Muyoku no Seijo wa Okane ni Tokimeku นักบุญคนนี้หิวเงินจังเว้ย - ตอนที่ 3 ลีโอ โดนลักพาตัว
- Home
- Muyoku no Seijo wa Okane ni Tokimeku นักบุญคนนี้หิวเงินจังเว้ย
- ตอนที่ 3 ลีโอ โดนลักพาตัว
ลีโอรู้สึกสับสน แต่ถ้าจะพูดให้ถูกล่ะก็ เขารู้สึกเขินซะมากกว่า
“มาสิจ๊ะ มานั่งตรงนี้ ไม่ต้องอายจ้ะ ลองนั่งบนเบาะนี้ดู ฟุฟุ นี่เป็นเบาะที่ท่านยายเป็นคนเย็บเองเลยนะจ๊ะ เป็นรูปแอปเปิ้ลที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลของเรา อุฮุฮุ ใช่แล้วจ้ะ ตัวฉันคือท่านยายของหนูอย่างไรล่ะจ๊ะ!”
ตัวของเขาเปล่งแสวงสว่างจ้า แล้วพอลีโอรู้สึกตัวอีกที เขาก็ถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่ที่สถาบันแล้ว
“ลองนี่สิจ๊ะ ช็อคโกแลตร้อน ไม่รู้ว่าหนูชอบของหวานรึเปล่านะ? คงจะชอบสินะจ๊ะ ลูกสา-ท่านแม่ของหนูเองก็ชอบของหวานมากเหมือนกัน เธอยังชอบพวกขนมอบและขนมปังมากเลยด้วย ออกจะร้อนเสียหน่อยนะจ๊ะ ค่อยๆดื่มทีละน้อย”
ลองฟังที่คุณป้าคนนี้ซึ่งเกาะติดตัวเขามาตั้งแต่เมื่อครู่ดู–ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็นคุณยายของลีน่า
ตอนที่เขาถูกอัญเชิญมา ลีโอก็ตกก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นอย่างแรงพอสมควร ตอนนี้เลยยังมึนๆอยู่เล็กน้อย
ในตอนนั้นเอง คู่สามีภรรยาวัยกลางคนก็เข้ามากอดเขา เอาผ้าอุ่นๆมาคลุมให้ จากนั้นก็พาเขามาที่ไหนไม่รู้
คุณลุงคนนั้นคุยกับเจ้าหน้าที่ของสถาบันอยู่สักพัก ตะโกนอะไรก็ไม่รู้ จากนั้นก็พาตัวลีโอขึ้นรถม้ามายังบ้านหลักของตระกูลฮาเคนเบิร์ก เป็นบ้านที่ใหญ่และหรูหราในระดับที่ทำให้เข้าใจผิดว่านี่เป็นวังหลวงได้เลย
‘บ้านโคตรใหญ่เลย’
แก้วที่ถูกส่งให้เขาก็หรูหราในแบบที่ลีโอไม่เคยเห็นมาก่อน เขากวาดตามองไปรอบๆ
ไม่รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่เป็นเอกลักษณ์ของช่วงเวลานี้ในจักรวรรดิไวส์เลยสักนิด เตาผิงลุกโชนอยู่ตลอดเวลา กำแพงของบ้านถูกประดับไว้ด้วยงานศิลปะมากมาย คนรับใช้หลายคนยืนประจำการคอยรับคำสั่งอยู่รอบๆ
‘กลิ่นโคตรยั่วน้ำลายเลยว่ะ’
ลีโอรู้สึกเหมือนเขาได้กลิ่นเงินทองโชยฟุ้งอยู่รอบๆบ้าน
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว แขกที่น่ารักของเรา ขอฟังชื่อของหนูหน่อยได้ไหมจ๊ะ?”
