หลังจากกลับจากเกาะของดาร์กเอลฟ์ พวกเราก็ใช่เวลาหนึ่งวันไปกับการพักผ่อน
จากนั้นผมก็ให้วันหยุดกับไอเนสและเฟลิเซียอีกหนึ่งวัน ส่วนผมก็ไปเพลิดเพลินกับมังงะ
จากนั้นเราก็แวะไปที่หมู่บ้านเซียน่าเพื่อดูว่าตอนนี้หมู่บ้านเป็นยังไงบ้างแล้ว
พอไปถึงผมถึงกับตกใจที่พวกเขาสามารถตั้งป้ายขนาดใหญ่ที่ริมแม่น้ำ พร้อมกับสร้างเตาหินขึ้นมาอีกหลายเตา
เพื่อขายพิซซ่าให้กับเรือต่างๆ ที่สัญจรไปมาผ่านทางแม่น้ำสายนี้ได้แล้ว งานเร็วกันดีจริงๆ
นี่มันเหมือนกับไดร์ฟทรูเวอร์ชั่นแม่น้ำเลย ดูเหมือนที่นี่จะได้รับความนิยมไม่น้อยเลยสินะ
“สวัสดีครับ คุณหัวหน้าหมู่บ้าน”
“โอ้ วาตารุซัง! ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ต้องขอขอบคุณคุณจริงๆ ที่ทำให้หมู่บ้านของเรากลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง”
“สุดยอดเลยนะครับ ที่ขายพิซซ่าริมแม่น้ำได้แบบนี้ แต่ถ้าขายกันแบบนี้ จะมีคนเข้ามาที่หมู่บ้านเหรอครับ?”
“ที่นั่นเราขายกันเฉพาะพิซซ่าที่ทำง่ายและรวดเร็วน่ะครับ และในระหว่างที่รอเราก็จะโฆษณาให้ลูกค้าฟังว่าถ้ามาที่หมู่บ้าน
จะมีพิซซ่าที่พิถีพิถันและหลากหลายมากกว่าครับ”
“โอ้ แบบนั้นน่าจะช่วยเรียกคนเข้ามาในหมู่บ้านได้สินะครับ”
“ครับ ชีสคอทเทจที่คุณสอนพวกเราก็ได้รับความนิยมเหมือนกันนะครับ”
“ดีครับ ว่าแต่ผมอยากมาซื้อชีส นม แล้วก็ไข่ ตุนเอาไว้หน่อยไม่ทราบว่าพอจะมีขายไหมครับ?”
“มีครับ คุณต้องการเท่าไหร่เหรอครับ?”
“งั้นผมขอชีสหนึ่งก้อน นมสองถัง แล้วก็ไข่อีก 50 ฟอง พอจะได้ไหมครับ?”
“แน่นอนครับ จะให้เราเอาไปส่งที่หน้าเรือเหมือนครั้งที่แล้วไหมครับ?”
“ครับ ขอรบกวนด้วย แล้วระหว่างนี้ผมขอสั่งพิซซ่าที่ขายดีที่สุดมาลองหน่อยได้ไหมครับ?”
“ได้แน่นอนครับ เดี๋ยวผมพาไป”
ผลปรากฏว่ารสชาติของมันดีมาก ตอนแรกผมสอนพวกเขาทำแค่พิซซ่าที่มีเนื้อและชีสเป็นหลัก
แต่แบบที่ได้รับความนิยมกลับเป็นพิซซ่าที่ใส่เนื้อกระต่ายป่า ไก่ ไข่ มะเขือเทศหั่นแว่น และอื่นๆ
ดูเหมือนพวกเขาจะลองปรับสูตรไปตามความต้องการของลูกค้าสินะ
ตอนแรกพวกเขาบอกว่าจะไม่รับเงินจากผม แต่ผมก็ยังยืนว่าจะจ่าย
เพราะถ้าไม่จ่ายครั้งหน้าที่ผมกลับมาซื้ออีกผมจะรู้สึกลำบากใจ
ดังนั้นพวกเขาจึงขายให้ผมในราคาพิเศษแทน…ผมจึงรับไว้ด้วยความยินดี
ถ้าคามิลล์ซังรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ เธอต้องบ่นผมแน่ๆ
หลังจากเสร็จธุระที่หมู่บ้านเซียน่า ผมก็ไปที่กิลด์การค้าเพื่อพบกับคามิลล์ซัง
และที่นั่นผมก็พบเข้ากับกลุ่มของกุยโดซังโดยบังเอิญ
เลยถือโอกาสถามว่าพวกเขาได้รับไวน์ที่ผมเอามาเป็นของฝากกันแล้วหรือยัง
พวกเขาบอกว่าได้แล้วและพวกเขาชอบมันมาก จากนั้นเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันเล็กน้อยก่อนที่ผมจะขอตัวออกมา
ในระหว่างที่ที่ผมกำลังคิดเรื่องประเทศที่อยากไปในอนาคตอยู่นั้น
จู่ๆ อลิเซียซังก็พุ่งตัวเข้ามาหาผม
“วาตารุซัง ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยค่ะ!”
