“มีที่ล่าดีๆอยู่ที่หนึ่งนะ~”
ในที่สุดเราก็มาถึงชั้น 3 ของดันเจี้ยนซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง และกำลังถกเถียงกันว่าจะล่าที่ไหนดี นิตตะซังก็เสนอที่ล่าซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นชั้น 5 ไอ้ “ที่ล่าดีๆ” ที่ว่านี้คงหมายถึงการล่อออร์คลอร์ดให้ตกลงมาจากสะพานล่ะมั้ง
ก่อนหน้านั้น ก็มีปัญหาว่าถ้าตอนนี้ไปชั้น 5 แล้วกลับมา เวลาสำหรับล่าก็จะเหลือน้อยนิดเท่านั้น—ถ้าหากไม่ใช้ประตูวาร์ป
บางทีเธออาจจะตั้งใจจะเล่าเรื่องนี้หรือเปล่า? ถ้าจะเล่า ผมคงต้องลองถามเธอดูก่อนว่าเธอคิดยังไงกับความรู้จากเกมและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
“(ขอเวลาสักหน่อยนะ)”
ผมเรียกนิตตะซังให้เข้ามาใกล้ๆ
“(เอ่อ… นิตตะซังตั้งใจจะเล่าเรื่องไปถึงไหนเหรอ?)”
“(ซัทสึกิเชื่อใจได้นะ~ ฉันตั้งใจจะเล่าหลายอย่างเลยล่ะ~ …แล้วก็ ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เรียกว่า ริสะ น่ะ?)”
เธอเอานิ้วมาจิ้มๆแก้มผมพร้อมกับขอให้แก้ไขเมื่อกี้ เราเพิ่งจะตกลงกันว่าจะเรียกชื่อต้นกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมชมรมและเพื่อนสนิท กับเพื่อนเด็กในวัยเด็กอย่างคาโอรุจะไม่เท่าไหร่ แต่การเรียกชื่อต้นของเด็กผู้หญิงในชั้นเรียนตรงๆ ก็รู้สึกเขินๆนิดหน่อย… ไม่สิ ไม่เป็นไรหรอก
หากข้อมูลเกี่ยวกับดันเจี้ยนถูกแกะรอยแหล่งที่มา ก็อาจนำไปสู่การระบุตัวตนโดยผู้เล่นที่ไม่รู้จัก หากผู้เล่นเหล่านั้นมีเจตนาร้ายต่อพวกเราในสถานการณ์ที่เรายังไม่สามารถระบุตัวตนพวกเขาได้ ก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายได้
หวังว่ามันจะเป็นแค่เรื่องวิตกกังวลไปเอง ถ้าการแพร่กระจายข้อมูลเกมจำกัดอยู่แค่ภายในชั้นเรียนก็ยังดี เพราะผู้เล่นก็เคยเป็นมนุษย์ที่มีสามัญสำนึกจากอีกโลกหนึ่ง การพูดคุยกันก็น่าจะเข้าใจกันได้ไม่ยากนัก และแม้จะเป็นศัตรูกัน ถ้าผมกับริสะร่วมมือกัน ก็พอจะมีวิธีรับมืออยู่บ้าง
แต่ถ้าข้อมูลรั่วไหลออกไปภายนอก สถานการณ์ก็จะร้ายแรง โลกนี้มีองค์กรและประเทศมากมายที่มองว่าชีวิตผู้คนไม่สำคัญเมื่อเทียบกับข้อมูลใหม่ของดันเจี้ยน แค่มีกลิ่นอายว่าครอบครองข้อมูลหรือถูกสงสัยก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แม้จะยังไม่ได้ลองใช้ แต่ในบรรดาสกิลที่เรียนรู้ได้จากอาชีพระดับสูงและสูงสุด ก็มีเวทมนตร์อันตรายอย่างมากที่สามารถบงการ แก้ไข หรือทำลายจิตใจได้ หรืออาจจะมีไอเท็มวิเศษที่ผนึกสกิลควบคุมจิตใจอยู่แล้วก็ได้ ถึงแม้จะมีวิธีป้องกัน แต่ถ้าตอนนี้ถูกใช้ ก็คงทำอะไรไม่ได้เลย
คิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ถ้าความรู้เกี่ยวกับเกมของผู้เล่นถูกดึงออกไปด้วยวิธีการบางอย่าง ไม่ว่าจะด้วยเวทมนตร์ควบคุมจิตใจ การข่มขู่ หรือการทรมาน และข้อมูลเหล่านั้นแพร่กระจายไปทั่วโลก จรรยาบรรณของคนทั่วโลกก็จะหายไป กลายเป็นดินแดนไร้กฎหมาย หรือพูดให้ร้ายกว่านั้นคือ ระเบียบโลกอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และประตูแห่งนรกอาจเปิดออกเลยก็เป็นได้
โลกนี้ที่นำเอาโลกทัศน์ของเกม ดันเจี้ยนเอ็กซ์พลอเรอร์ มาปรับใช้ทั้งหมด อาจกล่าวได้ว่ากำลังอยู่ในสภาพเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายก็ว่าได้
“(ถึงอย่างนั้นนะ การแบ่งปันความรู้เรื่องเกมให้ซัทสึกิและรีบอัพเลเวลให้เร็วขึ้น ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งถ้าคิดถึงอนาคตข้างหน้า เพื่อที่จะผ่านพ้นสถานการณ์นรกในเนื้อเรื่องหลักให้ได้ด้วย)”
“สถานการณ์นรกในเนื้อเรื่องหลัก” ที่นิตตะ… ริสะพูดถึงนั้น หมายถึงเหตุการณ์อันน่าหดหู่ที่พื้นที่รอบดันเจี้ยนกลายเป็นผืนดินรกร้าง หรือผู้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิต ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ถูกเตรียมไว้มากมายเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง มันน่ากลัวจริงๆ
ถ้าเป็นเนื้อเรื่องย่อยของตัวละครแต่ละตัว ก็แค่ไม่ต้องไปยุ่งกับตัวละครนั้น ถ้าเป็นเควสต์ก็แค่ไม่ต้องรับ แต่เนื้อเรื่องหลักนั้นจะเกิดขึ้นเหมือนกันในทุกเส้นทาง ไม่ว่าผู้เล่นจะเป็นใครก็ตาม
ถ้าโลกนี้ดำเนินรอยตาม ดันเจี้ยนเอ็กซ์พลอเรอร์ ก็หมายความว่า ไม่ว่าตัวเอกจะเลือกเส้นทางไหน โศกนาฏกรรมก็สามารถเกิดขึ้นได้
แน่นอน ผมตั้งใจจะลงมือป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แต่ท่ามกลางเวลาที่จำกัดของสถานการณ์โศกนาฏกรรม การเพิ่มเลเวลพร้อมกับป้องกันการแพร่กระจายข้อมูล และได้รับความแข็งแกร่งที่เพียงพอในการรับมือไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นำไปสู่ความคิดที่จะสร้างปาร์ตี้กับเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อถือได้
ในกรณีของผม ผมวางแผนที่จะร่วมมือกับครอบครัวนารุมิที่ผมไว้ใจอย่างที่สุดในการพิชิตดันเจี้ยน พร้อมกับเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ที่ต้องปกป้องเพื่อเอาชนะสถานการณ์ต่างๆ แต่สำหรับริสะที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัว มันคงไม่เป็นอย่างนั้น ดูเหมือนเธอจะวางแผนที่จะดึงโอมิยะ… ซัทสึกิเข้ามาเกี่ยวข้องกับการพิชิตดันเจี้ยนด้วย
จริงๆแล้ว การร่วมมือกันระหว่างผู้เล่นที่มีความรู้เรื่องเกมเพื่อรับมือกับทั้งดันเจี้ยนและสถานการณ์ภายนอกโลกนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้มีใครประกาศตัวว่าเป็นผู้เล่น ผมเองก็จะระมัดระวังและไม่ประกาศตัวออกไป และผู้เล่นคนอื่นๆก็คงจะสังเกตการณ์ท่าทีเช่นกัน
“(โซตะไม่เชื่อใจพวกเราเหรอ?)”
