เมื่อผมตื่นขึ้นมาพระอาทิตย์ก็ลอยสูงมากแล้ว ดูเหมือนผมจะนอนจนถึงช่วงบ่ายเลยสินะ
ผมทำกิจวัตรประจำวันกับไอเนสและเฟลิเซียตามปกติ ก่อนจะเดินไปยังห้องนั่งเล่น
ผมทักทายทุกคนจากนั้นพวกเราก็ไปทานมื้อกลางวันด้วยกัน
สมาชิกจิราโซเล่ทุกคนดูจะฮึกเหิมกันมากสำหรับการต่อสู้ในคืนนี้
แม้แต่เฟลิเซียเองก็ดูจะตื่นเต้นมากกว่าปกติ ดูเหมือนจะมีแค่ผมคนเดียวที่รู้สึกเหมือนอยากอ๊วกเพราะความประหม่า
จากนั้นผมก็ไปเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายของ ลูโตะ และ กาเล็ตต์
โดย ลูโตะ ผมจะเปลี่ยนทั้งสีของไม้และรูปลักษณ์ภายนอกเพื่อทำให้มันดูเป็นเรือลำอื่น
ส่วน กาเล็ตต์ ผมเพียงแต่เปลี่ยนมันเป็นไม้เท่านั้น
“อ๊ะ กำลังแปลงโฉมเรืออยู่เหรอคะ นายท่าน?”
“ใช่ มันดูเหมือนเป็นคนละลำกันเลยใช่ไหมล่ะ?”
“ค่ะ ว่าแต่ทำไมจะต้องแปลงโฉม ลูโตะ ด้วยล่ะคะ?”
“ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ใครจำมันได้ยังไงล่ะ”
“อย่างงั้นเหอรคะ…จริงสิ พวกเราต้องใส่เสื้อคลุมกันด้วยนี่นา…
ว่าแต่เราจะทำยังไงกับชื่อดีคะ? แล้วก็ยังมีเรื่องของริมุจังอีก”
“จริงด้วย! งั้นผมจะให้ริมุอยู่ในกระเป๋า ส่วนชื่อผมจะให้สมาชิกจิราโซเล่เรียกผมว่า ‘จอมเวท’
ส่วนไอเนสกับเฟลิเซียก็เป็นผู้ติดตามของผม พวกเธอสามารถเรียกผมว่านายท่านได้ตามปกติ
เพราะเป็นผู้ติดตาม แต่ปัญหาก็คือจะเรียกไอเนสกับเฟลิเซียว่าอะไรดี เธอมีไอเดียไหม?”
“ในกรณีของฉัน ใช้ชื่อ ‘เซีย’ ดีไหมคะ? เพราะถ้ามีคนเรียกชื่ออื่นก็คงไม่เป็นที่สังเกตมากนัก”
“งั้นของฉันเป็น ‘เนส’ ละกัน นายท่านคิดว่ายังไงคะ?”
“เอ่อ…มันแทบจะเหมือนเดิมเลยนะ มันจะไม่เป็นไรเหรอ?”
“ฉันคิดว่าไม่เป็นไรค่ะ เพราะเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นพวกเราก็ไม่ต้องพูดอยู่แล้ว ชื่อพวกนี้เอาไว้ใช้เรียกกันแค่ตอนจำเป็นเท่านั้น”
“อย่างงั้นเหรอ? อืม… เอาแบบนี้แล้วกัน”
“เพราะถ้าใช้ชื่อที่ใช่ต่างออกไปจากเดิมมาก บางครั้งผมอาจจะเผลอเรียกผิดก็ได้”
“ฉันคิดว่าไอเนสต้องใช้คำพูดแบบให้เกียรติกับนายท่านด้วยค่ะ”
“อ้อ จริงสิ ถ้าผู้ติดตามพูดกับจอมเวทด้วยภาษาสุภาพ ฝ่ายตรงข้ามก็น่าจะจดจำได้ง่าย ไอเนสทำได้ไหม?”
“…น่าจะทำได้นะคะ”
คำตอบนั่นฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยแฮะ… แต่ก็นะ พวกเราวางแผนจะพูดกันให้น้อยที่สุดอยู่แล้ว ก็คงไม่เป็นไร
“ไอเนส กรุณาใช้คำพูดให้สุภาพกับนายท่านด้วยค่ะ “
“ต้องทำกันตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ?”
