พวกเราออกเดินทางไปยังมหาวิหาร
คลอเร็ตต้าซัง เป็นคนที่เดินนำหน้าพวกเราทุกคนอยู่ตอนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ
วันนี้เธอดูจะรีบร้อนกว่าปกติมาก… บางทีทุกคนอาจจะเข้าใจความรู้สึกของเธอ จึงได้แต่คอยมองด้วยความเป็นห่วง
มหาวิหารใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มันช่างใหญ่โตจริงๆ
เมื่อมองจากลานด้านหน้า จะเห็นตัววิหารหินอ่อนที่มีขนาดใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านอยู่
เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นจะได้ชัดว่ามันเป็นวิหารที่งดงามมาก
สถาปัตยกรรมของตัววิหารมีการออกแบบที่ประณีตและแสดงให้เห็นถึงกาลเวลาที่หล่อหลอมให้มันกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อผ่านประตูขนาดใหญ่เข้าไป ก็จะพบกับห้องขนาดใหญ่ที่มีเพดานโค้งสูง
แสงระยิบระยับจากกระจกสีส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง และที่ด้านหน้าของมหาวิหาร มีรูปปั้นหินขนาดมหึมาตั้งเรียงรายอยู่เจ็ดองค์
“ม-มหัศจรรย์มาก…”
“ค-ครับ…ผมรู้สึกขนลุกเลย”
เหมือนที่อลิเซียซังพูด พวกเราต่างตกตะลึงกับขนาดอันมหึมาและบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่
พวกเรายืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่งราวกับต้องมนต์สะกด
“พ-พวกเราไปสวดภาวนากันดีไหมครับ?”
“อ-อืม ไปกันเถอะ”
“คลอเร็ตต้าซัง คุณช่วยอธิบายเกี่ยวกับรูปบูชาเหล่านี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?”
“เอ๋? ได้ค่ะ ที่ด้านหน้าคือรูปบูชาของท่านผู้สร้างค่ะ ส่วนทางด้านซ้ายและขวาคือรูปบูชาของเทพแห่งแสง และเทพแห่งความมืด
จากนั้นก็เทพแห่ง ดิน น้ำ ลม แล้วก็ไฟค่ะ เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามหาวิหารนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่
แต่เชื่อกันว่ารูปบูชาเหล่านี้ท่านเทพผู้สร้างเป็นผู้ประทานให้ด้วยตัวของพระองค์เอง เมื่อตอนที่สร้างมหาวิหารเสร็จค่ะ”
“อ-อืม อย่างนั้นเหรอครับ? ขอบคุณนะครับ คลอเร็ตต้าซัง”
อืม… รูปปั้นที่อยู่ตรงกลางก็มีลักษณะคล้ายๆ กับท่านเทพผู้สร้างที่ผมเคยพบอยู่นิดๆ เหมือนกัน…
แต่ท่านเทพผู้สร้างที่ผมเคยพบจริงๆ น่ะ ควรจะมีรูปร่างเป็นเด็กผู้ชายไม่ใช่เหรอ?
แต่รูปบูชานี้กลับเป็นชายหนุ่มที่ดูสง่างามและทรงอำนาจ
…ถ้ามันเป็นรูปบูชาที่ท่านเทพผู้สร้างเป็นผู้ประทานให้ด้วยตัวเอง
ก็หมายความว่าเขาสร้างรูปปั้นของตัวเองขึ้นมาตามใจชอบ โดยคิดว่า “แบบนี้ต้องดูเท่กว่าแน่ๆ” อะไรประมาณนี้หรือเปล่า…?
จากที่เคยรู้สึกตกตะลึงไปกับบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ ของมหาวิหาร
จู่ๆ ใจของผมก็รู้สึกสงบ มันให้ความรู้สึกเหมือนได้เห็นอีกด้านของตัวละครชื่อดังบางคนเลย…
อ้อ พูดถึงกระจกสี ถ้ามีกระจกแบบนี้ก็ต้องมีเวิร์กช็อปที่ทำกระจกสิ!
