ผมมองไปที่ริมุในขณะที่ต้องอดทนไปกับแรงสั่นสะเทือนของรถม้าที่กำลังโยกเยก
ริมุดูจะไม่ได้สนใจกับแรงสั่นสะเทือนของรถม้าเลย แถมยังกระโดดขึ้นลงไปมาอยู่ในรถม้าอย่างร่าเริงอีก
ภาพที่เขาเล่นกับโดโรธีซังและมารีน่าซัง ช่างน่ารักจริง ๆ
เขากระโดดไปหามารีน่าซัง แล้วกระโดดกลับไปหาโดโรธีซังอีกครั้ง ดูเหมือนจะกำลังเล่นส่งต่อกันอยู่
พวกเรายังคงเดินทางต่อไปด้วยรถม้าจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน
โดยมีการหยุดพักบ้างระหว่างทาง เนื่องจากนี่เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างเบอร์กาโม่กับบาร์เล็ตต้า
จึงมักมีลานกว้าง หมู่บ้าน และจุดแวะพักต่างๆ อยู่ตลอดทั้งทาง คืนนี้ที่ที่เราจะแวะพักคือลานกว้าง
พวกเราไปตั้งแคมป์ในบริเวณที่เงียบสงบของลานกว้าง ก่อกองไฟ และเตรียมอาหารค่ำจากเสบียงในเรือเก็บอาหาร
“ฟุฟุ สกิลของวาตารุซังนี่น่าทึ่งจริงๆ นะคะ”
“ดีจริงๆ ที่พวกเราสามารถทานอาหารดีๆ กันได้ทั้งที่บนรถม้าและในแคมป์”
“ฮ่าๆ อย่างงั้นเหรอครับ”
“วาตารุซัง ฉันอยากกินของหวานค่ะ พอจะมีไหมคะ?”
“มีสิครับ จะเอาเป็นพุดดิ้งหรือว่าไอศกรีมดีครับ?”
“อืม… วันนี้ฉันขอเป็นไอศกรีมแล้วกันค่ะ”
ผมยื่นไอศกรีมไปให้คาร์ล่าซัง แล้วก็แจกจ่ายพุดดิ้งและไอศกรีมให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ตามที่พวกเธอเลือก
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเราก็มาจัดเวรยามกันโดยดื่มชาระหว่างที่กำลังพูดคุยกันไปด้วย
ผมสู้ไม่เป็นเลยได้รับการยกเว้นจากการเฝ้ายาม
“อ๊ะ มีเรือกระท่อมให้พวกเรานอนได้อยู่นิ”
“เรือกระท่อมอย่างงั้นเหรอคะ?”
“ใช่ครับ เดี๋ยวผมจะเรียกมันออกมาให้ดู”
ผมอัญเชิญเรือกระท่อมสามลำออกมาไว้ข้างหลังเงาของรถม้า
“นี่คือเรือกระท่อมอย่างงั้นเหรอคะ? มันดูน่ารักดีนะคะเนี่ย!”
“เหรอครับ? ผมไม่รู้ว่ามันน่ารักหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือมันสะดวกสบายมากๆ เลย”
“ขอฉันดูข้างในหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้สิครับ… อ๊ะ เดี๋ยวก่อน อลิเซียซัง คุณต้องได้รับอนุญาตจากผมก่อนถึงจะเข้าไปได้”
“ต้องได้รับอนุญาตด้วยเหรอคะ?”
“ใช่ครับ เรือที่ผมอัญเชิญออกมาจะต้องได้รับอนุญาตก่อนถึงจะเข้าไปข้างในได้ ผมยังไม่ได้บอกคุณเหรอครับ?”
“ค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินอะไรแบบนี้เลย ก่อนหน้านี้คุณเคยทำแบบนี้ด้วยเหรอคะ?”
