ใช่กำแพงโคลน ชั้นแรกเป็นศูนย์รวมของความวุ่นวาย ทั้งกระดานภารกิจ เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ บาร์ ร้านอาหาร ลานประลอง ไปจนถึงร้านกิ๊ฟช็อป ชั้นสองเป็นคลังแลกเปลี่ยนเงินตราและของที่มีมูลค่าสูง และชั้นที่สามคือสำนักงานนักผจญภัย ที่รวบรวมเอกสารข้อมูลต่าง ๆ เป็นภูเขาเลากา แววตาของลูน่าทอประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านเชลฟ์วางสินค้าที่เต็มไปด้วยของกุ๊กกิ๊กน่ารัก แต่เธอก็เดินผ่านไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ด้วยทักษะเข้าสังคมและมารยาทที่สง่างามเกินกว่าชนชั้นสูงทั่วไปจะมี และมาหยุดตรงหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พวกเราอยากจะลงทะเบียนเป็นนักผจญภัย…” ยังไม่ทันสิ้นสุรเสียงอ่อนหวานอย่างไม่คุ้นชิน สายตาทุกคู่เลื่อนมาจับจ้องสองหน่อหน้าใหม่ที่ ‘หนวดยังไม่ทันจะขึ้น’ ก็ริอาจอยากเป็นนักผจญภัย ด้านหนึ่งเป็นคุณหนูผู้เลอโฉมที่สูงศักดิ์ แม้แต่มดก็ยังคงไม่กล้าเหยียบ อีกด้านคือไอ้หนุ่มกระดูกอ่อน ที่ดูปวกเปียกล่อแล่จนบางทีอาจจะล้มทั้งยืนตอนไหนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่แปลกจริง ๆ คือทันทีที่สายตาทุกคู่หันมามองอย่างกับดาวไลน์หน้าใหม่ พวกที่มีประสบการณ์โชกโชน หรือสัญชาตญาณเฉียบแหลม ต่างหันกลับไปยังที่เดิมของพวกเขา ราวกับว่าได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควร ราวกับว่าใจมันกรีดร้องว่าอย่าเข้าใกล้ เหงื่อไคลไหลเย็นเฉียบ กรปรกับลมที่พัดเอื่อยเหมือนจะปาดลึกเข้าไปในเนื้อหนัง เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เงียบงัน เพียงสองวินาที แต่กลับรู้สึกเหมือนยาวนาน และต้องขอบคุณพนักงานต้อนรับที่ออกมาทำลายบรรยากาศนั้น
“กิลด์เฮริออตสาขาโอ๊คเชดยินดีต้อนรับค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ?” พนักงานต้อนรับกล่าวทักทายเหมือนปกติที่ทำทุกวันจนเป็นนิสัย ดันแว่นขึ้นเล็กน้อยแสดงให้เห็นความสนใจที่มีต่อคู่สนทนา สายตาจับจ้องส่วนต่าง ๆ ของร่างกายราวกับเครื่องประมวลผลกำลังคิดคำนวณบางอย่าง “พวกเราอยากจะลงทะเบียนเป็นนักผจญภัยค่ะ ดิฉันลูน่า และอคินเพื่อนร่วมทางของฉัน” เธอคว้าใต้แขนของอคินและยกเขาขึ้นมาโชว์ราวกับตุ๊กตานุ่น สร้างความแปลกใจให้กับผู้คนที่กำลังจับจ้องไม่วางตา ว่าเธอนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะคาดคะเนด้วยสายตา พร้อมกับอวดอคินราวกับชุดเสื้อผ้าตัวเก่ง หรือตุ๊กตาตัวโปรดก็มิปาน และอคินก็แข็งทื่อช็อกจนกลายเป็นตุ๊กตาไปแล้วจริง ๆ
“ขั้นตอนการตรวจสอบและอนุมัติอาจต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย และมีข้อห้ามปฏิบัติตามเอกสารนี้ หากอ่านแล้วมีตรงไหนสงสัย สามารถสอบถามได้เลยนะคะ” เธอเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยที่แสดงถึงความอดกลั้น และสับเปลี่ยนเอางานมาแทนที่อย่างชำนาญการ
“แล้วก็…รบกวนกรอกเอกสารตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ค่ะ” หลังจากกล่าวจบเธอก็หยิบเอกสารออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะ ในขณะที่สองมือของลูน่ากำลังโอบอุ่มอคินราวกับของเล่น ม่านตาของเธอเรือนรองทอแสงสีอำพัน ปากกาขนนกที่วางไว้คู่กับเอกสารเริ่มทำงานด้วยตัวเองราวกับมีชีวิตจิตใจ
