หลังจากบินมาหลายชั่วโมง รอสไวส์และลีออนก็มาถึงบริเวณพรมแดนระหว่างเขตแดนของมนุษย์และมังกร
รอสไวส์นำทางลีออนไปยังลำธารในหุบเขาที่ไทเกอร์เคยใช้ซ่อนตัวในตอนนั้น
แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าไทเกอร์อยู่ในจักรวรรดิหรือออกเดินทางไปแล้ว แต่ในเมื่อผ่านมาแถวนี้ การแวะตรวจสอบก็คงไม่เสียหายอะไร
ลีออนยืนอยู่ตรงริมหน้าผาสูงชันอย่างน่าหวาดเสียว มองดูสายน้ำตกที่ไหลลงสู่เหวลึกเบื้องล่างแล้วอดไม่ได้ที่จะอุทาน “อาจารย์ของผมเคยซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”
รอสไวส์พยักหน้า “ตอนนี้นายยังคิดว่าอาจารย์ของนายเป็นแค่ชาวนาธรรมดาอยู่อีกไหม?”
แค่การหาสถานที่ซ่อนตัวลับตาแบบนี้ แล้วยังอยู่ได้อย่างปลอดภัยเป็นเวลานาน ชาวนาธรรมดาทำแบบนั้นไม่ได้แน่
ตาแก่เอ๊ย…ยังมีความลับอีกกี่อย่างที่ยังไม่ได้เล่าให้เขาฟังกันนะ?
เมื่อได้เจอกัน ลีออนจะต้องถามให้รู้เรื่องแน่นอน
รอสไวส์บินช้า ๆ ลงไปยังลำธารในหุบเขาพร้อมกับลีออน แล้วหาน้ำตกที่เคยมาในคราวก่อน
เธอกระพือปีกเบา ๆ แรงลมที่เกิดขึ้นทำให้น้ำตกแหวกออกเป็นช่อง เปิดทางให้ทั้งสองลอดผ่าน
เมื่อทั้งสองลอดผ่านม่านน้ำไป ด้านหลังก็เผยให้เห็นถ้ำลับซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใน
ลีออนก้าวเข้าไปในถ้ำ โดยมีรอสไวส์เดินตามเข้าไปด้านหลัง
เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เธอเคยเห็นเมื่อคราวก่อนยังอยู่ที่เดิม…แต่—
รอสไวส์ยืนอยู่ข้างโต๊ะ แล้วเอามือปัดเบา ๆ พบว่ามีฝุ่นจับหนาเตอะ นั่นแสดงว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว
แน่นอนว่า ลีออนก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน เขาเดินวนลึกเข้าไปในถ้ำ แต่ก็ไม่พบอะไร “อาจารย์กับแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
เขาหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเจือความเสียดาย ขณะมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง “แม้แต่ลาตัวนั้นก็ไม่อยู่”
รอสไวส์นึกขึ้นได้ว่าเชอร์ลี่ย์เคยบอกไว้ว่า ก่อนที่ไทเกอร์จะออกจากจักรวรรดิแล้วมาที่สถานที่อันโดดเดี่ยวนี้ เขาได้ขายฟาร์มและปศุสัตว์ทั้งหมดไป ยกเว้นลาแค่ตัวเดียวที่เขานำติดตัวมาด้วย
นั่นแสดงให้เห็นว่าลาสี่ขา หูยาวตัวนี้—เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตไม่กี่อย่างที่สามารถทำร้ายลีออนได้—มีความสำคัญต่อครอบครัวนี้มากทีเดียว และตอนนี้…ทั้งอาจารย์ แม่ของเขา และลาตัวนั้นก็หายไปหมดแล้ว…
“เพราะฉะนั้น ก็เหลือแค่สองความเป็นไปได้เท่านั้น” รอสไวส์พูด “หนึ่ง—อาจารย์ของนายจัดการปัญหาในจักรวรรดิได้แล้ว พาแม่ของนายกับลาตัวนั้นจากไป และตอนนี้ก็กำลังรอนายกลับบ้าน หรือสอง—ปัญหานั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข และมันยุ่งยากกว่าที่เขาคาดไว้มาก จนเขาไม่มีพลังจะดูแลแม่ของนาย จึงพาเธอไปซ่อนไว้ที่อื่นชั่วคราว”