“เอ๋ ผมก็เคยทำนะ… อ๊ะ เพราะผมอยู่กับคุณตอนคุณเข้าออกเรือตลอดผมเลยเผลออนุญาตไปเพราะความเคยชิน”
“แต่จริงๆ แล้วเวลาขึ้นเรือคุณจะต้องได้รับอนุญาตจากผมก่อนถึงจะสามารถขึ้นเรือได้…”
“อ๊ะ แต่ถ้าจะลงจากเรือสามารถทำได้เลยครับ”
“อย่างงั้นเหรอคะ! ฉันขอลองเข้าไปแบบยังไม่ได้อนุญาตดูหน่อยได้ไหมคะ?”
“อ๊ะ ว่าแต่มันจะเป็นอันตรายรึเปล่า?”
“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นอันตรายนะครับ เพราะมันมีแค่บาเรียป้องกันเฉยๆ”
“งั้นฉันขอลองดูหน่อยนะคะ”
“ตามสบายเลยครับ”
อลิเซียซังค่อยๆ เอามือเข้าไปใกล้เรือกระท่อมจากนั้น…
“ว้าว สุดยอด ฉันแตะต้องมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“นี่เป็นบาเรียแบบเดียวกันกับที่สามารถป้องกันลมหายใจของมังกรได้ใช่ไหมคะ?”
ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณครับ อลิเซียซัง
มันคงจะเชื่อได้ยากที่เรือกระท่อมเก่าๆ แบบนี้จะมีบาเรียที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น
“ใช่ครับ…งั้นเราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”
“ค่ะ ไปกันเลย”
ผมอนุญาตให้เธอขึ้นเรือจากนั้นเราก็เข้าไปดูข้างใน
“ข้างในมีตะเกียง โต๊ะเล็กๆ ชั้นวางของ เตา แล้วก็อุปกรณ์ชงชา…วาตารุซังพูดถูก มันดูน่าอยู่มากเลย น่าทึ่งสุดๆ”
“อืม ฉันชอบมัน มันกว้างพอสำหรับนอนพักเลยล่ะ”
หลังจากนั้นสาวๆ ก็ผลัดกันเข้าไปสำรวจในเรือและตกลงว่าจะใช้มันสำหรับการค้างแรมคืนนี้
แม้ผมจะไม่ต้องมาเข้าเวร แต่เวลามีคนมาเปลี่ยนเวร
ผมต้องตื่นขึ้นมาเพื่อให้พวกเธอสามารถกลับเข้าไปในเรือกระท่อมได้
มันลำบากตรงที่ต้องตื่นบ่อยๆ นี่แหละ
…พอตื่นขึ้นมาผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองนอนได้ไม่เต็มอิ่มเลย
อาจเพราะต้องตื่นเป็นระยะๆ อีกอย่างไอเนสกับเฟลิเซียต้องไปอยู่เวรกันด้วย ผมเลยรู้สึกเหงานิดหน่อย
ผมออกไปข้างนอกเพื่อเก็บเรือกระท่อม และเดินไปหาไอเนสกับเฟลิเซีย แต่พบว่ามีแค่คลอเร็ตตาซังเท่านั้นที่ตื่นขึ้นมา
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”
“””อรุณสวัสดิ์ค่ะ”””
“ผมจะเตรียมอาหารเช้าให้นะครับ”
“ค่ะ ฝากด้วยนะคะ ฉันจะไปปลุกทุกคน”
ผมหยิบอาหารเช้าออกมาจากเรือเก็บอาหาร
และร่วมทานมื้อเช้ากับทุกคนที่ตื่นแล้ว
หลังจากเก็บเรือกระท่อมเสร็จ
ผมก็อัญเชิญเรือยางออกมาและผูกมันไว้กับรถม้า
“ออกเดินทางกันเถอะ”
“””””””ค่ะ”””””””
พวกเรานั่งรถม้าโดยแบ่งเป็นกลุ่มแบบเดียวกับเมื่อวานจากนั้นก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ
ตอนนี้ผมเริ่มชินกับแรงสั่นสะเทือนของรถม้าแล้ว และสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ตามปกติ
พวกเรามีกำหนดการไปถึงจุดหมายปลายทางในช่วงเย็นของวันพรุ่งนี้ ดังนั้นทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดี
ระหว่างเดินทาง ผมเล่นกับริมุ คุยเรื่องสไลม์กับโดโรธีซังและมารีน่าซังอย่างจริงจัง
และยังใช้เวลาคุณภาพร่วมกับไอเนสและเฟลิเซีย วางแผนเรื่องอุปกรณ์ใหม่ที่พวกเราจะซื้อที่เมืองหลวง
หลังอาหารกลางวัน มารีน่าซังก็มาพูดกับผม…
“นี่ วาตารุซัง ฉันรู้สึกเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของริมุจังขึ้นมาหน่อยๆ แล้วล่ะค่ะ…”
“มารีน่าก็ด้วยเหรอ? ฉันเองก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่ริมุจังพูดแล้วเหมือนกัน”
“หรือว่าทั้งสองคนจะได้สกิล ฝึกสัตว์ มาแล้วหรือเปล่าครับ?”
ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ พวกเธออาจกำลังตรวจสอบสถานะของตัวเองอยู่
แต่ทำไมทั้งสองคนถึงได้รับสกิลนี้พร้อมกันได้ล่ะ?
“ฉันมีสกิลฝึกแล้วค่ะ”
“ฉันก็มีเหมือนกัน”
“โอ้! ยินดีด้วยนะครับ”
“”ขอบคุณค่ะ วาตารุซัง””
ไอเนสกับเฟลิเซียโผล่หน้าจากที่นั่งคนขับด้วยความสงสัย
จากนั้นทั้งสองคนก็บอกว่าพวกเธอได้รับสกิลฝึกมาแล้ว
ทั้งสองคนจึงมาแสดงความยินดีด้วย
หลังจากที่วุ่นวายกันอยู่สักพัก พวกเราก็เริ่มวิเคราะห์ว่าทำไมพวกเธอถึงได้รับสกิลนี้
“อืม… ไอเนสกับเฟลิเซียอยู่กับริมุมานานกว่าพวกคุณทั้งสองคนอีก
แต่พวกเธอกลับไม่ได้รับสกิลฝึกมา ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนก็รักริมุมากเหมือนกัน”
“ความแตกต่างระหว่างไอเนส เฟลิเซีย กับพวกเราคือ…
ฉันกับมารีน่าชอบสไลม์มาก และพวกเราก็เล่นกับพวกมันในป่าบ่อยๆ”
“บางที ‘ความชอบ’ ในเผ่าพันธุ์อาจเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งก็ได้นะครับ
และในเมื่อพวกคุณได้สกิลมาพร้อมกัน เวลาที่ใช้ร่วมกับก็อาจจะมีผลด้วย”
“จริงสิ ฉันกับมารีน่าใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการเล่นกับสไลม์
แถมเรายังเล่นกับริมุจังด้วยกันอีก บางทีระยะเวลาที่สัมผัสกับพวกมันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
“ก็คงได้แค่วิเคราะห์กันเท่านี้ล่ะครับ”
“แล้วพวกคุณจะไปหาสไลม์มาเลี้ยงกันมั้ยครับ?”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ!”
“ฉันก็ด้วย!”
“แต่ปัญหาตอนนี้คือ เราจะไปจับสไลม์แบบไหนมาเลี้ยงดีค่ะ?”
“จริงๆ เราจะไปจับสไลม์ธรรมดาๆ มาก็ได้อยู่หรอก
แต่เพราะพวกเราเป็นนักผจญภัย เราอาจจะต้องพามันไปในสถานที่ๆ อันตรายด้วยกัน
ดังนั้นแล้ว…อย่างน้อยมันปกป้องตัวเองได้”
“ฉันเลยอยากหาสไลม์ที่ใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับริมุจังค่ะ เพราะมีโอกาสสูงที่เราจะต้องต่อสู้ร่วมกัน”
“ฉันเองก็อยากได้สไลม์ที่ใช้เวทลมกับเวทความมืดได้เหมือนกันค่ะ”
“ก็จริง พวกคุณเป็นนักผจญภัยแรงค์ A ยังไงก็คงหลีกเลี่ยงการไปสถานที่ๆ มันอันตรายไม่ได้อยู่แล้ว การมีสกิลพิเศษย่อมดีกว่า”
“ใช่ค่ะ มารีน่ามีสกิลสอดแนม ดังนั้นเวทลมกับเวทความมืดน่าจะเป็นประโยชน์
ส่วนฉันอยู่แนวหน้า ถ้ามีสไลม์ที่ยิงเวทจากไหล่ของฉันได้ก็น่าจะดี… เวทไฟดีไหมนะ?”
