พวกเราออกมาจาก ซีกเกอร์
เพื่อที่จะไปตรวจสอบคุณสมบัติของ แอดด์
ตอนนี้ที่ข้างนอกฟ้าได้มืดลงแล้ว
พวกเราเลยต้องใช้เวทแสงช่วยในการส่องสว่าง
“งั้นผมจะอัญเชิญมันออกมาเลยนะครับ”
จากนั้นผมก็อัญเชิญ แอดด์ ออกมา
เยี่ยม! นี่แหล่ะสีหน้าที่ผมต้องการ
เพราะตอนนี้สีหน้าของทุกคนดูจะมึนงงกันมาก
และสงสัยว่ามันจะสามารใช้งานได้จริงๆ เหรอ
ฮ่าๆ ของแบบนี้มันต้องลองให้ดูก่อนใช่มั้ยล่ะถึงจะเข้าใจ
“ผมจะสาธิตวิธีใช้ให้ดูนะครับ ตั้งใจดูกันให้ดีๆ”
จากนั้นผมก็ขับ แอดด์ วนไปรอบๆ เป็นวงกลมให้พวกเธอดู
“วาตารุซัง มันน่าทึ่งมากเลยค่ะ
ฉันไม่คิดเลยว่าสกิลของวาตารุซัง
จะสามารถอัญเชิญอย่างอื่นออกมาได้ด้วยนอกจากเรือ
ตอนแรกฉันคิดว่ามันจะอัญเชิญออกมาได้แค่เรือเสียอีก”
ก็เป็นคำถามที่สมเหตุสมผล เพราะชื่อสกิลมันคือการอัญเชิญเรือนี่นา…
แต่น่าแปลก…อลิเซียซังกับมารีน่าซังไม่ได้มีท่าทีสนใจมันในทันทีแบบที่ไอเนสเป็นแฮะ
ผมนึกว่าพวกเธอจะตื่นเต้นเหมือนกับที่ไอเนสเป็นซะอีก…
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียวครับ อลิเซียซัง
เพราะ แอดด์ เป็นพาหนะสะเทินน้ำสะเทินบก
ผมเลยคิดว่ามันน่าจะนับว่ามันเป็นเรือชนิดหนึ่งได้เหมือนกัน”
“อย่างงั้นเหรอคะ…?”
“นี่ วาตารุซัง คุณจำที่ฉันเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหมคะ?
ที่ว่า พาหนะเวทมนตร์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเรือเวทมนตร์ขนาดใหญ่เสียอีก
ถ้ามีใครมาเห็นมันเข้ามีหวังได้เป็นเรื่องใหญ่แน่นอนค่ะ
ฉันมั่นใจเลยค่ะ ว่าถ้าคุณเอามันขึ้นไปขับบนแผ่นดินใหญ่ล่ะก็
ได้เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน ดังนั้นคุณต้องระวังไม่ให้ใครมาเห็นมันเข้าอย่างเด็ดขาดเลยนะคะ
เพราะถ้าโดนจับได้ คุณอาจจะต้องหนีออกจากประเทศ…
ไม่สิ…ดีไม่ดีอาจถึงขั้นที่ต้องหนีออกนอกทวีปไปเลยก็ได้
เว้นแต่คุณจะมีวิธีรับมือกับประเทศ”
ผมไม่อยากไปสู้รบตบมือกับใครหรอกนะ…แล้วก็ไม่อยากหนีออกนอกประเทศหรือออกนอกทวีปด้วย
“หมายความว่า แอดด์ มันคล้ายกับพาหนะเวทมนตร์อย่างงั้นเหรอครับ? อลิเซียซัง”
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ เพราะเคยได้ยินแต่ที่เขาเล่ามาเท่านั้น
ฉันยังไม่เคยเห็นพาหนะเวทมนตร์ของจริงมาก่อนเลย
แต่จากที่เคยได้ยิน ถ้ามันสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวของมันเองล่ะก็
ฉันคิดว่า แอดด์ ก็น่าจะจัดว่าเป็นพาหนะเวทมนตร์ประเภทหนึ่งเหมือนกันค่ะ”
“…งั้นก็หมายความว่าห้ามให้ใครเห็นมันโดยเด็ดขาดสินะครับ…
แล้วถ้าเป็นแบบนี้ล่ะครับ?”
