ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 2943 เทวาดับสูญ 3 / บทที่ 2944 เทวาดับสูญ 4
บทที่ 2943 เทวาดับสูญ 3
หัวใจพลันเต้นกระหน่ำขึ้นมาเล็กน้อย บางสิ่งที่อุ่นร้อนรินไหลลงมาจากดวงหน้า หยดลงบนหลังมือ
เธอยกมือขึ้นมามองหยาดน้ำที่ทอประกายวาววับอย่างตกตะลึงเลื่อนลอย ที่แท้ เธอก็เป็นมนุษย์ที่มีน้ำตาเช่นกัน
ยามนี้หัวใจเจ็บปวดเสมือนถูกมีดคว้าน เป็นความรู้สึกที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยมีมาก่อน
ทัณฑ์อัสนีผ่าใส่จนเกือบคร่าชีวิตของเธอไป ทว่าได้ส่งคืนสายใยอารมณ์ให้เธอแล้ว ความรู้สึกที่ว่างเปล่าวูบโหวงในที่สุดก็ถูกเติมเต็ม ทว่าเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดและขื่นขม ความคับข้องหมองใจและความเศร้าสร้อยหลั่งไหลท่วมท้น เจ็บปวดจนเธอทำอะไรไม่ถูก
ตี้ฝูอี...
ตี้ฝูอี.…
สุดท้ายข้ากับเจ้าก็มีบุพเพแต่ไร้วาสนา
กู้ซีจิ่วหลับตาลงฝืนสะกดความขื่นขมนั้นที่เอ่อล้นขึ้นมา
เบื้องหน้ามืดมัวเป็นพักๆ ร่างกายหนาวยะเยือกเป็นพักๆ เธอหน่วงเหนี่ยวพลังเทพที่ล้นทะลักออกมาจากร่างกายไม่อยู่แล้ว รับรู้ถึงสัญญาณการไหลทะลักออกไปสู่ภายนอกของดวงวิญญาณได้…
แพขนตาของเธอจับตัวแข็ง ร่างกายก็เย็นจนเหมือนน้ำแข็งก้อนหนึ่งแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกค่อยๆ สูญเสียความรู้สึกไป…
เส้นเลือดแห้งเหือด พลังวิญญาณล้นทะลัก
ต่อจากนี้ เธอจะค่อยๆ สูญเสียสัมผัสทั้งห้าไป จมลงสู่ความมืดมิดอย่างสมบูรณ์
ถึงเวลาแล้ว…
เธอสูดหายใจแรงๆ คราหนึ่ง ก้าวขึ้นสู่แท่นบงกช อาภรณ์ไหวกระเพื่อมโดยไร้สายลม เธอทอดมองโลกใบนี้เป็นครั้งสุดท้ายแวบหนึ่ง เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
เธอรักโลกใบนี้ และสุดท้ายก็จะแตกดับไปเพื่อโลกใบนี้
ค่อยๆ หลับตาลงไป ค่ายอาคมเปิดใช้งานในทันที คลื่นแสงสีรุ้งสายหนึ่งเข้าห่อหุ้มเธอไว้ในชั่วพริบตา…
….
ประตูหยกสีรุ้งเปิดอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ด้านในคล้ายมีระลอกคลื่นซัดตลบ แรงกดดันอันน่าประหลาดหลั่งไหลออกมาจากในประตู ทำให้คนที่อยู่หน้าประตูไม่อาจเข้าใกล้ได้ในระยะหลายร้อยเมตร
นกเหอถง[1]ที่คอยเฝ้าอารักขาสถานที่แห่งนี้หลีกห่างออกไปไกล หดตัวซุกอยู่ด้านหลังศิลาใหญ่ก้อนหนึ่ง
ตี้ฝูอีคว้าปีกของนกเหอถงตัวนี้ไว้ “นางอยู่ข้างในใช่ไหม?”
ถึงแม้เขาจะพยายามควบคุมอารมณ์อย่างเต็มที่แล้ว แต่สุ้มเสียงก็ยังคงสั่นพร่าอยู่บ้าง
“พระองค์เจ้า…ก่อนหน้านี้พระองค์เจ้าเพิ่งเปิดประตูใหญ่ของที่นี่ แล้วเข้าไป…”
ตี้ฝูอีคลายมือทันที ยกเท้าหมายจะพุ่งเข้าไปข้างใน นกเหอถงรีบทะยานเข้าไปขัดขวาง “ท่านราชครู ที่แห่งนี้นอกเหนือจากทวยเทพแล้ว ผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเข้าไปจะต้องมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี! และประตูบานนี้จะเปิดอยู่เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ถ้าพ้นครึ่งชั่วยามไปแล้วจะปิดลงด้วยตัวเอง หนึ่งเดือนให้หลังถึงจะเปิดได้อีกครั้ง ตอนนี้ประตูบานนี้เปิดมากว่าสามเค่อแล้ว อีกไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา มันก็จะปิดลงแล้ว ถ้าท่านเข้าไปก็ไม่มีทางออกมาได้แล้ว ดังนั้นไม่อาจ…”
“เข้าไปแล้วจะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีหรือ? เมื่อสองปีครึ่งที่ผ่านมา ฟั่นเชียนซื่อก็เคยบุกเข้าไปแล้วมิใช่หรือ? มิใช่ว่าก็ออกมาได้อย่างสบายดีหรอกหรือ?”