พอได้ยินเสียงของคุณป้า-ท่านเอมิเลีย ลีโอก็ดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง
“…ชื่อว่า…เอ่อ…ลีน่า..ค่ะ…”
จากที่ลีน่าอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ เห็นว่าจะมีโอกาสสูงที่จะได้เจอญาติของเธอในคืนก่อนวันเปิดภาคเรียน
แต่ดูเหมือนว่าพิธีเปิดภาคเรียนจะถูกเลื่อนไปวันนึงแทน
‘ก็เข้าใจนะว่าเป็นห่วงลูกสาวของตัวเองมากน่ะ แต่นี่อะไรนิ?’
‘เอาเถอะ ยังไงเดี๋ยวก็จะรีบชิ่งแล้ว อย่าไปสนิทสนมกับเค้ามากดีกว่า…’
ลีโอตั้งใจว่าจะปกปิดความจริงเอาไว้
ถ้าบอกไปว่าลูกสาวของคนพวกนี้ คลอเดียยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ครอบครัวของลีน่าจะมีปัญหาเอาได้
“แหม ลีน่า! หนูชื่อลีน่าสินะจ๊ะ! ช่างเป็นชื่อที่น่ารักอะไรขนาดนี้”
เป็นเพราะว่าคำสาปที่ลีน่าร่ายเอาไว้ ลีโอเลยพูดได้แบบตะกุกตะกัก แต่พวกเขาก็ดูจะไม่ได้สงสัยอะไร
คุณหญิงเอมิเลียปรบมือเข้าด้วยกันอย่างร่าเริง ท่านมาร์ควิสตรงนั้นก็งึมงำว่า “ลีน่าสินะ…อืม เป็นชื่อที่ดี” ดูเหมือนว่าจะดีใจที่ได้รู้ชื่อของหลานตัวเองล่ะมั้ง
ลีโอผ่อนคลายลงเล็กน้อย และมองไปที่ถ้วยช็อคโกแลตร้อนในมือ
กลิ่นหอมจัง แต่นี่ใช่ช็อคโกแลตแน่เหรอ?’
ช็อคโกแลตที่ลีโอรู้จักนั้นคือของหวานที่หน้าตาเหมือนขี้ม้า จะมีโอกาสได้กินแค่ปีละครั้งในเทศกาลแห่งภูต มันมีกลิ่นที่หอมหวาน แต่พอกินเข้าไปแล้วก็จะละลายในปาก สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นของอย่างดี เด็กๆในบ้านเด็กกำพร้าถึงกับพากันเรียกว่า “ท่านช็อคโก”
‘อันนี้มันดูเหลวๆไงไม่รู้ เหมือนท้องเสียเลยอ่ะ…ไม่ไม่ไม่ ใจเย็นก่อน’
เป็นเพราะว่าถูกล้อมรอบด้วยความหรูหราในระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ลีโอเลยทำใจ้ให้สงบไม่ได้เลย
ถ้าเขาใจเย็นเป็นปกติล่ะก็ คงจะลุกไปเดินดูของพวกนั้นแล้ว ดีไม่ดีจะขอติดมือกลับไปเป็นของฝากด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าต้องการที่จะนับเหรียญให้ใจสงบลง
‘…หืม?’
ในขณะที่กำลังนับเหรียญในจินตนาการอยู่นั้น ลีโอก็สังเกตได้ว่าอะไรหายไป
‘….!’
