พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1184 ล้อมคอก
<p>วันต่อมาตอนท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างเล็กน้อย เหมียวอี้แทบจะฉวยโอกาสออกไปตอนที่ฟ้ามืด ออกไปอย่างรีบร้อน ให้ความรู้สึกเหมือนหลบหนี</p>
<p>ตอนที่เกิดเรื่องเขาไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น แต่หลังจากลุกขึ้นจากข้างกายหอมหวลนุ่มนิ่มของจูเก๋อชิง เขาก็นึกเสียใจทีหลังแล้ว</p>
<p>ขณะมองดูเรือนร่างอ้อนแอ้นขาวดุจหิมะที่นอนขดตัวหันหลังให้ เขาก็คิดทบทวนอะไรนิดหน่อย</p>
<p>นึกย้อนไปในปีที่ยังเป็นมนุษย์ หลังจากได้ยินข่าวลือว่าผู้มีอำนาจของเมืองฉางเฟิงทำพฤติกรรมประเภทนี้ ตัวเองก็จะดูถูกเหยียดหยาม จะต้องถ่มน้ำลายด่าแน่นอน แต่ตอนนี้ตัวเองกลับกลายเป็นคนประเภทเดียวกับที่ตัวเองด่าในปีนั้น</p>
<p>“อย่าให้ฮูหยินรู้เรื่องนี้นะ” ระหว่างทาง เขายังไม่ลืมที่จะกำชับเหยียนซิวกับหยางเจาชิง</p>
<p>“ขอรับ!” ทั้งสองที่เฝ้าประตูอยู่ทั้งคืนเอ่ยรับ จากนั้นสบตากันเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านี้</p>
<p>ส่วนนอกห้องแห่งความปรารถนา ผู้อาวุโสหลายคนของพรรคดรุณีหยกยืนเงียบๆ อยู่นอกประตู ขณะมองดูประตูที่ปิดสนิท แต่ละคนก็ได้แต่เงียบงัน ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรจะเข้าไป</p>
<p>แกร๊ก! ประตูเปิดออกแล้ว</p>
<p>จูเก๋อชิงสวมชุดกระโปรงสีขาว ปล่อยผมยาวคลุมบ่าโดยไม่ได้เกล้าขึ้น นางเดินช้าๆ มาถึงนอกประตูแล้วหยุดยืนอยู่บนบันได ใบอันหน้าอันงดงามที่แม้แต่บุปผาจันทราก็ยังละอาย แม้แต่ท้องฟ้าสีสลัวก็ยากที่จะปิดบังไว้ได้</p>
<p>ผู้อาวุโสหลายคนสบตากันเงียบๆ ยังคงไม่มีใครพูดอะไร ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าสำนักยังไม่เคยพบใครด้วยใบหน้าเปลือยเปล่า แต่ไหนแต่ไรมาก็ใช้ผ้าปิดบังใบหน้ามาตลอด ตอนนี้เรียกได้ว่าทำเป็นครั้งแรก ต่อให้เป็นคนที่เคยเห็นมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน เมื่อได้เห็นตอนนี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ เพราความสวยเหนือกว่าในปีนั้นเสียอีก งามเลิศในปฐพี!</p>
<p>“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าคือผู้หญิงของท่านปราชญ์!” จูเก๋อชิงประกาศด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง</p>
<p>คำพูดนี้เท่ากับเป็นการประกาศชัดเจนแล้วว่าเมื่อคืนตัวเองกับเหมียวอี้เกิดความสัมพันธ์กันแล้วจริงๆ</p>
<p>เหมียวอี้ไม่ได้กลับไปที่นภาอู๋เลี่ยงโดยตรง แต่ไปหาหุบเขาเงียบๆ ที่ลับตาคน ร่างเปลือยกำลังนั่งอาบน้ำอยู่ใต้น้ำตกที่ตกปะทะลงมา</p>
<p>จวนผู้การใหญ่นภาอู๋เลี่ยง หยางชิ่งยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนชั้นลอย หลับตารับแสงแดดสีทองระยิบระยับ</p>