ลีออนพยักหน้า ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพูดว่า “งั้นพวกเรามุ่งหน้าไปต่อกันเถอะ”
รอสไวส์มองสีหน้าของลีออนที่แม้จะดูใจร้อนแต่ก็พยายามเก็บอาการไว้อย่างเงียบ ๆ เธออ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ลังเล
สุดท้าย เธอจึงเอ่ยเสียงเบา ๆ ตอบรับ แผ่ปีกออก แล้วพาลีออนบินออกจากถ้ำลับแห่งนั้น
ระหว่างทาง ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่ออีกเลย
เธอรู้สึกได้ถึงอารมณ์เร่งร้อนแต่กดเก็บไว้อย่างหนักของลีออน ขณะเดียวกัน ลีออนเองก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังเก็บงำบางอย่างไว้ในใจเช่นกัน
สองคนที่ปกติเจอกันทีไรก็มีเรื่องให้เถียงกันตลอด กลับกลายเป็นว่าตอนนี้…ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านหู รบกวนจิตใจของลีออนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเข้าสู่เขตแดนของมนุษย์ รอสไวส์ก็ร่ายเวทล่องหนทันที และลดความเร็วลง บินด้วยท่าทีระมัดระวังมากขึ้น
เขตแดนของมนุษย์ไม่ใช่ที่ที่ใครจะบุกรุกได้ตามใจ ยิ่งเข้าใกล้เท่าไร อันตรายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ตอนที่ลีออนเพิ่งฟื้นคืนสติใหม่ ๆ รอสไวส์เคยพาเขากลับมาที่ป่าใกล้ ๆ กับจักรวรรดิ
หลังจากผ่านช่วงเวลาแสนทรมานนั้น เธอที่ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกพุ่งพล่าน เคยขู่เขาด้วยความสะใจว่า ตั้งแต่นี้ไปจะพาเขามาที่นี่ทุกเดือน เพื่อเหยียบย่ำศักดิ์ศรีและความเชื่อของเขาให้ย่อยยับ
แต่ครั้งนั้นกลับกลายเป็นครั้งเดียวที่เธอพาเขามาที่นี่จริง ๆ รอสไวส์ไม่สามารถเสี่ยงมากขนาดนั้น เพียงเพื่อจะทรมานลีออน
ไม่คาดคิดเลยว่า…การกลับเข้าดินแดนมนุษย์อีกครั้งของพวกเขา จะมีวัตถุประสงค์ที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง จาก “จะกักเขาไว้ข้างกายตลอดไป” กลายเป็น “พาเขากลับสู่บ้านเกิดด้วยมือตัวเอง”…ความต่างระหว่างสองสิ่งนี้ช่างรุนแรง และความว่างเปล่าในใจราชินี…ก็รุนแรงเช่นกัน
หลังจากบินมาอีกหลายชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจักรวรรดิ
รอสไวส์ลงจอดในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอเคยใช้เป็นจุดพักคราวก่อน ที่นี่สามารถมองเห็นจักรวรรดิได้จากระยะไกล ลีออนยืนอยู่บนจุดสูง มองบ้านเกิดของตนที่อยู่ลิบ ๆ
แสงไฟระยิบระยับสะท้อนอยู่ในดวงตาสีเข้มของเขา และในชั่วขณะนั้น เขาก็รู้สึกสับสนปนเปไปหมด บ้านก็ยังคงเป็นบ้าน แต่…“จักรวรรดิ” ยังเป็น “จักรวรรดิ” เดิมหรือไม่?