“(…ไม่ใช่ไม่เชื่อใจหรอกนะ แค่ว่าข้อมูลที่จะแบ่งปัน ควรจะพิจารณาให้ดี)”
“(จริงสินะ~ เรื่องเนื้อเรื่องกับอีเวนต์ก็คงต้องหยุดไว้ก่อนนะ สำหรับวันนี้ก็คงเป็นเรื่องประตูวาร์ป ข้อมูลมอนสเตอร์ แล้วก็พังสะพานสินะ)”
ข้อมูลที่ส่งมอบไปก็ควรจะจำกัดอยู่แค่สิ่งที่จำเป็นที่สุด ผมเองก็ปล่อยข้อมูลเกือบทั้งหมดให้ครอบครัว แต่เป็นเพราะเราเชื่อใจกันถึงขั้นที่สามารถฝากชีวิตไว้ได้ และยินดีที่จะเดิมพันชีวิตเพื่อกันและกันในทางกลับกัน แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว แต่เราเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสองเดือน การแบ่งปันข้อมูลระดับสูงขนาดนั้นก็เสี่ยงต่อทั้งตัวเราเองและตัวเธอด้วย
“(ถึงจะให้ข้อมูล ก็ควรจะให้หลังจากที่เข้าใจถึงอันตรายอย่างถ่องแท้ก่อนจะดีกว่า)”
“(แน่นอนอยู่แล้วค่ะ นอกเหนือจากคำพูด ก็ต้องมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวได้ด้วย นั่นแหละถึงคราวของสิ่งนี้แล้ว)”
เธอค่อยๆ ดึงกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กๆ จำนวนมากออกมาจากกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลัง นี่มัน… หนังสือสัญญาเวทมนตร์ นี่นา
หนังสือเวทมนตร์ที่ปรากฏบ่อยครั้งในเนื้อเรื่องหลักของเกม มันจะผูกมัดการกระทำและคำพูดของผู้ใช้ด้วยผนึกด้วยเวทมนตร์
ใน ดันเจี้ยนเอ็กซ์พลอเรอร์ มีอาชีพอย่าง “ซัมมอนเนอร์”และ “เอลิเมนทัลลิสต์” ซึ่งสามารถทำสัญญาผูกพันกับสัตว์อัญเชิญและวิญญาณธาตุที่ทรงพลังและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พูดอีกนัยหนึ่งคือ สัตว์อัญเชิญและวิญญาณธาตุนั้นดื้อรั้น ควบคุมยาก และอันตรายอย่างยิ่ง ผมจึงไม่คิดจะเลือกอาชีพเหล่านั้นเลย
แล้วเวทมนตร์สัญญานั้นคือคำสาปชนิดหนึ่งที่สัตว์อัญเชิญและวิญญาณธาตุจะสลักสิ่งที่ต้องการหรือสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามลงบนร่างของผู้ทำสัญญาเมื่อทำสัญญา ว่ากันว่าหากฝ่าฝืนข้อตกลง ผู้ทำสัญญาจะถูกเผาด้วยเปลวเพลิงสีดำสนิทจนตาย
สิ่งที่ริสะหยิบออกมาคือสำเนาคุณภาพต่ำของรอยสลักสัญญาเวทมนตร์ที่เขียนลงบนกระดาษ เมื่อร่ายมนตร์พร้อมกับกล่าววัตถุประสงค์และข้อผูกมัดของสัญญา เวทมนตร์ก็จะทำงาน และหากผิดสัญญา สัญญาจะถูกเผาเป็นสีดำ
การที่ผู้ผิดสัญญาจะไม่ถูกเผาไหม้ทำให้มันไม่ได้มีผลบังคับใช้เหมือนกับเวทมนตร์สัญญาโดยตรง หนังสือเวทมนตร์สัญญาเป็นเพียงเครื่องมือในการตัดสินว่ามีการผิดสัญญาหรือไม่เท่านั้น มีบางประเทศเคยทำการทดลองเขียนเวทมนตร์สัญญาลงบนร่างกายมนุษย์โดยตรงเช่นกัน แต่เทคโนโลยีดังกล่าวไม่ปรากฏสู่สาธารณะเนื่องจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้านมนุษยธรรม