<p>ชิงเหมยเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนชั้นลอย แล้วบอกหยางชิ่งด้วยเสียงต่ำเบาว่า “นายท่าน ทางพรรคดรุณีหยกส่งข่าวมาเจ้าค่ะ วันนี้เจ้าสำนักจูเก๋อชิงถอดผ้าคลุมหน้าอย่างเป็นทางการแล้ว”</p>
<p>“อ้อ!” หยางชิ่งยิ้มบางๆ “ได้ยินว่าจูเก๋อชิงงดงามปานเทพธิดา ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า! ผู้หญิงคนนี้มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เมื่อวานจัดงานใหญ่โตขนาดนั้น จุดประสงค์คือจะอาศัยอิทธิพลของท่านปราชญ์ทำให้พรรคดรุณีหยกผงาดขึ้นมา!”</p>
<p>ชิงเหมยกล่าวเสริมอีกว่า “เมื่อคืนจูเก๋อชิงค้างในห้องของท่านปราชญ์เจ้าค่ะ”</p>
<p>หยางชิ่งทำสีหน้าตกตะลึง ดวงตาพลันเบิกกว้าง ขมวดคิ้วหันกลับไปมองชิงเหมยอย่างช้าๆ ในดวงตาฉายแววสอบถาม</p>
<p>ชิงเหมยพยักหน้าเบาๆ</p>
<p>หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หยางชิ่งก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ไปเชิญฮูหยินมาสักเที่ยว”</p>
<p>ผ่านไปครู่เดียวฉินซีก็ขึ้นมาบนชั้นลอย เมื่อคุยกันได้สองสามประโยคนางก็ออกไปอีก ไปพบอวิ๋นจือชิวที่ตำหนักอู๋เลี่ยง</p>
<p>ขณะเดินเล่นเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิวและดูนางในเก็บน้ำค้างยามเช้าในสวนดอกไม้ ฉินซีก็เปิดเผยเรื่องทางพรรคดรุณีหยกออกมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ</p>
<p>อวิ๋นจือชิวหยุดฝีเท้า ทำสีหน้าเย็นเยียบอยู่นานมาก เมื่อค่อยๆ คลายสีหน้าลงแล้ว นางก็บอกว่า “นายท่านอยู่ที่พิภพใหญ่แบกรับความกดดันไม่น้อย จะหาผู้หญิงมาผ่อนคลายสักคนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ดังนั้นนายท่านจึงไม่ผิด จะผิดก็ผิดที่ผู้หญิงพวกนั้นที่ไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูง! เจ้ากลับไปบอกหยางชิ่งนะ ว่าผู้หญิงที่นายท่านเคยแตะต้องก็เหมือนเนื้อต้องห้ามของนายท่านคนเดียว อย่าให้ผู้ชายคนไหนแตะต้องได้อีก ให้จูเก๋อชิงสละตำแหน่งเจ้าสำนักให้เย่ซิน ตำหนักประมุขถิ่นกลางของนายท่านที่ทะเลดาวนักษัตรยังว่างมาตลอด ให้จูเก๋อชิงไปนั่งรักษาการณ์ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลางแล้วกัน ให้หยางชิ่งแจ้งทางทะเลดาวนักษัตรด้วย ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า จูเก๋อชิงก็ห้ามเหยียบออกจากตำหนักประมุขถิ่นกลางแม้เพียงครึ่งก้าว และไม่อนุญาตให้นางติดต่อกับคนของพรรคดรุณีหยกด้วย ใครฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร! แล้วก็บอกจูเก๋อชิงด้วยว่า นายท่านไม่เคยแอบทำเรื่องอะไรที่น่าอับอาย ถ้าไม่อยากให้พรรคดรุณีหยกหายไปจากโลกนี้ ทางที่ดีพรรคดรุณีหยกก็อย่าเผยแพร่ข่าวลือที่ทำลายชื่อเสียงอันดีงามของนายท่าน ไม่อย่างนั้นจะต้องรับผลที่ตามมาเอาเอง!”</p>
<p>ฉินซีแอบตระหนกในใจ ให้จูเก๋อชิงไปนั่งรักษาการณ์ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลางเสียที่ไหนกัน ทำแบบนี้เพราะต้องการจับจูเก๋อชิงไปขังตำหนักเย็นต่างหาก!</p>