ครั้งก่อนที่พวกเขามาที่นี่ มันคือศรัทธาในใจของลีออน คือหลักยึดที่เขายอมสละชีวิตเพื่อปกป้อง แต่ตอนนี้…มันกลับดูคล้ายอสูรร้ายที่หลับใหล ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อเข้าใกล้ มันจะกระดิกหางอย่างเชื่องกับลีออน หรือจะอ้าปากกว้างเปื้อนเลือดแล้วคำรามใส่เขาแทน
ลีออนกำหมัดแน่นโดยไม่เอ่ยคำใด ลมหายใจเริ่มหนักขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ เขาแทบไม่เคยรู้สึกกลัวสิ่งใดที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นมังกร สิ่งมีชีวิตอันตราย หรืออะไรก็ตาม ลีออนไม่เคยกลัวเลย
แต่ในตอนนี้ เมื่อเขาจ้องมองไปยังจักรวรรดิที่เคยสาบานจะปกป้องด้วยชีวิต ความหวาดกลัวที่ไร้ที่มาก็ค่อย ๆ กัดกินหัวใจของเขา
อาจารย์เคยบอกไว้ว่า สัตว์ประหลาดที่จับต้องได้ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวกว่าสัตว์ประหลาด…คือจิตใจของมนุษย์ ที่ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้
ดวงตาของลีออนสั่นไหวเบา ๆ ความเย็นยะเยือกอย่างรุนแรงพัดซัดเข้ามาราวกับน้ำหลาก จนเขาหายใจแทบไม่ออก เขาก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวที่ไร้รูปร่างนั้นหนักหนาจนแทบแบกรับไม่ไหว
แต่ในชั่วขณะนั้นเอง คลื่นความอบอุ่นก็กระจายไปทั่วแผ่นหลังของเขา ลีออนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงมอง แขนเรียวยาวข้างหนึ่งกำลังกอดรอบเอวของเขาไว้อย่างแนบแน่น
ความนุ่มนวลและอบอุ่นจากทางด้านหลังที่โอบกอดเขาไว้ ได้สลายความกลัวและความเย็นยะเยือกทั้งหมดในใจของลีออนไปในทันที
“รอสไวส์…”
เขาอยากจะหันกลับไปมองเธอ แต่เจ้าของเสียงที่อยู่ข้างหลังก็สั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่าขยับ…อย่าหันกลับมา”
ลีออนรู้สึกได้ว่ารอสไวส์ค่อย ๆ เอนหน้าผากมาซบแผ่นหลังของเขา เธอไม่ได้กอดเขาแน่นนัก อาจเพราะไม่กล้า…หรืออาจเพราะไม่สามารถทำได้
ลีออนมองมือละเอียดอ่อนที่โอบรอบหน้าท้องของเขาอยู่ มือที่นุ่มนวล ผิวหลังมือขาวเนียน ปลายนิ้วเรียวยาว เล็บสะท้อนแสงชมพูระเรื่ออ่อน ๆ เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมือลงเบา ๆ คลุมมือของรอสไวส์ที่เย็นเล็กน้อยไว้อย่างอ่อนโยน
สายลมเย็นยามเย็นพัดผ่านเข้ามาในป่า ใบไม้รอบข้างพลิ้วไหวตามแรงลม เสียงจิ้งหรีดดังแว่วจากความมืด หิ่งห้อยบินว่อนล้อมรอบทั้งคู่ และแสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องว่างของใบไม้ ก็โปรยปรายลงบนเส้นผมสีเงินของพวกเขาทั้งสองอย่างไม่ตระหนี่
เบื้องหน้าของลีออนคือจักรวรรดิที่เต็มไปด้วยอันตราย ซึ่งรอให้อาจารย์ของเขาเป็นผู้รับมือ ส่วนเบื้องหลังของเขา…คือ ‘ศัตรู’ ในอดีต และคนที่เขาอยู่เคียงข้างทั้งเช้าและค่ำ
หลังความเงียบยาวนาน ลีออนก็พูดขึ้นเบา ๆ “หลังจากผมจัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผมจะ—”
“ใครบอกว่าฉันจะรอ” รอสไวส์พูดแทรกทันทีโดยไม่ให้เขาพูดจบ น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนเด็กดื้อที่กำลังงอนอยู่
เธออดทนมาหลายวันแล้ว แม้กระทั่งตอนเดินทางมาก็ยังเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่นาทีก็ต้องแยกจากผู้ชายคนนี้ เธอทำได้แค่เฝ้านับถอยหลัง
เธออยากเอาแต่ใจ…สักครั้งก็ยังดี แม้จะเป็นเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
“ฉันเป็นอะไรกับนาย…ทำไมฉันต้องรอ? ฉันไม่รอหรอก ไม่อยากรอด้วยซ้ำ”
ลีออนเม้มปากแน่น ไหล่ทั้งสองตกลงอย่างอ่อนแรง “ขอโทษนะ”
เธอกอดเขาแน่นขึ้น เสียงสั่นเครือเจือสะอื้นจนแทบกลั้นไว้ไม่ไหว “อย่าเป็นอะไรไปนะ…ลีออน ได้โปรด อย่าได้เกิดเหตุร้ายกับนายเลย…”
ใช่—การเอาแต่ใจ ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับเธอเลยจริง ๆ
ลีออนกัดริมฝีปากแน่น มือกำข้อมือของรอสไวส์แน่นราวกับจะถ่ายทอดความแน่วแน่ในใจให้เธอรับรู้ “ผมสัญญา รอสไวส์…ผมจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นแน่นอน”
เธอไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แค่ยังกอดเขาจากด้านหลังอย่างแน่นหนา
หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง ลีออนก็เอ่ยถามเบา ๆ “แล้วเราจะอธิบายให้ลูก ๆ ฟังยังไงดี?”
