พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1189 อันดับหนึ่งของการทดสอบรอบใหม่
<p>“ช้าก่อน!”</p>
<p>ในโถงรับแขกนอกจวนแม่ทัพภาค ซูลี่แสดงหลักฐานยืนยันฐานะขุนนางของตัวเอง ทหารยามบอกให้เขารอสักครู่ แล้วเข้าไปรายงานในตำหนัก</p>
<p>ผ่านไปไม่นาน ผู้การสองหลันเซียงก็ออกมาแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินมอบหมายเรื่องการลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบให้หลันเซียงจัดการ</p>
<p>เมื่อตรวจสอบฐานะของซูลี่อีกครั้ง หลันเซียงก็ให้เขาลงตราอิทธิฤทธิ์บนสมุดรายชื่อ ก่อนจะบอกว่า “ให้เวลาพวกเจ้าไตร่ตรองอย่างเพียงพอแล้ว ถ้าต้องการถอนตัวออกจากทดสอบ ก็ต้องจัดการล่วงหน้าหนึ่งปีก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นถ้ารายงานชื่อขึ้นไปให้ตำหนักสวรรค์ทำสมุดลงทะเบียนแล้ว ที่นี่ก็ไม่สามารถตามกลับมาให้เจ้าได้ ดังนั้นต้องถอนตัวถายในเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นต้องแบกรับผลที่ตามมาเอาเอง เข้าใจแล้วใช่มั้ย?”</p>
<p>“เข้าใจแล้ว!” ซูลี่กุมหมัดเอ่ยรับ</p>
<p>“จำไว้ ครึ่งปีแรกก่อนการทดสอบ ถือหนังสือรายงานมารวมตัวและรายงานตัวที่นี่”</p>
<p>“ขอรับ!”</p>
<p>ตอนนี้หลันเซียงถึงได้แจกหนังสือรายงานเข้าร่วมการทดสอบให้ซูลี่ จากนั้นก็หันตัวเดินออกไป</p>
<p>ซูลี่กุมหมัดคารวะให้ทหารยามที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง แล้วถึงได้หันตัวเหาะออกไป</p>
<p>เมมื่อกลับมาถึงตำหนักด้านในของจวนแม่ทัพภาค หลันเซียงก็เจอปี้เยว่ฮูหยินนอนขี้เกียจหงอยเหงาอยู่บนเตียงเตี้ย ขณะเดียวก็เหลือบมองจิ้งจอกสีชมพูที่นอนขดหดหู่หงอยเหงาอยู่ข้างๆ เช่นเดียวกัน</p>
<p>หลันเซียงติดตามปี้เยว่ฮูหยินมาหลายปี ทั้งยังเป็นคนข้างกาย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปี้เยว่ฮูหยินกับปีศาจจิ้งจอกพันหน้า เดาว่าเมื่อคืนนี้ทั้งคู่คงจะไม่ได้ทำเรื่องดีๆ กัน</p>
<p>“เป็นอะไรไป?” ปี้เยว่ฮูหยินลืมตาเล็กน้อย</p>
<p>หลันเซียงรายงานว่า “มีผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสามมาลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบค่ะ เป็นคนของตลาดสวรรค์ ดาวเทียนหยวน”</p>
<p>ปี้เยว่ฮูหยินยื่นมือไปหยิบสมุดรายชื่อมาอ่าน พบว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่มีคนมาสมัครแค่ประมาณห้าร้อยคน นางกวามองรอบหนึ่งแล้วไม่เห็นชื่อของเหมียวอี้ จึงลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านแล้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อยังไม่มาลงชื่อสมัครอีกเหรอ?”</p>
<p>“ยังเลยค่ะ” หลันเซียงส่ายหน้า</p>
<p>หลังจากปี้เยว่ฮูหยินนั่งขัดสมาธิครุ่นคิดสักพัก ก็หยิบระฆังดาราออกมา หลังจากติดต่อเหมียวอี้ได้แล้วก็ถามว่า : หนิวโหย่วเต๋อ การทดสอบครั้งนี้ เจ้าเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกันแน่?</p>
<p>เหมียวอี้ตอบว่า : เข้าร่วม</p>
<p>ปี้เยว่ฮูหยิน : แล้วทำไมยังไม่เห็นเจ้าลงชื่อ?</p>
<p>เหมียวอี้ : ข้าน้อยจะไปลงชื่อตอนก่อนหมดเขตลงสมัครขอรับ</p>
<p>ที่จริงยังอยากจะสังเกตการณ์สักหน่อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร ที่จริงคนที่มีสภาพจิตใจแบบนี้ก็มีไม่น้อยเลย</p>
