ฉันรู้สึกสับสนกับการต่อสู้ระดับสูงของคาริยะที่เหนือกว่าแม้กระทั่งยูมะ และเสียงโห่ร้องที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายจากห้อง D ก็ทิ่มแทงหัวใจของฉัน
แล้วในที่สุดดาบใหญ่ก็ฟันเข้าที่สีข้างของยูมะอย่างจัง ฉันเผลอหลับตาลง
สิ่งที่ฉันเคยเชื่อมั่นเริ่มปริร้าวและแตกสลายทีละน้อย ความรู้สึกเหมือนกำลังพยายามรวบรวมมันกลับมาสร้างใหม่แต่ก็หลุดลอยไปทีละชิ้น เพื่อนที่พวกเราส่งออกไปด้วยความมั่นใจกลับพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ
หรือว่าพวกเราห้อง E เป็นพวกที่ด้อยกว่าอย่างที่พวกเขาพูดจริงๆหรอ? ไม่ว่าจะพยายามอย่างหนักจนเลือดตาแทบกระเด็ดขนาดไหน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ มันหมายความว่าอย่างนั้นหรอ? ความฝันที่ได้รับจากโรงเรียนนี้ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรก หรือเป็นเพียงภาพลวงตาไปทั้งหมดกันแน่—
ตั้งแต่วันนั้น การเรียนของฉันก็ลอยละล่องไป วันก่อนก็หลับไม่ค่อยลง กิจวัตรประจำวันอย่างการลงดันเจี้ยนและการฝึกซ้อมตอนเช้าก็หยุดชั่วคราวไปแล้ว
วันนี้เลิกเรียนแล้ว ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะค่อยๆเก็บของเตรียมกลับบ้าน นาโอโตะก็เข้ามาพูดกับฉันอย่างเงียบๆ
“…มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย”
จากบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรเหมือนปกติ คงเป็นเรื่องสำคัญ ฉันเลยตัดสินใจออกไปที่ระเบียงเพราะพวกห้อง D ยังอยู่ข้างใน ท้องฟ้าที่มองเห็นจากหน้าต่างเป็นสีเทา ราวกับสะท้อนจิตใจของฉันที่กำลังจะร้องไห้ออกมา
“คาโอรุ ถ้าพวกเรายอมแพ้แล้วจะทำยังไงต่อ”
ยอมแพ้เรื่องอะไรกันนะ…ความคิดที่อยากจะหลบหนีผุดขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้ว แต่สายตาของนาโอโตะที่อ่อนโยนแต่แข็งแกร่งกลับจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉัน ไม่ยอมให้ฉันหลบหนีไปไหน
“พวกเราต้องไม่หยุดเดินเพื่อห้องนี้และที่สำคัญที่สุดคือเพื่อตัวพวกเราเอง”
เพื่อตัวพวกเราเอง ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่จะสามารถเอาชนะความได้เปรียบถึงสามปีได้จริงๆหรอ? สิ่งที่นึกถึงคือการต่อสู้ระดับสูงนั้น ยูมะอาจจะไล่ตามทันแต่ฉันจะไปถึงระดับนั้นเมื่อไหร่กันนะ ความมั่นใจแบบนั้นมันหมดไปแล้ว…
“นั่นคือเป้าหมายของพวกมัน ที่จะทำให้เราคิดแบบนั้น”
ฉันรู้ว่าเรากำลังถูกจ้องเล่นงาน ฉันสัมผัสได้ด้วยตัวเองตั้งแต่พิธีรับสมัครชมรม พวกเขาไม่มีทางชักชวนหรือต้อนรับนักเรียนจากภายนอกอยู่แล้ว
“ในวันแรกที่เราเข้าเรียน เราควรจะสงสัยตั้งแต่ที่พวกมันพุ่งเป้าโจมตียูมะ”
การโจมตีมุ่งร้ายนั้นเป็นการวางแผนไว้อย่างรอบคอบ
