พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1144 มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ
<p>“เจ้าจะคิดบัญชีกับข้ายังไง? เจ้าจะทำอะไรข้าได้?” เหมียวอี้ถามด้วยสีหน้ารังเกียจ</p>
<p>สีหน้ารังเกียจของเขาทำให้หวงฝู่จวินโหรวเดือดดาลจริงๆ ตอนที่ได้นอนกับนางทำท่าสุขสันต์หรรษา แต่พอยกกางเกงขึ้นใส่กลับมองว่านางเป็นคนน่าเกียจ ในใจนางส่งคำว่า ” ให้เขาก่อน จากนั้นก็แสยะยิ้มบอกว่า “จับตาดูเจ้าไว้แล้ว ถ้าพบว่าเจ้าทำเรื่องน่าไม่อายอะไร ก็จะรายงานเรื่องเจ้าทันที!”</p>
<p>เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกแล้วถามว่า “จากนั้นก็ค่อยเปิดโปงเรื่องของเจ้ากับข้าใช่มั้ย? เจ้ากล้าเหรอ”</p>
<p>“อย่านึกว่าเรื่องเส็งเคร็งแค่นั้นจะขู่ข้าได้! ผู้หญิงของตระกูลหวงฝู่ ตราบใดที่ไม่ได้แต่งงานออกข้างนอก จะแอบคบกับผู้ชายแมงดาสักคนสองคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าเชื่อรึเปล่าว่าข้าจะเปิดโปงออกมาตอนนี้เลย?” หวงฝู่จวินโหรวใช้วิธีการตาต่อตา ฟันต่อฟัน</p>
<p>“ไปดีๆ ล่ะ ไม่ไปส่งนะ ไปเปิดโปงเลย!” เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ไม่เชื่อ</p>
<p>“เจ้าแซ่หนิว นี่เจ้ากดดันข้าเองนะ คนข้างหน้าเหมือนจะเป็นจงหลีค่วยจากปราสาทดำเนินนภาใช่มั้ย? ข้าจะเปิดโปงให้เขาฟังก่อนคนแรก!” หวงฝู่จวินโหรวพูดว่าจะทำก็ทำเลย ควบคุมพญาปักษาขนทองให้เร่งความเร็ว ตามทันเฮยทั่นที่อยู่ข้างหน้าแล้ว</p>
<p>ทีแรกก็นึกว่านางแค่ขู่เขา แต่พอเห็นหวงฝู่โมโหจนจะเอาจริง เหมียวอี้ก็หน้าเครียดทันที “เจ้าจะเอายังไงกันแน่ถึงจะยอมหยุด?”</p>
<p>“ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วเหรอ? ถ้าอยากจะให้ข้าหยุดก็ขอโทษอย่างจริงใจสิ ข้าจะนั่งคุกเข่าไปเฉยๆ แบบนั้นไม่ได้” หวงฝู่จวินโหรวถามกลับ</p>
<p>เหมียวอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ขอโทษ ครั้งก่อนข้าผิดไปแล้ว!”</p>
<p>“ขอโทษก็ต้องมีความจริงใจ ท่าทางแบบนี้ของเจ้าเหมือนจริงใจเหรอ?”</p>
<p>“เจ้าต้องการความจริงใจแบบไหนล่ะ?”</p>
<p>“นี่พวกเจ้ากำลังจะไปไหน?” หวงฝู่ไม่ตอบแต่ถามกลับ</p>
<p>“ไปเที่ยว!” เหมียวอี้ตอบ</p>
<p>“พาข้าไปด้วย อุดอู้อยู่ที่สมาคมมาหลายปี ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นนานแล้ว ถ้าข้าเที่ยวอย่างมีความสุข ก็จะไม่ตำหนิเรื่องความผิดในอดีต” หวงฝู่กล่าว</p>
<p>ถ้านางดึงดันจะพัวพันก่อกวนให้ได้ ยางอายก็ไม่ต้องมีแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปฏิเสธเหมือนกัน นอกเสียจากจะฆ่านางทิ้ง ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นการเดินทางร่วมกันสามคน</p>