เขารีบคว้านหาบริเวณรอบอกของตน
ไม่มี
แน่นอนว่าไม่ได้พูดถึงหน้าอกหรืออะไรนะ
แต่เป็นเหรียญทองคาร์ลไฮนส์ ไรมุนด์ ที่เคยผูกติดอยู่กับสร้อยของเขา
“คาร์-ซามะ…!”(พ้องเสียงกับ ก้าซามะ/โอก้าซามะ ที่แปลว่า ท่านแม่)
ลีโอถึงกับหน้าถอดสี
พอมาลองคิดดู น่าจะมีโอกาสสูงพอตัวที่มันจะหล่นหายไปตอนที่โดนอัญเชิญออกมา
ลีโอสาปแช่งตัวเองที่ถูกสิ่งอื่นล่อความสนใจไปและปล่อยให้เหรียญทองที่สำคัญหายไปได้
เห็นเด็กสาวที่นั่งจ้องช็อคโกแลตร้อนอยู่จนถึงเมื่อครู่จู่ๆก็ตะโกนออกมาว่า “ท่านแม่…!” ทำให้คนอื่นๆในห้องมองลีโอด้วยสายตาตกตะลึง
“เป็นอะไรไปจ๊ะลีน่า”
เอเมิเลียเดินเข้ามาหาลีโอที่ทำหน้าตาเหมือนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ และกล่าวปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ลีน่าจ๊ะ ใจเย็นก่อนนะ ใช่แล้ว ช็อคโกแล๖ร้อนนี้เองก็เป็นของโปรดของเด็กคนนั้นเหมือนกัน คงจะทำให้คิดถึงเธอสินะ”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าที่ยากจะเข้าใจ เธอผงกหัวเหมือนรู้อะไรบางอย่าง เมื่อเห็นดังนั้น เอมิเลียจึงย่อตัวลงและทาบมือทั้งสองข้างลงบนไหล่ของเธอ
“บอกทีได้ไหมจ๊ะลีน่า คลอเดียน่ะ…เธอใจดีมากเลยใช่ไหม เธอคงจะยิ้มให้เห็นบ่อยๆเลยสินะ?”
ลีโอเอียงคออย่างงงๆ ทำไมจู่ๆถึงพูดเรื่องแม่ของลีน่าล่ะ
“ไม่รู้ค่ะ…ตัวชั้นไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนเลย”
ก็คือว่า ลีน่าไม่ได้บอกอ่ะ จะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณป้าร้านขนมปังเค้าทำตัวยังไงที่บ้าน
“อย่างนั้นหรือจ๊ะ…แสดงว่าท่านแม่ของหนูจากไปตั้งแต่ที่หนูยังเล็กๆสินะจ๊ะ?”
ลีโอยิ่งงงไปอีก
“ไม่รู้สิคะ ชั้นไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลย”
ถ้าจะถามลีโอเกี่ยวกับพ่อแม่ของตัวเอง ก็คงบอกไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าเขาถูกเอามาทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเป็นทารก
‘ไม่ใช่ดิ ไม่ได้ถามเรื่องพ่อแม่ตูนี่หว่า’
ถึงแม้ว่าลีโอจะไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับบทสนทนานี้เลย เอมิเลียก็น้ำตาซึมซะแล้ว ลีโอเองก็ไม่อยากจะถามอะไรกลับไปอีก ตัวเขาน่ะเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่ชอบเห็นผู้หญิงร้องไห้นะเออ
“น่าสงสารเหลือเกิน…! หนูโตมาจนถึงตอนนี้โดยที่ไม่เคยพบหน้าเธอเลยสักครั้ง แต่อย่างน้อยห็ยังมีรูปร่างหน้าตาที่ได้รับสืบทอดมา…”
“เอมิเลีย พูดว่าคนอื่นน่าสงสารต่อหน้าเจ้าตัวน่ะเป็นเรื่องเสียมารยาทไม่ใช่หรือ?”
ทั้งสองคนเริ่มพูดกันเองแล้ว แต่ตัวต้นตออย่างลีโอยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เหมือนจะคิดอะไรได้ เอเมิเลียเช็กน้ำตาและหันมาหาลีโอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอโทนะจ๊ะลีน่า เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ทำไมเราถึงไม่ไปดูชุดเดรสของหนูกันล่ะ? ท่านย่าน่ะสั่งตัดไว้ให้หนูหลายชุดเลยนะ”
เธอเพียงแค่ปรบมือสองที เหล่าคนรับใช้มากมายก็เริ่มเคลื่อนไหว ในเวลาอึดใจเดียว เสื้อผ้ามากมายก็ถูกน้ำมากองไว้ตรงหน้าลีโอ
“ดูนี่สิจ๊ะ ชุดเดรสสีฟ้าตัวนี้จะทำให้หนูดูเหมือนภูตแห่งทะเลสาบเลยนะ! หรือว่าชอบชุดสีทองนี้มากกว่า จะทำให้สีตัดกับผมสีดำสลวยของหนูได้อย่างลงตัว! แล้วถ้าเป็นเดรสสีชมพูตัวนี้ล่ะ น่ารักใช่มั้ยล่ะจ๊ะ?”