เนื้อหาของสัญญาก็ไม่สามารถใช้ได้หากคลุมเครือ ต้องระบุเงื่อนไขให้แคบ ละเอียด และชัดเจนเพื่อให้ผู้ทำสัญญารับรู้ ตัวอย่างเช่น “ห้ามนำข้อมูลดันเจี้ยนที่ได้รับจากฉันไปบอกผู้อื่น” นั้นยากสำหรับผู้ทำสัญญาที่จะขีดเส้นแบ่งชัดเจนว่าคำสั่งต่อสู้ ข้อมูลภูมิประเทศ หรือการสนทนาปกติเกี่ยวกับการบุกตะลุยสามารถพูดถึงได้หรือไม่
ดังนั้น หากเป็นประโยคที่ว่า “ห้ามเปิดเผยความรู้เกี่ยวกับประตูวาร์ปที่ได้รับจากฉันและริสะในวันและสถานที่นี้” ผู้ทำสัญญาก็จะรับรู้ได้ง่ายขึ้นว่าได้ผิดสัญญาไปแล้ว คาดว่าริสะเองก็จะใช้วิธีคล้ายๆ กันนี้ โดยระบุรายละเอียดปลีกย่อยและใช้หนังสือเวทมนตร์สัญญาหลายฉบับ
ในเนื้อเรื่องหลักของโลกเกม หนังสือเวทมนตร์สัญญาก็เป็นที่นิยมใช้ในฉากสำคัญที่เนื้อหาของสัญญามีความสำคัญ การที่ไอเท็มวิเศษที่มาจากดันเจี้ยนเหล่านี้แพร่หลายในโลกนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย “หนังสือเสัญญาวทมนตร์แต่งงาน” ที่ผมกับคาโอรุทำสัญญากันไว้ตอนเด็กนั้น เป็นแค่กระดาษเปล่าๆ ที่หมูอ้วนสร้างขึ้นหลังจากได้ยินเรื่องหนังสือเวทมนตร์สัญญามาเล็กน้อย ไม่มีผลบังคับใช้อะไรทั้งสิ้น ต่อให้ฉีกทิ้งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อสรุปเรื่องได้แล้ว เราก็กลับไปรวมตัวกันอีกครั้ง และย้ายไปที่ที่คนน้อยเพื่อคุยเรื่องสัญญา
“คุยอะไรกันเหรอ? ริสะกับโซตะสนิทกันจัง หรือว่า… หรือว่าจะมีอะไรกันนะ~?”
ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจผิดอะไรแปลกๆ แต่ถ้าผมเข้าไปใกล้ริสะด้วยเจตนาแอบแฝงแบบนั้น ผมคงโดนเธอผ่าครึ่งเป็นสองส่วนแน่ๆ ขอร้องล่ะ อย่าคิดแบบนั้นเลย
“ปรึกษาเรื่องที่ล่าลับกันน่ะ ก็เลยคิดว่า ถ้าสาบานว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด ก็จะบอกให้”
“มีที่แบบนั้นด้วยเหรอ? อยากรู้จังเลย!”
ซัทสึกิตอบทันทีว่าอยากรู้ แม้จะยังไม่เชื่อสนิทใจว่าจะมีสถานที่แบบนั้นจริง แต่ก็ไม่อาจละทิ้งความคาดหวังและความสนใจได้ แต่เธอก็ขึ้นต้นด้วย “แต่ก่อนหน้านั้นนะ~” แล้วบอกว่าต้องเซ็นชื่อในหนังสือสัญญาเวทมนตร์เพื่อรับรองว่าจะไม่เผยแพร่ข้อมูลที่จะบอกต่อไป
“น-นี่… นี่มันหนังสือเวทมนตร์ของจริงใช่ไหมเนี่ย… ข้อมูลมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ซัทสึกิเบิกตากว้าง กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ก็แน่ล่ะ หนังสือเวทมนตร์สัญญามันแพงมาก ริสะบอกว่าใช้เวลาเตรียมการสิ่งนี้ แต่เธอไม่ได้บอกว่าหามาจากไหน
“ไม่แค่นั้นหรอกนะ ถ้าผิดสัญญาที่ทำด้วยสิ่งนี้… ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตนะ”
“!?”