“ค่ะ นี่ก็เพื่อเป็นการฝึกซ้อมไปในตัวด้วย”
“งั้นต่อจากนี้ไปเราจะทำตัวให้เหมือนกับตอนอยู่ที่ลูก้ากันนะ เข้าใจไหม เนส เซีย”
“ค่ะ/ค่ะ”
หลังจากกำหนดแผนกันเรียบร้อย พวกเราก็ยังมีเวลาว่างเหลือก่อนที่เริ่มปฏิบัติการอีกเยอะ
ผมอยู่ในกลุ่มที่ต้องรอดูสถานการณ์ก็จริง แต่ทำไมถึงได้รู้สึกประหม่าแบบนี้นะ?
ในขณะที่คนอื่นๆ ดูสบายๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกอดริมุไว้แน่นเพื่อทำให้จิตใจสงบลง
“วาตารุเป็นอะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอก ริมุน่ารักมากเลย”
“ริมุน่ารัก?”
“ใช่ น่ารักมากเลยล่ะ”
“ริมุ ดีใจ”
“ริมุ ขอโทษนะ พอไปถึงลูก้าผมอยากให้ริมุอยู่แต่ในกระเป๋าน่ะ ได้ไหม?”
“ได้ ริมุ ไม่เป็นไร”
“ขอบคุณนะ งั้นคืนนี้เรามาเล่นกันให้เยอะๆ เลยนะ”
“ริมุ ดีใจ”
จากนั้นผมก็ใช้เวลาทั้งวันไปกับการคิดอะไรไร้สาระ เล่นกับริมุ และฝึกฝน
เพื่อผ่อนคลายความกังวลของตัวเอง ในที่สุดเวลาก็เดินมาถึงช่วงเวลาอาหารเย็น
รู้สึกเหมือนวันนี้เวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน ผมรีบกินข้าวให้เสร็จแล้วบังคับตัวเองให้ไปนอนพัก จนกว่าจะถึงเวลาออกปฏิบัติการ
พอฟ้าเริ่มมืด พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังที่ซ่อนที่เราใช้ซ่อนตัวเมื่อวาน
“ทั้งสองคนสบายดีไหม?”
“พวกเราสบายดี ไม่ต้องห่วงนะคะ นายท่าน” พวกเราสบายดี เราต้องเปลี่ยนเป็นชุดคลุมใช่ไหมคะ”
“จริงด้วย ลืมไปเลย ขอบใจนะ เชีย”
ผมสวมเสื้อคลุมและดึงฮู้ดขึ้นมาปิดหน้า
“มองเห็นหน้าของผมไหม?”
“ไม่ค่ะ ฮู้ดซ่อนใบหน้าไว้เกือบหมดเลยค่ะ”
“นี่ เซีย ก่อนออกไปช่วยกางบาเรียร์ไว้ให้นายท่านหน่อยสิ”
“จริงด้วย! เกือบลืมไปเลย ฉันจะกางให้เดี๋ยวนี้ล่ะคะ”
หลังจากกางบาเรียร์เสร็จ ผมก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่น
“ท่านจอมเวท กรุณาอัญเชิญออกมาเรือด้วยค่ะ”
“รู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ที่ถูกอลิเซียซังเรียกแบบนั้น…”
“ฟุฟุ อย่างนั้นเหรอคะ?”
“ครับ เอาล่ะผมจะอัญเชิญเรือออกมาแล้ว ทุกคนระวังกันด้วยนะครับ”
“””””””ค่ะ”””””””
ทั้งเจ็ดคนตอบกลับมาด้วยความฮึกเหิม…
ผมล่ะกังวลว่าพวกเธอจะคุมตัวเองกันไม่อยู่จริงๆ
แต่ก็นะ ในสถานการณ์แบบนี้พวกเธอคงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามกันหรอกมั้ง… จะไม่ทำใช่ไหมนะ?
กาเล็ตต์ หมายเลข 1 หมายเลข 2 และหมายเลข 3 ทะยานออกไปพร้อมเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์…
แบบนี้จะไม่เป็นอะไรกันจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?
“นายท่าน ให้ฉันชงชาให้ไหมคะ?”