“ก-เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“ฉันจะจ่ายค่ะ ฉันจะจ่ายให้มากเท่าที่คุณต้องการเลยค่ะ
ถ-ถ้าเงินไม่พอ ฉ-ฉันจะยอมทำทุกอย่าง เพราะงั้นได้โปรด…”
“ด-เดี๋ยวก่อนครับ ใจเย็นๆ ก่อนครับ อลิเซียซัง ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด…”
ในสถานการณ์ปกติข้อเสนอแบบนี้คงเป็นอะไรที่ล่อตาล่อใจผมมากๆ แน่ๆ แต่จากสีหน้าของอลิเซียซังในตอนนี้มัน…
สีหน้าของเธอในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังแบบสุดๆ จนผมอดที่จะระแวงไม่ได้เลยน่ะสิ
สีหน้าของสมาชิกจิราโซเล่คนอื่นๆ เองก็ดูเคร่งเครียดไม่แพ้กัน…
หรือนี่จะเป็นปัญหาที่ท่านเทพผู้สร้างเคยบอกไว้กันนะ?
“อลิเซีย ใจเย็นก่อน วาตารุซัง ขอโทษด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันจะเป็นคนอธิบายเองค่ะ”
“ค-ครับ โดโรธีซัง”
“เมื่อครู่พวกเราได้รับการเรียกตัวไปที่กิลด์นักผจญภัยมาค่ะ
และเมื่อไปถึงพวกเราก็ถูกพาตัวเข้าไปในห้องของกิลด์มาสเตอร์ทันทีค่ะ
ที่นั่นกิลด์มาสเตอร์บอกพวกเราว่าบ้านเกิดของเรา เมืองท่าลูก้า กำลังถูกกองทัพของจักรวรรดิปิดล้อมอยู่ค่ะ”
“กองทัพของจักรวรรดิเหรอครับ?”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาทำสงครามอยู่กับอาณาจักรมนุษย์สัตว์เป็นหลักเหรอครับ?”
“ค่ะ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ดูเหมือนพวกเขาจะเริ่มหันมาให้ความสนใจลูก้าค่ะ
มีรายงานเข้ามาว่ามีการพบเห็นกองเรือรบของจักรวรรดิอยู่ใกล้ๆ กับน่านน้ำของลูก้าค่ะ
และลูก้าเองก็เข้าสู่ภาวะสงครามแล้ว เรือพาณิชย์และเรือประมงที่อยู่ที่อยู่ที่นั่นได้ถูกอพยพออกไปหมดแล้วค่ะ
จากข้อมูลที่ได้จากเรือลาดตระเวนบอกว่าเท่าที่สามารถมองเห็นได้จากเรือ
ตอนนี้ลูก้าถูกล้อมด้วยกองเรือของจักรวรรดิเอาไว้ทุกด้านแล้วค่ะ
และยังมีข่าวลืออีกว่ากองทัพของจักรวรรดิได้บุกเข้าโจมตีอาณาจักรเบรสเซียอย่างฉับพลันด้วยค่ะ”
“อืม…พวกเขาถูกซุ่มโจมตีสินะ ฟังดูแย่เลยนะครับ ว่าแต่ลูก้าพอจะต้านไว้ไหวไหมครับ?”
“…ลูก้าเป็นเมืองท่าและเมืองการค้าแห่งสำคัญของอาณาจักรเบรสเซียค่ะ
จึงทำให้ที่นั่นมีกองกำลังประจำการอยู่พอสมควร และถ้าพวกเขาตั้งรับอยู่ภายในป้อมปราการ
ก็น่าจะสามารถต้านทานไปได้สักระยะหนึ่งเลยค่ะ เพราะงั้น วาตารุซัง
ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะค่ะ พวกเรามีเพื่อนและครอบครัวอยู่ที่นั่น…”
Oh shit! อย่างที่ท่านเทพบอกจริงๆ ด้วย
มีเรื่องเกิดขึ้นกับจิราโซเล่จริงๆ ด้วย แล้วเรื่องที่เกิดก็ดันเป็นสงครามซะนี่!?