“นั่นน่ะ ครึ่งหนึ่งก็เป็นเรื่องล้อเล่นนะ~”
ผมจ้องมองซัทสึกิแล้วบอกว่า “แต่ครึ่งหนึ่งก็เป็นเรื่องจริง” ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนเธอจะเข้าใจแล้วว่าพวกเรามีข้อมูลลับเกี่ยวกับดันเจี้ยนบางอย่าง และข้อมูลเหล่านั้นต้องไม่ถูกแพร่กระจายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“ถ้าข้อมูลที่ฉันจะบอกต่อไปถูกเปิดเผย ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น แต่ทุกคนรอบข้างก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้”
“…ทำไมถึงรู้เรื่องที่สำคัญขนาดนั้นล่ะ?”
เป็นเรื่องปกติที่จะสงสัยแบบนั้น คำตอบก็คือ เพราะผมเป็นอดีตผู้เล่น แต่ผมไม่คิดจะบอกเรื่องนั้น จึงตอบไปว่าตอบไม่ได้
สิ่งสำคัญคือ เธออยากจะแข็งแกร่งขึ้นมากพอที่จะยอมรับความเสี่ยงจากการใช้หนังสือเวทมนตร์สัญญาเพื่อแลกกับข้อมูลอันตรายหรือไม่ ถ้าเธอปฏิเสธก็ไม่เป็นไร การเพิ่มเลเวลด้วยความรู้จากเกมก็ให้ผมกับริสะทำกันไป ส่วนการเพิ่มเลเวลของซัทสึกิ ผมตั้งใจจะจัดสรรเวลาช่วยเหลือในเรื่องอื่น
ซัทสึกิแสดงท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“ถ-ถ้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆ ล่ะก็… ฉันอยากทำสัญญาค่ะ!”
บ้านของซัทสึกิเป็นตระกูลซามูไรที่รับใช้ขุนนาง และเป็นสาขาย่อยของตระกูลหลัก เดิมทีเธอตั้งใจจะเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมในท้องถิ่น แต่ก็อ้อนวอนครอบครัวให้ยอมให้เธอเข้าโรงเรียนนักผจญภัยแห่งนี้ เธอพูดพลางกำหมัดแน่นว่าต้องทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนความคาดหวังของครอบครัว การที่เธอรู้สึกท้อแท้กับสภาพของห้อง E ก็เป็นเพราะเธอรู้ถึงสภาพความเป็นจริงของโรงเรียนที่ใฝ่ฝัน และเสียใจที่อาจทำให้ครอบครัวที่เธอรักต้องผิดหวัง
พร้อมกันนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่ามีเพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่มีชะตากรรมคล้ายคลึงกับเธอ ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นและเปลี่ยนโรงเรียนให้ดีขึ้นก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ดังที่เธอต้องการได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน
ในเนื้อเรื่องหลัก เธอก็ทุ่มเทให้กับห้อง E อย่างหนัก แม้จิตใจจะเหนื่อยล้าก็ตาม พวกเราที่เป็นผู้เล่นจึงเข้าใจดีว่าความตั้งใจของเธอเป็นเรื่องจริง
“งั้นเรามาทำสัญญากันเลยดีไหม~?”
“อื้อ!”