“รบกวนด้วยนะ เนส”
จากนั้นผมก็มานั่งดื่มชาโดยที่กอดริมุและฟูจังไว้ในอ้อมแขน
ผมพยายามทำใจให้สงบ…แต่ก็ทำไม่ได้
นี่คือสงคราม การฆ่าฟันกันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การตายก็เป็นเรื่องปกติ
ผมพยายามบังคับตัวเองให้ยอมรับความจริงข้อนี้
ไม่รู้ทำไมตอนนี้ตัวของผมถึงสั่นอยู่ นี่อาจเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรวดของมนุษย์ก็ได้
ผมรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ ที่ทุกคนเป็นห่วงและให้ผมอยู่รอดูสถานการณ์จากตรงนี้
ผมไม่อยากเห็นภาพการต่อสู้พวกนั้นกับตาของตัวเอง
ไม่อยากเห็นภาพของคนที่บาดเจ็บ ไม่อยากเห็นภาพของคนที่กำลังจะตาย
ผมไม่อยากเห็นภาพเหล่านั้น ผมไม่อยากให้ตัวมีแผลใจโดยไม่จำเป็นแบบนั้น
ผมรู้ว่าทำแบบนี้พวกเธออาจจะเกลียดผมก็ได้ แต่ได้โปรดเถอะ อย่าลากผมเข้าไปเกี่ยวข้องเลย
ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้ ไม่สิถ้าให้พูดจริงๆ คือผมกลัว
ผมกลัวเรื่องนี้มากๆ โดยเฉพาะในโลกนี้ โลกที่ศัตรูของเรามีโอกาศที่จะฟื้นกลับขึ้นมาเป็นอันเดด
ขณะที่ผมกำลังหาข้ออ้างมาปลอบใจตัวเองอยู่นั้น…
ผมก็เห็นแสงไฟสว่างขึ้นมาที่ท่าเรือ ผมจึงออกไปดูที่ดาดฟ้า…
พอจ้องไปที่ท่าเรือ ก็เห็นแสงไฟเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อาจเป็นไฟของเรือรบ จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นสลับกันไปมา พวกเธอน่าจะเริ่มโจมตีกันแล้ว
“เริ่มแล้วสินะ…”
“นายท่าน ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ผมจะพยายามนะ…”
“นี่! ไอเนส เธอไม่กังวลเลยเหรอ?”
“ก็กังวลอยู่นิดหน่อยค่ะ”
“แต่เพราะทุกคนใช้เรือของนายท่าน ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเธอจะแพ้”
“แล้วก็เมื่อกี้นายท่านเผลอเรียกชื่อจริงของฉันนคะ”
“เอ๊ะ! จริงเหรอ ขอโทษทีนะ เนส”
การแสดงบทบาทในสถานการณ์แบบนี้มันยากจริงๆ แต่มันสำคัญ
เพราะงั้นผมต้องแสดงให้แนบเนียนแม้ในยามฉุกเฉินให้ได้ ต้องพยายามมากกว่านี้แล้วล่ะ
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเพราะความประหม่า
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเห็นสัญญาณเวทมนตร์ที่ถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว
นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าให้พวกเราทุกคนมารวมตัวกัน
จากนั้นไม่นานทุกคนก็กลับมา…
“ทุกคนปลอดภัยกันไหมครับ?”
“ค่ะ พวกเราปลอดภัยดี ขอข้ามไปทางนั้นเลยได้ไหมคะ?”
“ได้ครับ ว่าแต่ไม่ต้องไปที่ลูก้ากันเหรอครับ?”
“ตอนนี้ยังก่อนค่ะ เพราะการเข้าเมืองในเวลากลางคืนมันยุ่งยาก เราเลยจะไปที่ลูก้ากันในตอนเช้า”
“ว่าแต่เรือพวกนั้น…”
ผมมองไปทางลูก้าก็เห็นว่ายังมีเรือรบของจักรวรรดิทอดสมออยู่ในอ่าวอีกสองสามลำ
และมีเรือใบกับเรือกาลีย์รวมกันอีกประมาณสิบกว่าลำอยู่แถมๆ ชายฝั่งของลูก้า
“อ่อ เรือพวกนั้นเป็นเรือที่ยอมจำนน ค่ะ”
อย่างนี้นี่เองก็พวกเธอเล่นทำลายเรือทุกลำที่ขวางหน้าเลยนี่นะ…
“งั้นเหรอครับ? เอาล่ะ ไปคุยกันต่อที่ห้องนั่งเล่นกันดีกว่า ผมจะชงชาให้”
“ขอบคุณค่ะ”
พวกเราไปรวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นจากนั้นก็เริ่มพูดคุยกัน
“ท่านจอมเวท ฉันจะให้โดโรธีกับมารีน่าเป็นคนไปส่งข้อความที่ประตูเมือง จะตกลงไหมคะ?”
