ในตอนเช้า เมื่อผมทำกิจวัตรประจำในยามเช้าเสร็จ
ผมก็ออกไปข้างนอกเเพื่อที่จะทานมื้อเช้า
สมาชิกทุกคนจากจิราโซเล่มารออยู่ก่อนแล้ว
หลังพวกเราทานมื้อเช้าเสร็จ
ก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวสำหรับการไปสำรวจถ้ำในวันนี้…
ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมสาวๆ ถึงได้อยากเข้าไปในถ้ำกันขนาดนั้น
ในถ้ำน่ะมีตะขาบยักษ์อยู่ด้วยนะแทนทีจะกลัวพวกเธอกลับตื่นเต้นที่จะเข้าไปซะงั้น
วันนี้พวกเราก็ยังคงสำรวจถ้ำด้วยรูปขบวนแบบเดียวกันกับเมื่อวาน
ต่างกันที่วันนี้พวกเรากำลังเดินสวนทางลมเข้าไป
ระหว่างทางเราถูกค้างคาวยักษ์พุ่งเข้ามาโจมตีแทบจะตลอดทั้งทาง
วันนี้พวกมันพุ่งเข้ามาโจมตีได้เร็วกว่าเมื่อวานมาก
อาจเพราะมีแรงลมช่วยพวกมัน
แต่ถึงอย่างนั้นสมาชิกจิราโซเล่ก็สามารถจัดการพวกมันได้แทบจะในทันที
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นของพวกมันทำให้ผมตกใจไม่น้อยเลยตอนที่มันพุ่งเข้ามา
ถึงเลเวลจะเพิ่มขึ้น แต่ผมก็ยังไม่สามารถกำจัดจุดอ่อนของตัวเองได้สินะ
เราฝืนเดินต้านทางลมกันต่อไปบ้างครั้งผมก็ต้องเรือออกมา
เพื่อข้ามทางเดินที่ถูกน้ำท่วม
“เฮ้อ เราพักกันตรงนี้แล้วทานมื้อกลางวันกันเถอะ”
เราเดินมาถึงพื้นที่กว้างที่กว้างกว่าทางเดินก่อนหน้านี้
จากนั้นผมก็อัญเรือกระท่อมออกมาเพื่อปิดทางเดินในถ้ำเอาไว้
จากนั้นพวกเราก็เริ่มทานอาหารกลางวันกัน
ริมุที่อยู่ในกระเป๋าของผมก็ออกมาทานด้วย
เมื่อทานเสร็จเขาก็ไปกลิ้งเล่นตามลมแรงและดูเหมือนว่าจะกำลังสนุกอยู่
“มีวาตารุซังมาด้วยนี่ดีจริงๆ เลยนะคะ”
“ได้กินอาหารร้อนๆ แถมยังมีที่พักที่ปลอดภัยอีกมันยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ”
“ผมก็ทำได้แค่เรียกเรือออกมานี่แหละครับ
ถึงมันจะไม่มีพลังโจมตีแต่ก็พอช่วยในเรื่องการป้องกันได้”
“ฟุฟุ มันเป็นความสามารถที่ดีมากๆ เลยนะคะ
เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีสกิลเฉพาะตัวระดับ S
มักจะมีสกิลที่เน้นไปที่การต่อสู้หรือการโจมตีค่ะ
ดังนั้นสกิลที่สามารนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้แบบนี้
จึงถือว่าเป็นสกิลที่หายากมากๆ ในหมู่คนที่มีสกิลเฉพาะตัวเลยค่ะ”
“อย่างงั้นเหรอครับ?”
“ผมคิดว่าคนที่มีสกิลเฉพาะตัวจะต้องปกปิดมันไว้ซะอีก?”
“มีคนที่เปิดเผยมันด้วยเหรอครับ?”