“งั้นทางที่ดีเราควรไปหาข้อมูลจากกิลด์นักผจญภัยกันก่อนครับ แล้วค่อยออกไปตามหาสไลม์ที่เราต้องการ
พอจะจำได้ไหมครับ ว่าบนเกาะที่เราพบริมุมีสไลม์ตัวอื่นที่ใช้เวทได้หรือเปล่า?”
“ฉันไม่เคยเห็นสไลม์พิเศษตัวอื่นบนเกาะเลย นอกจากริมุจัง”
“งั้นลองไปถามข้อมูลที่กิลด์นักผจญภัยกันเถอะครับ ที่นั่นน่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าเชื่อถือที่สุด”
“อีกอย่างผมล่ะตื่นเต้นจริงๆ ที่ริมุจะได้มีเพื่อนเพิ่มแล้ว”
“เพื่อนเหอรคะ?”
“ครับ โดโรธีซังกับมารีน่าซังได้สกิลฝึกสัตว์มาแล้ว แปลว่าริมุน่าจะได้เพื่อนเพิ่มขึ้น ดังนั้นผมจึงตั้งตารอมันมากๆ เลยล่ะ”
“ฉันก็ตั้งตารอเหมือนกันค่ะ”
“ฟุฟุ ริมุจังบอกว่าเขาก็ตื่นเต้นเหมือนกัน มันดีจังเลยที่เข้าใจภาษาของเขา”
“ฉันก็เข้าใจเหมือนกัน”
ในขณะที่พวกเราคุยกันอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับการเลือกสไลม์ที่จะไปจับนั้น เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงพัก
พอหยุดรถม้า โดโรธีซังกับมารีน่าซังก็ไปแจ้งข่าวดีกับสมาชิกคนอื่นๆ ว่าพวกเธอได้สกิลฝึกสัตว์มาแล้ว
ทุกคนต่างส่งเสียงแสดงความยินดี พวกเราก็ร่วมแสดงความยินดีอีกครั้ง
แล้วพูดคุยกันเรื่องการไปหาข้อมูลเกี่ยวกับสไลม์พิเศษกันที่กิลด์นักผจญภัย
หลังจากไปเยี่ยมมหาวิหาร จากนั้นก็วางแผนเรื่องการฝึกสไลม์
พวกเราสรุปแนวทางคร่าวๆ และตัดสินใจคุยกันอีกครั้งในตอนกลางคืน
พวกเราออกเดินทางกันต่อ ในรถม้าโดโรธีซังกับมารีน่าซังคุยกับริมุอย่างเพลิดเพลินและรู้สึกดีใจที่ได้รับคำตอบจากเขา
ก่อนพลบค่ำ พวกเราก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และเข้าพักที่โรงแรม
แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่โรงแรมกลับใหญ่โตและหรูหรา
ผมเลยลองไปถามดูว่าทำไม ก็ได้คำตอบว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองท่า
จึงทำให้มีผู้คนที่จะเดินทางไปที่เมืองหลวงหรือเมืองท่ามาพักที่นี่เป็นจำนวนมาก
แต่ถึงจะมีคนมาพักเยอะ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน
พวกเขาส่วนใหญ่มักจะออกเดินทางต่อไปที่เมืองหลวงหรือเมืองท่าเบอร์กาโม่ในทันที
หมู่บ้านเลยยังคงมีขนาดเล็กอยู่… ช่างเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนจริงๆ
หลังอาหารค่ำ พวกเราก็มารวมตัวกันในห้องเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการเดินทาง
“พวกเราจะไปถึงเมืองหลวงในช่วงเย็นของวันพรุ่งนี้ เราจะพักที่นั่นหนึ่งคืน แล้วจะไปที่มหาวิหารพร้อมกับทุกคน
ส่วนคลอเร็ตตาจะไปที่มหาวิหารแยกต่างหากอีกหนึ่งวัน ส่วนหน้าที่ของพวกเราในวันนั้นคือคุ้มกันวาตารุซัง
และเที่ยวชมเมืองไปด้วยในตัว นอกจากนี้พวกเราอยากจะไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสไลม์ที่กิลด์นักผจญภัยด้วย
และถ้าหากมีโอกาสจะออกไปหาสไลม์พิเศษกัน”
“พวกผมต้องไปซื้ออุปกรณ์ใหม่ ขายพริกไทย จากนั้นก็ว่าจะไปเที่ยวชมเมือง