ยูมะเป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดจากภายนอกที่เข้ามาอยู่ในห้อง E และเป็นเสมือนหน้าตาของห้อง ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ดึงดูดที่คอยผลักดันห้องนี้ให้ก้าวไปหน้า คาริยะกับพรรคพวกห้อง D ก็หาเรื่องยูมะโดยไม่มีเหตุผล
พวกเขาห้อง D ไม่ได้ทำตัวเล่นๆมาตลอดสามปีสมัยมัธยมต้น พวกเขาต้องมีทักษะที่ประเทศให้การยอมรับ และต้องพยายามเพิ่มเลเวลอย่างหนัก แต่กลับพุ่งเป้าโจมตียูมะที่ไม่มีประสบการณ์ในดันเจี้ยนเลย… ถ้าคิดว่ามีการวางแผนไว้ตั้งแต่แรกก็น่าจะสมเหตุสมผลที่สุด
“ศัตรูอาจจะใหญ่กว่าที่คาดไว้มาก แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ต้องไม่แพ้ความมุ่งร้าย เราต้องไม่หยุดเดินเพื่อก้าวไปข้างหน้า”
ศัตรูที่วางแผนเรื่องนี้และเบื้องหลังอาจจะยิ่งใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้มาก แต่เขาก็ยังยืนยันหนักแน่นด้วยท่าทางว่าเขาไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ความฝันโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ฉันเองก็เคยฝึกดาบทุกวันทั้งวิ่งและตั้งใจเรียนก่อนนอนตั้งแต่ก่อนเข้าเรียน และหลังจากเข้าเรียนก็ลงดันเจี้ยนทุกวัน แต่ฉันกลับหยุดอยู่กับที่ไปหลายวัน ไม่ใช่แค่ไม่มีแรงจูงใจ แต่เป็นการหลีกหนี
“คาโอรุ ความฝันของเธอคืออะไร? มีอะไรที่เธอกำลังไล่ตามอยู่ไหม?”
ความฝัน… ใช่ ฉันเคยใฝ่ฝันถึงนักผจญภัยในตำนานที่พ่อเล่านิทานให้ฟังตั้งแต่เด็ก นักรบผู้กล้าหาญที่ใช้ดาบเหนือสามัญสำนึก เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์อย่างลึกซึ้ง ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอันตรายอย่างอิสระ และพิชิตชั้นที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน—เรื่องราวของวีรบุรุษ
ก่อนนอน ฉันเคยขอให้พ่อเล่าเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ว่าสิ่งมีชีวิตแบบนั้นอาจจะมีอยู่แค่ในนิทาน แต่ตอนนี้ก็ยังมีแคลนบุกเบิกที่พยายามทำความฝันให้เป็นจริงอยู่ในแนวหน้าของดันเจี้ยน ฉันเองก็เคยฝึกดาบมาโดยหวังว่าจะได้ฝากหลังให้กับนักผจญภัยเหล่านั้น และร่วมกันบุกเบิกแนวหน้า เพื่อสิ่งนั้นฉันจึงเข้าโรงเรียนนักผจญภัย แต่ว่า…
“เพิ่งจะเข้าเรียนได้แค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น การถูกโจมตีอย่างไม่สมเหตุสมผลและมุ่งร้ายแบบนี้ จะยอมแพ้ความฝันและท้อแท้ไปเลยหรือไง? ฉันไม่ยอมหรอกนะ ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด”
ฉันเองก็ไม่ยอมแพ้หรอก แต่ว่า…
“ดังนั้น…ช่วยให้ฉันยืมพลังหน่อยได้ไหม เพื่อก้าวไปข้างหน้า”
นาโอโตะก้มหัวลงและขอความช่วยเหลือจากฉัน
ฉันช่วยยูมะไม่ได้ ฉันเป็นผู้หญิงที่หนีไปหลังจากที่เพื่อนเจอเรื่องร้ายแรงแบบนั้น ฉันอาจจะไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนเคียงข้างเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น—
“…ฉันเองก็…ฉันที่อ่อนแอแบบนี้จะช่วยอะไรได้จริงหรือ…?”
ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีตะกั่ว
・・・・・・・・・・
“เข้าใจแล้ว การแข่งขันระหว่างห้องสินะ”
“เรามีเวลาไม่มากนัก การที่พวกเราจะทำได้แค่ไหนภายในหนึ่งเดือนนี้คือการตัดสิน”
การแข่งขันระหว่างห้องที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน เป็นการทดสอบแรกที่นักเรียนปี 1 ทุกคลาสจะเข้าร่วม และคะแนนจะถูกรวมตามอันดับของห้อง ถือเป็นการทดสอบสำคัญครั้งแรก
“ฉันตรวจสอบรายละเอียดของการแข่งขันปีก่อนมาแล้ว”
นาโอโตะส่งกระดาษที่พิมพ์ออกมาให้ การที่เขารวบรวมข้อมูลได้รวดเร็วขนาดนี้ทำให้ฉันทึ่งในความสามารถของเขา
“อืม นี่มัน…การจัดกลุ่มก็สำคัญด้วยสินะ”
การแข่งขันระหว่างห้องจะจัดขึ้นในดันเจี้ยนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ประเภทการแข่งขันที่นักเรียนปี 2 ทำในปีที่แล้วมี 5 อย่าง คือ “การไปถึงจุดที่กำหนด” “การปราบมอนสเตอร์ที่กำหนด” “ความลึกที่ไปถึง” “เควสที่กำหนด” และ “ปริมาณหินเวทมนตร์รวม” คาดว่าปีนี้ก็น่าจะเหมือนเดิม
ดูเผินๆ แล้วมีแต่ประเภทการแข่งขันที่เลเวลสูงน่าจะได้เปรียบ ผู้ที่มีทักษะการลอบเร้นที่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นได้ก็คงจะมีประโยชน์มาก ส่วนคลาส E ที่มีเลเวลต่ำและมีการเปลี่ยนอาชีพน้อย ก็คงจะต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากอย่างแน่นอน
จะแบ่งเพื่อนร่วมชั้นเรียนยังไงในการแข่งขัน 5 ประเภทนี้? พวกเราที่นำหน้าในการลงเจี้ยนของห้อง E ควรมารวมกลุ่มกัน หรือควรจะแยกกันดี?
“ไม่ว่าจะแบ่งยังไง ก็ต้องเสริมความแข็งแกร่งโดยรวมของห้อง E ให้ได้”
การมีคนขัดขวางเพียงคนเดียวจะทำให้การเคลื่อนไหวของทั้งกลุ่มช้าลง นอกจากนี้ยิ่งเลเวลต่ำเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มเลเวลได้ง่ายและผลของการฝึกฝนก็จะยิ่งเห็นผลชัดเจนขึ้น นาโอโตะกล่าวขณะดูฐานข้อมูลในเครื่องเทอร์มินัลว่าควรจะมุ่งเป้าไปที่การเสริมความแข็งแกร่งอย่างจริงจัง
ฉันเองก็ลองดูเลเวลปัจจุบันของเพื่อนร่วมชั้น… ในหนึ่งเดือนนี้ ส่วนใหญ่ในห้อง E ก็ถึงเลเวล 3 แล้ว มีเลเวล 4 ประมาณ 10 คน ส่วนเลเวล 5 ขึ้นไปมีฉัน นาโอโตะ ยูมะ ซากุระโกะ และมาชิมะคุง รวมเป็น 5 คน นั่นหมายความว่ายังไม่มีใครเปลี่ยนอาชีพมากไปกว่า 5 คนนี้