“จอมเวทย์!? อายุแค่นั้นอ่ะนะ!? แถมยังเป็นเวทย์ไร้คำร่าย!” ตามมาด้วยเสียงตึงตังของเก้าอี้ที่ล้มลงเพราะผู้คนที่รุกพรวดด้วยความตกใจ “ตาฝาด! ตาฝาดแน่ ๆ! มันจะเป็นไปได้ไง?” นักรบอีกคนที่สภาพเกราะยังใหม่เอี่ยม เหมือนคนที่เพิ่งจะเป็นนักผจญภัยมือใหม่ยังไม่เคยมีบาดแผลก็โพล่งขึ้น ‘เพี้ยะ เพี้ยะ’ เขาตบหน้าทั้งตัวเองและตบหน้าเพื่อนด้วยกัน เหมือนเป็นการยืนยันว่าพวกตนไม่ได้ตาฝาด แต่ไม่ทันที่สติของผู้คนจะกลับมาที่เหตุการณ์ตรงหน้าก็จบไปแล้ว อย่างว่องไว
“อ๊ะ.. ท่านลูน่า กับ ท่านอคิน สินะคะ?” สาวบริกรดึงสติขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นแผ่นงานอยู่ตรงหน้า “กิลด์เฮริออตแห่งนี้ขอแสดงความยินดีกับ ท่านลูน่าจอมเวทย์ระดับห้า และท่านอคินอัศวินฝึกหัด เป็นอย่างสูงค่ะ” มือของบริกรต้อนรับเริ่มสั่นเครือด้วยความลังเล หวั่นเกรงจากคำพูดของตนจะนำความเดือดร้อนมาให้ “พะ เพียงแต่ว่า! ทางกิลด์เราต้องขอสงวนสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนใหม่ ต้องเริ่มต้นด้วยแรงค์ E ค่ะ!!” เธอหลับตาปี๋ ก้มตัวลงเป็นแนวเก้าสิบองศาอย่างงดงาม สองมือยื่นบัตรสมาชิกออกมาอย่างหวาดกลัว แต่ยังคงแน่วแน่และรักษากฎระเบียบของงานไว้เป็นที่ตั้ง
“นั่นก็เพียงพอแล้ว” รอยยิ้มคลี่ออกมาประดุจเทพีผู้เมตตาของลูน่า พร้อมแว่วเสียงที่อ่อนบางแต่กลับชัดเจน เธอหยิบบัตรทั้งสองใบใส่กระเป๋าหนังที่เอว ในขณะที่มืออีกข้างนั้นยกอคินไว้เหนือหัวเหมือนกลัวว่าตุ๊กตาจะสัมผัสกับฝุ่นบนพื้น และเดินเข้าไปในซอกร้านกิ๊ฟช็อป เพื่อดูหาเลือกของที่เหมาะจะมาเสริมแต่งตุ๊กตาของตน โดยไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมา ผ่านไปสักพัก ผู้คนก็เริ่มได้สติและกลับไปทำหน้าที่ของตน เหมือนกับว่าเป็นแค่เหตุการณ์วุ่นวายเหมือนทุก ๆ วัน แต่แค่วันแบบนี้มันมีไม่บ่อยก็แค่นั้น
“อ๊ะ!?” อคินรู้สึกตัวเหมือนเครื่องจักรที่เพิ่งเริ่มทำงาน ตอนนี้เขายืนอยู่ท่ามกลางชั้นวางของที่เรียงรายสารพัด และเดินเข้าไปหาลูน่าที่กำลังง่วนอยู่กับการเลือกเฟ้นเพชรในโคลนหน้าบูทของลดราคา สายตาอคินจับจ้องอย่างงงงวยว่าแม้ที่นี่จะดูแฟนตาซีขนาดนี้ แต่บรรยากาศที่คุ้นเคยกลับไม่ได้ต่างไปจากยุคของตนเลย พร้อมกวาดสายตาไปมองรอบ ๆ ทำให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติทั่วไป เพราะไม่ได้มีลูน่าคนเดียวที่กำลังทำแบบนั้น
เขาเลือกที่จะให้เวลากับลูน่าและเดินกวาดสายตาเพื่อสำรวจร้านว่ามีอะไรที่เป็นสินค้าบ้าง จากนั้นจึงเดินกลับไปหาข้อมูลต่าง ๆ กับพนักงานกิลด์ที่ตอนนี้กำลังยืนเหม่อเนื่องจากว่างงานและทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น “เอ่อ…ขอโทษนะครับ?” เสียงนุ่มใสที่ยังไม่แตกกร้านดังขึ้นปลุกพนักงานต้อนรับให้หลุดจากภวังค์ “ค๊ะ!? อ๊ะ ท่านอคิน มีอะไรให้รับใช้คะ?” เธอสับสวิตช์โหมดทำงานอย่างคล่องแคล่ว การสนทนานั้นกินเวลาสักพัก และข้อมูลต่าง ๆ ที่เขาได้มาก็น่าพึงพอใจ
ในส่วนของเวทมนตร์นั้น มีอยู่เพียงสี่ธาตุพื้นฐานที่มนุษย์สามารถวิวัฒนาการด้วยความรู้ความเข้าใจได้: ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยการหยิบยืมพลังของธรรมชาติ ดวงดาว และโลก แสดงออกมาเป็นปรากฏการณ์พิเศษที่เรียกว่าเวทมนตร์