“ค่ะ คนที่ไม่รู้วิธีใช้สกิลเฉพาะตัวของตัวเองมักจะปิดบังไว้
เพราะไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้าง
ส่วนคนที่ใช้เป็นก็จะโดดเด่นจนปิดมันไว้ไม่มิดค่ะ”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว พวกสกิลที่เกี่ยวกับการต่อสู้มันก็โดดเด่นจริงๆ นั่นล่ะนะ”
“ค่ะ คนที่มีสกิลดีๆ แต่ไม่แข็งแกร่งหรือควบคุมสกิลของตัวเองไม่ได้
มักจะถูกทางการจับตามองเพื่อหวังจะใช้ประโยชน์
ส่วนพวกแรงค์ S ที่แข็งแกร่งมากๆ และสามารถควบคุม
สกิลของตัวเองได้ก็มักจะสามารถปฏิเสธข้อเสนอของรัฐค่ะ”
“เห… มีคนแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย”
“ฟุฟุ ถ้าวาตารุซัง ฝึกฝนทักษะของตัวเองดีๆ
คุณเองก็น่าจะไปถึงระดับนั้นได้เหมือนกันนะคะ เพราะงั้นสู้ๆ ค่ะ”
“ฮ่าๆ ถึงผมจะมีสกิลที่ดี แต่ผมไม่ค่อยสู้คนนี่สิ
ถ้าทางรัฐจับตามองผมเมื่อไหร่
ผมก็คงจะไปซ่อนในเรือแล้วไม่ออกมาอีก”
“เรือของคุณมันก็อยู่สบายจริงๆ นั้นแหละค่ะ แต่คุณจะไม่ออกมาจริงเหรอคะ?”
“ก็ถ้ามันจวนตัวจริงๆ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะนะครับ
แต่ผมจะพยายามไม่ให้ถูกจับได้แล้วกัน ก็ผมเป็นคนชอบเที่ยวนี่นา”
“นั่นสินะคะ งั้นเราไปกันต่อเลยดีไหมคะ?”
“ครับ”
หลังจากพักเสร็จ พวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ
ดูเหมือนทางจะค่อยๆ ลาดลงเรื่อยๆ แล้วสิ
ยิ่งเดินเข้ามาลึกทางเดินก็ยิ่งมีพื้นที่ที่เต็มไปด้วยน้ำมากขึ้น
พวกเราถูกมอนสเตอร์เข้ามาโจมตีอยู่บ่อยครั้ง
จึงต้องเดินๆ หยุดๆ ดูเหมือนทางเดินมันจะไม่มีที่สิ้นสุดเลยจริงๆ
“เฮ้อ ถ้ำนี้มันจะใหญ่ไปไหนเนี่ย! ตอนนี้ก็ใกล้มืดแล้วด้วย”
“อืม อลิเซีย ฉันว่าเราต้องมาตัดสินใจกันแล้วล่ะว่าจะกลับหรือว่าไปต่อดี”
“โดโรธี เธอว่าไปต่อหรือว่ากลับดี?”
“ถึงจะอยากสำรวจต่อ แต่ครั้งนี้มีวาตารุซังมาด้วย…
ฉันว่าเรากลับกันน่าจะดีกว่านะ”
“แต่เราไปต่อไม่ได้ถ้าไม่มีวาตารุซังนะคะ
งั้นลองถามความเห็นวาตารุซังดูดีกว่า วาตารุซังคิดว่ายังไงคะ ไปต่อหรือว่ากลับดี?”
ฮ่าๆ จริงๆ ผมล่ะอยากออกจากถ้ำนี้ใจจะขาดแล้ว
แต่บรรยากาศตอนนี้มันเหมือนกับพวกเธอกำลังจะสื่อออกมาว่า
‘จริงๆ พวกเราก็อยากไปกันต่อค่ะ แต่ถ้าวาตารุซังเหนื่อยจะกลับก็ได้นะคะ’
ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้…คงจะตอบได้แค่…
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ไปสำรวจต่อกันอีกหน่อยก็ได้ครับ”
ผมนี่มัน…อ่อนแอจริงๆ แค่พูดสิ่งที่อยากพูดก็ทำไม่ได้
“งั้นมาหาที่ตั้งแคมป์กันก่อนแล้วค่อยไปต่อกันเถอะครับ”
“ค่ะ!”