<p>นางลังเลครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ท่านปราชญ์เคยโปรดปรานจูเก๋อชิง ถ้าท่านปราชญ์กลับมาเอาเรื่อง…”</p>
<p>อวิ๋นจือชิวกล่าวตัดบทเสียงเข้มทันที “งั้นเจ้าก็ไปบอกนายท่าน ว่านี่คือความประสงค์ของข้า ให้นายท่านมาหาข้า! ให้หยางชิ่งไปจัดการเดี๋ยวนี้ ถ้าภายในสิบวันไม่เห็นจูเก๋อชิงอยู่ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลาง ข้าจะเอาผิดหยางชิ่ง!”</p>
<p>“ค่ะ!” ฉินซีรีบเอ่ยรับแล้วไปจัดการ</p>
<p>ข่าวนี้รู้ไปถึงหูหยางชิ่งอย่างรวดเร็ว หยางชิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกชิงเหมยว่า “เจ้านำคนไปที่พรรคดรุณีหยกด้วยตัวเองสักรอบ จัดการตามที่ฮูหยินของท่านปราชญ์บอก”</p>
<p>ตอนใกล้จะพลลบค่ำ เหมียวอี้ถึงได้กลับมาถึงนภาอู๋เลี่ยงอย่างชักช้า อวิ๋นจือชิวมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้ม ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน</p>
<p>นางช่วยเหมียวอี้ดึงจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ แล้วหันกลับมาถามหยางเจาชิงกับเหยียนซิวด้วยรอยยิ้มว่า “การเดินทางไปพรรคดรุณีหยกราบรื่นสินะ ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ย?”</p>
<p>เมื่อนางกล่าวคำนี้ออกมา หัวใจเหมียวอี้ก็เต้นตึกตักทันที</p>
<p>เหยียนซิวกับหยางเจาชิงจะกล้าพูดเหลวไหลได้อย่างไร ทั้งสองแสร้งทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน ตอบพร้อมกันว่า “ทุกอย่างราบรื่นขอรับ!”</p>
<p>“งั้นก็ดีแล้ว!” อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสนิทสนมพลางคล้องแขนเหมียวอี้เดินเข้าไปข้างใน พูดคุยยิ้มแย้มตามปกติ เหมียวอี้ย่อมมีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ อยู่แล้ว</p>
<p>ณ พรรคดรุณีหยก หลังจากผ่านเรื่องระหว่างชายหญิงมาทั้งคืน จูเก๋อชิงที่รู้สึกไม่ค่อยสบายร่างกายก็จัดการกิจธุระในสำนัก จากนั้นก็ไปพักผ่อนร่างกายแล้ว นางไม่ได้เสียความรู้สึกเพราะเรื่องเมื่อคืน แต่กลับตั้งตารอคอยการรุดก้าวหน้าของพรรคดรุณีหยก</p>
<p>ทว่าการมาถึงของชิงเหมย ก็ได้ทำลายความเพ้อฝันของนางจนพังทลายลงในรวดเดียว</p>
<p>ตอนที่ทั้งสองพบหน้ากัน ชิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจจูเก๋อชิงศีรษะจดเท้าหลายครั้ง นางแอบเดาะลิ้นอย่างอัศจรรย์ใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนที่สวยกว่าฮูหยินฉินซี ไม่แปลกใจเลยที่ท่านปราชญ์ควบคุมตัวเองไม่ไหว</p>
<p>หลังจากนางถ่ายทอดคำพูดของหยางชิ่ง บอกชัดเจนว่าเป็นเจตนาของอวิ๋นจือชิวฮูหยินท่านปราชญ์ จูเก๋อชิงก็ราวกับโดนฟ้าผ่า ยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม</p>