<p>พอออกเดินทาง จงหลีค่วยที่โดนทั้งสองขนาบอยู่ตรงกลางกลับไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร สรุปก็คือมองออกว่าเหมียวอี้สีหน้าค่อนข้างแย่ จึงแอบถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้ “มันเรื่องอะไรกัน?”</p>
<p>“ข้าติดเงินนางไม่น้อยเลย โดนพัวพัวแล้ว ท่านคิดเสียว่านางไม่มีตัวตนก็แล้วกัน” เหมียวอี้อ้างเหตุผล</p>
<p>ตอนแรกจงหลีค่วยก็ยังนึกว่าเขาพูดความจริง แต่จงหลีค่วยก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะพฤติกรรมในขณะที่อยู่ใกล้กันของเหมียวอี้และหวงฝู่จวินโหรว เหลือบมองกันไปเหลือบมองกันมาเป็นระยะ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้า ก็มีบางจุดเผยพิรุธออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงหลีค่วยมองออกว่าระหว่างทั้งสองไม่ได้ติดเงินกันธรรมดาแน่นอน จะต้องมีอะไรในกอไผ่ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ เขาจึงเก็บไว้ในใจไม่พูดออกมาก็เท่านั้นเอง</p>
<p>แล้วสองคนนั้นก็ดันคิดว่าตัวเองแสดงละครได้เนียนมาก หารู้ไม่ว่าความสัมพันธ์แบบนั้นระหว่างทั้งสองไม่เหมาะจะอยู่ต่อหน้าบุคคลที่สามนานเลย พฤติกรรมแต่ละอย่างที่เหมือนจะใกล้ชิดแต่ก็ห่างเหิน เมื่อเวลานานไปแล้วไม่อยากให้คนสงสัยก็คงยาก</p>
<p>เมื่อเหาะเดินทางเป็นเวลาหลายเดือน ในที่สุดดาวดำเนินเซียนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว</p>
<p>ทั้งสามบุกเข้าไปพร้อมกัน สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือโลกที่ขาวโพลน ตอนแรกเหมียวอี้ยังนึกว่าเป็นเมฆขาว แต่หลังจากบุกเข้าดาวดำเนินเซียนถึงได้พบว่าผิวดินของดาวดำเนินเซียนแทบจะถูกเมฆหมอกลอยวนเวียนอยู่หนึ่งชั้น ไม่ใช่ใฆขาวบนท้องฟ้าเลย</p>
<p>พอเหาะลงไปหาจุดสีดำเบื้องล่าง จุดสีดำก็ค่อยๆ ขยายกลายเป็นยอดเขา</p>
<p>ทั้งสามเหาะลงไปที่พื้น ต้นสนประหลาดหลายต้นที่อยู่รอบๆ กำลังเหยียดกิ่งก้านอยู่บนยอดเขา รอบข้างเป็นทะเลหมอกขาวโพลนที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไอหมอกลอยวนเวียน ปุยเมฆพรั่งพรูราวกับคลื่น พลิกม้วนขึ้นๆ ลงๆ เป็นฉากที่โอ่อ่าอลังการ เมื่อทอดสายตามองไปทำให้ในใจรู้สึกจิตใจเบิกบานผ่อนคลายที่ได้อยู่สูงและห่างไกลจากมนุษย์ในโลก</p>