นี่มันเกินกว่าคำว่าปัญหาไปเยอะเลยนะครับ ท่านเทพ! นี่ผมควรจะทำยังไงดี?
ทุกคนมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
ผมควรจะทำยังไงดี ผมทิ้งพวกเธอไปไม่ได้ แต่ผมไม่อยากไปยุ่งกับสงคราม…
พูดตรงๆ คือ ผมไม่มีปัญญาไปสู้กับใครเขาหรอก
ถ้าต้องไปสู้จริงๆ ผมก็คงทำได้แค่เรียกเรือออกมาเป็นโล่เท่านั้น?
แล้วถ้าเกิดเห็นคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาล่ะ?
ไม่มีทางอ่ะ ผมต้องอ้วกแตกแน่ๆ แล้วก็คงกินข้าวไม่ลงหลังจากนั้น
ผมไม่ใช่ฮีโร่หรือวีรบุรุษอะไรพวกนั้นหรอกนะ
ผมไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับสงคราม ผมไม่อยากไปยุ่งกับอะไรพวกนั้น
ถ้าทำได้ผมคงเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นแล้วรีบหนีไปให้ไกล…
แล้วนี่มันอะไรกันครับ ท่านเทพ อีเวนต์แรกที่ผมจะได้โชว์เท่
กลับเป็นสงครามไปซะงั้น แบบนี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ? อย่างน้อยก็ควรมีขั้นมีตอนอะไรบ้างไม่ใช่เหรอ!?
“ฉันรู้ค่ะว่ามันเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวที่ขอให้คุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามแบบนี้
แต่อย่างที่อลิเซียบอก ฉันยอมทำทุกอย่างที่คุณต้องการ ดังนั้นได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะค่ะ วาตารุซัง”
…ผมแค่อยากเก็บตัวอยู่เงียบๆ แท้ๆ หนีไปเลยดีไหมนะ?
ไม่…ผมไม่มีความกล้าพอจะปฏิเสธคำขอของพวกเธอ
เอาเถอะ ไหนๆ ก็เลี่ยงไม่ได้แล้วช่วยเท่าที่ทำได้แล้วกัน
“…ได้ครับ ผมจะช่วยพวกคุณเท่าที่ทำได้ แต่ผมมีเงื่อนไข…”
“ขอบคุณมากค่ะ! ขอคุณมากจริงๆ ค่ะ วาตารุซัง เงื่อนไขที่ว่าคืออะไรเหรอคะ?”
“ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรหรอกครับ
ข้อแรก ผมจะไม่ช่วยในเรื่องของการเข้าโจมตีโดยเด็ดขาด
ข้อสอง ให้เก็บเรื่องของผม ไอเนส และเฟลิเซียเป็นความลับ
ข้อสาม ถ้าต้องไปเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของลูก้า ผมจะไม่เป็นคนไปเจรจาเอง
ข้อสี่ อย่าบังคับผมให้ทำอะไรที่ผมไม่อยากทำ ผมจะช่วยแค่เรื่องการป้องกันและการอพยพเท่านั้น
ส่วนเรื่องค่าตอบแทนผมจะขอรับในจำนวนที่พวกคุณสามารถจ่ายไหว”
“แค่นี้จะพอเหรอคะ?”
“ครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ วาตารุซัง! เราออกเดินทางกันเลยได้ไหมคะ?”
“ยังก่อนครับผมต้องหาวิธีปกปิดตัวตนก่อน อย่างน้อยๆ พวกเราก็ไม่ควรออกไปจากที่นี่พร้อมกัน
งั้นทุกคนออกไปรอที่นอกเมืองแถวๆ ชายฝั่งแล้วกันครับ
ผมจะตามออกไปทีหลังถึงจะดูน่าสงสัยหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“อ๊ะ ครั้งนี้เราทำสัญญากันไว้ดีไหมครับ? คราวก่อนพวกเราไปเที่ยวกันเลยไม่ต้องทำสัญญาอะไร
แต่คราวเรากำลังมุ่งหน้าเข้าไปสู่ปัญหา ถ้าเกิดมีใครถามพวกคุณจะได้มีข้ออ้าง
ว่าแต่พอมีวิธีไหนที่สามารถยืนยันได้ครับว่าพวกเราทำสัญญากันไว้?”