เอเมิเลียดึงชุดเดรสมาโชว์ทีละตัวสองตัวราวกับยังเป็นสาววัยรุ่นทั้งที่อายุไม่ใช่แล้ว แต่ลีโอในตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะตามน้ำด้วย
‘ต้องรีบไปหาคาร์-ซามะ’
มันน่าจะตกอยู่ในสถาบันแน่ๆ
‘ขุนนางคงจะไม่มาสนเหรียญทองเก่าๆที่กลิ้งอยู่ตามพื้นหรอกมั้ง…ไม่สิ ยังไงเหรียญทองก็คือเหรียญทอง ไม่ว่าใครก็ต้องอยากได้มันแน่’
ตั้งแต่ที่เขาได้มันมาเมื่อนานมาแล้ว ลีโอก็ทะนุถนอมมันอย่างดี และเขาก็ระวังตัวอยู่ตลอดให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมาขโมยไปได้
เอมิเลียไม่พอใจเล็กน้อยที่ดูเหมือนว่าเด็กน้อยตรงหน้าจะไม่ได้ให้ความสนใจเธอเลย
“มาสิจ๊ะลีน่า มาเลือกของที่หนูชอบกัน จะใส่ชุดโทรมๆ—ไม่สิ ชุดเบาบางแบบนั้นอยู่ตลอดจะไม่ดีนะจ๊ะ ช่วงเวลานี้ของจักรวรรดิน่ะหนาวมากเลยนะ”
“จักรวรรดิ…หนาว”
ก็นั่นสินะ ลีโอผงกหัวเห็นด้วย
เทียบกับชุดโง่ๆของบ้านเด็กกำพร้าแล้ว ชุดของลีน่านี่ค่อนข้างจะอุ่นพอตัวเลย แต่ถ้าจะหาคาร์-ซามะในตอนกลางคืนล่ะก็ จะต้องมีชุดที่อุ่นกว่าและขยับได้สะดวกกว่านี้ ยิ่งสีดำที่ทำให้เห็นตัวได้ยากนี่ยิ่งดี
เอมิเลียยิ้มให้กับลีโอที่มองกองชุดพวกนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ชุดเดรสพวกนี้สวยๆทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ นี่เป็นของหนูทั้งหมดเลยนะจ๊ะ…แต่สำหรับวันนี้ ชุดนี้เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?”
คิดว่าลีโอจะต้องชอบ เอมิเลียดึงชุดสีชมพูออกมาให้เขาดู
แต่ลีโอทำเพียงขมวดคิ้วและส่ายหน้า
“สีสดเกินไป…ขอสีเทา..หรือสีดำ”
“อย่างนี้นี่เอง…ทำไมถึงชอบสีเข้มแบบนั้นล่ะจ๊ะ? ถึงมันน่าจะเข้ากับหนูก็เถอะนะ”
เอมิเลียโน้มตัวเข้าเพื่อที่จะกอดหลานสาวของเธอ แต่ก็ถูกปัดป้องเอาไว้
“ไม่ได้นะคะ! เดี๋ยวจะสกปรก”
เสื้อผ้าที่เอมิเลียสวมอยู่นี่คือแค่มองก็รู้แล้วว่าแพง
ถ้าทำให้สกปรกขึ้นมาล่ะก็ โดนฟ้องหมดตูดแน่
ลีโอเป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับความสะอาดของสิ่งของเครื่องใช้มาก ถึงจะเป็นเพราะว่าจะเอาไปขายต่อก็เถอะ ถ้าปล่อยให้มูลค่าตกล่ะก็น่าเสียดายแย่
“สกปรก…? ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะจ๊ะ? อา ชุดที่หนูใส่อยู่ตอนนี้ก็ค่อนข้างจะสกปรกเล็กน้อยจริงๆด้วย แต่เพราะอย่างนั้น ทำไมถึงไม่มาลองเลือกชุดใหม่พวกนี้ดูล่ะจ๊ะ”
ได้ยินคำตอบที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยของเอมิเลีย ลีโอทำเพียงส่ายหัวเบาๆ
“ไม่ได้ค่ะ ชั้นจะทำให้มันสกปรก ต้องคลาน ต้องหมอบกับพื้น”
จะหาของในตอนหลางคืนอย่างนี้ มันก็ต้องคลานหาตามพื้นอยู่แล้ว
“หมอบ คลาน…? พูดอะไรน่ะจ๊ะ? ทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้น?”