<p>และสิ่งที่สวยวิจิตรน่าประทับใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ทั้งข้างบนและข้างของเมฆหมอก ทุกที่มีสายรุ้งปรากฏรางๆ อยู่ในนั้น เมื่อมองไปโดยรอบจะเห็นว่าทั้งใกล้ทั้งไกลมีสายรุ้งน้อยใหญ่นับพัน ตอนอยู่บนฟ้ามองไม่เห็น แต่พอเหยียบลงพื้นถึงได้ค้นพบ ราวกับสะพานสายรุ้งเซียนสำหรับเซียนเดินตามตำนานที่เล่าขานกันในโลกมนุษย์ ภูเขาที่ปรากฏวับแวมอยู่ในเมฆหมอกเหมือนกับที่อยู่อาศัยของท่านเซียน ขนาดตอนที่ยืนอยู่ในนี้ยังนึกว่าตัวเองเป็นท่านเซียนเลย</p>
<p>คนที่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตนี้ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าทุกสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้าเลือนรางและสวยงามขนาดไหน แค่มองปราดเดียวก็ทำให้คนหลงไหลเคลิบเคลิ้มได้</p>
<p>“สวยจัง!” หวงฝู่จวินโหรวประสานมือตรงหน้าอก ทำสีหน้าเคลิบเคลิ้มแล้ว</p>
<p>“ได้ยินว่าทิวทัศน์ของดาวดำเนินเซียนงดงามหาพบได้ยาก พอวันนี้ได้เห็นก็พบว่าสวยสมชื่อจริงๆ!” เหมียวอี้สูดหายใจลึกเอาอากาศสดชื่นเข้าปอด แล้วหันมาถามหวงฝู่ “เจ้าก็ไม่เคยมาดาวดำเนินเซียนเหมือนกันเหรอ?”</p>
<p>หวงฝู่จวินโหรวไม่มีอารมณ์จะเอ่ยตอบเขาแล้ว นางกำลังมองทิวทัศน์รอบกายด้วยแววตาหลงใหล เพียงส่ายหน้าบอกใบ้ว่าไม่เคยมา</p>
<p>“พวกเราไปดูบนฟ้ากัน!” จงหลีค่วยพลันชี้ไปบนฟ้า</p>
<p>ทั้งสองได้ยินแล้วเงยหน้ามองตาม ทำให้รู้สึกงงงันทันที ตอนที่ลงมาจากบนฟ้าไม่ได้สังเกตเห็นเลย ตอนนี้ถึงได้พบว่าบนฟ้าเหนือศีรษะตัวเองปรากฏเรื่องปาฏิหาริย์ ท้องฟ้าสีครามราวกับถูกชะล้างมีสีขาวกับสีฟ้าคลุกเคล้าสลับกันไม่หยุด สีขาวที่กำลังเคลื่อนที่ไม่ใช่เมฆขาวแน่นอน ราวกับเป็นสีรองพื้นชนิดหนึ่งของท้องฟ้า บางครั้งท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าครามเหมือนอัญมณี บางครั้งก็เป็นสีขาวมายา บางครั้งก็เหมือนมีอัญมณีสีฟ้าถูกคลุมด้วยม่านมุ้งสีขาวหนึ่งชั้น</p>
<p>สีขาวกับสีฟ้าครามเปลี่ยนแปลงผสมผสานกันยู่บนฟ้าไม่หยุด ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ยามสีธรรมชาติที่ไร้การตกแต่งจากมนุษย์สองสีเปลี่ยนแปลงหลอมรวมกันไม่หยุดแบบั้น งดงามจนสะท้านจิตวิญญาณคนจริงๆ ทำให้เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวตะลึงค้าง พอเหลือบสายตาต่ำลงมาหน่อยก็เป็นสายรุ้งนับไม่ถ้วนบนทะเลเมฆที่เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับตัวอยู่ในภาพฝันมายา งดงามจนบรรยายออกมาไม่ได้</p>
<p>เหมียวอี้ชี้ไปยังการเปลี่ยนแปลงที่สุดยอดบนท้องฟ้า พร้อมถามอย่างประหลาดใจ “ลุงหนวด นี่มันเรื่องอะไรกัน?”</p>