นกเหอถงส่ายหน้า “คุณชายเชียนซื่อต่างจากคนทั่วไป เขาเป็นศิษย์ของพระองค์เจ้า เมื่อครู่ก่อนพระองค์เจ้าจะเข้าไปได้สั่งการข้าน้อยไว้ บอกว่าอีกครึ่งปีให้หลังขอเพียงคุณชายเชียนซื่อมีมังกรประทีปไว้ในครอบครอง พลังยุทธ์บรรลุระดับซ่างเสินขั้นแปดแล้ว เขาก็สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระเสรี เมื่อเวลานั้นข้าน้อยไม่จำเป็นต้องสกัดขวางเขา ใช่แล้ว อันที่จริงตอนนั้นคุณชายเชียนซื่อดันทุรังเปิดประตูของที่นี่แล้วบุกเข้าไป เคราะห์ดีที่พระองค์เจ้ามาถึงทันเวลา ถึงได้ลากเขาออกมาจากด้านในได้ภายในเวลาครึ่งชั่วยาม มิเช่นนั้นแล้วคุณชายเชียนซื่อคงหาไม่แล้วแน่นอน! ท่านไม่เข้าใจหรอกว่าสถานการณ์ในตอนนั้นอันตรายมากขนาดไหน ทันทีที่พระองค์เจ้าลากเขาออกมาได้ ประตูบานนี้ก็ปิดลงเลย เกือบจะหนีบชายกระโปรงด้านหลังของพระองค์เจ้าไว้แล้ว! ยามที่ออกมาพระองค์เจ้าได้รับบาดเจ็บ ส่วนเขาก็ประหนึ่งม้วนตำราเกรียมไฟ ดูแล้วน่าสะพรึงนัก”
ตี้ฝูอีนิ่งงัน...
นกเหอถงตัวนั้นเอ่ยต่อไป “ครานั้นพระองค์เจ้าพิกลนัก สวมชุดเจ้าสาวอยู่ มาอย่างรีบร้อนและจากไปอย่างรีบเร่ง โยนคุณชายเชียนซื่อลงบนพื้นระเบิดโทสะสั่งสอนเขาอย่างดุเดือดสองประโยคก็เคลื่อนย้ายจากไปเลย ราวกับว่าถ้ากลับไปแล้วก็ยังสามารถแต่งงานต่อได้ ยังคงเป็นข้าน้อยที่จัดการบาดแผลเหล่านั้นให้คุณชายเชียนซื่อ…”
————————————————————————————-
บทที่ 2944 เทวาดับสูญ 4
ในที่สุดตี้ฝูอีก็เข้าใจแล้วว่า ‘ถ้าเขารอข้าอีกครึ่งชั่วยามก็คงดี’ ประโยคนั้นที่อยู่บนกระดาษ หมายความว่ายังไง!
หลังจบเรื่อง นางคงอยากมาอธิบายกับเขายิ่งนัก เคยใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อหาเขา เคยสะกดรอยตามลูกน้องของเขา สืบหาร่องรอยของเขาสารพัดวิถีทาง คิดหาทางให้ได้พบหน้าเขาอีกสักครั้ง…
แต่เขา…ไม่เคยมอบโอกาสนี้ให้นางเลย…
อาจิ่ว!
เป็นครั้งแรกที่นกเหอถงตัวนั้นได้เห็นราชครูตี้ผู้แข็งแกร่งเสมอมาคนนี้นัยน์ตาแดงก่ำ เขาจ้องตรงไปที่ประตูใหญ่ซึ่งเปิดอ้าอยู่ครึ่งบาน ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่
และตอนนี้ก็ครบกำหนดเวลาแล้ว ประตูใหญ่เริ่มหุบเข้าไปอย่างช้าๆ ทีละชุ่น...
นกเหอถงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ครบกำหนดครึ่งชั่วยาม ประตูใหญ่บานนี้จะปิดแล้ว ถ้าคิดจะเปิดอีกครั้งก็ต้องรออีกหนึ่งเดือน…” เอ่ยยังไม่ทันจบ มันก็ร้องอุทานเสียงดัง ‘อ๋า’ ออกมา!
ราชครูตี้ที่เมื่อครู่นี้ยังยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงหน้าเขาไม่น่าเชื่อเลยว่าจะพุ่งเข้าไปในประตูใหญ่บานนั้นปานพายุหอบหนึ่ง และทันทีที่เขาเข้าไปได้ ประตูใหญ่ก็ส่งเสียงดังแอ๊ดปิดสนิทอย่างสมบูรณ์!
ทิ้งนกเหอถงให้ตาค้างอ้าปากหวออยู่ด้านนอกประตู
….