“คาร์-ซามะหายไป เป็นความผิดของชั้น เพราะแบบนั้น…”
ไม่รู้ทำไม จู่ๆยายของลีน่าถึงพุ่งเข้ามากอดเขาทั้งน้ำตา
“อย่าพูดอะไรแบบนั้นนะ! ไม่ใช่ความผิดของหนูสักหน่อย!”
“มุ…”
ป้าคนนี้แข็งแรงไม่เบาเลยแฮะ
“ลีน่า! ฟังยายให้ดีๆนะ มันไม่ใช่ความผิดของหนูเลยที่ท่านแม่ของหนูหายไป มันเป็นความผิดของฟลอร่…ไม่สิ ของพวกเรานี่ล่ะ หนูไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น!”
พอได้ยินว่าเป้นความผิดของเธอที่เหรียญทองหายไป ลีโอก็รู้สึกสับสนขึ้นมา
“ความผิดของท่านเอมิเลีย…?”
“ใช่แล้วจ้ะ เป็นความผิดของพวกเราเอง หนูไม่ได้สกปรกอะไรหรอกนะ”
หรือก็คือ เอมิเลียมีเหรียญของลีโออยู่สินะ
“ถ้าอย่างนั้น…คืนคาร์-ซามะมาได้มั้ยคะ?”
‘รีบเอาคืนมาดิ๊’
กับบ้านรวยๆแบบนี้ ถ้าจะให้ดีขอเป็นเหรียญใหม่เลยก็ได้นะ หรือถ้าให้มากกว่าเหรียญนึงก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง
ในขณะที่คิดเรื่องโลภมากแบบนั้นอยู่ เอมิเลียก็ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความโศกเศร้า
“…ขอโทษนะจ๊ะ ไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหน นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่เราไม่อาจทำให้ได้”
อะไรเนี่ย คิดจะไม่คืนเหรียญทองเหรอ
เอาจริงๆ ลีโอก็จำไม่ได้เลยว่าเธอเอาเหรียญเขาไปตอนไหน คิดว่าเหรียญอาจจะไม่ได้อยู่กับเธอก็ได้
‘แต่รวยขนาดนี้แล้ว จะให้เหรียญทองแดงสักเหรียญมาเป็นค่าชดเชยหน่อยไม่ได้หรอ?’
‘ขี้เหนียวว่ะ’ ลีโอคิดในใจ
“แต่ลีน่าจ๊ะ ท่านแม่ของหนูจะอยู่กับหนูเสมอนะ ภายในนี้-“
พอพูดจบ เอมิเลียก็ชี้มาที่อกของลีโอ
ลีโอก็ได้แต่มองอย่างงงๆ
‘ก็เพราะมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นไง เลยจะไปหาเนี่ย’
พอเห็นท่าทางไร้เดียงสาของหลานสาว เอมิเลียก็ยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น
“อาจจะลำบากอยู่บ้าง แต่จำไว้นะจ๊ะ ท่านตาและท่านยายน่ะจะอยู่เคียงข้างหนูเสมอ”
หลังจากจุมพิตหน้าผากของลีโอ เธอก็บอกว่า “ทำไมวันนี้เราไม่พักกันแค่นี้ก่อนล่ะจ๊ะ?”