ระดับขั้น หมายถึงจำนวนพลังเวทและความสามารถในการดึงพลังเวทออกมาใช้ในแต่ละครั้ง โดยจะแบ่งระดับจากต่ำไปสูง ยิ่งมีระดับสูงพลังอำนาจและบทร่ายที่ต้องใช้จะยิ่งยาว บางพิธีเล็ก ๆ อย่างการเพิ่มพรให้ผลผลิตนั้น จำต้องมีจอมเวทย์อย่างน้อยสองคนเพื่อช่วยกันร่ายบทคาถาคนละห้านาทีในการใช้เวทที่นอกเหนือจากพื้นฐานดินน้ำลมไฟเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้พืชผลไม่เป็นโรคเหี่ยวเฉา ล้มตายก่อนจะเก็บเกี่ยว ยิ่งสงครามยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะต้องใช้จอมเวทย์จำนวนมากและระยะเวลาขนาดไหน
ขั้นหนึ่ง: คือชาวบ้านทั่วไปที่สามารถใช้เวทได้วันละครั้งหรือสองครั้ง โดยจะสามารถร่ายเวททั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การเพิ่มความร้อน (จุดไฟ), ควบแน่น (เสกน้ำ), บีบอัด (ควบคุมอากาศ), จัดเรียง (ดิน)
ขั้นสอง: คือหน่วยอาสา สามารถใช้เวทได้วันละสี่ถึงห้าบท
ขั้นสาม: คือหน่วยทหารประจำการ ชั้นนี้ต้องผ่านการฝึกฝนเรียนรู้ราว ๆ สิบปี
ขั้นสี่: คือระดับอาวุโส สามารถใช้เวทระดับกลางได้ และร่ายบททำพิธีนอกเหนือจากธาตุทั้งสี่ได้บ้าง
ขั้นห้า: คืออัจฉริยะ คุณสมบัติเช่นเดียวกับระดับอาวุโส แต่มีประสิทธิภาพและคล่องแคล่วมากกว่า
ขั้นหก: คือตำนานวีรบุรุษ ซึ่งมีแต่ในนิทานปรัมปราหรือพงศาวดารเมืองเท่านั้น เป็นเพียงเรื่องราวปากต่อปาก
ขั้นเจ็ด: คืออำนาจในขอบข่ายของเทพ ซึ่งผลจากการสำรวจตามโบราณสถานต่าง ๆ นั้นบอกว่าสาบสูญไปหมดแล้ว
พวกเขาเหล่านั้นจะถูกยกย่องว่า นักเวทย์ และนอกเหนือจากธาตุพื้นฐานแล้ว ยังมีพลังอีกมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ ผู้ที่ค้นพบหรือมีพรสวรรค์ที่นอกเหนือพื้นฐานสามัญนั้นจะถูกขนานนามว่าจอมเวทย์ พลังจิต พรศักดิ์สิทธิ์ กาลเวลา และอีกมากมายที่มนุษย์ยังไม่มีโอกาสได้พบเห็น
นั่นหมายความว่าลูน่านั้นค่อนข้างพิเศษ เป็นที่สุดของหมู่เพชร เป็นอัจฉริยะในหมู่บัณฑิตโดยแท้
หลังจากที่ข้อมูลหลั่งไหลเข้ามาจนเต็มหัว เสียงของพนักงานต้อนรับก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หากจะให้แนะนำหล่ะก็.. ภารกิจคุ้มกันสินค้าเป็นยังไงคะ?” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เร่งเร้า
“อ..เอ๋!? ผมยังไม่ได้….” ในขณะที่อคินกำลังหาข้ออ้างมาปฏิเสธอย่างลนลาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแทรกเข้ามา
“เอาสิ ขอจุดหมายไปที่เมืองโบแวร์นะ” ลูน่าสมทบเข้ามาจากด้านหลัง เมื่ออคินหันกลับไป ปรากฏลูน่าในสภาพที่กำลังมีถุงกระสอบใบอ้วนจนเห็นรอยปริที่แทบจะฉีกขาดลอยตามอยู่เหนือศรีษะ แน่นอนว่าตามมาด้วยสายตาฉงนปนอิจฉาอีกมากมาย
Chapters
Comments
- บทที่ 7 : มหาภัยแห่งเทพและปีศาจ (จบ Arc 1) มิถุนายน 22, 2025
- บทที่ 6 : สมรภูมิแห่งปัญญา มิถุนายน 21, 2025
- บทที่ 5 : บททดสอบแรกและพลังที่ซ่อนเร้น มิถุนายน 20, 2025
- บทที่ 4: มิติใหม่แห่งการผจญภัย มิถุนายน 19, 2025
- บทที่ 3 : ก้าวแรกแห่งพันธ มิถุนายน 19, 2025
- บทที่ 2 : ตำนานเอกโลกา มิถุนายน 19, 2025
- บทที่ 1: พันธสัญญาแห่งผู้กล้า มิถุนายน 19, 2025
- ตอนที่ 0 บทนำ: ภาระของน้ำตาเทียน มิถุนายน 19, 2025
MANGA DISCUSSION