ถึงจะแพงแค่ไหน ผมก็อยากได้แก้วน้ำกับเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ทำจากแก้ว
ถ้าโชคดีอาจจะได้เข้าไปชมการทำงานของเวิร์กช็อปด้วย
“นายท่าน จะไม่ไปสวดภาวนาเหรอคะ?”
“อ-อืม จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น สมาชิกจิราโซเล่ก็เดินไปถึงหน้ารูปปั้นของท่านเทพแล้ว
ผมจึงรีบเดินตามไปที่ด้านหน้ามหาวิหาร จากนั้นก็คุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นของท่านเทพ
หลับตาและกล่าวคำขอบคุณสำหรับโอกาสที่ทำให้ผมได้มายังโลกนี้
รวมถึงที่ท่านได้มอบสกิลอัญเชิญเรือมาให้ผม มันช่วยให้ชีวิตผมสะดวกสบายขึ้นมากเลย
“ยินดีต้อนรับ วาตารุคุง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ?”
“อ๊ะ ท-ท่านเทพผู้สร้าง…”
“ม-ไม่ได้เจอกันเลยนะครับ”
ที่นี่มัน…ดินแดนแห่งเทพงั้นเหรอ?
ผมนึกว่าเขาไม่สามารถแทรกแซงโลกมนุษย์ได้มากนักซะอีก หรือผมจะไปก่อปัญหาอะไรอีกแล้ว?
“อ-เอ่อ ท่านเทพผู้สร้าง ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ?”
“หืม? ไม่เลย นายไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ทำไมเหรอ?”
“ก็ท่านเคยบอกว่าไม่สามารถแทรกแซงโลกมนุษย์ได้มากนักนี่ครับ ผมเลยคิดว่าตัวเองอาจจะทำอะไรผิดไปก็ได้”
“อ้อ หมายถึงเรื่องนั้นน่ะเหรอ? ไม่เป็นไรๆ ที่นี่น่ะมีรูปปั้นที่ข้าเป็นคนมอบให้ตั้งอยู่
ดังนั้น เอ่อ…มันก็เลยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยังไงล่ะ! เพราะงั้นข้าก็เลยสามารถเข้ามาแทรกแซงได้”
“อย่างนี้นี่เอง… แล้วที่ท่านเรียกผมมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก พอดีข้าเห็นเจ้ามาเยือนที่มหาวิหารเลยอยากเรียกมาคุยด้วยเฉยๆ น่ะ”
“ยะ-อย่างงั้นเหรอครับ…”
โล่งอกไปไปที ผมไม่ได้ก่อปัญหาอะไร…ดีเหมือนกันผมมีเรื่องที่อยากถามท่านเทพอยู่พอดี..
“เอ่อ ท่านเทพครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”
“หือ? ถามมาสิ ข้าจะตอบเท่าที่ตอบได้”
“ขอบคุณมากครับ… คือผมอยากรู้ว่าเงินที่ใช้ไปกับสกิลอัญเชิญเรือมันไปอยู่ที่ไหนเหรอครับ?
ถ้าผมซื้อเรือสำราญ อย่างน้อยๆ มันก็ตั้ง 500 เหรียญทองคำขาวเลยนะครับ”
“อ้อ เงินนั้นน่ะเหรอ? เงินที่เจ้าใช้ไปจะถูกส่งไปให้เทพแห่งการค้าน่ะ”
“โดยปกติพวกเราจะไม่ค่อยไปยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์มากนักหรอก แต่ก็มีบางครั้งที่จะใช้มันเพื่อก่อให้เกิดหายนะเล็กๆ น้อยๆ
หรือไม่ก็ส่งมันไปให้โบสถ์ดีๆ หรือไม่ก็แปลงกลับไปเป็นแร่แล้วฝังมันไว้ในเหมือง”
“อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณครับ”
…ระบบมันเป็นแบบนี้นี่เอง ดูท่าจะไม่มีปัญหาอะไรที่ผมจะใส่เงินลงไปในระบบ
ถึงบางเรื่องมันจะฟังดูแปลกๆ ก็เถอะ… แต่ถ้าเทพแห่งการค้าเป็นคนจัดการ
งั้นก็คงไม่น่าจะมีวิกฤตเศรษฐกิจอะไรเกิดขึ้นล่ะมั้ง?