เราตัดสินใจใช้หนังสือเวทมนตร์สัญญาเฉพาะกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ประตูวาร์ป เท่านั้น ไม่ใช้กับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ สะพาน เพราะแม้จะถูกเปิดเผย การพังสะพานก็ทำได้เพียงครั้งละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ต่อให้นักผจญภัยจำนวนมากแห่กันมาที่สะพาน ก็แค่จะแย่งพื้นที่กันเท่านั้น มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ หากถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ก็แทบไม่มีผลกระทบอะไรเลย นอกจากนี้ เมื่อเลเวลของพวกเราสูงขึ้นและไม่จำเป็นต้องใช้สะพานถล่มอีกต่อไป ก็ไม่มีปัญหาอะไรหากไม่สามารถใช้ได้อีก
ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประตูวาร์ป หากถูกเปิดเผย จะมีผลกระทบมหาศาล จึงถือเป็นข้อมูลลับสุดยอด และเราจะใช้หนังสือเวทมนตร์สัญญาสำหรับเรื่องนี้
“งั้นลองส่งพลังเวทไปดูสิ”
ริสะและซัทสึกิหันหน้าเข้าหากันและวางมือลงบนหนังสือเวทมนตร์สัญญาที่วางอยู่บนพื้น
แม้ว่าริสะจะเพิ่งใช้เป็นครั้งแรก แต่ก็มีวิธีใช้อยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ต จึงสามารถเปิดใช้งานได้โดยไม่มีปัญหา พวกเธอใส่ข้อความที่ห้ามเผยแพร่ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับประตูวาร์ป ไม่ว่าจะเป็นกลไกของประตูวาร์ป หรือการมีอยู่ของห้องประตูวาร์ป แล้วทั้งสองก็ส่งพลังเวทไปที่อักษรบนกระดาษ
แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าประตูวาร์ปคืออะไร แต่เมื่ออักษรสีดำเปล่งแสงสีเขียวอ่อนๆ ก็รู้ได้ว่าเวทมนตร์สัญญาบนกระดาษทำงานอย่างถูกต้อง
เมื่อทำงานสำเร็จแล้ว ผมก็อธิบายถึงการมีอยู่และคุณสมบัติของประตูวาร์ปให้ฟังอีกครั้ง ริสะดูประหลาดใจที่มันสามารถวาร์ปไปที่ชั้นใต้ดินของโรงเรียนได้ เธอร้องอุทานออกมาเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“มีของที่สะดวกสบายขนาดนั้นจริงๆ เหรอ… แต่ถ้ามีมันคงสุดยอดไปเลย! จะได้ย่นเวลาเดินทางไปกลับที่ล่าได้ด้วย!”
“เชื่อหลังจากที่ได้ลองใช้จริงก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก งั้นเราไปที่ชั้น 5 กันเลยดีไหม”
ถ้าประตูวาร์ปที่ชั้น 5 ใช้การได้ ที่ล่าก็จะเปลี่ยนไปเป็นที่สะพาน ตอนนี้แม่กับน้องสาวผมคงกำลังทำอยู่พอดี ดูเหมือนจะแค่ช่วงเช้าเท่านั้น ผมคิดว่าตอนที่เราไปถึงคงจะเสร็จแล้ว แต่ถ้ายังทำอยู่ ก็คงจะขอเข้าร่วมด้วย
“แต่ว่า ออร์คลอร์ดน่ะ เป็นมอนสเตอร์ดังที่มีการเตือนภัยด้วยใช่ไหม…”
“โซตะจะปกป้องพวกเราใช่ไหม~?”
“ใช่ ไม่ต้องห่วง”
ในตอนนี้ ผมมีพลังพอที่จะล้มมอนสเตอร์ชั้น 5 ได้ในหมัดเดียว และไม่ด้อยกว่าออร์คลอร์ดเลย แต่ซัทสึกิที่เคยมองผมในฐานะคนที่ต้องปกป้อง กลับมองมาที่ผมด้วยสายตาที่แปลกใจและสงสัย
ผมยังไม่คิดจะบอกเลเวลของตัวเองตอนนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เธอก็จะรู้เองในภายหลังเมื่อเราเชื่อใจกันและลงดันเจี้ยนต่อไป
พวกเราต่างคนต่างมีเรื่องที่ต้องคิด ทำให้การเดินทางสู่ชั้น 5 เป็นไปอย่างเงียบๆ และมีคำพูดน้อยลง
MANGA DISCUSSION