จากนั้นผมก็ใช้สกิลแปลงโฉมเรือเพื่อเปลี่ยนให้ แอดด์ กลายเป็นรถม้า
พอพวกเธอเห็นอย่างนั้น ก็ต่างพากันขอขึ้นนั่งมันทันที
ผมเลยพาพวกเธอออกไปลองวิ่งรอบๆ แถวนี้ดู
“รถม้าไร้คนขับ ม้าที่ไม่ขยับขา และยังเสียงนี่อีก…
ฉันคิดว่ามันต้องเกิดข่าวลือแปลกๆ ขึ้นมาแน่ค่ะ
แต่ก็ยังดีกว่าให้เรื่องพาหนะเวทมนตร์หลุดออกไป…
แค่ฉันไม่รับรองนะคะ ว่าจะมีคนออกคำขอให้จัดการกับมันหรือเปล่า…”
คำขอให้จัดการงั้นเหรอ…หมายความว่ายังไงกัน
ทำไมต้องมาจัดการรถม้าแบบนี้ด้วยล่ะ?
อีกอย่างผมเองก็ไม่โง่พอที่จะอยู่รออยู่เฉยๆ ให้ถูกโจมตีหรอก
ดังนั้นรูปแบบรถม้านี่ก็น่าจะปลอดภัยไม่ใช่เหรอ?
“เข้าใจแล้วครับ งั้นถ้าผมเอามันไปวิ่งบนแผ่นดินใหญ่
ผมจะแปลงให้มันเป็นรถม้าก็แล้วกัน แล้ว…สำหรับบนเกาะนี้ล่ะครับ?”
“ก็อย่างที่วาตารุซังบอกนั่นแหละค่ะ ชาวบ้านบนเกาะนี้เคยเห็น ไฮด์อเวย์ กันหมดแล้ว
ดังนั้นการที่คุณจะปิดบังเรื่องนี้ต่อไปก็คงจะไม่มีความหมายหรอกค่ะ”
“จริงด้วย! งั้นเราขับไปตามปกติก็แล้วกันเวลาที่อยู่บนเกาะนี้”
เฮ้อ…นี่เราต้องมาปรึกษากันมากขนาดนี้เพราะแค่ แอดด์ คันเดียวเนี่ยนะ?
รู้สึกวุ่นวายชะมัด หลังจากได้ข้อสรุป เราก็กลับไปที่ ซีกเกอร์ แล้ววางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้พวกเราจะออกไปสำรวจบ่อน้ำพุร้อนกันตั้งแต่เช้า
ดังนั้นวันนี้คงต้องเข้านอนเร็ว ไว้หลังดูการฝึกแปลงร่างของริมุเสร็จ
ผมจะไปอาบน้ำแล้วก็จะเข้านอนเลย
ตอนเช้า หลังจากเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย
ผมก็ได้มาทำการซื้อเรือเพิ่ม ในตอนแรกผมก็กะว่าจะใช้เรือสไตล์ญี่ปุ่นอยู่หรอก
แต่สุดท้ายเมื่อลองปรึกษากับทุกคนแล้ว ทุกคนก็ได้ข้อสรุปกันว่า
พวกเราจะเลือกใช้ แอดด์ แทนในการเดินทางในครั้งนี้
ผมจึงต้องมาเลือกซื้อ แอดด์ เพิ่มอีก 4 คัน
โดยแบ่งออกเป็น สีแดง 2 คัน น้ำเงิน 1 คัน และสีเหลืองอีก 1 คัน
จากนั้นผมก็ทำการออกตั๋วเตรียมเอาไว้สำหรับทุกคน
หลังจากเรียก ซีกเกอร์ กลับไปแล้ว
ผมก็ไปสอนทุกคนขับ แอดด์ ต่อจากเมื่อวาน
ซึ่งวันนี้ก็เหมือนกับเมื่อวาน คือ อลิเซียซัง กับ มารีน่าซัง
ยังคงเฉยๆ และไม่สนใจ แอดด์ อยู่เหมือนเดิน
แต่พอพวกเธอรู้ว่ามันสามารถ ทำความเร็วได้ พวกเธอก็เริ่มหันมาสนใจมันทันที
ดูเหมือนที่เมื่อวานพวกเธอจะไม่ค่อยสนใจเพราะผมขับมันช้าสินะ
แถมยังขับวนแค่รอบเดียวด้วย อืม…ความเร็วเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเธอสนใจสินะ
จากนั้นผมก็ให้พวกเธอเริ่มหัดขับกันแบบจริงๆ จังๆ