“ว่าแต่ ทำไมรูปปั้นของท่านในมหาวิหารถึงดูแตกต่างจากตัวท่านมากขนาดนั้นล่ะครับ?”
“หืม? อ้อ ก็… แบบนั้นมันดูเท่กว่าน่ะสิ”
“แค่นั้นเหรอครับ?”
“อะไร? ข้าเป็นถึงเทพผู้สร้างที่สร้างโลกนี้ขึ้นมาเลยนะ การหล่อเท่และดูดีมันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก!
เจ้าอยากจะอยู่ในโลกที่ถูกสร้างโดยตาแก่ที่มีเคราเฟิ้ม หรือว่าโลกที่สร้างโดยชายหนุ่มสุดเท่ล่ะ?”
“ถ้าให้เลือกจริงๆ ผมอยากอยู่ในโลกที่ถูกสร้างโดยเทพธิดามากกว้่ครับ…
แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างสองตัวเลือกนี้ ก็คงเป็นโลกที่สร้างโดยชายหนุ่มสุดเท่ล่ะมั้ง…”
“เห็นมั้ย นั่นแหละที่ข้าหมายถึง!”
…ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ
“เข้าใจแล้วครับ”
“ว่าแต่เจ้าอยู่กับสาวๆ จากจิราโซเล่ใช่ป่ะ?”
“ดูเหมือนพวกเธอกำลังจะเจอปัญหานะ ข้าว่าเจ้าควรจะช่วยพวกเธอ”
“เพราะถ้าเจ้าทำแบบนั้น เทพแห่งสงครามกับพรรคพวกจะต้องเข้าใจถึงความสุดยอดของสกิลอัญเชิญเรือมากขึ้นแน่ๆ”
“ปัญหา! ปัญหาอะไรเหรอครับ? อันตรายหรือเปล่า?”
“อ-เอ่อ คือว่า—”
“ไม่ได้ค่ะ ท่านเทพผู้สร้าง!”
“อ-อืม ก็อย่างที่เธอว่านั่นแหละ”
“ขออภัยที่เข้ามาขัดนะคะ ยินดีที่ได้พบค่ะ วาตารุคุง ฉันคือเทพแห่งแสงค่ะ ขอรบกวนเวลาคุณสักครู่นะคะ”
“ค-ครับ เชิญเลยครับ”
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ ไม่สิต้องเรียกว่างดงามมากว่า
เธอมีเรือนผมสีบลอนด์เป็นประกายและมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ
เธอดูเหมือนเลขาแสนสวยที่สามารถทำได้ทุกอย่างเลย
ตอนนี้เธอกำลังลากท่านเทพผู้สร้างไปทางด้านหลังพร้อมกับเทศนาเขา…
ถึงจะสวย แต่เธอดูเหนื่อยแปลกๆ แฮะ
อ๊ะ เธอบังคับให้เทพผู้สร้างนั่งคุกเข่าลงกับพื้นแล้ว นี่มันการอบรมอย่างจริงจังสินะ…
ผมอยากรู้เรื่องของจิราโซเล่มากเลยตอนนี้ แต่ดูเหมือนผมจะไม่ควรถามเทพผู้สร้างเกี่ยวกับเรื่องนี้… ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากรู้จริง ๆ
ผมถูกเรียกมายังแดนเทพ จากนั้นก็ถูกปล่อยไว้ลำพัง
และได้เห็นภาพที่ท่านเทพผู้สร้างกำลังถูกท่านเทพแห่งแสงเทศนาอย่างหนักอยู่…
อืม มันอาจเป็นประสบการณ์ที่มีค่าก็ได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับผมกันนะ?