<p>เมื่อคืนนางนางไม่ได้ขัดขืนต่อต้านใดๆ ได้แต่ผลักเรือไปตามน้ำ ถ้านางขัดขืนสักนิด เหมียวอี้ก็อาจจะไม่ดันทุรังทำเรื่องแบบนั้นในคืนแต่งงานของถานเล่ากับเย่ซิน จะต้องได้สติสัมปชัญญะกลับมาอย่างรวดเร็วแน่นอน ในความคิดของนาง ในเมื่ออวิ๋นจือชิวยอมให้เหมียวอี้แต่งงานรับอนุภรรยามากมายขนาดนั้นได้ ก็คงจะไม่ถือสาที่จะมีนางเพิ่มไปสักคน จากนั้นตัวเองก็จะใช้ฐานะอนุภรรยาของเหมียวอี้มาบริหารพรรคดรุณีหยก ทำให้พรรคดรุณีหยกเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างราบรื่น ถ้าเป็นแบบนี้ การที่ตัวเองสละร่างกายก็ถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่า</p>
<p>ปรากฏว่าแทนที่จะรอให้เหมียวอี้มารับนางไปเป็นอนุภรรยา แต่กลับได้ต้อนรับการโดนโจมตีที่หนักหน่วงขนาดนี้แทน เรื่องราวเกิดขึ้นยังไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ตอนนี้นางถึงได้เหมือนกับตื่นขึ้นจากฝัน ถ้าอยากจะคิดอะไรเพ้อเจ้อก็ต้องมีคุณสมบัตินั้นเหมือนกัน นางมีคุณสมบัติอะไรให้ไปคิดเพ้อฝันแบบนั้นล่ะ?ลองดูอนุภรรยาแต่ละคนของเหมียวอี้สิ มีคนไหนบ้างที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เอาตัวเข้ามาใกล้ชิดแล้วจะมีที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจอิทธิพล ความงามก็ต้องกลายเป็นเรื่องรอง</p>
<p>ตอนนี้นางถึงได้พบว่าตัวเองมั่นใจในความสวยของตัวเองมากเกินไป!</p>
<p>“เจ้าสำนักจู ฟังเข้าใจแล้วหรือยัง?” ชิงเหมยถามอีกครั้ง</p>
<p>“ค่ะ! ฟังเข้าใจแล้ว” จูเก๋อชิงตอบพร้อมใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มอันปวดร้าว</p>
<p>ในเวลานางเพียงสามวันเท่านั้น ภายในสามวันนี้นางต้องส่งต่องานของพรรคดรุณีหยก จากนั้นชิงเหมยก็จะส่งนางไปยังตำหนักประมุขถิ่นกลางที่ทะเลดาวนักษัตร ปากบอกว่า ‘ส่ง’ แต่ที่จริงเป็นการควบคุมตัวนางไป จะต้องส่งนางไปยังตำแหน่งที่ระบุไว้ภายในเวลาที่อวิ๋นจือชิวกำหนด</p>
<p>ตอนเช้าตรู่นางยังประกาศอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เลยว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงของท่านปราชญ์แล้ว ตอนนี้กลับยุติลงอย่างรวดเร็ว สั่งห้ามเผยแพร่เรื่องเมื่อคืนอย่างเด็ดขาด…</p>
<p>งานแต่งงานของเยารั่วเซียนกับโม่จวินหลันเงียบมาก สาเหตุแรกเป็นเพราะนี่คือความประสงค์ของโม่จวินหลัน โม่หมิงกับเหมียวจวินอี๋ก็ไม่อยากจัดงานอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน การแต่งงานครั้งที่สองไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติยศสักเท่าไร มิหนำซ้ำเจ้าสำนักงามวิจิตรคนปัจจุบันก็ยังแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยแต่งงานมาแล้วด้วย</p>
<p>ไม่ได้จัดงานให้คนรู้กันทั้งใต้หล้า จัดให้คึกคักแค่ที่สำนักงามวิจิตรของตัวเองเท่านั้น เชิญบุคคลสำคัญมาจำนวนหนึ่ง ครั้งนี้อวิ๋นจือชิวกลับมาร่วมงานพร้อมเหมียวอี้แล้ว</p>