โดยให้พวกเธอฝึกขับวนไปรอบๆ ซึ่งพวกเธอก็ดูจะสนุกกันดี
อีกอย่างวันนี้ ผมก็ก่อเรื่องให้ตัวผมรู้สึกผิดด้วย
เพราะก่อนหน้านี้ ตอนที่คนในหมู่บ้านเห็นเรือของผมหายไป
พวกเขาก็รีบวิ่งลงมาดูด้วยความตกใจกันในทันที
ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกผิดไม่น้อยเลยล่ะ
ที่ทำให้คุณหัวหน้าหมู่บ้านกับชาวบ้านคนอื่นๆ ตกใจกันแบบนี้
รู้งี้บอกพวกเขาไว้ก่อนก็ดี ว่าผมสามารถเรียกเรือกลับไปได้
จากนั้นเมื่อผมอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้พวกเขาฟัง
พวกเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
นี่ผมรู้สึกผิดจริงๆ นะ งั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ
เอาจะพาคุณหัวหน้าหมู่บ้านกับคนอื่นๆ ขึ้นไปส่งที่หมู่บ้านด้วย แอดด์ ก็แล้วกัน
พอขึ้นมาถึงที่หมู่บ้าน พวกเด็กๆ ก็วิ่งเข้ามารุมล้อมพวกเราในทันที
หรือว่าพวกเขาจะตามเสียงของเครื่องยนต์มานะ?
“ว้าว สุดยอดเลย! นี่มันอะไรเหรอคะ พี่วาตารุ?”
“อะไรคะ? นี่มันอะไร?”
“ให้หนูลองขี่หน่อยได้ไหมคะ”
“อ๊า! ขี้โกงนิ ผมเองก็อย่าขี่เหมือนกัน”
เด็กๆ ทั้ง 8 คน เข้ามาวิ่งวุ่นไปรอบๆ แอดด์…
แบบนี้ไม่จบไม่สิ้นแน่ ถ้าพวกเราไม่ยอมให้พวกเด็กๆ ขี่มันนิ…
จากนั้นพวกเราก็ค่อยๆ ผลัดกันให้เด็กๆ ซ้อนท้าย
แล้วก็ไปขับวนรอบๆ หมู่บ้าน ซึ่งเด็กๆ ดูตื่นเต้นกันมาก
แต่ผมกลัวว่าพวกเขาจะตกลงไปจัง เพราะพวกเขาตื่นเต้นกันสุดๆ
จนขยับไปมาไม่หยุดเลย แบบนี้มันไม่ดีต่อหัวใจผมเลยนะ
หลังจากให้พวกเด็กๆ ขี่กันคนทุกคนแล้ว
พวกเราก็ขอตัวออกจากหมู่บ้านไปในทันที
เพราะถ้ายังตามใจเด็กๆ แบบนี้ต่อไปล่ะก็
คงได้ไปวนรอบหมู่บ้านไม่มีวันจบสิ้นแน่
เมื่พวกเราออกมาจากหมู่บ้านก็มุ่งหน้าตรงไปยังแม่น้ำทันที
ตอนแรกพวกเราก็เคลื่อนตัวที่ไปช้าๆ ตามแม่น้ำเพื่อสร้างความคุ้นเคย
จากนั้นพวกเราก็ค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น
เมื่อพวกเรามาถึงชายป่า ก็พบเข้ากับกลุ่มหนึ่งของดาร์กเอลฟ์กลุ่มหนึ่ง
ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับอาวุธที่ถืออยู่ในมือ
แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นเราพวกเขาก็วางอาวุธลงทัน
ดูเหมือนพวกเราจะทำให้พวกเขาตกใจกันสินะ
ก่อนหน้านี้ ผมก็รู้สึกผิดที่ทำให้คุณหัวหน้าหมู่บ้านและคนอื่นๆ ตกใจ
มาคราวนี้ยังทำให้พวกเขาตกใจอีก ก็นะ…
ผมลืมไปเลยว่ามีดาร์กเอลฟ์อาศัยอยู่ในป่าด้วย
ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรนะ…อ้อ โรมานโน่ซัง ใช่มั้ย?