“ที่กิลด์หรือองค์กรขนาดใหญ่มีวงเวทไว้ใช้สำหรับตรวจสอบสัญญาค่ะ”
“ถ้างั้น พวกเราก็ไปทำสัญญากันให้ถูกต้องกันเถอะครับ และผมขอเพิ่มเงื่อนไขว่า ห้ามเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวผมด้วยได้ไหมครับ?”
“ได้ค่ะ”
ผมมุ่งหน้าไปที่กิลด์การค้าพร้อมกับสมาชิกจิราโซเล่ เราทำสัญญากันตามข้อตกลงที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้
จากนั้นผมก็คามิลล์ซังว่าผมจะไปที่ปาแลร์โม่อีกครั้ง… ช่องโหว่ในข้อแก้ตัวของผมช่างใหญ่โตจริงๆ
ระหว่างทางกลับผมซื้อเสื้อคลุมมีฮู้ดมาสามตัว
ถ้าใส่นี่ไว้ก็น่าจะมองไม่เห็นหน้าสินะ จากนี้ผมจะทำตัวให้ดูเหมือนจอมเวทผู้ลึกลับ…
เมื่อกลับมาที่ท่าเรือผมก็นำเรือออกจากฝั่ง
“นี่! นายท่าน พวกเธอบอกว่าจะยอมทำทุกอย่างที่คุณต้องการไม่ใช่เหรอทำไม่ถึงขอแค่เงินล่ะ?”
“อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ ไอเนส “
“ถ้าผมขอพวกเธอเป็นอย่างอื่นไปล่ะก็ พวกเธออาจจะตอบตกลงจริงๆ ก็ได้ในสถานการณ์แบบนี้”
“อุฟุฟุ ก็จริงค่ะ”
ผมก็เคยคิดนะ เคยคิดอยู่หลายครั้งเลยล่ะ
แต่สุดท้ายก็พูดออกไปไม่ได้ ทุกคนมองมาที่ผมด้วยสายตาอ้อนวอนขอร้องให้ผมช่วย…
แล้วจะให้ผมกล้าขอเรื่องพรรค์นั้นกับพวกเธอได้ยังไง?
ถ้าขออะไรแบบนั้นออกไปได้ในสถานการณ์แบบนี้จิตใจก็ต้องแข็งแกร่งระดับลาสบอสแล้วล่ะ
ถึงจะขออะไรแบบนั้นออกไปได้ จิตใจของผมไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น
พวกเรามาจอดเรือรอสมาชิกจิราโซเล่อยู่ที่ริมชายฝั่ง
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็เริ่มออกเรือ
“ผมจะขับเรียบไปตามชายฝั่งเรื่อยๆ แบบนี้นะครับ?”
“ค่ะ”
“และเนื่องจากระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติใช้งานไม่ได้ ไว้เราค่อยคุยกันอีกทีตอนกลางคืนนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ วาตารุซัง”
ผมขึ้นไปที่ห้องคนขับและเริ่มขับเรือผ่านไปสักพัก ไอเนสก็ขึ้นมาพร้อมกับถ้วยชาใบหนึ่ง
“ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง?”
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ พวกเธอดูกังวลกับเรื่องนี้กันมากๆ และยังพูดคุยกันอยู่ค่ะ
พวกเธอบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำแบบนี้ พวกเธอรู้สึกผิดกับนายท่านมากๆ เลยค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ…”
อ่า ผมไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องที่ท่านเทพบอกมันจะเกี่ยวของกับสงครามแบบนี้
ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะพุ่งเข้าไปแล้วหยุดทุกอย่างไว้เหมือนพวกพระเอกในนิยายอยู่นะ
แต่ติดตรงที่ว่าผมไม่มีความสามารที่จะทำแบบนั้นได้…
ผม ไอเนส และเฟลิเซีย เปลี่ยนเวรกันขับเรือ จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน แล้วกลับไปที่ห้องนั่งเล่น
“เอาล่ะครับ มาคุยเรื่องของเรากันดีกว่า ก่อนอื่นเลยช่วยเล่าเรื่องของลูก้าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ?”
“ได้ค่ะ ลูก้าเป็นเมืองท่าและเมืองการค้าขนาดใหญ่ของอาณาจักรเบรสเซียค่ะ
มีประชากรอยู่ประมาณ 20,000 คน มีป้อมปราการรายล้อมอยู่รอบด้านและมีท่าเรือขนาดใหญ่ค่ะ”
20,000 คน สินะ… ถ้าเทียบกับญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นเมืองเล็กๆ
แต่ถ้าในโลกนี้ก็นับว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่เลยล่ะ
ถ้าต้องอพยพคนขนาดนั้น… ฟอร์เทรส จะไหวไหมนะ?