ถึงจะพยายามบอกกี่ครั้งว่าจะต้องรีบกลับไปที่สถาบัน ก็ดูเหมือนจะไม่มีใรฟังเขาเลย
“…ช่วยไม่ได้แฮะ เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้”
ถ้าบอกไปตรงๆว่าทำเหรียญทองตกไว้ล่ะก็ โอกาสที่มันจะโดนขโมยก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ลีโอจะต้องไปหาด้วยตัวเอง
ดีนะที่เขาหูดี ได้ยินว่าที่สวนตรงนั้นปกติแล้วจะไม่มีใครเข้าออกตอนกลางคืน และเพราะว่าพวกลีโอเป็นคนสุดท้ายที่ออกมา จะให้รอถึงพรุ่งนี้ก็น่าจะไม่เป็นไรมาก
ยิ่งดึกๆดื่นๆแบบนี้อีก ลีโอรู้สึกว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นสายแน่เลย
‘ไว้พรุ่งนี้ ไว้พรุ่งนี้-‘
ลีโอโดนความนุ่มนิ่มของเตียงกล่อมให้หลับไปในที่สุด
.
“-เด็กคนนั้นหลับไปแล้วรึยัง?”
“ค่ะ หลังจากที่เอนหลังลงบนเตียง เธอก็ผลอยหลับไปในทันทีเลย…เด็กๆก็เป็นอย่างนี้สินะคะ น่าคิดถึงจัง”
เอมิเลียออกจากห้องของหลานสาวมาอย่างเงียบเชียบที่สุดและกลับมายังห้องนั่งเล่น ท่านมาร์ควิสนั่งรอเธออยู่ด้วยสีหน้าที่มืดหม่น เธอจึงทำเพียงจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ
“ที่รัก”
“คะ”
ทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันมากว่าสี่สิบปี สามารถเข้าใจกันและกันได้ไม่ยาก
“นี่ข้า เข้าใจผิดมาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ?”
มาร์ควิสกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจและลูบหนวดเคราของตน
เอมิเลียเองก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป
“…ในตอนที่คลอเดียต้องประสบกับเคราะห์ร้ายในครั้งนั้นน่ะ ข้ายังคิดเลยด้วยซ้ำว่าเธอจะสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ขนาดตอนที่ได้ยินว่าเธอจากไปแล้ว ข้ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง – ข้าคิดว่าหากเธอจะจากไปด้วยเรื่องพรรค์นี้แล้วล่ะก็ นั่นก็คงเป็นโชคชะตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
มาร์ควิสแห่งฮาเคนเบิร์กคือชายผู้ผ่านการรบมานับครั้งไม่ถ้วน วิธีคิดของเขาเองก็ถูกปลูกฝังและขัดเกลามาในสนามรบ และวิธีคิดนั้นก็ถูกส่งต่อมายังชีวิตประจำวันของเขาด้วย
“แต่ว่าในตอนที่เห็นเด็กคนนั้นครั้งแรกน่ะ–ตอนที่ข้าได้เห็นใบหน้าของลีน่า ข้าก็ได้เห็นปาฏิหาริย์ของภูติพรายและเข้าใจบาปของตนเองได้ในที่สุด ทั้งๆที่เด็กคนนั้นช่างงดงามและบริสุทธิ์ เธอกลับต้องเกลือกกลั้วอยู่ในโคลนและใช้ชีวิตด้วยความเกลียดชังในตนเอง และเป็นตัวข้านี่เอง ที่ผลักไสเธอลงไปในสถานการณ์เช่นนั้น”
“…เธอผอมมากเลยนะคะ”
“กระทั่งการพูดภาษาไวส์อขงเธอเองก็ตะกุกตะกัก ถ้าจะให้คิดล่ะก็ คงจะไม่มีใครที่คอยฝึกสอนภาษาและความรู้ให้กับเธอเป็นแน่”
มาร์ควิสกำหมัดของเขาแน่นจนซีดเผือก