<p>ปี้เยว่ฮูหยินมองดูสมุดรายชื่อที่รับสมัคร แล้วบอกว่า : ลูกน้องเจ้าที่เขตเมืองตะวันตก มีผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งที่ชื่อซูลี่มาลงชื่อสมัครแล้ว</p>
<p>นับว่าเปิดเผยข่าวให้เหมียวอี้แล้ว</p>
<p>“ซูลี่?” หลังจากคุยกันเสร็จ เหมียวอี้ก็งุนงงนิดหน่อย ชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหู เหมือนจะเคยเห็นบนรายชื่อกำลังพลของตลาดสวรรค์มาก่อน จากนั้นก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อสวีถังหราน แล้วถามว่า : ลูกน้องเจ้ามีผู้บังคับการกองร้อยที่ชื่อซูลี่หรือเปล่า</p>
<p>ทางสวีถังหรานตอบว่า : มีคนคนนี้อยู่ขอรับ เหมือนเขาจะลาหยุดออกไปข้างนอกแล้ว ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการใหญ่มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?</p>
<p>เหมียวอี้ : งั้นก็แสดงว่าฟังไม่ผิด เมื่อครู่ปี้เยว่ฮูหยินบอกข่าวข้ามา ซูลี่ไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว ไปลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบที่นรก</p>
<p>สวีถังหรานแสดงความเดือดดาลทันที : ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บังอาจมาแย่งชิงกับนายท่าน รอเขากลับมาแล้วข้าน้อยจะลงโทษเขา</p>
<p>เหมียวอี้ : อย่าทำซี้ซั้ว เจ้าจะไปลงโทษเขาทำไม? เขาควบคุมอะไรได้เหรอ ข้าก็แค่ถามดูเฉยๆ มีเพิ่มอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ไปนรกแล้วยังมีเพื่อนไว้คอยช่วยเหลือกันและกันด้วย ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีคนกล้าหาญแบบนั้นสักคน เจ้าอย่าทำให้เขาตกใจจนถอนตัว</p>
<p>สวีถังหรานโล่งใจ สงสัยนายท่านจะไม่ได้กำลังโกรธ จึงตอบทันทีว่า : ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ!</p>
<p>นอกจวนเทพประจำดาวเถาะฟ้า บนศาลาริมหน้าผา ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแขกที่มา จาหรูเยี่ยนฮูหยินเทพประจำดาวเป็นเจ้าบ้าน</p>
<p>ขณะที่พวกผู้หญิงกำลังพูดคุยกันเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ก็มีลูกน้อยมายืนอยู่ตรงประตูแล้วถ่ายทอดเสียงรายงาน “ฮูหยิน นายน้อยเหรินจวิ้นขอพบขอรับ”</p>
<p>โดยส่วนใหญ่คนที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นลูกสาวจากตระกูลผู้มีอำนาจทั้งนั้น คงไม่ดีถ้าจะมีผู้ชายเข้ามาที่นี่ จาหรูเยี่ยนจึงกล่าวขออภัยทุกคน แล้วลุกขึ้นเดินออกไป พอลงมาถึงชั้นล่าง ก็เห็นจาเหรินจวิ้นผู้เป็นหลานชาย</p>
<p>“ท่านอาหญิง!” จาเหรินจวิ้นคำนับพร้อมรอยยิ้ม หน้าตาดูเป็นคนมีความสามารถ</p>
<p>จาหรูเยี่ยนยิ้มพลางผายมือ หลังจากเรียกเข้ามานั่งข้างใน ถึงได้ถามว่า “เหรินจวิ้น ทำไมวันนี้ว่างมาหาข้าได้”</p>
<p>จาเหรินจวิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ท่านอาหญิง หลานลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบที่นรกครั้งนี้แล้ว”</p>
<p>“อะไรนะ?” จาหรูเยี่ยนได้ยินแล้วอุทานอย่างตกใจ นางลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “หาเรื่องวุ่นวาย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่ปรึกษาสักหน่อย? ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะบอกพ่อเจ้าที่ตายไปแล้วยังไง? ถอนตัวเดี๋ยวนี้ ที่นั่นคือสถานที่ที่อันตรายถึงชีวิต ไม่ใช่ที่ที่คนฐานะอย่างเจ้าควรจะไป”</p>