<p>หลังจากงานเลี้ยงจบ ก็เป็นเวลาที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวแล้ว เหยียนซิวฉวยโอกาสตอนว่างเชิญเหมียวอี้ไปคุยกันในที่ลับตาคน ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน ข้าได้รับข่าวมา จูเก๋อชิงส่งต่อตำแหน่งหัวหน้าพรรคดรุณีหยกให้เย่ซินแล้ว ส่วนนางก็โดนชิงเหมยคุมตัวไปยังตำหนักประมุขถิ่นกลางที่ทะเลดาวนักษัตรด้วยตัวเอง…”</p>
<p>หลังจากฟังเขาเล่าคร่าวๆ จนจบ เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างเดือดดาลมากว่า “หยางชิ่งใจกล้ายิ่งนัก ขนาดผู้หญิงของข้าเขายังกล้าแตะ เขานึกจริงๆ เหรอว่าข้าจะไม่กล้าแตะต้องเขา!”</p>
<p>เหยียนซิวโบกมือ “นายท่านโปรดระงับโทสะ ข้าไปถามความจริงกับหยางชิ่งมาแล้ว หยางชิ่งบอกว่านี่เป็นความประสงค์ของฮูหยิน เป็นฮูหยินที่สั่งให้เขาทำแบบนี้ แถมฮูหยินยังบอกด้วยว่า ถ้านายท่านมาเอาเรื่อง ก็บอกไปว่าเป็นความประสงค์ของนาง ฮูหยินบอกให้นายท่านไปคุยกับนางขอรับ!”</p>
<p>“…” ไฟโกรธของเหมียวอี้ดับสนิทในชั่วพริบตาเดียว อ้าปากค้างพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าจะถูกอวิ๋นจือชิวจับได้แล้ว เรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายผิด มีเหตุผลอะไรไปตำหนิโทษอวิ๋นจือชิว ผู้ชายของตัวเองไปแอบคบชู้อยู่นอกบ้าน ยังจะไม่อนุญาตให้นางเดือดดาลอีกเหรอ? ไม่ฆ่าจูเก๋อชิงทิ้งก็นับว่าดีแล้ว อวิ๋นจือชิวมีความสามารถที่จะทำอย่างนั้นแน่นอน</p>
<p>หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไร?”</p>
<p>“วันถัดมาหลังจากคืนนั้นขอรับ วันที่นายท่านออกจากพรรคดรุณีหยก ชิงเหมยก็พาคนไปแล้ว” เหยียนซิวตอบ</p>
<p>เหมียวอี้ยิ่งฟังยิ่งพูดไม่ออก สงสัยอวิ๋นจือชิวจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่อวิ๋นจือชิวดันทำตัวเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ตัวเองก็เสแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าในใจอวิ๋นจือชิวดูถูกตนอย่างไรไปแล้วบ้าง ครั้งนี้เสียหน้าใหญ่โตแล้ว</p>
<p>“เฮ้อ! ไปเชิญฮูหยินมาสักเที่ยวเถอะ บอกว่าข้ากำลังรอนางอยู่ที่นี่” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันตัวยื่นมือไปยันต้นไม้ใหญ่ข้างกาย</p>
<p>“รับทราบ!” เหยียนซิวเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป</p>
<p>ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่คุ้นเคย “วันงานมหามงคล เจ้ามายืนเหม่อใต้ต้นไม้คนเดียวทำไม? อารมณ์ไม่ดีเหรอ เป็นอะไรไปล่ะ?” นางเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้แล้วเอามือลูบหน้าเขา</p>
<p>เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วถามว่า “เรื่องของจูเก๋อชิง เจ้าเตรียมจะจัดการยังไง?”</p>
<p>“ที่แท้เจ้าก็รู้แล้ว” รอยยิ้มของอวิ๋นจือชิวจางลงหลายส่วน “จัดการอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อเจ้ารู้แล้วยังมีอะไรน่าถามอีก”</p>