เราเดินต่อไปอีกหน่อยก็หาพื้นที่ที่ใหญ่พอที่จะตั้งแคมป์ได้
จากนั้นพวกเราก็ทานมือเย็น จัดเวรยาม แล้วเข้านอน
ในตอนเช้า ถึงแม้จะอยู่ในถ้ำ
แต่ผมก็ยังคงทำกิจวัตรยามเช้าเหมือนเช่นเคย
เมื่อออกมาข้างนอกสิ่งแรกที่ผมพบก็คือถ้ำมืดๆ อีกแล้วเหรอ…
เห้อ..อย่างน้อยต้องพยายามทำตัวให้เข้มแข็งเอาไว้ จะได้ไม่ทำให้บรรยากาศเสีย
“เอาล่ะพวกเราไปกันต่อเถอะ”
เราเดินกันต่อไปในความมืด มีการหยุดพักบ้างเป็นบางครั้ง
ผมไม่รู้ว่าพวกเราเดินกันมานานขนาดไหนแล้ว
แต่เมื่อผมเริ่มที่จะทนกับความมืดไม่ไหวในที่สุดพวกเราก็เห็นแสงสว่างแล้ว
“อลิเซีย ฉันเห็นแสงข้างหน้า เดี๋ยวจะไปสำรวจก่อนนะ”
“โอเค ระวังตัวด้วยล่ะ มารีน่า”
“อืม”
ผมมองไปที่แสงริบๆ อยู่ที่ปลายสายตา
หวังว่าจะเจออะไรดีๆ บ้างนะ จะได้ไม่ต้องเข้ามาในถ้ำนี้อีก
“ตื่นเต้นจังเลย จะมีอะไรรออยู่กันน้า?”
“ฟุฟุ ไม่เคยมีใครมาถึงที่นี่มากก่อน อาจจะมีอะไรเจ๋งๆ อยู่ก็ได้”
โดโรธีซัง…ไหนตอนแรกบอกจะมาหาสไลม์ไม่ใช่เหรอครับ? ลืมไปแล้วเหรอ…?
ขณะที่พวกเราจินตนาการถึงสิ่งที่อาจจะรออยู่ข้างหน้า ในที่สุดมารีน่าซังก็กลับมา
“กลับมาแล้วเหรอ มารีน่า บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ไม่ ข้างหน้ามีทะเลสาบใต้ดินใหญ่มากเลย
ฝั่งตรงข้ามมีรูที่ลมกับแสงแดดลอดเข้ามาได้ด้วย”
“แล้วมีมอนสเตอร์ไหม?”
“เท่าที่สำรวจดู ก็ต่างจากที่เราเคยเจอมาจนถึงตอนนี้เลย
แต่ไม่แน่ใจว่าในทะเลสาบจะมีอะไรบ้าง”
“งั้นเหรอ ขอบใจมาก มารีน่า”
“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีอันตรายอะไร งั้นเราก็ไปต่อกันเถอะ”
พวกเราเดินต่อไปที่ทะเลสาบใต้ดินด้วยความระมัดระวัง
“อืม…ความลึกระดับนี้น่าจะเรียก ลูโตะ ออกมาได้”
“ให้ผมเรียกมันออกมาดีไหมครับ หรือว่าเราควรจะใช้เรือยนต์ดี?”
“ฉันว่าเราควรจะเรียก ลูโตะ ออกมาน่าจะดีกว่าค่ะ
เพราะเราไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไรบ้าง”
“โอเค ครับ”
จากนั้นผมก็เรียก ลูโตะ ออกมาแล้วพวกเราก็ขึ้นเรือกัน
“เฮ้อ แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย”
“เราจะไปตรงที่มีแสงตกลงมากันเลยไหมครับ?”
“จริงๆ ก็อยากรีบไปอยู่หรอกค่ะ แต่ฉันอยากอาบน้ำก่อนน่ะ”
“ฉันก็ด้วย”
หา? ตอนแรกยังตื่นเต้นกันอยู่เลย
แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าจะอาบน้ำกันก่อนซะงั้น?
เห้อ…ผมล่ะไม่เข้าใจผู้หญิงเลยจริงๆ
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมว่าผมไปอาบด้วยเลยดีกว่า
หลังอาบน้ำเสร็จพวกเราก็มาเพลิดเพลินกับน้ำผลไม้เย็นๆ
จากนั้นก็พักผ่อนกันเล็กน้อย แล้วก็มุ่งหน้าไปที่แสง
“ไม่เห็นมีมอนสเตอร์ในทะเลสาบเลย…
เจ้าตัวเล็กๆ ที่ว่ายอยู่นั่นใช่ปลาหรือเปล่าครับ?”