“ยิ่งกว่านั้นเธอยังกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา สังเกตมั้ยว่าในบางครั้งเธอทำท่าเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป”
“ค่ะ บางครั้งเธอก็เอามือจับตามตัวเหมือนกับพยายามป้องกันตัวเองอยู่”
“ใครสักคนทำแบบนั้นกับลีน่า สั่งไม่ให้เธอขึ้นเสียง ไม่ให้เธอขัดใจผู้ใหญ่ พวกมันคงจะสั่งสอนเธอไม่ให้ส่งเสียงดังหรือแม้กระทั่งทำร้ายเธอหากเธอไม่ยอมเงียบ”
เอมิเลียถึงกับน้ำตาคลอ
“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆเลยค่ะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ทำไมเด็กอย่างเธอถึงจะเรียกตัวเองว่าสกปรกกันล่ะ? จะต้องมีใครคอยดุด่าลีน่า อดอาหารของเธอ และสั่งให้เธอหมอบคลานกับพื้นเป็นแน่”
จริงๆแล้วเป็นเพราะว่าลีน่าเบื่อกินขนมปังที่เหลือจากร้านเป็นอาหารในทุกๆมื้อ เลยกินบ้างไม่กินบ้าง หรือกินไม่เป็นเวลา ยิ่งในช่วงนี้ที่เธอเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับเวทย์สลับร่างและไม่ยอมออกมากินข้าว แต่คู่สามีภรรยาไม่รู้เรื่องนั้น จึงคิดว่าหลานสาวของตนเป็นเหยื่อของการทารุณกรรม
“นี่ คลอส”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เอมิเลียเรียกชื่อจริงของสามีของเธอ
“เด็กคนนั้น ฉันจะเป็นคนปกป้องเธอเองค่ะ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและแน่วแน่
“ไม่ว่าเธอจะเหงาแค่ไหน หนาวเหน็บเพียงใด ฉันก็จะมอบทุกสิ่งที่มีให้กับเธอ และปกป้องเธอเอาไว้ให้ได้ จะให้ความร่วมมือด้วยใช่ไหมคะ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
คำตอบของมาร์ควิสคลอสนั้นเรียบง่ายแต่ก็ทรงพลัง
“เราจะทำให้ชีวิตของเธอมีแต่ความสุขในระดับที่ทุกๆคนอิจฉาเลยล่ะ เพราะอย่างนั้นแล้ว–เพื่อฉลองให้กับการเริ่มต้นชีวิตใหม่นี้ ทำไมเราไม่มอบชื่อใหม่ให้กับเธอล่ะ?”
“แหม วิเศษไปเลยค่ะ!”
ในจักรวรรดิไวส์แห่งนี้ การมอบชื่อใหม่ให้กับใคร จะเป็นการแสดงตัวให้เห็นถึงความเป็นผู้ปกครองและผู้รับผิดชอบต่อคนคนนั้น
เอมิเลียเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเลย
“ถึงอย่างนั้น ลีน่าเองก็เป็นชื่อที่เธอใช้มาตั้งแต่เกิด ชื่อใหม่ของเธอเองก็ควรที่จะไม่ต่างออกไปมากนัก ลีน่ากลายเป็น เอเลน่า เอเลนอร์…ลีโอโนร่า”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
“คิดว่าลีโอโนร่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อา ฉันก็คิดจะแนะนำชื่อเดียวกันเลยค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง
นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว รอยยิ้มที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจทั้งสอง
“หลานรักของพวกเรา…ลีโอโนร่า”
และแล้ว ลีโอโนร่า วอน ฮาเคนเบิร์กก็ได้ถือกำเนิดขึ้น