ผมเห็นเขายืนอยู่ในกลุ่มคนที่ออกมาพบกับพวกเราด้วย
หลังจากพวกเขาโค้งให้กับพวกเรา พวกเขาทุกคนก็กลับไปยืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่ดูเคร่งขรึมทันที
หวา…ดูน่ากลัวชะมัด คนเราเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?
ดูเหมือนว่าเขาจะผ่านการฝึกแบบสปาร์ตันมาสินะ…
จากนั้นพวกเราก็บอกลาเหล่าดาร์กเอลฟ์ที่แนวป่า
แล้วก็เดินทางต่อไปเพื่อขึ้นไปยังต้นน้ำ ระหว่างทางมีจุดที่แม่น้ำ
ถูกต้นไม้ล้มลงมาขวางทางอยู่ด้วย ทำให้พวกเราต้องเลี่ยงไปขึ้นฝั่งกัน
เมื่อเดินทางต่อไปอีกสักพัก ผมก็เจอกับพื้นที่กว้างแห่งหนึ่ง
จึงส่งสัญญาณให้ทุกคน จากนั้นพวกเราก็หยุดขบวนกัน
“มีอะไรเหรอคะ วาตารุซัง?”
“คือ ทางข้างหน้ามันค่อนข้างขรุขระน่ะครับ
ผมก็เลยอยากถามว่าพวกเราควรจะเปลี่ยนไปเดินเท้าดีไหม?”
จริงๆ มันก็สามารถขับเลี่ยงพวกรากไม้หรืออุปสรรค์ได้อยู่หรอก
แต่พื้นข้างหน้านี่มันไม่ไหวจริงๆ สำหรับผมก็พอทนได้อยู่หรอก
แต่ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะมีใครจะเมารถบ้างหรือเปล่า?
“มันก็กระเทือนจริงๆ นั่นแหละค่ะ
แต่การเดินทางด้วย แอดด์ มันเร็วกว่านะคะ
เพราะเราสามารถเมินการโจมตีจากพวกก็อบลินไปได้เลย
แม้พวกมันจะโผล่ออกมาโจมตีก็ตาม”
ก็จริง ของอลิเซียซัง เพราะที่ผ่านมามีก็อบลินเข้ามาโจมตีพวกเราอยู่หลายครั้งแล้ว
แต่เราสามารถปล่อยผ่านไปเฉยๆ และมุ่งหน้าเดินหน้าต่อได้เลย
เพราะบาเรียของเรือ อืม…แอดด์ นี่ล่ะ สะดวกสบายของแท้!
“มีใครรู้สึกคลื่นไส้ไหมบ้างไหมครับ?”
ทุกคนส่ายหน้ากันหมด ดูเหมือนจะไม่มีใครที่เมารถเลยสินะ
“ดูเหมือนจะไม่มีใครเมารถนะครับ งั้นพวกเราก็ไปกันต่อทั้งๆ แบบนี้
จนกว่าทางมันจะไปต่อไม่ได้ก็แล้วกันนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ! ตรงนี้ทำเลเหมาะพอดี
ทำไมพวกเราไม่แวะทานมื้อกลางวันกันก่อนล่ะคะ?”