เราสามารถอยู่ที่นี่ได้ประมาณหนึ่งเดือน ซึ่งเวลาขนาดนั้นผมว่าน่าจะโอเค”
“งั้นก็น่าจะมีเวลาพอสมควรเลยสินะคะ เราควรไปรวบรวมข้อมูลเพิ่มอีกหน่อยดีไหมคะ?”
พวกเราพูดคุยกันอีกเล็กน้อย จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับห้อง
ผมรู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางด้วยรถม้า พอใช้เวลาไปกับการสวีท กับไอเนสและเฟลิเซียเล็กน้อย ผมก็เผลอหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทำกิจวัตรยามเช้ากับไอเนสและเฟลิเซีย
ผมก็ตรงไปที่ห้องอาหาร ทักทายสมาชิกจิราโซเล่ รับประทานอาหารเช้า
จากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ
การเดินทางในรถม้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีเหตุการณ์พิเศษอะไรเกิดขึ้น…
แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เราจะโดนมอนสเตอร์หรือโจรดักโจมตีบ้างหรือเปล่า?
ผมไม่ได้อยากให้โดนโจมตีหรอก แต่ในโลกที่อารยธรรมยังไม่พัฒนาและมีมอนสเตอร์อยู่เต็มไปหมดแบบนี้
การเดินทางโดยไม่ถูกโจมตีเลยแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติจริงๆ เหรอ?
“โดโรธีซัง พวกเราเดินทางกันมาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่ถูกโจมตีเลย แบบนี่มันปกติรึเปล่าครับ?”
“ก็ขึ้นอยู่กับเส้นทางค่ะ ที่นี่เป็นเส้นทางสายหลักที่เชื่อมระหว่างเมืองหลวงกับเมืองท่า
จึงมีการกำจัดมอนสเตอร์และโจรอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกมันแทบไม่โผล่มาเลย
แต่ถ้าเป็นเขตชายแดนหรือพื้นที่ที่ขุนนางปกครองแย่ๆ มอนสเตอร์กับโจรจะเยอะกว่านี้”
“งั้นเหรอครับ…”
เส้นทางสายหลักได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยอย่างดีสินะ…ผมก็คิดมาตลอดว่าการเดินทางต้องมีการถูกโจมตีบ้าง
เพราะพวกเรามักจะถูกมอนสเตอร์เข้ามาโจมตีบ่อยๆ ตอนเดินทางในทะเล ผมเลยคิดว่าบนบกก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ตามการสนทนาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการปักธงอะไร
พวกเรามาถึงเมืองหลวงบาร์เล็ตต้าได้อย่างปลอดภัยตามกำหนด
ผมยื่นบัตรกิลด์ให้กับทหารยามที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูเพื่อขอผ่านเข้าเมือง
เมื่อเข้ามาผมก็เห็นอาคารขนาดใหญ่ตั้งตระหว่างอยู่ ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นปราสาท
แต่จริงๆ แล้วมันคือมหาวิหาร ก็สมเหตุสมผลอยู่
เพราะผมได้ยินมาว่าพระสันตะปาปาซึ่งเป็นบุคคลทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้อาศัยอยู่ที่นั่น
ถ้ามองจากมุมนี้ก็อาจเรียกว่าปราสาทได้เหมือนกัน คลอเร็ตตาซังมองมันด้วยสายตาเป็นประกาย…เธอช่างน่ารักจริงๆ
“เฮ้อ…พวกเรามาถึงกันได้อย่างปลอดภัยแล้วสินะครับ”
“ขอแวะไปที่กิลด์การค้า เพื่อคืนรถม้าก่อนนะครับ แล้วผมจะขอให้พวกเขาแนะนำโรงแรมดีๆ ให้ด้วย”
“ค่ะ ว่าแต่จะไม่ไปคุยเรื่องธุรกิจด้วยเลยเหรอคะ?”