<p>เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ข้าอยากจะรับนางเป็นอนุภรรยา เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”</p>
<p>ตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นจือชิวหายไปหมดโดยสิ้นเชิง “เรื่องนี้ข้าไม่ตอบตกลง และไม่มีทางตอบตกลงด้วย! บ้านนี้ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะเข้ามาได้ โดยเฉพาะผู้หญิงประเภทที่ถือว่าตัวเองสวยแล้วไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จะโอ้อวดกลอุบายก็ไม่รู้จักแยกแยะสถานที่เสียบ้าง ถ้าให้คนแบบนี้เข้ามาในบ้าน บ้านจะต้องไม่สงบแน่ ในเมื่อเจ้าอยากเล่นสนุกๆ ข้าก็ล้อมคอกนางไว้ให้เจ้าที่นั่นแล้วไง เจ้าอยากจะไปเล่นเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น ข้าไม่ขวางเจ้าหรอก ฮูหยินที่ทำได้ถึงขนาดข้าน่ะ ในใต้หล้าคงไม่มีใครว่าข้าไม่ใจกว้างแล้วล่ะมั้ง? แน่นอน ถ้าเจ้าดึงดันจะแต่งงานรับนางเข้าบ้านให้ได้ ข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้าเหมือนกัน แต่ข้าขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เสียก่อน ขอเพียงเจ้ากล้าทำแบบนี้ ข้าก็กล้าฆ่านางทิ้งได้เหมือนกัน นอกเสียจากเจ้าจะกำจัดข้าทิ้งเสียก่อน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ยอมถอยเด็ดขาด! หนิวเอ้อร์ วันนี้ข้าจะพูดเอาไว้เลย ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่ข้ายังเป็นนายหญิงของตระกูลเหมียว จูเก๋อชิงก็ไม่มีทางเข้ามาในตระกูลเหมียวได้ ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งนั้น! แล้วข้าจะบอกไว้อีกอย่าง ถ้าในการทดสอบครั้งนี้เจ้าไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ข้าก็จะถือว่าเจ้าเป็นคนทำให้นางดวงซวย เรื่องแรกที่ข้าจะทำก็คือทำให้ศีรษะของนางตกลงพื้น!”</p>
<p>นางไม่ได้พูดแค่ปากเท่านั้น เพราะจะไม่มีการยอมถอยจริงๆ พอนึกถึงเรื่องนี้นางก็โมโห แค่ไปดื่มสุรามงคงคลรอบเดียวก็ได้นอนกับเจ้าของบ้านแล้ว นี่มันตัวอะไรกัน! ถึงแม้ที่พิภพเล็กจะไม่มีใครสร้างแรงกดดันให้เหมียวอี้ได้ แต่นางก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้!</p>
<p>สำหรับนาง การสละชีวิตของจูเก๋อชิงคนเดียวไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร นางต้องการจะนำจูเก๋อชิงมาเป็นระฆังเตือนภัยให้เหมียวอี้ฟัง ถ้าไม่ทำให้เหมียวอี้พะว้าพะวังเสียบ้าง ตอนหลังจะไม่แย่หรอกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่เหมียวอี้จะไปเข้าร่วมการทดสอบ เดาความเป็นความตายในอนาคตได้ยาก ที่จริงนางก็คิดจะตัดหัวจูเก๋อชิงต่อหน้าเหมียวอี้ด้วยซ้ำ ที่ยังไว้ชีวิตจูเก๋อชิงก็นับว่ายอมถอยให้แล้ว ไม่มีอย่างอื่นให้ต่อรองเด็ดขาด!</p>
<p>…………………………</p>