“ความเสียใจ”
ความเสียใจอันสุดซึ้ง…
และ “โถมทับ” จนยากจะต้านทาน
…
เมื่อมังกรตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของตัวเอง—
พวกเขามักจะทำอะไรตามใจโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง
แม้แต่ตัวเอง… ยังควบคุมมันไม่ได้เลย
…
บรรพบุรุษคนไหนกันนะ… ที่ฝังนิสัยแย่ ๆ นี้ลงไปในสายเลือดของเผ่าพันธุ์?
และทำไม— มันถึงไม่เปลี่ยนไปเลย ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา?
…
เช้าวันรุ่งขึ้น—
รอสไวส์ปรากฏตัวที่โต๊ะอาหาร… แบบ “หมดสภาพ”
…
เธอไม่ได้หวีผม
ไม่ได้แต่งหน้า
ใต้ตายังมีรอยคล้ำจาง ๆ
…
หลังจากเผลอโยน “รูปถ่ายของเธอกับลีออน” ทิ้งไปเมื่อคืน—
เธอก็นอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน
…
ส่วนลีออนเองก็ใช่ว่าจะต่างกันนัก
ดูเหมือนว่าเขาจะกลับมาที่เตียงเอาตอนเกือบรุ่งเช้า…
และได้หลับไปแค่ “ครึ่งชั่วโมง” เท่านั้น
ก่อนที่แอนนาจะมาปลุกไปกินอาหารเช้า ทั้งสองคนนอนหันหลังให้กันบนเตียง ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกคนยังตื่นอยู่ แต่ไม่มีใครเอ่ยปากก่อน
พวกเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้นับเป็นการทะเลาะกันหรือเปล่า
ถ้าใช่ แล้วทำไมมันถึงไม่เหมือนเมื่อก่อน? ทำไมถึงไม่มีคำพูดแหลมคมที่ใช้โจมตีกันและกัน จนจบลงด้วย “ศึกมังกรกับมนุษย์” สุดเร่าร้อนที่ปิดฉากเรื่องทั้งหมด?
แต่ถ้ามันไม่นับว่าเป็นการทะเลาะกัน แล้วพวกเขาจะอธิบายความรู้สึกสับสนวุ่นวายนี้ยังไง?
ที่โต๊ะอาหารเช้า มูนดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติระหว่างพ่อกับแม่
เธอกินข้าวเงียบ ๆ ไม่อ้อนหรือเล่นซนเหมือนทุกที
มังกรน้อยคิดในใจว่าเดี๋ยวตอนพ่อสอนเวทมนตร์ เธอจะลองถามดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เธอไม่เข้าใจว่าความดื้อรั้นคืออะไร ไม่รู้ว่าการปากไม่ตรงกับใจเป็นยังไง และไม่รู้ว่าความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาหมายถึงอะไร เธอรู้แค่ว่าทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ พ่อกับแม่มักจะพูดความในใจก็ต่อเมื่อแยกจากกันแล้ว
ลีออนนั่งแทะขนมปังเงียบ ๆ ขณะที่รอสไวส์เพียงจิบน้ำเป็นครั้งคราว ทิ้งอาหารเสริมกับผลไม้บนจานโดยไม่แตะต้อง
นี่เป็นมื้อเช้าที่เงียบที่สุดของครอบครัวเมลค์วีในรอบหลายเดือน
มูนกินเสร็จเงียบ ๆ ก่อนกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “พ่อ หนูจะรอที่สนามฝึกนะ”
ลีออนหลุดออกจากภวังค์ “หืม? อ้อ… ได้เลย พ่อจะตามไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“โอเค ๆ”
มูนออกจากห้องไป
ลีออนละสายตาก่อนหันไปมองรอสไวส์ เขาพยักพเยิดไปที่อาหารเสริมกับผลไม้บนจานของเธอ “เธอน่าจะกินสักหน่อยนะ ไม่งั้นมันจะเสียเปล่า”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย”
ยอดเยี่ยมเลย ตอนนี้เธอโกรธจริง ๆ แล้ว