“เอ๊ะ!? ได้สิครับ”
ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยที่ถูกเรียกว่า ท่านจอมเวท ในสถานการณ์แบบนี้
ผมอยากให้พวกเธอเลิกเรียกผมแบบนั้น แต่พวกเธอก็ยืนยันว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องคุ้นเคยกับการใช้มันในสถานการณ์เช่นนี้
ผมมองโดโรธีซังและมารีน่าซังเดินออกไป แล้วหันกลับมาฟังรายงาน
“อลิเซียซัง ก่อนอื่นเลย คุณจะจัดการกับเรือรบที่ยอมจำนนยังไงครับ?”
“ฉันสั่งให้พวกเขาอยู่ที่เดิมค่ะ พอพระอาทิตย์ขึ้น ฝั่งลูก้าจะเป็นคนมาจัดการต่อ”
“เข้าใจแล้วครับ ช่วยเล่ารายละเอียดการต่อสู้ให้ฟังหน่อยได้ไหม?”
“ค่ะ พวกเราเข้าโจมตีเรือรบขนาดใหญ่ตามที่ได้วางแผนไว้โดยซุ่มรอแล้วเข้าจู่โจมพร้อมกันค่ะ
การโจมตีแรกเพื่อทำลายเวทป้องกันที่ร่ายอยู่ที่เรือค่ะ จากนั้นเราก็เข้าโจมตีอีกครั้งเพื่อสร้างรอยร้าว และโจมตีครั้งที่สามเพื่อสร้างรูขนาดใหญ่ค่ะ”
“เวทป้องกัน?”
“ค่ะ ว่ากันว่ามันเป็นเวทมนตร์ที่ติดอยู่กับเรือตั้งแต่ตอนที่เรือถูกค้นพบค่ะ
เป็นเวทที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพและการกระแทก”
“เขาว่ากันว่าอย่างนั้นเหรอ? หมายความว่าพวกคุณไม่รู้รายละเอียดมากนักสินะ?”
“ค่ะ กลไกของเรือเวทมนตร์เองก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจดีนัก เวทป้องกันก็คงเหมือนกันค่ะ”
“พวกคุณเข้าโจมตีเรือถึงสามครั้ง แล้วพวกเขาไม่มีการตอบโต้เลยเหรอ?”
“มีค่ะ แต่เราเคยสู้กับมอนสเตอร์ในทะเลมาก่อนและรู้ว่าบาเรียของพวกเรานั้นทรงพลังขนาดไหน
พวกเราจึงมุ่งหน้าโจมตีต่อไปค่ะ ไม่ว่าจะ ธนู หน้าไม้ หรือเวทมนตร์ทั้งหมดถูกป้องกันเอาไว้ค่ะ”
จริงสิ ผมเคยบอกพวกเธอว่าบาเรียของเรือสามารถป้องกันลมหายใจของมังกรได้เลยนี่นา
แล้วพวกเธอก็เคยสัมผัสถึงพลังของมันแล้วในการต่อสู้กับมอนสเตอร์
“อืม… เข้าใจแล้วครับ เชิญเล่าต่อได้เลย”
“ค่ะ หลังจากทำลายเรือเวทมนตร์ขนาดใหญ่สำเร็จ พวกเราก็ไปโจมเรือเวทมนตร์ขนาดกลางและขนาดเล็กต่อค่ะ
พวกเราสามารถแยกกันโจมตีเรือเวทขนาดเล็กได้ ดังนั้นพอถึงตอนนั้นพวกเราก็กระจายตัวกันออกไป
และเริ่มโจมตีเรือเวทขนาดกลางและเล็กพร้อมกันค่ะ รวมถึงเรือใบและเรือกาลีย์ด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ แล้วเรือรบที่เหลือมีปฏิกิริยายังไง?”