<p>จาเหรินจวิ้นกุมหมัดคารวะ “ท่านอาหญิง หลานโตแล้วนะ อยู่บ้านว่างๆ ตลอดไม่ใช่วิธีการที่ดี ไม่สู้ไปเข้าร่วมการทดสอบฝ่าฟันอนาคตดีกว่า”</p>
<p>ที่จริงครั้งก่อนเขาอยากจะอยู่ในตำแหน่งสักตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน แต่ใครจะคิดว่าจะเจอกับคนที่ใช้ไม้อ่อนไม่แข็งไม่ได้ผลอย่างเหมียวอี้ นอกจากจะไม่ได้อะไรสักอย่างแล้ว ทั้งยังทำให้ผังก้วนที่เป็นเทพประจำดาวเถาะฟ้าโมโห ถึงขั้นทำให้ลงไม้ลงมือตบท่านอาหญิงด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเป็นระยะเวลานานมาก</p>
<p>แต่จะว่าไปแล้ว พฤติกรรมของผังก้วนก็ทำให้ในใจเขาไม่พอใจอยู่บ้าง ที่ผังก้วนขึ้นนั่งในตำแหน่งนี้ได้ ก็เพราะในปีนั้นตระกูลจาเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อสนับสนุน การลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้มีอารมณ์ขุ่นเคืองแฝงอยู่หลายส่วน เขาไม่อยากอาศัยเส้นสายของผังก้วน อยากอาศัยความสามารถของตัวเองพิสูจน์ดูสักครั้ง</p>
<p>“นี่เจ้าโทษว่าอาหญิงไม่จัดเตรียมตำแหน่งให้เจ้าเหรอ กำลังขุ่นเคืองอาใช่มั้ย?” จาหรูเยี่ยนรีบเดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี “ไม่ใช่ว่าอาไม่เตรียมให้เจ้านะ และไม่อยากทำให้เจ้าน้อยใจด้วย อากำลังสืบข่าวอยู่ตลอดว่าที่ไหนมีตำแหน่งดีๆ ที่เหมาะสมจะให้เจ้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทดสอบอีกแล้ว ถอนตัว ถ้ามีอาอยู่ ก็ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะต้องไปเสี่ยงอันตรายนี้หรอก เดี๋ยวจะหาตำแหน่งดีๆ ให้เจ้าแน่นอน”</p>
<p>ที่จริงผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์มีเยอะเกินไป ตำแหน่งดีๆ ทุกที่มีแต่เด็กเส้น จะไปแย่งตำแหน่งใครก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น ไม่ใช่ว่ามีเส้นสายแล้วจะได้ตำแหน่งง่ายๆ เหมือนที่คนนอกคิด การแข่งขันระหว่างลูกหลานผู้มีอำนาจก็ดุเดือดมากเหมือนกัน ตำแหน่งดีๆ ก็ไม่ได้ไขว่คว้ามาง่ายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เกิดมามีภูมิเหลังดีแล้วคิดจะวางอำนาจบาตรใหญ่ได้เลย</p>
<p>แต่ที่ยุ่งยากก็คือ ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งดีๆ ก็ไม่อยากจะได้มาแก้ขัด เพราะมันเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีหน้าตา</p>
<p>จาเหรินจวิ้นยิ้มตอบว่า “ต่อให้อาศัยเส้นสายของท่านอาเขยให้ได้ตำแหน่งดีๆ มา แต่หลานก็ไม่ไปอยู่ดี ครั้งก่อนที่อาเขยตบหน้าท่านอาหญิง หลานรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ หลานต้องอาศัยความพยายามของตัวเองเพื่อฝ่าฟันอนาคต ไม่ให้ใครมาว่าได้ทั้งนั้น”</p>
<p>ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ที่จริงก็อยากจะขอการสนับสนุน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาหาทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านอาหญิงจะห้ามปราม ประการแรกคืออยากจะได้ของวิเศษสักชิ้น ประการต่อมาคือหวังจะให้ท่านอาหญิงช่วยพูดให้ตัวเองสักหน่อย ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเทพประจำดาวเถาะฟ้าที่เข้าร่วมการทดสอบเกาะกลุ่มกับเขาโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ถ้าสามารถได้รับการสนับสนุนนี้ คาดว่าการทดสอบครั้งนี้คงไม่อันตรายสักเท่าไร ถึงอย่างไรการทดสอบครั้งนี้ก็ไม่ได้มีการเข่นฆ่าเป็นเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นจะมีคนกล้ามาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ได้อย่างไร</p>