เมื่อถึงเลเวล 5 เลเวลอาชีพ [มือใหม่] ก็จะถึงเลเวล 7 และจะเรียนรู้ [ประเมินเบื้องต้น] ได้ จึงสามารถเปลี่ยนไปใช้อาชีพพื้นฐานได้อย่างสบายใจ นั่นคือเส้นแบ่งว่าได้เปลี่ยนอาชีพแล้วหรือเปล่า
ถึงจะอยากเพิ่มจำนวนผู้เปลี่ยนอาชีพให้ได้มากที่สุดก่อนการสอบ แต่ว่า…
“คนที่เลเวลต่ำที่สุดคือ… คุกะซัง เลเวล 2 สินะ”
ฉันดูรายการเลเวลของนักเรียนทุกคนในชั้นเรียน มีนักเรียนคนหนึ่งที่เลเวล 2 ฉันจึงแตะที่รายละเอียด เธอคือคุกะ โคโตเนะ (Kuga Kotone) ใช้มีดสั้นและธนู และระบุว่าต้องการเป็น [นักธนู]
ฉันนึกถึงนักเรียนหญิงผมบ๊อบสั้นที่นั่งอยู่ด้านหลังห้อง เธอมักจะอยู่คนเดียวและไม่ค่อยเห็นเธอคุยกับใคร เป็นนักเรียนที่เงียบและไม่ค่อยมีตัวตน การที่เธอยังอยู่แค่เลเวล 2 อาจจะหมายความว่าเธอยังไม่สามารถหาคู่หูได้เลยก็ได้
ฉันลองดูโซตะด้วย เขามีเลเวล 3 แล้ว แสดงว่าเขาก็พยายามเพิ่มเลเวลอยู่พอสมควร หรือ…อาจจะเป็นโอโอมิยะซังกับเพื่อนๆ ช่วยก็ได้
(คุกะซังกับโซตะนี่ต้องจับตาดู)
สองคนนี้อาจจะเป็นตัวถ่วงของห้องได้ ควรจะทำยังไงดี?
“เป็นวิธีการเสริมความแข็งแกร่ง การรวบรวมเพื่อนร่วมชั้นที่มีความสามารถในการลงดันระดับต่ำเพื่อทำพาวเวอร์เลเวลลิ่งก็ดี แต่การพึ่งพามันมากเกินไปก็น่ากลัว ตอนแรกฉันกำลังคิดที่จะจัดกิจกรรมฝึกซ้อมเพื่อส่งเสริมจุดแข็งของเพื่อนร่วมชั้น”
พาวเวอร์เลเวลลิ่ง การพึ่งพาคนเลเวลสูงนั้นทำให้เลเวลขึ้นง่าย แต่ถ้าพึ่งพามันมากเกินไป ก็จะทำให้ไม่ก้าวหน้าไปกว่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยเพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถวางแผนและพิชิตดันเจี้ยนได้อย่างเหมาะสม พวกเราจะแบ่งปันข้อมูลดันเจี้ยนที่เรารู้ และสอนวิชาดาบ เวทมนตร์ และกลยุทธ์ให้กันและกัน เพื่อให้แต่ละปาร์ตี้สามารถบุกดันเจี้ยนได้ง่ายขึ้น
แต่การเรียนเวทมนตร์หรือวิชาดาบ ควรจะเข้าชมรมที่มีความรู้และสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าพวกเราอยู่แล้ว แต่เนื่องจากปัญหากับห้อง D ทำให้พวกเรายังเข้าชมรมไม่ได้ นาโอโตะคงมีแผนอะไรบางอย่างใช่ไหม
“แล้วเรื่องชมรมล่ะ?”