“จากที่นี่ไปถึงลูก้าต้องใช้เวลานานขนาดไหนเหรอครับ?”
“ถ้าเดินทางด้วยเรือเวทมนตร์ธรรมดาจะใช้เวลาประมาณ 22 วันค่ะ”
“แต่ถ้าด้วยความเร็วของ ลูโตะ และเดินทางกันตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นแบบนี้ ฉันคิดว่าน่าจะไปได้ในเวลาไม่ถึง 20 วันค่ะ”
“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดีสินะ…”
“ถ้าผม ไอเนส เฟลิเซีย อลิเซียซัง แล้วก็มาริน่าซัง
มาช่วยกันขับตลอดทั้งคืน ก็น่าจะไปถึงได้ภายใน 10 วัน ล่ะมั้ง…”
“…แบบนั้นมันจะไม่เป็นไรเหรอคะ?”
“ก็น่าจะพอไหว เพราะถ้าช่วยกัน 5 คน ก็จะเหลือเวลาทำงานต่อคนไม่ถึง 5 ชั่วโมงต่อวัน”
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะทำให้ดีที่สุด”
“อลิเซียซัง ถ้าดูแล้วว่าเราสามารถตั้งรับได้ผมจะไปช่วยในการป้องกันนะครับ
แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ผมจะช่วยเรื่องการหลบหนีแทน ตกลงไหมครับ?”
“ค่ะ”
“เรื่องการหลบหนี ผมทำได้แค่เป็นกำแพงเคลื่อนที่โดยพาเรือออกจากเขตอันตรายเท่านั้นนะครับ”
ถ้าผมสามารถอัญเชิญ ฟอร์เทรส ออกมาแล้วใช้มันบดขยี้กองทัพรบของจักรวรรดิไปได้เลยก็คงดี…แต่ผมไม่อยากเข้าไปพัวพันถึงขนาดนั้น
“ค่ะ”
“ถ้าต้องหนีล่ะก็อย่างน้อยที่สุดเราต้องพาตัวครอบครัวและเพื่อนๆ ของคุณออกไปให้ได้ใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ แต่ถ้าเป็นไปได้ พวกเราอยากช่วยพวกเผ่าสัตว์ด้วยค่ะ”
“จักรวรรดิเป็นพวกนิยมมนุษย์สินะครับ?”
เรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นบ่อยๆ แต่ถ้าต้องมาพัวพันเองก็น่าปวดหัวล่ะนะ
“ค่ะ ฉันคิดว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายมากแน่ๆ ถ้าถูกจับ…”
คงหมายถึงการเป็นทาสสินะ…ซึ่งนั่นก็ผิดกฎหมายด้วย
ผมก็สงสารพวกเขาอยู่หรอก แต่ฉันไม่ใช่ฮีโร่ ไว้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยคิดอีกที
“แล้วมีทางไหนที่เข้าไปลูก้าได้บ้างครับ?”
“ทางบกคงยากเพราะถูกล้อมเอาไว้ค่ะ ส่วนท่าเรือก็น่าจะมีเรือปิดล้อมอยู่
ถ้าเราทะลวงแนวปิดล้อมเข้าไปได้ก็น่าจะเข้าไปได้ค่ะ”
“เข้าใจละ งั้นเป้าหมายแรกคือฝ่าแนวปิดล้อมเข้าไปในลูก้าให้ได้สินะ?”
“ค่ะ”
“ถ้าแย่ที่สุด ผมอาจจะต้องใช้ ฟอร์เทรส ฝ่าเข้าไป
แต่ถ้าเล็ดลอดเข้าไปได้ก็อยากทำแบบนั้นมากกว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ถ้าสามารถลอบเข้าไปได้ เราจะใช้เรือยาง แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องเลือกเรือที่เหมาะกับสถานการณ์
แล้วถ้าเราไปถึงประตูเมือง พวกเราจะเข้าไปได้ไหม?”