“ใช่ค่ะ ปกติทะเลสาบแบบนี้มักจะมีมอนสเตอร์อาศัยอยู่ แต่ที่นี่…กลับไม่มีเลย”
“น้ำใสขนาดนี้ จะดื่มได้หรือเปล่านะ?”
พวกเราข้ามไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบแล้วลงจากเรือ
พวกเราเดินอย่างระมัดระวังแล้วมุ่งหน้าไปที่แสงนั่น
และสิ่งที่พวกเราพบก็คือทัศนียภาพอันสวยงามของพืชพรรณนานาชนิดที่กำลังออกดอกและเบ่งบานเต็มที่
“สวยจังเลย…”
“อืม…”
ภายในใจกลางของทะเลสาบใต้ดินอันมืดมิด
กลับมีทุ่งดอกไม้ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งรับกับแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องลงมาจากช่องขนาดใหญ่ด้านบน
พวกเราทุกคนต่างตะลึงไปกับทัศนียภาพอันสวยงามที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า
“หือ? มีอะไรบางอย่างกำลังส่องแสงอยู่ตรงนั้นด้วยครับ”
“เอ๊ะ? ตรงไหนเหรอคะ?”
พวกเราเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่มีแสงส่องออกมาด้วยความระมัดระวัง
เมื่อไปถึงพวกเราก็พบเข้ากับวัตถุสีเขียวขนาดใหญ่ฝังอยู่ในดิน
เมื่อขุดมันขึ้นมาและลองตรวจสอบดู…
ว่าแต่เจ้านี่มันอะไรกัน? เกล็ดเหรอ? แล้วนี่มันเกล็ดของตัวอะไรกันถึงได้ใหญ่เกือบ 2 เมตร แบบนี้?
“น-นี่มัน… ก-เกล็ดมังกร! พลังเวทที่แผ่ออกมานี่ ต้องเป็นเกล็ดของมังกรแน่ๆ”
“เอ๋! เกล็ดของมังกรงั้นเหรอครับ?”
“ค่ะ แล้วก็ไม่ใช่แค่มังกรธรรมดาๆ ด้วย เพราะนี่คือเกล็ด ริว (Ryu) ค่ะ
พลังเวทที่หลงเหลือในเกล็ดนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ผสมอยู่ด้วย”
อัลม่าซังที่มักจะใจเย็นและยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์อยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศที่แสนลึกลับโดยปกติของเธอตอนนี้หายไปหมดแล้ว
นี่มันเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ?
เมื่อผมมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าคนอื่นๆ ต่างก็ยืนนิ่งด้วยสีหน้าที่ตกใจไปตามๆ กัน นี่ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า?
หลังจากที่อัลม่าซังสงบลง ผมก็ขอให้เธอช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังหน่อย
เธออธิบายว่าโลกนี้มีทั้งอยู่ 2 ชนิดคือ มังกร (Dragon) และ ริว (Ryu)
โดยที่มังกรนั้นแทบจะไม่มีบันทึกว่ามีใครเคยสามารถปราบมันได้มาก่อน
นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าเกล็ดหรือชิ้นส่วนต่างๆ ของมันจึงมีมูลค่าที่มหาศาลมาก
ส่วน ริว นั้นจะต่างออกไป เพราะมันมีแค่ตัวเดียวต่อหนึ่งธาตุเท่านั้น
ได้แก่ ริว ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุแสง และริวธาตุความมืด
พวกมันมีสติปัญญาสูงจึงถูกนับถือว่าเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า
บางตำนานยังมีการเล่าถึง ริวธาตุสายฟ้า และ ริวธาตุน้ำแข็ง ด้วยแม้จะยังไม่มีการยืนยันก็เถอะ
ริวกับมังกรนี่มันต่างกันยังไงเนี่ย?
สมองของผมเริ่มสับสนแล้วสิ
แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้มันต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่มากแน่ๆ
ชักอยากกลับบ้านแล้วสิ เราทำเหมือนไม่เคยเห็นมันได้หรือเปล่า…
“เอ๊ะ! เดี๋ยวนะครับ ถ้าเกล็ดของมันยังใหญ่ขนาดนี้แล้วตัวของมันจะใหญ่ขนาดไหน?”