“อ๊ะ จริงด้วย ได้เวลาพอดีเลยนี่นา
งั้นพวกเรามาพักทานข้าวกันเถอะครับ”
ถึงแม้ที่นี่จะมีแต่มอนสเตอร์ที่อ่อนแอ
แต่ยังไงนี่มันก็เป็นกลางป่าอยู่ดี ฉันจึงเรียก แอดด์ กลับไป
และเรียกเรือยางออกมาล้อมรอบพื้นที่เอาไว้ จากนั้นผมก็อัญเชิญเรือเก็บเสบียงออกมา
และให้ทุกคนเลือกอาหารที่ตัวเองอยากทานออกมา
ส่วนของผมเลือกเป็นบะหมี่ถ้วยกับข้าวปั้น
เพราะเวลาที่ได้กินมันข้างนอกมันจะอร่อยมากขึ้นแบบแปลกๆ
ริมุเองก็บอกว่าเนื้ออร่อย ผมเลยเอาทงคัตสึ ไก่ทอด และข้าวปั้นให้เขา
ก็นะเด็กกำลังโตนี่นา ดังนั้นแค่นี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
ผมเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารพลางมองดูป่าโดยรอบไปด้วย
“นายท่าน มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก เฟลิเซีย ผมแค่กำลังคิดป่านี้
มันดูไม่ค่อยต่างกับป่าปีศาจในสภาพปกติเท่าไหร่เลยอยู่น่ะ”
“อ้อ ฉันคิดว่าในยามปกติป่าที่นี่กับป่าปีศาจก็คงไม่แตกต่างกันหรอกค่ะ
แต่ที่ป่าปีศาจเป็นอย่างนั้น มันเกิดจากลักษณะพิเศษของมอนสเตอร์ที่อยู่ที่นั่นค่ะ”
ก็ถูกของเธอ เพราะที่ป่าปีศาจมันยุ่งยากก็เพราะมอนสเตอร์คลั่งที่เข้ามาโจมตีไม่หยุด
แสดงว่าตัวป่าคงไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่สินะ ไม่สิ ที่นั่นยังพอมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง
งั้นก็คงมีความแตกต่างนิดหน่อยสินะ
“เมื่อเทียบกับป่าปีศาจแล้ว
ที่นี่ไม่ต้องคอยมาระแวงอยู่ตลอดเวลา
มันทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะ”
หลังจากทานข้าวเสร็จ พวกเราก็ออกเดินทางกัน
“อุ เกี๊ย…”
…ก็อบลินอีกแล้วเหรอ ทำไมเวลาที่มันโผล่มาต้องส่งเสียงแบบนี้ตลอดเลยนะ
ที่น่ากลัวคือมันพุ่งเข้าใส่เราทันทีแบบไม่คิดเลยนี่สิ
มันควรจะหยุดกระโดดออกมาตรงหน้าเราได้แล้วนะ
เพราะมันดูแปลกๆ เวลาที่เห็นมันเกาะอยู่บาเรียก่อนมันจะถูกดีดออกไป
แต่เพราะบาเรียแทบจะไม่สร้างความเสียหายอะไรกับมัน
พวกมันเลยสามารถกลับมาวิ่งไล่ตามเราด้วยความโมโหสุดขีดได้
พวกมันมักร้องประมาณว่า “เกี๊ยว อุกี๊ยว เกี๊ยว――!” เสมอ
มันเป็นคำด่าหรือเปล่านะ เพราะแบบนี้มันเหมือนกับการโดนชนแล้วหนีเลย
ผมเข้าใจที่พวกมันโกรธนะ แต่ก็อย่าลืมสิว่าพวกแกเป็นคนที่กระโดดเข้ามาชนพวกเราเองนะ