ตี้ฝูอีวิ่งทะยานอยู่ในแดนต้องห้ามของทวยเทพ!
เขาจับสัมผัสถึงการคงอยู่ของนางได้ สมควรจะอยู่ด้านหน้าแล้ว!
เขาไม่สนใจทิวทัศน์อันงดงามตระการตาของที่นี่เลย ไม่ทันคิดเลยว่าเหตุใดตนถึงไม่ถูกที่นี่ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นที่ไม่ได้รับการโจมตีใดๆ เลย ในสมองเขามีเพียงความคิดหนึ่งที่หมุนวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง…
รอข้านะ อาจิ่ว ต้องรอข้านะ!
จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังสัมผัสถึงการคงอยู่ของนางได้ นั่นยืนยันได้ว่านางยังมิได้ดับขันธ์ มิได้ดับขันธ์ก็ยังมีความหวังอยู่…
บางทีนางอาจจะแค่บาดเจ็บสาหัสเกินไป จึงมาพักฟื้นที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะหลับลึกอยู่ที่นี่แค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เหมือนตอนก่อนหน้านี้
เทพเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย จะดับสูญไปได้อย่างไรเล่า? เป็นตนเข้าใจผิดไปอย่างแน่นอน!
เทพมีเพียงการเข้าสู่ห้วงนิทรา บางทีที่นางบอกว่าไม่มีเวลาแล้ว คงเป็นเพราะต้องเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งก็ได้ หลับใหลไปอีกนับหมื่นปี จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอย่างงุนงงเลอะเลือน…
และในครั้งนี้เขาจะเฝ้าอยู่ข้างกายนาง จะไม่ปล่อยมือนางไปอีกแล้ว
ปวงชนเพียงเทิดทูนบูชานางในฐานะเทพยดาผู้สูงส่งเลิศล้ำ กลับไม่รู้เลยว่านางก็เหมือนสาวน้อยคนหนึ่งเช่นกัน ตะกละ ขี้เซา บางครั้งยังชมชอบทำตัวกลับกลอกด้วย ยามที่ต้องอยู่เพียงลำพังนางจะประหม่าและหวาดกลัว…
และด้านที่เป็นสาวน้อยของนางล้วนเคยแสดงออกมาเพียงต่อหน้าเขา
เขานึกถึงท่าทางของนางตอนที่นางวอนขอดื่มสุรากับเขาที่ทะเลทราย คล้ายเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังจะถูกทอดทิ้ง แต่เขากลับคิดว่านางกำลังเล่นเล่ห์อยู่ ปฏิเสธคำขอสุดท้ายของนางอย่างเย็นชา
ตอนนั้นนางต้องโศกเศร้ายิ่งนักเป็นแน่
เหตุใดเขาจึงปฏิบัติต่อนางอย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ได้…
ตี้ฝูอีหลับตาลงอย่างขมขื่น ความเจ็บปวดในหัวใจแทบจะทำให้เขาหายใจไม่ออกแล้ว
อาจิ่ว...
ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอภัยให้ข้าได้ไหม?
เจ้าต้องรอข้านะ…
ทันใดนั้น คล้ายว่าเขาจะสัมผัสถึงอะไรได้ พลันเงยหน้า มองไปยังยอดตำหนักใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
ตรงนั้นมีแสงเจ็ดสีสาดส่องระยิบระยับ แสงนั้นส่องสะท้อนท้องนภาไปครึ่งฟาก…
เป็นนาง!
ในที่สุดเขาก็หานางพบแล้ว!
จวบจนยามนี้เขาถึงได้พบว่าตนขาอ่อนจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว
เขาฝืนสะกดกลั้นความหวาดหวั่นในใจนั้นไว้ พลันดีดกายแวบ ทะยานขึ้นไปบนยอดตำหนัก
บนยอดตำหนัก ธารดาราส่องพร่างพราว เมื่อยืนอยู่ที่นี่แล้ว เสมือนได้เผชิญหน้ากับจักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างไกล
มีบงกชโลหิตทอดปูทาง ตรงไปหาแท่นบงกช ทุกอย่างนี้ล้วนงดงามราวกับห้วงฝัน งดงามเป็นที่สุด ทว่าเปลี่ยวร้างเป็นที่สุดเช่นกัน มองแวบแรกคล้ายจะได้เห็นความงดงามอันเปลี่ยวร้างและน่าพรั่นพรึงของวันสิ้นโลก
นางนั่งอยู่บนแท่นบงกชนั้น ดวงหน้าผุดผาดแข็งยะเยือก แฝงกลิ่นอายเหมันต์ มือจรดเป็นท่ามุทราที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง พริ้มตาลงเล็กน้อย มีละอองแสงค่อยๆ ผุดซึมออกมาจากรอบกายนาง ผสานเข้ากับแสงรุ้งที่อยู่รอบข้าง
————————————————————————————-
[1] นกเหอถง นกในตำนานโบราณของจีน ตัวเป็นนกกระเรียน แต่มีใบหน้าเหมือนเด็กทารก