<p>แต่คำพูดนี้ทำให้จาหรูเยี่ยนปวดใจ น้ำตาแทบจะไหลออกมา ดึงมือเขาพร้อมบอกว่า “เจ้าโง่เหรอ เรื่องระหว่างสามีภรรยาเจ้าจะเข้าใจอะไร ข้ากับอาเขยเจ้าทะเลาะกันแต่ก็นอนร่วมเตียงกันอยู่ดี การทะเลาะเบาะแว้งเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด อย่าทำตัวเป็นเด็กน้อยเลย เชื่อฟังอาเถอะ ถอนตัวจากทดสอบ เรื่องของเจ้าอาจะพยายามจัดเตรียมให้เร็วที่สุด”</p>
<p>จาเหรินจวิ้นส่ายหน้าบอกว่า “ท่านอาหญิง ท่านอย่าเกลี้ยกล่อมอีกเลย หลานตัดสินใจแน่วแน่แล้ว…”</p>
<p>ชั่วอึดใจเดียวก็ผ่านไปหลายปี การทดสอบระดับผู้บัญชาการใหญ่จบลงแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์จะหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากการทดสอบครั้งนี้ได้ ปรากฏว่ามาเจอการทดสอบสนามต่อไปอย่างต่อเนื่องกันอีก แถมจะไม่เข้าร่วมก็ไม่ได้ ใครจะอยากโดนลดขั้นไปเป็นเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองตั้งหนึ่งหมื่นปีล่ะ แต่ละคนแอบร้องว่าซวยแล้ว</p>
<p>การทดสอบสองร้อยปีก่อน คนที่โดดเด่นที่สุดก็คือเหมียวอี้ แต่ความโดดเด่นของเหมียวอี้ผ่านไปแล้ว คนที่ได้อันดับหนึ่งในทดสอบครั้งนี้ชื่อว่าจ้านหรูอี้ เป็นผู้หญิง ได้รับรางวัลและแต่งตั้งจากราชันสวรรค์เช่นเดียวกัน ได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบเป็นกรณีพิเศษ</p>
<p>ชั่วขณะนั้น ชื่อเสียงของจ้านหรูอี้โด่งดังไปทั่วน่านฟ้า หนิวโหย่วเต๋อที่ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งก่อนย่อมถูกเอ่ยถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่จ้านหรูอี้ได้หน้าได้ตาไร้ที่เปรียบ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อกลับถูกพูดถึงในหัวข้อคนซวยตกต่ำ</p>
<p>จ้านหรูอี้เองดันเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ด้วยเช่นกัน ไก่ตัวผู้กับไก่ตัวเมียที่ได้อันดับหนึ่งจะสมัครเข้าร่วมการทดสอบครั้งต่อไปหรือไม่กลายเป็นหัวข้อสนทนาใหญ่ แม้แต่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนก็พากันพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน</p>
<p>“นางจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ? ทำไมต้องเอาข้ากับนางไปเปรียบเทียบกัน? ทุกคนกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำกันหรือไง”</p>
<p>อวิ๋นจือชิวกลับมาจากพิภพเล็ก พอมาถึงก็ได้ยินเรื่องนี้ จึงมาที่ตำหนักคุ้มเมืองผ่านทางใต้ดิน แอบเจอกับเหมียวอี้ในห้องสมาธิฝึกตน นางถือโอกาสเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วถามเหมียวอี้ว่ารู้มั้ยว่าจ้านหรูอี้เป็นตัวละครแบบไหน ทว่าเหมียวอี้กลับมองเหยียด</p>
<p>สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือ ของวิเศษสองชิ้นจากเยารั่วเซียนที่อวิ๋นจือชิวนำกลับมาด้วย ชิ้นหนึ่งเป็นลูกกลมโลหะสีแดง ส่วนอีกชิ้นเป็นของวิเศษที่ประกอบขึ้นจากลูกกลมขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองสิบหกเม็ด</p>