“พวกเราเข้าประชิดพร้อมเสียงระเบิดสนั่น เรือรบที่อยู่รอบๆ สังเกตเห็นทันทีและตอบโต้ด้วยเวทมนตร์ ธนู และหน้าไม้
แต่พวกมันก็ถูกสะท้อนออกไปหมด พวกเราเลยไม่สนใจเรื่องการป้องกันและเดินหน้าโจมตีพวกมันต่อค่ะ”
“งั้นหมายความว่าพวกคุณจมเรือทั้งหมด ยกเว้นพวกที่ยอมจำนนสินะครับ?”
“มีบางลำที่หนีขึ้นฝั่งเลยรอดไปได้ค้ะ แต่เรือรบที่เหลือเราไม่ปล่อยให้รอด
เรือรบบางลำก็พยายามหนีออกสู่ทะเลเปิด แต่พวกเรามีความเร็วที่เหนือกว่ามาก
จึงสั่งให้พวกเขายอมจำนน และจมพวกที่ปฏิเสธการยอมจำนนทั้งหมด”
สุดยอดนี่มันสกิลโกงชัดๆ ผมรู้ซึ้งในความสุดยอดของสกิลของตัวเองก็ตอนนี้ล่ะ
ถ้าเป็นการรบกันในทะเลพลังของผมมันก็ไร้เทียมทานเลยไม่ใช่เหรอ!
แย่ล่ะถ้ามีใครรู้ว่าผมเป็นใครล่ะก็จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ
ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดเรื่องซ้ำรอยกับกรณีของเรือแบบญี่ปุ่นอีก
เพราะงั้นผมต้องแสดงเป็นท่านจอมเวทให้ดีซะแล้ว
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมาก พวกคุณไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนกันเถอะอีกนานกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น
เนสกับผมจะคอยดูเรือของพวกเชลยเอง และจะไปรวมกับโดโรธีซังกับมารีน่าซังด้วย ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากครับ”
หลังจากอาบน้ำและกินอาหารเบาๆ พวกเธอก็ไปพัก
“เชีย ไปพักก่อนก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร ฉันยังไหว”
“ไม่ได้ เธอใช้พลังเวทไปเยอะ และดูเหมือนตอนเช้าจะยุ่งมาก รีบพักไว้ตอนที่ยังมีโอกาสดีกว่า”
“…เข้าใจแล้วค่ะ งั้นฉันขอพักสักหน่อยนะคะ”
“อืม”
แต่…นี่มันก็ผ่านไปนานแล้วนะ ทำไมโดโรธีซังกับมารีน่าซังถึงยังไม่กลับมาล่ะ
ผมชักเริ่มเป็นห่วงพวกเธอแล้วสิ
“เนส นี่มันก็ตั้งนานแล้วทำไม โดโรธีซังกับมารีน่าซังถึงยังไม่กลับมา?ช”
“ก็คงมีเรื่องให้ต้องคุยเยอะล่ะมั้งคะ ฉันว่าคงต้องใช้เวลาหน่อย”
“อ-อืม”
ก็จริง มันมีเรื่องให้สอบถามเยอะจริงๆ หลังจากรอสักพัก กาเล็ตต์ ก็กลับมา
“โดโรธีซัง มารีน่าซํง ขอบคุณที่เหนื่อยยากนะครับ เป็นไงกันบ้าง?”
“ฉันอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของพวกเราและท่านจอมเวทให้พวกเขาฟังค่ะ
รวมถึงเรื่องของเชลยด้วย แต่พอจะกลับพวกเขากลับขอให้พวกเรารอก่อน
และขอพบกับจอมเวทที่ว่า แต่ฉันบอกไปว่าท่านจอมเวทไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน
และถ้ายังถามอะไรต่อเขาจะเดินทางกลับเลย เราจะรู้ผลในตอนที่ไปที่ประตูเมืองในตอนเช้าค่ะ”
“งั้นเหรอครับ ขอบคุณมากที่ไม่พูดเรื่องของผมออกไปนะครับ”
“พวกคุณไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะครับ พวกผมจะอยู่ยามเอง”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
พรุ่งนี้เช้าเราจะไปที่ลูก้ากัน… หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
แต่ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรอกนะ…
คุยไปเรื่อยหลังจบตอน
ตอนนี้จะเห็นได้ว่า วาตารุ มันอึดกับกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากๆ เลย
ในมังงะดูไม่เท่าไหร่แต่พอเป็นนิยายนี่เห็นชัดเลย
MANGA DISCUSSION