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ แล้วก็ขอโทษที่ต้องเรียกมาอย่างกะทันหันค้ะ”
“ม-ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณสำหรับความเมตตาเสมอมาครับ ผมชื่อ โทโยมิ วาตารุ ยินดีที่ได้พบครับ”
“ฟุฟุ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอกค่ะ เทพผู้สร้างพยายามจะบอกคุณให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรพูด
ฉันเลยต้องเข้ามาขัดจังหวะ ฉันเข้าใจว่าคุณคงอยากรู้ แต่ขอให้คุณอดทนไว้ก่อนนะคะ
และเรื่องนี้ คุณสามารถเลือกได้เองว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่
ไม่จำเป็นต้องช่วยพวกเธอเพียงเพราะเทพผู้สร้างบอกให้ทำค่ะ ดังนั้นฉันจึงขอให้คุณตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“ครับ ผมเข้าใจ ขอบคุณมากครับ”
ถึงจะอยากรู้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงไม่ได้แล้วสินะ…
“เอ่อ ท่านเทพแห่งแสงครับ พอได้ยินเรื่องนี้แล้ว ผมควรกลับไปที่เมืองทางใต้ให้เร็วที่สุดดีไหมครับ?
มันจะเป็นปัญหาอะไรหรือเปล่า? ถ้าผมย้ายที่อยู่ตอนนี้ ผมจะเลี่ยงอันตรายที่เกี่ยวข้องกับจิราโซเล่ได้ไหม?”
“เห้อ…ไม่ว่าจะอยู่ที่ปาแลร์โม่หรือกลับไปที่เมืองทางใต้ ก็ไม่ต่างกันค่ะ นั่นคือทั้งหมดที่ฉันสามารถบอกได้”
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณที่ตอบคำถามที่เสียมารยาทของผมนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับเทพผู้สร้างอีก งั้นฉันขอส่งคุณกลับไปที่เดิมเลยนะคะ”
ทันทีที่เธอพูดจบ วิสัยทัศน์ของผมก็ถูกปกคลุมด้วยแสง และภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนจะกลับมา… คือเทพผู้สร้างที่นั่งคุกเข่าพร้อมน้ำตาคลอเบ้า
จากนั้นผมก็กลับมายังมหาวิหาร ผมควรบอกเรื่องนี้กับสมาชิกจิราโซเล่ดีไหม?
แต่ผมไม่มีข้อมูลอะไรที่แน่ชัดเลยนี่สิ จะทำยังไงดีนะ?
ในตอนนี้ผมยังไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ ดังนั้นคงต้องรอดูสถานการณ์กันไปก่อน
“ทุกคนระวังตัวกันไว้นะครับ ผมได้ยินมาว่าอีกไม่นานทุกคนจะเจอเข้ากับปัญหา” …ไม่สิ แบบนั้นมันเหมือนหมอดูไปหน่อย
อย่างไรก็ตาม ผมเดินตามจิราโซเล่ ไปทำการถวายเครื่องบูชาแล้วออกจากโบสถ์
“ให้ความรู้สึกเหมือนได้ชำระล้างทั้งร่างกายและจิตใจเลยนะค่ะ วาตารุซังคิดว่ายังไงคะ?”
“ครับ บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์และน่าประทับใจมากเลย”
ผมตอบอลิเซียซังไปแบบนั้น แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ
ตอนเข้าไปครั้งแรกผมก็ตะลึงอยู่หรอก แต่พอเห็นรูปปั้นของเทพผู้สร้างที่ดูเกินจริงกับเรื่องที่มีแนวโน้มจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต
ผมก็รู้สึกเหมือนได้เสียอะไรบางอย่างไปเลยล่ะ…
อ้อ แต่ผมโชคดีที่ได้พบท่านเทพแห่งแสงด้วย
เธอเป็นเทพธิดาในแบบที่ผมเคยจินตนาการไว้เลยล่ะ ถึงเธอจะดูเหนื่อยๆ ก็เถอะ…
คลอเร็ตต้าซังจะอยู่คุยกับบาทหลวงที่มหาวิหารต่อ พวกเราจึงตัดสินใจไปที่กิลด์การค้าและกิลด์นักผจญภัยกันก่อน
ระหว่างทางพวกเราก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับมหาวิหารกัน
เมื่อเข้าไปในกิลด์การค้า ผมก็สังเกตเห็นพนักงานสาวหูจิ้งจอกคนหนึ่งที่เคาน์เตอร์ ผมพุ่งไปหาเธอโดยที่ไม่รู้ตัวเลย
“สวัสดีครับ ผมชื่อวาตารุจากอาณาจักรลาติน่า
ผมมีเรื่องจะสอบถามหน่อยครับ ไม่ทราบว่ารบกวนหรือเปล่า?”