“พวกเรามาอยู่ตรงนี้มันจะไม่อันตรายเหรอครับ?”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ วาตารุซัง ฉันคิดว่ามันคงไม่ได้กลับมาที่นี่หลายปีแล้วค่ะ
เพราะที่พื้นดินไม่มีร่องรอยของการเคลื่อนไหวหรืออะไรเลย บางทีมันอาจไม่ได้มาที่นี่เป็นร้อยหรือไม่ก็พันปีแล้วก็ได้”
“โห ถึงเกล็ดจะเก่าขนาดนั้น แต่คุณก็ยังรับรู้ถึงพลังเวทของมันได้อีกนะครับ…สุดยอดเลย”
“ว่าแต่เราจะเอายังไงต่อไปกันดีครับ?”
“เราต้องไม่พลาดโอกาสนี้ค่ะ วัตถุดิบจากริวมีมูลค่ามหาศาลมาก เราจะไปสำรวจรอบๆ ทะเลสาบใต้ดินให้ทั่วค่ะ!”
“ค่ะ/ครับ!”
ทุกคนลืมเรื่องสไลม์กันไปหมดแล้วสินะ…
เอาล่ะ ผมลองไปเดินสำรวจดูรอบๆ ด้วยดีกว่า…
หลังจากเดินสำรวจพักหนึ่ง ผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างกระพริบๆ อยู่ที่มุมสายตา
หืม? นั่นมัน…สไลม์เหรอ? มันเปล่งแสงสีเขียวอ่อนออกมาด้วย…
เหมือนกับตอนที่ริมุใช้เวทมนตร์เลย ผมมองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่แถวนี้แฮะ…
ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหามัน พร้อมกับยื่นผลไม้ไปให้
โอ้ มันไม่หนีด้วย ผมเลยลองยื่นมือออกไปลูบมันเบาๆ
จากนั้นริมุก็ออกมาจากกระเป๋าแล้วก็มุ่งหน้าไปหาเจ้าสไลม์สีเขียวอ่อนตัวนั้น
“ริมุ เจ้าตัวนี้กลัวพวกเราไหม?”
“ไม่”
“งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ”
ผมลูบเจ้าสไลม์สีเขียวอ่อนพลางพูดกับมัน
“นี่ มีพี่สาวคนหนึ่งอยากทำสัญญากับเธอน่ะ เธออยากจะไปกับผมไหม?”
เจ้าสไลม์สีเขียวอ่อนดูเหมือนจะกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่กับริมุพักหนึ่ง จากนั้น…
“…ไป…”
“โอ้ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะแนะนำพี่สาวคนนั้นให้รู้จักนะ มารออยู่ในกระเป๋านี่ก่อนได้ไหม?”
“…อืม…”
แล้วเจ้าสไลม์สีเขียวอ่อนก็มุดเข้ามาในกระเป๋าของผม
“ริมุ ขอบใจนะ ว่าแต่คุยอะไรกันเหรอ?”
“สนุก… อร่อย”
“อ้อ ริมุบอกมันว่าจะได้สนุกแล้วก็ได้กินของอร่อยๆ สินะ”
“งั้นผมต้องหาของอร่อยๆ ให้มันกินแล้วสิ แน่นอนว่าจะให้ริมุด้วยนะ”
“รัก วาตารุ”
พูดเสร็จริมุก็มุดเข้าไปในกระเป๋า ทั้งสองตัวต่างชนกันไปมาอยู่ในกระเป๋า น่ารักสุดๆ เลยแฮะ…
ผมสำรวจต่อไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกแล้วก็กลับไปที่เรือ
“เหลือเชื่อ! ไม่คิดเลยว่าเราจะหาเจอกันได้เยอะถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ยังสำรวจไม่หมดแท้ๆ”
“พรุ่งนี้มาค้นหากันต่อดีไหมคะ วาตารุซัง?”
“ได้ครับ อลิเซีย อ๊ะ… คลอเร็ตต้าซัง ผมเห็นคุณเก็บพวกพืชพรรณต่างๆ มาเยอะแยะเลยนิ พวกมันมีค่างั้นเหรอครับ?”