ก่อนหน้านี้รอสไวส์ก็เคยโกรธลีออน แต่ความโกรธแบบนั้นมัน “เป็นมังกร” มากกว่า มีความเย่อหยิ่งสูงส่งราวกับกำลังบอกว่า “ราชินีผู้นี้ขี้เกียจลดตัวลงมาเถียงกับเจ้า เจ้าก็ไม่คู่ควรจะฟังมันอยู่แล้ว เพราะงั้นข้าจะเป่าหายไปซะเลย”
แต่คราวนี้ ความโกรธของรอสไวส์ทำให้ลีออนรู้สึกเหมือนภรรยาของปรมาจารย์จอมยุทธที่กำลังงอนสามี
เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หนึ่ง ตอนที่อาจารย์ของเขาสัญญาว่าจะพาภรรยาไปช้อปปิ้ง เธอแต่งตัวสวยเป็นพิเศษ แม้แต่เดรสตัวโปรดที่ไม่ค่อยกล้าสวมก็หยิบมาใส่
แต่วันนั้น อาจารย์กลับติดธุระจนผิดนัด
สามวันให้หลัง ไม่ว่าอาจารย์เขาจะง้อแค่ไหน เธอก็ไม่ปริปากพูดกับเขาเลย คำตอบเดียวที่ให้ได้ก็คือ
“อืม”
มันไม่ใช่ความโกรธเสียทีเดียว แต่เป็นอาการงอนมากกว่า
ลีออนรู้สึกว่าสถานการณ์นี้เป็นเรื่องยุ่งยากที่สุด—ทั้งอาจารย์ของเขาและสถาบันนักล่ามังกรไม่เคยสอนวิธีปราบมังกรสาวที่กำลังงอนได้เลย
เขาเคยปลอบลาได้สำเร็จมาก่อน แค่เอาฟางสองกำให้มัน มันก็สะบัดหางอย่างพอใจแล้วกลับไปทำงานต่อ
แต่แน่นอนว่า ลากับมังกรอยู่กันคนละระดับ จะเอามาเทียบกันไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้รอสไวส์กำลังตั้งท้องลูกคนที่สอง อารมณ์ของเธอยิ่งแปรปรวนไปหมด ทำให้ลีออนยิ่งไม่รู้จะรับมือยังไง
ขณะที่เขากำลังกลุ้มใจ ก็สังเกตเห็นรอสไวส์ค่อย ๆ หยิบผลไม้บนจานมากิน ทีละชิ้น ทีละชิ้น นั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม หลังจากกินผลไม้หมดแล้ว รอสไวส์ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอลุกขึ้น เดินกลับเข้าห้องนอน และปิดประตูตามหลังไป
ลีออนเกาหลังแก้ม ก่อนจะเคี้ยวขนมปังคำสุดท้ายให้หมด
เขาคิดว่าควรไปคุยกับรอสไวส์ดีไหม แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด รอสไวส์ก็คงไม่เปิดประตูให้แน่ ๆ
เขารู้จักเธอดี—ถ้ารอสไวส์ดื้อขึ้นมา ต่อให้เป็นมังกรแปดตัวก็ฉุดเธอกลับมาไม่ได้
ขมวดคิ้วครุ่นคิด ลีออนตระหนักว่าต่อให้จะรักษาอาการป่วย ก็ต้องหาสาเหตุให้ได้ก่อน เขาต้องแก้ปัญหาต้นตอที่ทำให้รอสไวส์งอน
การทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของคำพูดเท่านั้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ลีออนคงไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะโกรธหรือเปล่า ต่อให้เธอพองตัวเป็นปลาปักเป้า เขาก็คงไม่ใส่ใจ
แต่…แต่ตอนนี้มังกรสาวกำลังตั้งท้อง
ความเครียดไม่ดีต่อเด็กในท้อง
ยิ่งเธอสงบลงเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อทุกคน รวมถึงลูกของพวกเขาด้วย
เมื่อตัดสินใจได้ และมีเหตุผลที่สมบูรณ์แบบรองรับการกระทำของตัวเอง ลีออนจึงมุ่งหน้าไปยังสนามฝึก
มูนเห็นพ่อมาคนเดียวก็รีบวิ่งเข้าหาเขาทันที
ลีออนยิ้มบาง ๆ ก่อนก้มลงอุ้มลูกสาวขึ้นมา “วันนี้อยากเรียนอะไรดี?”