<p>จงหลีค่วยส่ายหน้าตอบ “ตอนข้ามาครั้งแรกก็ตะลึงค้างเหมือนพวกเจ้านี่แหละ ตอนหลังข้าขอคำชี้แนะจากคนของปราสาทดำเนินเซียน แต่คนของปราสาทดำเนินเซียนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร ตามที่พวกเขาบอกมา ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ท้องฟ้าของที่นี่ก็เป็นสีฟ้าเหมือนกัน ตอนหลังไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นแบบนี้ จากการคาดเดาของคนปราสาทดำเนินเซียน ท้องฟ้าผืนนี้อาจจะเป็นกระจกสีฟ้าบานหนึ่ง เพราะการเปลี่ยนแปลงของเมฆหมอกที่อยู่ข้างล่างสะท้อนขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่วนความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ก็ไม่มีใครรู้ชัด”</p>
<p>ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีนกกระเรียนฝูงหนึ่งบินข้ามสะพานสายรุ้งที่อยู่ในดมฆหมอก บินผ่านจากจุดที่ไม่ไกล ท่วงท่าสง่างามละมุนละไม ยิ่งเพิ่มกลิ่นอายความเป็นเซียนให้กับที่นี่</p>
<p>เหมียวอี้ส่ายหน้าทอดถอนใจ “ครั้งนี้นับว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว เป็นทิวทัศน์ที่เยี่ยมยอดจริงๆ ปราสาทดำเนินเซียนช่างเลือกสถานที่เก่งจริงๆ”</p>
<p>จงหลีค่วยชี้ไปทางซ้ายทางขวา “พอตกกลางคืน ที่นี่ก็จะมีความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง”</p>
<p>“ความน่าสนใจอะไร?” หวงฝู่จวินโหรวถามราวกับเป็นเด็กสาว</p>
<p>“พอตกกลางคืนก็จะรู้เอง อยู่รอคอยแล้วกัน” จงหลีค่วยยิ้มบางๆ</p>
<p>หวงฝู่จวินโหรวทำได้เพียงชื่นชมทิวทัศน์งดงามที่อยู่ข้างกายต่อไป</p>
<p>ผู้ชายไม่เหมือนผู้หญิงที่ัฝักใฝ่กับของสวยงามมากเกินไป ไม่นานเหมียวอี้ก็ดึงสติกลับมาได้ ถามว่า “ดาวดำเนินเซียนถูกหมอกคลุมไว้ทั้งปีเลยเหรอ?”</p>
<p>ตอนนี้เขาเริ่มกังวลถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้ว ถ้าที่นี่ถูกเมฆหมอกคลุมไว้ทั้งปี เวลาจะจำแนกแยกแยะก็ยุ่งยากมาก ถ้าไม่แน่ใจสภาพทางภูมิศาตร์ แล้วจะหาที่ซ่อนสมบัติพบในดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร?</p>
<p>จงหลีค่วยส่ายหน้า “ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ถ้าลมพัดแรง เวลาลมพัดไปที่ไหน เมฆหมอกตรงนั้นก็ย่อมสลายไป แต่หลังจากลมหยุดพัด เมฆหมอกที่นี่ก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ที่ดาวดำเนินเซียนไม่มีฝนตก น้ำที่จำเป็นสำหรับพืชพรรณล้วนถูกหมุนเวียนด้วยเมฆหมอกของที่นี่”</p>
<p>ขณะที่พูดก็เริ่มมีลมพัด พอลมผ่านไปวูบหนึ่ง เมฆหมอกก็สลายไป สายรุ้งหายไปแล้ว เผยให้เห็นป่าภูเขาที่อยู่ด้านล่าง ขณะเดียวกันก็มองเห็นสภาพทางภูมิศาสตร์ชัดเจน สถานที่ที่ทั้งสามยืนอยู่ก็คือบนภูเขาหินที่ตั้งตรงตระหง่าน รอบๆ สูงชันราวกับโดนขวานฟันโดนมีดตัด ภูเขาโดยรอบที่สูงต่ำไม่เสมอกันตามสภาพพื้นที่ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด</p>