“ยังครับ เพราะตอนนี้คนน่าจะเยอะ”
“อีกอย่างผมอยากมาคุยตอนที่มีเวลามากกว่านี้ด้วย”
“อเลสเซียซังกับคนอื่นๆ ต้องไปที่กิลด์นักผจญภัยกันใช่ไหมครับ?”
“พวกเราไปพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ งั้นเราไปที่กิลด์การค้ากันเถอะ”
จากนั้นไม่นานพวกเราก็มาถึงกิลด์การค้า
ผมนำรถม้ามาคืนที่จุดรับรถจากนั้นก็ได้รับป้ายรับรองว่าสภาพของรถม้าไม่มีปัญหา
จากนั้นก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ มีคนจำนวนมากกำลังต่อแถวกันอยู่ท
คงเพราะช่วงเวลานี้มีนักเดินทางมาถึงที่เมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ผมจึงตัดสินใจจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
หลังจากรอคิวอยู่สักพัก ผมก็ได้รับการต้อนรับจากพนักงานสาวสวยเผ่ามนุษย์
“ขอโทษนะครับ ผมมาจากเบอร์กาโม ผมต้องการนำรถม้ามาคืนครับ
แล้วก็ขอให้ช่วยแนะนำโรงแรมที่มีอาหารอร่อยๆ และอยู่ในระดับกลางขึ้นไปให้ทีครับ”
“ได้เลยค่ะ ฉันตรวจสอบแล้ว รถม้าอยู่ในสภาพดีและคืนตรงเวลา
เราจะคืนเงินมัดจำ จำนวน 4 เหรียญทอง ให้ค่ะ สำหรับโรงแรม…
ฉันขอแนะนำเป็น ‘โรงแรมโซเลน’ ค่ะ
ที่นั่นมีชื่อเสียงเรื่องอาหารอร่อย แต่ราคาจะสูงกว่าที่พักระดับกลางอื่นๆ เล็กน้อยค่ะ
หากคุณต้องการ ฉันสามารถเขียนแผนที่ให้ได้”
“รบกวนเขียนแผนที่ให้ด้วยครับ”
หลังจากได้รับแผนที่ ผมก็ออกจากกิลด์การค้าและมุ่งหน้าไปยังโรงแรม
“ยินดีต้อนรับค่ะ ต้องการพักค้างคืนใช่ไหมคะ?”
“ใช่ครับ ขอเป็นห้องสำหรับ 4 คน 3 ห้องพอจะได้ไหมครับ?”
“ได้ค่ะ ค่าห้องพักหนึ่งคืนรวมอาหารและน้ำอุ่นอยู่ที่ 5 เหรียญเงินต่อห้องค่ะ โอเคไหมคะ?”
หลังจากถามอลิเซียซัง เธอก็บอกมาว่าไม่มีปัญหา
ผมเลยตัดสินใจจ่ายล่วงหน้าสำหรับ 10 วัน… นั่นเท่ากับ 500,000 เยนญี่ปุ่นเลยนะ
ราคานี้มันบ้าไปแล้ว… หรือเพราะเป็นห้อง 4 คนต? แล้วถ้ามีคนเพิ่ม ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกไหมนะ?