“ได้ค่ะ ก่อนที่พวกเราจะเลื่อนเป็นแรงค์ C ฐานของจิราโซเล่อยู่ที่ลูก้าค่ะ
ฉันรู้จักทหารบางคนอยู่ ดังนั้นไม่น่ามีปัญหา แต่ในช่วงสงคราม วาตารุซังกับคนอื่นๆ อาจจะต้องถูกตรวจสอบนะคะ”
“พวกเราจะสวมเสื้อคลุมพวกนี้ไว้เพื่อปิดบังใบหน้าครับ ถึงมันจะดูน่าสงสัยนิดหน่อยก็เถอะ…
อย่าบอกใครเรื่องของพวกเรานะครับ บอกแค่ว่าพวกคุณเป็นคนจ้างพวกเรามาก็พอ
และเนื่องจากนี่เป็นสัญญาจ้าง กรุณาอย่าบอกข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผมโดยเด็ดขาด”
“ค่ะ”
“ถ้าพวกเขาไม่ให้พวกเราเข้าไป ผมจะรออยู่ที่เรือครับ
พวกคุณก็ไปคุยกับทางนั้นกันเองแล้วกันแล้วเราค่อยมาแบ่งปันข้อมูลกันที่หลัง”
“แต่ถ้าเราต้องฝ่ากองเรือของจักรวรรดิเข้าไปจริงๆ ล่ะค่ะ มันจะไม่เป็นไรจริงๆ ที่คุณจะตามเข้าไปทีหลัง?”
“ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างแนวป้องกันพอที่หยุดเรือของผมได้ภายในวันเดียวหรอกครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“อีกอย่าง ไม่อยากให้พูดชื่อของผมออกไป ดังนั้นเรียกฉันว่า ‘จอมเวทย์’ ก็พอ
ส่วนไอเนสกับเฟลิเซียก็เป็นผู้ติดตามของผม แบบนี้โอเคไหมครับ?”
“ค่ะ ท่านจอมเวทย์”
“อลิเซียซัง ไม่จำเป็นต้องเติม ‘ท่าน’ ก็ได้นะครับ”
“ต้องค่ะ เพราะ ‘จอมเวทย์’ เป็นตำแหน่ง แม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายจ้างคุณ แต่ฉันก็คิดว่าไม่เหมาะที่จะเรียกชื่อคุณตรงๆ แบบนั้น”
“เข้าใจแล้วครับ งั้นต่อไปนี้ก็ให้เรียกผมว่าว่า ‘ท่านจอมเวทย์’ นะครับ
อ๊ะ! เฉพาะเวลาที่ผมสวมเสื้อคลุมเท่านั้นนะครับ แล้วถ้าเกิดพวกเขายอมให้ผมเข้าไป เราจะไปที่กิลด์นักผจญภัยกันใช่ไหมครับ?”
“บางทีเราอาจจะถูกท่านลอร์ดเรียกไปพบก็ได้ค่ะ แต่ถ้าไม่ เราก็คงอยู่กันที่กิลด์นักผจญภัย”
“ท่านลอร์ดของลูก้า เขาเป็นคนแบบไหนเหรอครับ?”
“เขาเป็นขุนนางชั้นมาร์ควิสค่ะ ฉันก็ไม่เคยพบเขาโดยตรงหรอก
แต่จากที่ได้ยินมาก็ไม่เคยมีเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับเขาหลุดออกมาเลยนะคะ
เมืองก็บริหารจัดการดี ดังนั้นฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่มีความสามารถ”
“งั้นเหรอครับ ขอบคุณมาก”
มาร์ควิสสินะ…ใหญ่เอาเรื่องเลยแฮะ
ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากไปยุ่งกับเขาหรอก
แต่ถ้ามากับปาร์ตี้แรงค์ A แบบนี้ล่ะก็บางทีเขาอาจจะเชิญไปพบก็ได้…ขอให้เราอย่าได้พบกันเลยนะ
“เข้าใจแล้วครับ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ผมจะคิดหาวิธีรับมือไว้หลายๆ ทาง และเนื่องจากพวกเราต้องเดินทางกันทั้งคืน เรามาจัดเวรกันดีกว่า”
พวกเรา 5 คน จึงมากำหนดเวรกัน
เนื่องจากอลิเซียซังและมารีน่าซั ขออาสาที่จะอยู่เวรช่วงกลางคืนทั้งหมด
แต่ผมกังวลว่าพวกเธอจะเหนื่อยเกินไป จึงตัดสินใจให้พวกเราทุกคนมาผลัดเวรกันในช่วงกลางคืนแทน
“ส่วนคนที่ไม่มีหน้าที่ตอนนี้ ก็ไปอาบน้ำแล้วเข้านอนเถอะครับ ถ้าร่างกายไม่พร้อมล่ะก็ พอถึงลูก้าเราจะทำอะไรไม่สะดวก”
MANGA DISCUSSION