<p>ของวิเศษชิ้นใหญ่เหมียวอี้ไม่แปลกตา เป็นของวิเศษที่เคยเห็นตอนอยู่ที่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร แล้วตอนหลังเยียนเป่ยหงได้ไป มันชื่อว่า ‘เมฆลอยสังหาร’ แต่เป็นของวิเศษขั้นห้าที่ทำจากผลึกแดง อีกทั้งยังถูกเยารั่วเซียนปรับปรุงใหม่และเพิ่มสมรรถนะแล้ว ‘เมฆลอยสังหาร’ ในปีนั้นเทียบไม่ติด’</p>
<p>ที่จริงหลังจากวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองแล้ว ของวิเศษโดยทั่วไปก็จะหมดประโยชน์ เพราะทนรับการโจมตีของนักพรตบงกชทองไม่ไหวเลย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ของวิเศษที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ต่อให้เป็นของวิเศษผลึกม่วง แต่ก็ทนพลังทำลายล้างของอาวุธผลึกม่วงไม่ไหวอยู่ดี ด้วยเหตุนี้จึงพบเห็นคนที่ใช้ของวิเศษพวกนั้นได้น้อยมากที่พิภพใหญ่ ถ้าจะมีคนใช้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาวุธผลึกแดงซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีได้ เพียงแต่ของวิเศษผลึกแดงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ใช้ไม่ไหว</p>
<p>ส่วนพวกของวิเศษทั่วไปที่หลอมสร้างจากผลึกขาว ผลึกดำ ผลึกทอง ก็ได้แต่นำออกมาใช้ต่อสู้กับนักพรตระดับต่ำเท่านั้น เมื่อเจอกับนักพรตระดับสูงมากมายที่พิภพใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์เลย ยกตัวอย่างเช่นกระจกหยินดำในมือเหมียวอี้ ต่อให้สู้กับนักพรตบงกชม่วง แต่ก็มีประโยชน์แค่นิดหน่อยเท่านั้น</p>
<p>ตอนนี้ ‘เมฆลอยสังหาร’ กำลังถูกควบคุมให้เปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้าอยู่ในมืออวิ๋นจือชิว บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นวัวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บางครั้งก็หดเล็กกลายเป็นไก่ตัวผู้ลายสีรุ้งตัวหนึ่ง ถึงขั้นเปลี่ยนเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ด้วย เปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นาๆ</p>
<p>“เมฆลอยสังหารทำไมเปลี่ยนสีสันไปต่างๆ นาๆ ได้? ข้ายังไม่เคยเห็นสมรรถนะนี้มาก่อนนะ?” เหมียวอี้เห็นแล้วกล่าวด้วยความทึ่ง</p>
<p>อวิ๋นจือชิวที่กำลังควบคุมอาวุธอธิบายว่า “ตงกัวหลี่กับลูกศิษย์หลอมสร้างเครื่องประดับหลากสีสันและสมจริงราวกับมีชีวิตไม่ใช่เหรอ นี่คืออาวุธที่เยารั่วเซียนริเริ่มสร้างขึ้นโดยผนึกความแปลกพิสดารของสำนักงามประณีต ข้างในนี้ซ่อนรูปแบบการเปลี่ยนแปลงไว้ให้เจ้ามากมาย เปลี่ยนเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ ได้ เปลี่ยนเป็นต้นไม้ใบหญ้าหรือพวกภูเขาก็ได้ เขาบอกว่าเจ้าจะได้ลอบจู่โจมได้สะดวก เขาบอกว่าเจ้าชอบลอบจู่โจม ในปีนั้นเจ้าเพิ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม แต่ก็กล้าไปลอบจู่โจมที่ค่ายฆ้องเหล็กของทะเลดาวนักษัตรแล้ว”</p>
<p>“ลอบจู่โจม…ฮ่าๆ!” เหมียวอี้กลั้นขำไม่อยู่ ขณะที่มองดูความเปลี่ยนแปลง เขากลับอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจ “ตาแก่เยาช่างมีพรสวรรค์ในการหลอมของวิเศษจริงๆ ให้เขาควบคุมสำนักงามวิจิตรก็นับว่าเหมาะสมกับตำแหน่งแล้ว”</p>
<p>…………………………</p>