“ฉันจะเป็นคนพูดเอง” รอสไวส์ข่มอารมณ์แล้วตอบ
“ถ้านายยังจัดการปัญหาในจักรวรรดิร่วมกับอาจารย์ไม่ได้ในระยะสั้น…ทุกสามเดือน ถ้านายยังมีชีวิตอยู่ ก็ไปที่ลำธารในหุบเขาที่อาจารย์ของนายเคยซ่อนตัวไว้นั่น ที่นั่นเป็นพรมแดนระหว่างโลกมนุษย์กับมังกร น่าจะปลอดภัยพอ ฉันจะอธิบายให้ลูก ๆ เข้าใจ แล้วพาพวกเธอไปเยี่ยมนาย”
เรื่องนี้ดูไม่เหมือนการตัดสินใจชั่ววูบเลย—ลีออนคิด รู้จักนิสัยเธอดีขนาดนี้ เขาแน่ใจว่าเธอวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว
“ได้ยินไหม?” เธอเอาหน้าผากชนแผ่นหลังของลีออนเบา ๆ
“ได้ยิน ๆ ผมได้ยินแล้ว”
“ทุกสามเดือน นายต้องไปที่นั่น ห้ามเบี้ยว เข้าใจไหม?”
‘ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ไปที่นั่น’ ‘ทุกสามเดือน ห้ามไม่ไปเด็ดขาด’
วิธีพูดแบบนี้…มันตรงไปตรงมาสุด ๆ แล้ว สำหรับรอสไวส์
เธอต้องการให้ลีออนมีชีวิตอยู่ต่อ
“จำไว้นะ ผมจะไปตรงเวลาตามนัดแน่นอน” ลีออนให้คำมั่น
รอสไวส์หลับตาลง แล้วถอนหายใจยาว
“สุดท้าย…ตั้งชื่อลูกสาวคนเล็กของเรากันเถอะ”
“ให้ผมเป็นคนเลือกไหม?”
รอสไวส์พยักหน้า แล้วรีบเสริมขึ้นว่า “ห้ามมีคำว่า ‘ดวงดาว’ หรือ ‘ป่าเถื่อน’ นะ”
เมื่อพูดจบ ทั้งคู่ก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน
เธอค่อย ๆ หันหน้าแนบแก้มลงบนแผ่นหลังของลีออน กอดเขาแน่นขึ้น และปล่อยให้ร่างของทั้งสองแกว่งไกวไปตามสายลมยามเย็น
ลีออนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “งั้นตั้งชื่อว่าออโรร่าละกัน ความหมายคือ ‘รุ่งอรุณ’ และ ‘แสงสว่าง’ ลูกสาวคนเล็กของเราเกิดตอนรุ่งสางพอดี”
“ออโรร่า… อืม ชื่อนี้แหละ ดีแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของรอสไวส์ค่อย ๆ จางลง เธอคลายอ้อมกอดจากลีออนอย่างอ้อยอิ่ง ถอยหลังออกไปสองสามก้าว มองร่างของเขาเงียบ ๆ
“ไปเถอะ แคสมอร์ด ไปทำในสิ่งที่นายต้องทำ”
ชายตรงหน้าเธอหันกลับมาครึ่งหนึ่ง แสงจันทร์สะท้อนบนใบหน้าด้านข้างที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ปอยผมปลิวไหวตามแรงลม
เขาพยักหน้า แล้วเริ่มก้าวเดินออกไป มุ่งหน้าสู่สัตว์ร้ายที่เงียบสงบในระยะไกล
ราชินีมังกรเงินมองดูแผ่นหลังของเขาที่ค่อย ๆ ห่างออกไป แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ลีออน ขอโชคจงสถิตย์ในตัวนาย…”
MANGA DISCUSSION