“นั่นก็เป็นปัญหาที่ยาก”
นาโอโตะนวดขมับ พลางกลุ้มใจกับปัญหาที่ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
“ถ้ายังไม่มีทางออกในสถานการณ์ปัจจุบัน ฉันคิดว่าควรจะเข้าชมรมที่มีรุ่นพี่จากห้อง E อยู่”
“แต่การกลั่นแกล้งจากห้อง D จะยิ่งรุนแรงขึ้นนะ…”
คาริยะได้กดดันอย่างหนักไม่ให้พวกเราเข้าชมรมที่รุ่นพี่ห้อง E ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่เรื่องการประลองครั้งนั้น ถ้าพวกเรายังจะเข้าอยู่ ห้อง D ก็อาจจะมาสร้างปัญหาได้
“ใช่แล้ว เรื่องนั้นโอโอมิยะกำลังขอให้สภานักเรียนเข้ามาดูแลอยู่ อาจจะไม่ได้ผล แต่เราจะรอผลและนำความคิดเห็นของพวกเธอมาพิจารณาอีกครั้ง”
โอโอมิยะซังตัวเล็กๆ ผู้กระตือรือร้นที่เคลื่อนไหวไปมา เธอก็ดูเหมือนจะกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ แต่สภานักเรียนที่ปล่อยสถานการณ์ของห้อง E ไว้เฉยๆ จะฟังเราจริงหรอ…ถึงอย่างนั้น ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกมากนัก การรอคอยแม้เพียงโอกาสเล็กน้อยก็อาจจะคุ้มค่า
“แล้วสิ่งที่ต้องคิดสำหรับการแข่งขันระหว่างห้องก็คือ…”
“มาตรการรับมือการขัดขวาง หรือการปล้นหินเวทมนตร์…”
ระหว่างการแข่งขัน จะมีการแลกเปลี่ยนหินเวทมนตร์เป็นอาหาร ของใช้ในชีวิตประจำวัน และอุปกรณ์สุขอนามัย สิ่งเหล่านี้จะเป็นเส้นชีวิตที่แท้จริงภายในดันเจี้ยน แม้ว่าจะไม่ทราบอัตราการแลกเปลี่ยนหินเวทมนตร์ที่แท้จริง แต่ถ้าถูกแย่งชิงหินเวทมนตร์ไป ก็อาจถูกบีบให้ยอมแพ้ได้
แม้ว่าตามกฎจะห้ามการปล้นสะดมแบบนั้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเฝ้าระวังนักเรียนทุกคนในดันเจี้ยน ควรจะใช้มาตรการต่างๆ เช่น การกระจายหินเวทมนตร์ที่ครอบครอง หรือซ่อนเอาไว้
“อืม แต่การจะใช้มาตรการรับมืออะไรนั้นอาจจะต้องรอพิจารณาข้อมูลจากปีที่แล้วให้ละเอียดกว่านี้ก่อน สำหรับการติวหนังสือ ฉันจะลิสต์รายชื่อคนที่อยากเข้าร่วมไว้”
“ซากุระโกะกับยูมะได้บอกไปแล้วเหรอ?”
หลังจากเหตุการณ์ประลองครั้งนั้น ยูมะกับซากุระโกะก็คงจะสภาพจิตใจย่ำแย่เหมือนกัน ฉันอยากจะยังคงเป็นเพื่อนที่ฝากหลังให้กันได้อยู่เสมอ…
“ยังหรอก ยังไม่ได้บอก อยากให้ช่วยกันโน้มน้าว”
“…แน่นอนค่ะ แล้วก็นาโอโตะ”
ฉันและพวกเราจะทำอะไรเพื่อก้าวไปข้างหน้าได้บ้าง จะค่อยๆ คิดไปก่อน อย่างไรก็ตาม ไปช่วยพวกเขาเถอะ เหมือนที่เขาช่วยฉันให้รอดพ้นจากบึงน้ำที่หนาวเย็นที่ทำให้ความมั่นใจของฉันพังทลายลง
แต่ก่อนหน้านั้น
“อะไรเหรอ?”
“…ขอบคุณนะ”
เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ฉันรู้สึกเหมือนได้ยิ้มออกมา
MANGA DISCUSSION