<p>จงหลีค่วยชี้พลางพูดต่อว่า “นี่ก็คือเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของดาวดำเนินเซียน ภูเขาของทั้งดาวดำเนินเซียนสูงโดดเหมือนหินงอกแบบนี้หมด ภูเขาสูงแบบที่อื่นมีอยู่น้อยมาก”</p>
<p>ผ่านไปครู่เดียว ลมค่อยๆ สงบลง เมฆหมอกรอบข้างพรั่งพรูออกมา ปกคลุมสภาพพื้นดินไว้อีกครั้ง ตามด้วยสายรุ้งที่วาดผ่านท้องฟ้านับไม่ถ้วน มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ</p>
<p>หวงฝู่จวินโหรวตื่นตาตื่นใจกับการเปลี่ยนแปลงอันมหัศจรรย์แบบต่างๆ แต่เหมียวอี้กลับกลุ้มใจ แบบนั้นต้องใช้ลมมากขนาดไหนถึงจะพัดให้เมฆหมอกของพื้นที่ขนาดใหญ่สลายไป ให้ตนค่อยๆ หาลักษณะพื้นภูมิเหมือนบนแผนที่จนเจอ?</p>
<p>“คนของปราสาทดำเนินเซียนมาแล้ว! เมื่อครู่นี้คงจะมีคนสังเกตเห็นว่าพวกเราเหาะลงมาจากฟ้า” จงหลีค่วยพลันเอ่ยบอก</p>
<p>เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทางที่จงหลีค่วยมองทันที เห็นคนสิบกว่าคนเรียงแถวกันเข้ามา เหมือนกำลังค้นหามาตลอดทาง</p>
<p>เหมียวอี้พึมพำว่า “ดาวดำเนินเซียนใหญ่ขนาดนี้ ขนาดพวกเราหาที่เหาะลงมาส่งเดชก็ยังถูกพบอีกเหรอ? อย่าบอกนะว่าศิษย์ของปราสาทดำเนินเซียนกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งดาวดำเนินเซียน?”</p>
<p>จงหลีค่วยอธิบายว่า “ดาวดำเนินเซียนไม่เหมือนที่อื่น ที่นี่มีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม สภาพแวดล้อมก็เหมาะสม ให้กำเนิดหลิงชานมากมายอยู่ภายใต้การคลุมของเมฆหมอก ไม่จำเป็นต้องตั้งใจปลูกต้นไม้ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หลิงชานคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการหลอมปรุงยาเม็ดชนิดต่างๆ นี่คือรายได้หลักของปราสาทดำเนินเซียน เพื่อป้องกันไม่ให้คนมาแอบเด็ด ลูกศิษย์ของปราสาทดำเนินเซียนจึงกระจายกำลังอยู่แทบจะทั่วทั้งดาวดำเนินเซียน ที่พวกเราถูกจับได้ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร!”</p>
<p>เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ปี้เยว่ฮูหยินมีความกังวลแบบนั้น</p>
<p>พอพูดจบ ชายหญิงที่สวมชุดขาวสิบคนก็มาเหยียบลงตรงนั้น ล้อมทั้งสามคนเอาไว้ แต่ละคนวรยุทธ์ไม่สูง วรยุทธ์สูงสุดแค่บงกชม่วงขั้นสามเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ระดับบงกชแดงทั้งหมด ทุกคนถือกระบี่ใหญ่อยู่ในมือ จ้องมองอย่างดุร้าย ชายที่เป็นหัวหน้าตะโกนถามว่า “ใครกันบุกมาที่ดาวดำเนินเซียนโดยพลการ?”</p>
<p>แน่นอน ไม่มีใครลงมือเพราะพวกเขาวรยุทธ์ต่ำเช่นกัน ถ้ายั่วยุให้ยอดฝีมือของปราสาทดำเนินเซียนมา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว</p>