จากนั้นพวกเราก็ยังคงเดินทางต่อไป โดยถูกพวกก็อบลินมาทำให้ตกใจอยู่เรื่อยๆ อีกหลายครั้ง
ทางช่วงหลังๆ เริ่มที่จะชันขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจึงต้องเปลี่ยนมาเดินเท้ากันเพื่อความปลอดภัย
เพราะผมไม่อยากเห็นฉากแบบในหนังที่คนขับรถกลิ้งตกลงไปในเขาหรอกนะ
ถึงมันจะปลอดภัยถ้ามือยังจับแฮนด์อยู่ก็เถอะ เพราะมีบาเรียอยู่
แต่ถ้าเกิดตอนกลิ้งลงไปรถมันไปชนเข้ากับต้นไม่ล่ะ
ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงถูกเหวี่ยงจนมือหลุดออกจากแฮนด์อย่างแน่นอน
ปีนเขางั้นเหรอ…จริงๆ สำหรับร่างกายของผมในตอนนี้
มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก แต่ในฐานะของคนที่ไม่ค่อยออกจากบ้านอย่างผมแล้ว
แค่ได้ยินคำว่า ปืนเขา ผมก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว และพอผมลงจากแอดด์
ก็ต้องตกใจเมื่อมีพวกแมลงบินเข้ามาตอมผมในทันทีเพราะไม่มีบาเรียแล้ว
ต่อจากตกใจก็อบลินก็มาเป็นแมลงต่อสินะ เฮ้อ…ช่างน่าอายจริงๆ
ในขณะที่สาวๆ สามารถปีนกันได้อย่างสบาย
แต่ผมกลับต้องพยายามอดกลั้นเพื่อทำตัวให้เข้มแข็ง
เพื่อที่จะปีนตามพวกเธอขึ้นไปได้
ครั้งก่อนที่ผมปีนเขาคือตอนที่พวกเราไปที่ถ้ำของริว
ตอนนั้นที่ผมสามารถปีนขึ้นไปได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
เพราะตอนนั้นผมมีความตั้งใจว่าจะพยายามให้ดีที่สุด
เพื่อที่จะมีชีวิตรอดในต่างโลกแห่งนี้ให้ได้
แต่ตอนนี้ ผมมีเรือดีๆ ให้ใช้แล้ว แถมยังมีเงินเหลือเฟืออีก
ดังนั้นความตั้งใจของผมมันจึงถดถอยลง…
ผมได้แต่ปีนเขาไปพลางคิดอะไรน่าสมเพชในหัวไปพลางอยู่แบบนั้น
“วาตารุซัง พวกเราใกล้จะถึงครึ่งทางแล้วค่ะ”
มารีน่าซังที่มีฟูจังอยู่บนหัว หันกลับมาบอกกับผมว่าพวกเรามาถึงครึ่งกลางทางกันแล้ว
ตอนนนี้ฟูจังกำลังกระโดดไปมาอยู่บนหัวของมารีน่าซัง
ผมสงสัยจังว่าเขากำลังคุยอะไรกับมารีน่าซัง
ถ้าผมลองถาม ฟูจัง จะตอบมั้ยนะ…เพราะเขาสามารถส่งข้อความมาหาผมได้
“เหรอครับ งั้นรีบไปกันต่อเถอะครับ จะได้ข้ามไปอีกฝั่งของภูเขาสักที”
เมื่อเข้าใกล้บริเวณตรงกลางของภูเขา พวกเราก็เปลี่ยนไปเคลื่อนที่แบบแนวนอนแทน
…ทางมันลำบากจริงๆ ถ้า แอดด์ ตั้งแต่ตรงเชิงเขาแล้วขับมันข้ามไปอีกฝั่งเลยจะง่ายกว่าไหมนะ?