“พ่อกับแม่ทะเลาะกันเหรอ?” มูนถามตรงประเด็น
ลีออนชะงักไปเล็กน้อย พอเห็นสีหน้าจริงจังของลูกสาว ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอจับความตึงเครียดระหว่างเขากับรอสไวส์ได้ตั้งแต่มื้อเช้า
ถึงแม้ว่าลูกสาวตัวน้อยจะชอบอ้อนเป็นหลัก แต่ลีออนก็รู้ดีว่าเหมือนกับโนอา มูนเป็นเด็กที่สังเกตอะไรเก่งมาก ต่างกันแค่โนอาจะพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ในขณะที่มูนมองทุกอย่างจากมุมมองของเด็กมากกว่า
ลีออนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มและบีบแก้มลูกสาวเบา ๆ “ไม่หรอก พ่อกับแม่ไม่ได้ทะเลาะกัน”
ในสายตาของมูน ครอบครัวต้องเป็นสถานที่ที่สงบสุข มีความสุข และไม่มีความขัดแย้ง นี่เป็นสิ่งที่ลีออนกับรอสไวส์ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก—ไม่ว่าพวกเขาจะรักหรือทะเลาะกันแค่ไหน ก็ไม่ควรให้เรื่องของพวกเขากระทบลูก ๆ เพราะเด็ก ๆ ไม่มีความผิด
นั่นเป็นเหตุผลที่ลีออนไม่ได้พูดความจริง
แต่มูนเป็นเด็กฉลาด “จริงเหรอคะ พ่อ?”
“จริงสิ พ่อจะโกหกลูกได้ยังไง?”
“แต่เมื่อเช้า พ่อกับแม่ไม่พูดกันเลย ปกติมีเรื่องคุยกันเยอะแยะไม่ใช่เหรอ?”
ลีออนกระพริบตาปริบ ๆ “ปกติ… พ่อกับแม่คุยกันเยอะเหรอ?”
มูนพยักหน้ามั่นใจ “ใช่ ๆ! ถึงพ่อกับแม่จะไม่ค่อยได้เจอกันตอนกลางวัน แต่พอได้อยู่ด้วยกันทีไร ก็มีเรื่องคุยกันไม่จบไม่สิ้นเลย!”
ลีออนไม่เคยสังเกตเรื่องนี้มาก่อน
เขากับรอสไวส์คุยกันไม่หยุดทุกครั้งที่เจอกันจริงหรือ?
พอลองย้อนคิดดู ลีออนก็เริ่มรู้สึกว่ามูนอาจจะพูดถูก บทสนทนาของเขากับรอสไวส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปหรือถกเถียงกันอย่างดุเดือด ล้วนมีจังหวะและความคุ้นเคยที่เป็นธรรมชาติสำหรับพวกเขา บางทีอาจเป็นเพราะความเคยชินและการพูดคุยกันตลอดเวลานี่เอง ที่ทำให้ความเงียบในมื้อเช้าดูผิดปกติจนมูนสังเกตได้
แต่… หรือบางทีอาจจะไม่ใช่แบบนั้น ลีออนคิด ลูกสาวเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
“บางทีแม่อาจจะไม่ค่อยสบาย เลยพูดน้อยลง”
ลีออนลูบหัวมูนเบา ๆ “พ่อสัญญาเลยนะว่าพรุ่งนี้เช้า พ่อกับแม่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
เขาได้แต่ภาวนาในใจว่าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้ เขาจะทำให้ยัยมังกรอารมณ์ดีขึ้นได้สำเร็จ
มูนกระพริบตากลมโต ก่อนจะกอดคอลีออนแน่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พ่อ”
“หืม?”
“หนูคิดว่าพ่อกับแม่เหมือนเม่นสองตัว” มูนพูดด้วยท่าทางจริงจังสุด ๆ
ลีออนชะงักไปทันที เปรียบเทียบประหลาดอะไรเนี่ย?
เขากับรอสไวส์ไปเหมือนเม่นตรงไหนกัน?