“ค่ะ ที่นี่มีสมุนไพรหายากอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ แถมยังมีแบบที่กลายพันธุ์ด้วย”
“งั้นถ้าผมเจอพืชแปลกๆ จะมาบอกนะครับ”
“รบกวนด้วยค่ะ”
“แล้วก็มารีน่าซัง… ผมคิดว่าเจ้าสไลม์ตัวนี้น่าจะมีธาตุลมนะครับ?”
ผมค่อยๆ หยิบเจ้าสไลม์ตัวสีเขียวอ่อนออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้มารีน่าซัง
เธอค่อยๆ กอดมันเบาๆ แล้วคุยกับมัน
“ฉันชื่อมารินะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“….”
“ผลไม้? ชอบเหรอ?”
“จะไปกับฉันไหม?”
มารีน่าซังคุยกับมันด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน…เธอช่างสวยจริงๆ
พอพูดถึงผลไม้ คงหมายถึงผลไม้ที่ผมให้มันไปสินะ
ขณะที่ผมกำลังนึกอะไรเพลินๆ อยู่วงเวทก็ลอยขึ้นมาตรงหน้าเจ้าสไลม์สีเขียวอ่อน
พวกเราทุกคนมองกันด้วยความตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นหายใจ
จากนั้นเจ้าสไลม์ก็กระดุกกระดิกตัวจากนั้นก็เข้าไปในวงเวทนั้น
ตอนริมุเองก็เป็นแบบนี้ แบบนี้คงสำเร็จแล้วสินะ
ผมได้เห็นรอยยิ้มแสนสดใสของมารินะซังด้วยล่ะ…ช่างเป็นภาพที่หาดูยากจริงๆ
“ยินดีด้วยนะ มารีน่า!”
“ยินดีด้วยค่ะ มารีน่าซัง!”
ทุกคนร่วมกันแสดงความยินดีกับมารีน่าซัง
“ขอบคุณนะทุกคน เจ้านี่คือ สไลม์สายลม ล่ะ เป็นสไลม์ที่มีคุณสมบัติธาตุลม งั้นชื่อก็… ฟูจัง!
เพราะเป็นสไลม์ธาตุลม ฉันเลยคิดว่าชื่อนี้น่าเหมาะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฟูจัง!”
ง่ายกว่าที่คิด แล้วก็น่ารักกว่าที่คาดไว้
“ขอบคุณนะคะ วาตารุซัง ขอบคุณที่พาฟูจังมานะคะ”
“ยินดีครับ นี่เป็นสิ่งตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคุณที่พาริมุมาหาผม ริมุกับผมตั้งตารอที่จะได้เล่นกับฟูจังเลยล่ะ”
“ค่ะ!”
หลังจากคุยกันเสร็จ พวกเราก็ตัดสินใจทานอาหารเย็นด้วยกัน
ภาพของริมุกับฟูจังที่นั่งกินข้าวเคียงข้างกันมันช่างน่ารักจริงๆ
พอริมุกินเสร็จ มันก็เดินไปหาสาวๆ เพื่อขออาหารเพิ่ม ฟูจังก็ตามไปติดๆ ทุกคนต่างยิ้มกันออกมาขณะที่ป้อนอาหารให้ทั้งสอง
หลังอาหารเย็น ทุกคนก็ทานของหวานแล้วเล่นเกมเจ็งก้ากับโอเทลโล่กันอย่างสนุกสนาน
“วาตารุซัง ฟูจังบอกว่าดีใจมากเลยที่มีของอร่อยเยอะแบบนี้ ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ริมุเองก็ได้เพื่อนใหม่เหมือนกัน”
โดโรธีซังกับมารีน่าซังเล่นกับริมุและฟูจังอย่างสนุกสนาน
แต่ดูๆ แล้วโดโรธีซังก็น่าจะอยากได้สไลม์ของตัวเองเร็วๆ เหมือนกัน เห็นแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบแฮะ
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ผมก็ตัดสินใจเข้านอนแต่หัวค่ำ
พรุ่งนี้ต้องเริ่มสำรวจแต่เช้าอีก… ฝันดีนะ
MANGA DISCUSSION