แต่ก็นะ จะมาบ่นอะไรตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วล่ะ
ตอนนี้ที่ทำได้คือพยายามเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
เราเดินผ่านป่าพลางจัดการกับก็อบลินที่โผล่มาไปด้วย
เลยทำให้การคืบไปข้างหน้าช้าลงกว่าก่อนหน้านี้มาก
ถ้าลองปีนขึ้นไปจนถึงยอดเขาแล้วลงมาอีกฝั่งอาจจะง่ายกว่าก็ได้
แต่ก็นะ ในเมื่อทุกคนมองว่าการทำแบบนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด
ผมก็คงทำได้แค่พยายามเดินต่อไปเท่านั้น มาพยายามฮึดสู้กันอีกหน่อยก็แล้วกัน
แต่ให้พูดตามตรงเลยนะ ผมไม่ได้อยากแช่ออนเซ็นถึงขนาดที่ต้องมาลำบากลำบนถึงขนาดนี้หรอกนะ
แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะมีออนเซ็นอยู่จริงๆ หรือเปล่า…
ยิ่งเวลาผ่านไป ความคิดด้านลบของผมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ผมเป็นคนประเภทที่แค่ดูคนแช่ออนเซ็นในทีวีก็พอใจแล้ว
แต่พอได้ยินคำว่า ‘ออนเซ็น’ มันก็ทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
อาจเพราะผมเป็นคนญี่ปุ่นก็ได้ เพราะคำว่า ออนเซ็น น่ะมีผลกับคนญี่ปุ่นเสมอ
ผมคิดว่ามันอาจจะอยู่ใน DNA ก็ได้
ที่พอคนญี่ปุ่นได้ยินคำว่า ออนเซ็น ก็มักจะตื่นเต้นขึ้นมาเสมอ
“วาตารุซัง มีกลิ่นประหลาดๆ ลอยมาจากทางนั้นด้วยค่ะ มันเหม็นมากเลย…”
คลอเร็ตต้าซังหันมาบอกผม
หือ? แต่ผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนะ
“ผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนะครับ คุณได้กลิ่มเหรอ?
แล้วพอจะบอกได้ไหมครับ ว่ากลิ่นมันมาจากตรงไหน?”
“ค่ะ มนุษย์สัตว์อย่างเรามีจมูกที่ไวกว่ามนุษย์ ฉันได้กลิ่นมันมาจากทางนั่นค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง แล้วมันต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหมถึงจะไปถึงเหรอครับ?”
“ฉันก็ไม่แน่ใจเรื่องระยะทางเหมือนกันค่ะ คิดว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย
เพราะงั้นพวกเรามาเตรียมตั้งตั้งแคมป์สำหรับคืนนี้กันน่าจะดีกว่า พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว”
พวกเราไปไม่ทันก่อนที่จะหมดวันจริงๆ เหรอเนี่ย!
ก็นะ ถึงจะฝืนไปต่อแต่ถ้าไปถึงตอนมืดมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
งั้นมาหาจุดตั้งแคมป์ตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า
“งั้นเราหาที่ที่มีพื้นที่หน่อย แล้วตั้งแคมป์ตรงนั้นกันเถอะครับ”
“โอเคค่ะ วาตารุซัง คุณอยู่ตรงนี้นะคะ
พวกเราจะเป็นคนออกไปสำรวจหาเอง”
“เอ๊ะ? จะ…เอาอย่างนั้นเหรอครับ?
“ค่ะ”
“เอ่อ…ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะครับ”
เมื่ออลิเซียซังออกคำสั่งจิราโซเล่ทุกคนก็แยกย้ายกันออกไปสำรวจ
ส่วนผมก็มีหน้าที่ยืนรออยู่เฉยๆ เพราะทุกคนเป็นห่วงว่าผมจะเกิดอันตราย…
หรือถ้าจะให้พูดตรงๆ เลยก็คือ ถ้าผมออกไปด้วยมันจะเป็นตัวถ่วง
เฮ้อ…ก็รู้อยู่หรอกว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้
ประมาณ 20 นาทีต่อมา ทุกคนก็กลับมา
พวกเธอแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปยังจุดที่ดีที่สุด
ที่นี่ไม่มีที่พอสำหรับการอัญเชิญ ไฮด์อเวย์ ออกมา แต่ก็มากพอสำหรับเรือกระท่อม
พวกเราช่วยกันถางหญ้าออกเล็กน้อย แล้วผมก็เรียกเรือกระท่อมออกมา
จากนั้นพวกเราก็ไปเลือกอาหารจากเรือเสบียง แล้วก็เริ่มเตรียมอาหารเย็นกัน
“วาตารุซัง พวกเรากำลังจะไปที่ที่มีกลิ่นประหลาดลอยออกมาใช่ไหมคะ? ที่นั่นมีอะไรเหรอคะ?”
ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ คลอเร็ตต้าซัง
เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงจะสงสัยเหมือนกันว่าไปที่แบบนั้นไปทำไม
ยิ่งมีประสาทรับกลิ่นที่ดีอย่างคุณ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…
“คือ…ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า
เพราะถ้าไม่ใช่ผมคงเสียใจน่าดู แล้วแบบนี้คุณยังอยากจะไปอยู่ไหมครับ?”
“เอ่อ…อลิเซีย เธอคิดว่ายังไง?”
“มันเหม็นขนาดนั้นเลยเหรอ? คลอเร็ตต้า”
“ใช่ ถึงกลิ่นจะเบาบาง แต่มันก็เป็นกลิ่นที่ไม่ดีเลย”
ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีสักเท่าไหร่สินะ
ก็จริงแหละ กลิ่นแบบนั้นมันไม่ใช่อะไรที่จะชวนให้ตื่นเต้นนี่นา
“วาตารุซัง ช่วยเล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่าที่ที่เรากำลังจะไปมันเป็นสถานที่แบบไหน?
เพราะฉันเริ่มกลัวขึ้นมานิดๆ แล้ว ที่ต้องไปสถานที่ที่มีกลิ่นประหลาดแบบนั้นลอยออกมา
โดยที่ไม่รู้ว่าสถานที่ที่พวกเรากำลังจะไปมันเป็นสถานที่แบบไหน และไปเพราะอะไร”
ก็ถูกของเธอ เพราะผมเองก็คงไม่อยากไปที่ที่มีกลิ่นเหม็นประหลาดลอยออกมาโดยไม่มีเหตุผลเหมือนกัน
“ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิด ที่ที่เรากำลังจะไปน่าจะมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ครับ
หรือที่โลกเดิมของผมเรียกมันว่า ออนเซ็น เหมือนที่พวกคุณเคยเห็นมันในหนัง”
“อ้อ คุณกำลังหมายถึงที่ที่มีบ่อน้ำร้อนที่มีสารละลายต่างๆ ผสมอยู่
ที่มีคุณสมบัติช่วยคลายความเหนื่อยล้า และ ทำให้ผิวสวยใช่ไหมคะ?”
เธอจำได้แม่นเลยแฮะ คงเพราะมันเกี่ยวของกับการบำรุงผิวล่ะมั้ง
เพราะเมื่อเรื่องนี้ถูกพูดขึ้นมา แววตาของสาวๆ แต่ละคนก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที
ผมก็เคยได้ยินมาว่า ออนเซ็น มันช่วยให้ผิวสวยขึ้นอยู่เหมือนกัน
เพราะในน้ำมันมีส่วนประกอบบางอย่างที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น…
แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าออนเซ็นในโลกนี้มันจะให้ผมเหมือนกันหรือเปล่า
แต่ที่กังวลอยู่ตอนนี้คือมันจะปลอดภัยหรือเปลาสนี่สิ? เริ่มรู้สึกกังวลแล้วสิ
“ใช่ครับ แต่ถึงจะมีบ่อน้ำพุร้อนจริงๆ ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่มันจะมีแก๊สพิษ
หรือไม่ก็น้ำไม่เหมาะกับการลงแช่ก็ได้ ดังนั้นอย่าคาดหวังกันเยอะนักนะครับ”
ผมต้องเตือนเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะถ้าไม่บอกอะไรเลย ผมกลัวว่าสาวๆ จะผิดหวัง
…แต่ดูเหมือนพวกเธอ จะไม่ได้ฟังผมแล้วสินะ
เพราะตอนนี้พวกเธอเอาแต่หัวเราะคิกคักแล้วพูดถึงออนเซ็นกันอย่างสนุนสนาน
เฮ้อ…คงทำได้แต่หวังว่ามันจะเป็นน้ำพุร้อนจริงๆ นะ
หลังอาหารเย็น พวกเราก็แยกย้ายกันไปพักในเรือกระท่อม
หวังว่าพรุ่งนี้จะมีบ่อน้ำพุร้อนดีๆ ที่พอจะลงแช่ได้บ้างนะ…
MANGA DISCUSSION