“ทำไมคิดแบบนั้น?” ลีออนถาม
“ก็พ่อกับแม่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยหนามข้างนอก แต่ข้างในนุ่มนิ่ม”
“เอ่อ… แปลกดีนะ โอเค”
ลีออนไม่รู้จะตอบยังไงกับการเปรียบเทียบสุดแปลกของลูกสาว เลยทำได้แค่พยักหน้าแล้วบอกว่า “น่าสนใจดี”
แต่คำพูดต่อมาของมูนกลับกระทบใจลีออนโดยไม่คาดคิด
“ถ้าพ่อกับแม่ไม่เก็บหนามของตัวเอง ก็จะกอดกันจริง ๆ ไม่ได้สักที ไม่พ่อก็แม่ต้องโดนหนามทิ่ม”
ด้วยภาษาง่าย ๆ แบบเด็ก ๆ มูนกลับพูดความจริงบางอย่างที่ลีออนไม่เคยนึกถึงมาก่อน
“เพราะงั้น ถ้าพ่อกับแม่ยอมเก็บหนามของตัวเอง ก็จะกอดกันได้ใช่ไหม?”
ลีออนนิ่งไปชั่วขณะ ตกใจกับความเฉียบแหลมในคำพูดของลูกสาว
มันเป็นคำพูดที่เรียบง่าย แต่กลับลึกซึ้งเกินกว่าที่เขาจะมองข้ามไปได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขากับรอสไวส์ต่างตั้งกำแพงป้องกันตัวเองไว้เสมอ ไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามันเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ให้พวกเขาเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง
คำพูดไร้เดียงสาของมูนทำให้ลีออนเริ่มมองความสัมพันธ์ของเขากับรอสไวส์ในมุมใหม่
ลีออนยืนนิ่งไปชั่วขณะ ไร้คำพูดจะเอ่ย
เขากับรอสไวส์พยายามแสดงความรักและความกลมเกลียวให้มูนกับโนอาเห็นเสมอ แต่สุดท้าย มูนก็ยังมองว่าพวกเขาเป็น “เม่นสองตัว” อยู่ดีหรือ?
มีสิ่งหนึ่งที่ลีออนมองข้ามไป—จิตใจของเด็กนั้นบริสุทธิ์และไม่ถูกแต่งแต้ม พวกเขารับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างลึกซึ้ง ต่อให้พ่อกับแม่จะสร้างภาพลวงตาไว้แนบเนียนแค่ไหน ก็ต้องมีรอยร้าวที่เด็ก ๆ มองเห็นอยู่ดี
ลีออนไม่รู้แน่ชัดว่าลูกสาวมองความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างไร แต่ชัดเจนว่ามันไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาคิด
เขากับรอสไวส์ประเมินลูก ๆ ต่ำไป และมองข้ามความซับซ้อนของละครครอบครัวที่พวกเขาแสดงมาโดยตลอด
ลีออนกอดมูนไว้เงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวและพูดช้า ๆ ว่า
“พ่อเข้าใจแล้วว่าต้องทำอะไร ขอบใจนะ มูน”
ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าจริงจังของมูนก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในที่สุด “ไม่เป็นไรค่ะ พ่อ!”
“แต่ไปเรียนการเปรียบเทียบแปลก ๆ แบบนี้มาจากไหนกัน? พ่อไม่เคยสอนเลยนะ”
“จาก ‘นิทานเปิดโลกมังกรน้อย’ เรื่อง ‘เม่นคู่รักค่ะ’!” มูนตอบอย่างจริงจัง
ฟังดูเหมือนนิทานสั้น ๆ ในแบบเรียนของเด็กประถมชัด ๆ
แต่ก็นั่นแหละ—เรื่องราวที่เรียบง่ายที่สุดมักแฝงไปด้วยความจริงที่ลึกซึ้ง บางครั้งความจริงเหล่านั้นซับซ้อนจนผู้ใหญ่อย่างพวกเขาเข้าใจได้ยาก ในขณะที่เด็ก ๆ กลับจับแก่นแท้ของมันได้อย่างง่ายดาย
ขอบคุณผู้เขียน ‘นิทานเปิดโลกมังกรน้อย’ และขอบคุณเรื่อง ‘เม่นคู่รัก’ ด้วย!