“ได้เลยค่ะ มีอะไรให้ฉันช่วยอย่างงั้นเหรอคะ?”
หืม? แผนแนะนำตัวก่อนค่อยถามล้มเหลวเป็นครั้งที่สองแล้วสินะ…
ที่ปาแลร์โม่ไม่มีวัฒนธรรมตอบรับการแนะนำตัวด้วยการแนะนำตัวกลับงั้นเหรอ?
“ผมอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทค้าที่มีชื่อเสียงด้านอาหารที่มีประวัติดีๆ แล้วก็อยากรู้ว่าประเทศนี้มีของอะไรขึ้นชื่อบ้าง”
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าพูดถึงอาหารก็ต้อง บริษัทการคิริอาโก้ค่ะ
ที่นั่นเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง และเป็นธุรกิจที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนค่ะ
มีความมั่นคงและได้รับความไว้วางใจจากชาวเมือง สำหรับของขึ้นชื่อของประเทศนี้
เรามีไวน์กับมะเขือเทศค่ะ โดยเฉพาะไวน์เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ”
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมาก ผมขอแผนที่ไปบริษัทการคิริอาโก้ได้ไหมครับ?”
“ได้เลยค่ะ กรุณารอสักครู่”
หลังจากได้รับแผนที่ พวกเราก็ไปที่กิลด์นักผจญภัย
ที่กิลด์นักผจญภัย จิราโซเล่กำลังรายงานเกี่ยวกับการพำนักอยู่ที่นี่และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสไลม์
ผมเลยเดินดูของในร้านไปพลางๆ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ
ไวน์งั้นเหรอ… ผมเพิ่งเริ่มดื่มเหล้าหลังจากอายุ 20 แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจรสชาติของมันเท่าไหร่
ส่วนใหญ่ผมจะสนุกไปกับบรรยากาศมากกว่าไม่ใช่สนุกไปกับตัวเครื่องดื่ม
ถ้าการเจรจากับบริษัทการค้าคิริอาโก้เป็นไปด้วยดี ผมจะขอให้พวกเขาแนะนำไวน์ดีๆ ให้
แล้วจะซื้อพวกมันติดมือกลับไป… แต่ไวน์น่าจะเหมาะสำหรับพวกผู้ชาย แล้วคามิลล์ซังล่ะ?
ใช่แล้ว! ผมจะให้เธอลองพุดดิ้งกับไอศกรีม และจะให้เธอชมผมตามที่สัญญาไว้…
“วาตารุซัง พวกเราเสร็จแล้วค่ะ มีอะไรต้องทำอีกหรือเปล่าคะ?”
“อ๊ะ ไม่ครับ ไปกันเถอะ”
ตายล่ะ เผลอคิดเพลินไปหน่อย พออลิเซียซังเรียก
ผมก็กลายเป็นจุดสนใจของเหล่านักผจญภัยทันที… รู้สึกเหมือนโดนจ้องจะแทงจากข้างหลังเลยแฮะ
หลังจากออกจากกิลด์นักผจญภัย เรายังพอมีเวลาว่าง จึงตัดสินใจไปเดินตลาดแล้วหาอะไรกินกัน
“ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสไลม์บ้างไหมครับ?”