<p>จงหลีค่วยกุมหมัดคารวะ “จงหลีค่วย ศิษย์รุ่นที่สี่ของปราสาทดำเนินนภาทักทาย!”</p>
<p>ศิษย์รุ่นที่สี่ของปราสาทดำเนินนภาเหรอ? ศิษย์ทุกคนของปราสาทดำเนินเซียนตกใจ พวกเขาแทบจะเป็นศิษย์รุ่นหกรุ่นเจ็ดแล้ว ลำดับอาวุโสของท่านนี้ ถ้าอยู่ที่ปราสาทดำเนินเซียนอย่างน้อยก็เป็นระดับอาจารย์ปู่ของพวกเขาแล้ว จึงเลิกไม่ให้เกียรติทันที ถึงอย่างไรสิบปราสาทใหญ่ดำเนินก็ยังมีไมตรีต่อกันอยู่</p>
<p>ลูกศิษย์ที่นำหน้ามาถือกระบี่กลับด้าน แล้วกุมหมัดคารวะ ถามด้วยน้ำเสียงที่สุภาพขึ้นไม่น้อย “ท่านสามารถพิสูจน์ได้มั้ยว่าตัวเองเป็นศิษย์ของปราสาทดำเนินนภา?”</p>
<p>จงหลีค่วยหยิบป้ายคำสั่งของปราสาทดำเนินนภามาโยนให้เขา หลังจากอีกฝ่ายรับมาอ่าน ก็คืนป้ายให้จงหลีค่วย แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครก็ไม่รู้</p>
<p>ผ่านไปไม่นานก็มีลำแสงสายหนึ่งพุ่งมาจากเส้นขอบฟ้า ชายวัยกลางคนที่ตรงหว่างคิ้วปกปิดวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกเหยียบลงที่ยอดเขา พอเห็นจงหลีค่วยก็กุมหมัดทักทายด้วยรอยยิ้มทันที “เป็นพี่จงจริงๆ ด้วย! จากกันไปหลายปี จู่ๆ ได้ยินลูกศิษย์มารายงาน ยังนึกว่ามีคนปลอมตัวมาเสียอีก” จากนั้นก็โบกมือให้พวกลูกศิษย์แยกย้ายกันไป</p>
<p>จงหลีค่วยกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ทำไมพี่หวังไม่อยู่ที่ปราสาทเซียน มาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”</p>
<p>ผู้ที่มายิ้มตอบ “แค่ผลัดเวรกันเฝ้ารักษาการณ์เท่านั้นเอง ทำไมจู่ๆ พี่ซงมาที่นี่ล่ะ?”</p>
<p>“ผ่านมาที่นี่พร้อมกับสหาย พวกเขาได้ยินเรื่องทิวทัศน์อันงดงามของดาวดำเนินเซียนมานานแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็น ข้าทำได้เพียงพาพวกเขามารบกวนสักหน่อย กำลังเตรียมจะแจ้งให้สำนักของท่านรู้พอดี นึกไม่ถึงว่าพี่หวังจะมาถึงแล้ว” จงหลีค่วยกล่าวอย่างสุภาพ แล้วแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันทันที “ท่านนี้คือหวังเยี่ยนถง ศิษย์รุ่นสี่ของปราสาทดำเนินเซียน สองคนนี้คือสหายของข้า เหมียวอี้กับหวงโหรว!”</p>
<p>เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวล้วนใช้ชื่อปลอม แต่เหมียวอี้เอาชื่อจริงมาแสร้งเป็นชื่อปลอม ส่วนหวงฝู่ก็ใช้ตัวอักษรที่ออกเสียงเดียวกับชื่อตัวแรกและตัวท้า</p>
<p>ทั้งสองฝ่ายย่อมกล่าวทักทายกันตามมารยาท ส่วนหวังเยี่ยนถงก็แสดงไมตรีของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ เชิญทั้งสามไปยังจวนถ้ำที่พักในปัจจุบันของเขา</p>
<p>…………………………</p>