เมื่อลำดับความคิดได้แล้ว ลีออนกับมูนก็เริ่มบทเรียนของวันใหม่
ยามเที่ยงคืน ชายที่นอนข้างเธอหลับสนิทไปนานแล้ว รอสไวส์ค่อย ๆ ลุกขึ้น นำผ้าห่มออกและแอบก้าวลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง
เธอสวมชุดนอนคู่สีชมพูพร้อมรองเท้าแตะลายปีกมังกร ค่อย ๆ ย่องออกจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบ อากาศภายนอกเย็นลงเพราะฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว รอสไวส์กอดอกแน่นขึ้นเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ก่อนจะลัดเลาะผ่านยามที่เฝ้าประตูหลังของสถานศักดิ์สิทธิ์ มุ่งหน้าไปยังพุ่มไม้ใกล้ ๆ
เธอเงยหน้าขึ้นมองเพื่อยืนยันว่าตำแหน่งตรงนี้อยู่ใต้ระเบียงห้องนอนของเธอพอดี จากนั้นก็ก้มลงเริ่มค้นหา
รูปถ่าย…
ที่เธองอน ไม่ใช่เพราะลีออนเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเธอเอง
ทำไมเธอต้องดื้อรั้นขนาดนี้? ทำไมเธอถึงใส่ใจกับศักดิ์ศรีมากมายขนาดนั้น?
ถ้าเธอยอมอ่อนลงสักหน่อยแล้วบอกลีออนไปว่า “ฉันก็แค่อยากเก็บรูปนี้ไว้ นายจะมายุ่งอะไรด้วย?” เรื่องมันก็คงจบลงง่าย ๆ
แต่ตอนนี้ เธอกลับต้องมาคลำหามันอยู่กลางความมืด
เฮ้อ… ความสุขชั่ววูบของคนปากแข็ง นำมาซึ่งความเสียใจไปตลอดชีวิต บาปที่ก่อขึ้นมา ก็ต้องค่อย ๆ ชดใช้เอง
“ถ้าหาเจอเมื่อไหร่ ฉันจะซ่อนไว้ในที่ที่หมอนั่นไม่มีวันหาเจอ!” รอสไวส์คิดในใจ
แต่ก็ผ่านมาเกินยี่สิบชั่วโมงแล้วตั้งแต่เธอปาทิ้งไป ไหนจะสายลมที่พัดพามันไปอีก ใครจะรู้ว่าตอนนี้รูปนั้นปลิวไปอยู่ที่ไหนแล้ว?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน มองอะไรบนพื้นก็แทบไม่เห็นเลย
หลังจากค้นหามานานกว่ายี่สิบนาที รอสไวส์ก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของรูปถ่าย
ความผิดหวังเริ่มเกาะกินหัวใจ เธอทรุดตัวลงนั่ง กอดเข่าช้า ๆ แล้วซบหน้าลงกับแขนของตัวเอง
อากาศเย็นรอบตัวค่อย ๆ ซึมเข้าสู่ร่างกาย หางสีเงินของเธอลู่ตกกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
รูปถ่ายใบนั้นเป็นภาพแคนดิดที่ไม่ซ้ำใครในโลกนี้ ถ้ามันหายไป… ก็คงไม่มีวันได้คืนมาอีกแล้ว
เธอเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงยึดติดกับมันนัก แรกเริ่มเธอยังลังเลด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงกับมันดี แต่พอเวลาผ่านไป ภาพถ่ายใบนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายขึ้นมาอย่างประหลาด เป็นความรู้สึกที่อธิบายเป็นคำพูดได้ยาก
บางที… ถ้าหามันเจอ เธออาจจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองก็ได้
แต่… เธอกลัวเหลือเกินว่าบางที เธออาจไม่มีวันเจอมันอีกแล้ว—
“กำลังหาสิ่งนี้อยู่เหรอ?”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้าง ๆ
ร่างของรอสไวส์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากแขนของตัวเอง
ภาพถ่ายที่เธอตามหาจนแทบพลิกแผ่นดิน ตอนนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว
ในภาพนั้น เธอกับเชลยกำลังจ้องตากันและกัน พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ แสงอาทิตย์ส่องผ่านกระจกของสตูดิโอถ่ายภาพ ทาบทอเส้นผมสีเงินของเธอเป็นประกาย ในขณะเดียวกันก็สะท้อนอยู่ในดวงตาสีเข้มของชายตรงหน้า ทำให้มันดูเจิดจ้ายิ่งขึ้น
ชายคนนั้นนั่งยอง ๆ ลงข้างเธอ ลดระดับสายตาให้อยู่ในระดับเดียวกัน เขายื่นภาพถ่ายมาตรงกลางระหว่างพวกเขา
“ผมเจอมันตอนฝึกกับมูนวันนี้นะ บอกไว้ก่อนเลยว่าเจอโดยบังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจหาแบบเธอนะ”
รอสไวส์พยายามกลั้นยิ้ม “ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจมาหาหรอก แค่…ออกมาเดินเล่นเฉย ๆ”
“โอ้ ฝ่าบาท ออกมาเดินเล่นถึงพุ่มไม้เลยเหรอ? หรือว่าเดินหลงทาง?”