“ได้ค่ะ แต่ยังไม่แน่ชัด ไว้ค่อยคุยกันตอนเย็นนะคะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
พวกเราเดินวนรอบตลาดและซื้อของที่สนใจจากร้านแผงลอย
มะเขือเทศเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ ผมเลยซื้อซุปมะเขือเทศ, ซอสเนื้อ และแม้แต่ซอสมะเขือเทศมาเก็บไว้เป็นจำนวนมาก
ไม่รู้ทำไม แต่ริมุกลับไปนั่งอยู่บนหัวของคาร์ล่าซัง แล้วก็อ้อนขอของกินจากเธอ
ดูท่าทางเขาจะรู้ดีว่าใครใจดี… แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะเขาน่ารัก
ผมแค่สงสัยเฉยๆ ว่าของกินทั้งหมดที่เขากินไปมันหายไปไหนกันนะ
หลังจากเดินกินจนอิ่ม พวกเราก็ตัดสินใจกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม
พอกลับถึงห้อง ผมก็นั่งเล่นกับริมุ คลอเร็ตต้าซังกลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน พวกเราจึงทานมื้อเย็นด้วยกัน
คลอเร็ตต้าซังดูตื่นเต้นสุดๆ เธอเล่าถึงความงดงามของมหาวิหารด้วยสีหน้าที่สดใส
ผมไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อนเลย… แต่ปัญหาคือหน้าอกของเธอที่กระเด้งไปมานี่สิ มันทำให้ผมเสียสมาธิและฟังเรื่องที่เธอพูดได้ไม่เต็มที่
หลังอาหารเย็น พวกเรามารวมตัวกันที่ห้องของสมาชิกจิราโซเล่เพื่อสรุปข้อมูลที่ได้มากจากกกิลด์นักผจญภัย
“ข้อมูลที่พวกเรารวบรวมมายังคงมีคลุมเครืออยู่เลย แต่สไลม์ที่ใช้เวทมนตร์ได้ว่ากันว่าพบได้ในสถานที่ที่พลังธรรมชาติเข้มข้น
เช่น ภูเขาไฟสำหรับธาตุไฟ หรือทุ่งหญ้าสำหรับธาตุลม”
“ปัญหาคือพวกเราเคยไปมาแล้วหลายที่ แต่ก็ไม่เคยเจอสไลม์ที่ใช้เวทมนตร์ได้นอกจากริมุจังเลย ดังนั้นมันเลยหายากมากๆ”
“งั้นเหรอครับ?”
“ขอโทษด้วยนะครับ”
“ฟุฟุ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะริมุจังน่ารัก โดโรธีกับมารีน่าก็เลยอยากได้สไลม์มาเป็นสัตว์เลี้ยงบ้าง”
ริมุกระโดดไปมาบนหัวของผมอย่างดีใจเมื่อได้ยินว่าตัวเองน่ารัก
“แถวนี้ไม่มีภูเขาไฟเลย แต่มีถ้ำที่มีลมแรงอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 วัน
ว่ากันว่ามีสไลม์อยู่ที่นั่น ถ้าการเจารจาธุรกิจของวาตารุซังเสร็จแล้ว พวกเราลองไปหากันดูดีไหม?”
ทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอของอลิเซียซัง มันไม่ได้ไกลมาก คงไม่มีปัญหา
ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกว่ามีคนดึงเสื้อของผมเบาๆ
“มีอะไรเหรอครับ คาร์ล่าซัง?”
“ฉันอยากกินของหวานค่ะ แล้วก็… วาตารุซัง ไปด้วยกันนะคะ”
“ของหวานน่ะได้อยู่แล้วครับ แต่ที่คุณหมายถึงคือต้องการให้ผมไปที่ถ้ำด้วยอย่างงั้นเหรอครับ?”
“ค่ะ”
ผมแจกพุดดิ้งกับไอศกรีมให้กับทุกคน
“แต่ถ้าผมไป ผมอาจจะเป็นตัวถ่วงพวกคุณก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราจะเป็นคนคุ้มกันคุณเอง”
“อีกอย่างถ้ามีคุณไปด้วย เรื่องอาหารกับที่พักก็จะสะดวกมากขึ้น”
“อย่างนี้นี่เอง… งั้นผมขอคิดก่อนแล้วกันนะครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ พรุ่งนี้มีแผนยังไงบ้างคะ?”
“พรุ่งนี้ผมจะไปที่บริษัทการคิริอาโก้ เพื่อเจรจาธุรกิจ หลังจากนั้นก็จะไปซื้ออุปกรณ์ใหม่”
“โอเคค่ะ ไว้พวกเราค่อยคุยกันอีกที ถ้าคุณจะไปด้วย ก็อย่างที่คาร์ล่าบอก พวกเราจะปกป้องคุณเอง”
“ครับ”
หลังจากพูดคุยกันเสร็จ พวกเราก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
ผมเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า และใช้เวลาสุดโรแมนติกก่อนเข้านอน
จากนั้นก็ ราตรีสวัสดิ์~
MANGA DISCUSSION