“ไปตายซะ” รอสไวส์กระแทกไหล่เขาเบา ๆ
เพราะทั้งคู่ยังนั่งยอง ๆ อยู่ การทรงตัวเลยไม่ค่อยดีนัก ลีออนเสียหลักล้มลงไปนั่งกับพื้น
เขานั่งนิ่ง มองภาพถ่ายในมือก่อนพึมพำขึ้นมา “รู้ไหมว่ามูนพูดอะไรเกี่ยวกับเธอ?”
“ว่าไง?”
“เขาบอกว่าเธอเหมือนเม่น”
ราชินีกรอกตาก่อนหัวเราะเบา ๆ “อย่ามาโกหก มูนต้องพูดถึงพวกเราทั้งคู่ต่างหาก”
“ฮ่า ๆ ที่รักหัวแหลมจริงๆ”
“หุบปากไปเลย ใครบอกว่าฉันเป็นที่รักของนาย”
รอสไวส์ลุกขึ้น ก่อนยกเท้าเตะก้นลีออนทีหนึ่ง แล้วเดินกลับไปทางประตูของสถานศักดิ์สิทธิ์โดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมอง
ลีออนรีบลุกขึ้นตาม แล้วก้าวเท้าตามหลังเธอไปอย่างรวดเร็ว
ยามที่เฝ้าประตูหลังของสถานศักดิ์สิทธิ์เห็นราชินีกับองค์ชายเดินกลับมาในชุดนอนตอนกลางดึก ต่างก็คิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปแล้ว
“ทำความเคารพพะยะค่ะ ฝ่าบาท! องค์ชาย!” ยามเอ่ยทัก
รอสไวส์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนส่งเสียงตอบรับเบา ๆ
ระหว่างที่ลีออนเดินผ่าน เขาตบไหล่ยามเบา ๆ “อืม… ผมกับราชินีออกมาตรวจตราน่ะ นายเฝ้าได้ดีมาก พรุ่งนี้เดี๋ยวเลื่อนตำแหน่งให้เลย”
ตรวจตราในชุดนอนคู่?
ยามยืดตัวตรงทันที อกผายไหล่ผึ่ง “ขอบพระทัยพะยะค่ะ องค์ชาย!”
ทั้งคู่เดินกลับเข้าห้องนอนตามกันไป
“เธอจะเก็บรูปไว้ที่ไหน?” ลีออนถาม
“จะไว้ที่ไหนก็เรื่องของฉัน” รอสไวส์ตอบก่อนล้มตัวลงบนเตียง
“หึ พยายามทำดีด้วยแท้ๆ แต่เธอกลับทำเหมือนผมเป็นไอ้งั้ง คิดว่าผมอยากรู้นักรึไง”
ลีออนโยนรูปถ่ายที่อุตส่าห์ไปเก็บมาอย่างยากลำบากลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะล้มตัวลงบนเตียงตาม
คืนนั้น ทั้งสองหลับสนิท
เช้าวันต่อมา ลีออนค่อย ๆ ลืมตาตื่น
รอสไวส์นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังเตรียมตัวสำหรับวันใหม่
เขาลุกขึ้นนั่งช้า ๆ พลางเหลือบมองไปที่โต๊ะข้างเตียงอย่างไม่ตั้งใจ
ภาพถ่ายของเขากับรอสไวส์ ตอนนี้ถูกใส่กรอบอย่างประณีต วางอยู่ข้าง ๆ รูปครอบครัวของพวกเขาทั้งสี่คน
MANGA DISCUSSION