อลิเซียซังกับคนอื่นๆ จ่ายไปเงินไป 1 เหรียญทองสำหรับค่าที่พัก 10 วัน…
ค่าโรงแรมแค่ระดับกลางยังแพงขนาดนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าระดับสูงจะแพงถึงขนาดไหน
1 เหรียญทอง นี่มันเท่ากับ 1 ล้านเยนเลยนะ นี่พวกเธอจ่ายกันง่ายๆ ขนาดนี้เลยเหรอ? คนรวยนี่สุดยอดจริงๆ
หลังจากถูกพาไปที่ห้อง ผมก็พักผ่อนเล็กน้อยก่อนจะลงไปที่ห้องอาหาร
สมาชิกจิราโซเล่ก็มารอกันพร้อมแล้ว
“ขอโทษที่ให้รอนะครับ”
“พวกเราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกันค่ะ จะสั่งอาหารเลยไหมคะ?”
พวกเราถามพนักงานเสิร์ฟว่าอาหารแนะนำของที่นี่คืออะไร
เธอก็บอกว่าอาหารแนะนำของที่คืออาหารที่ทำมาจากมะเขือเทศและไวน์
ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของประเทศนี้ ศาสนา ไวน์ และ มะเขือเทศ… อิตาลีงั้นเหรอ?
แต่ถ้าจำไม่ผิดมะเขือเทศไม่ได้มีต้นกำเนิดจากอิตาลีนี่นา…
ผมลองสั่งเมนูแนะนำ และก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าพวกเขามีซอสมะเขือเทศ
แถมยังมีใบโหระพาด้วย ฉันดีใจจริงๆ ในที่สุดผมก็หาพวกมันเจอแล้ว
ไว้ตอนกลับ ผมจะซื้อตุนเอาไว้เยอะๆ
พาสต้าที่พวกเราสั่งซอสทำมาจากเนื้อวัวที่เคี่ยวรวมกับ หอมใหญ่ มะเขือเทศ และไวน์แดง
มันคล้ายกับซอสรากูร์ของอิตาลีเลย ถ้าวัตถุดิบคล้ายกัน อาหารก็ต้องคล้ายกันสินะ?
ผมชอบมันมากๆ เลย เพราะมันดูเหมือนอาหารอิตาเลียนที่ผมเคยกินที่โลก น่าเสียดายที่โรงแรมนี้ไม่มีชีส
ทั้งๆ ที่มีชีส ทำไมคนที่นี่ถึงยังกับกับแค่ของหมักดองกันอยู่นะ?
นี่อาจเป็นโอกาสให้ผมโชว์ฝีมือโกงด้านอาหารอีกหรือเปล่า?
แต่ผมก็เคยสอนวิธีทำพิซซ่าไปแล้ว และที่นี่ก็ไม่มีข้าวสำหรับทำโดเรียด้วย
…บางทีผมอาจจะทำกราแตงได้? หรือจะลองลาซานญ่าดูดีนะ?
ผมไม่ควรคิดมากเกินไป… อ๊ะ ที่นี่มีไวน์ขาวด้วย ถ้าอย่างนั้นผมจะลองทำชีสฟองดูว์ดู
น่าจะสนุกและดูหรูหรา ไว้ลองทำคราวหน้าแล้วกัน
เอาล่ะ คราวนี้มาลองไปคุยกับพ่อครัวของโรงแรมนี้ดูดีกว่า
เผื่อจะพัฒนาเมนูที่ใช้ชีสได้บ้าง ผมจะตั้งตารอเลยล่ะ
หลังจากนั้น ผมก็กลับไปห้องและใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว
“เห้อ…อยากอาบน้ำจังเลย”
“ฉันก็อยากเหมือยกัยค่ะ นายท่าน พอจะทำอะไรได้ไหมคะ?”
“อืม…ถ้าหาที่ลับๆ ตาหน่อย ผมก็น่าจะสามารถอัญเชิญอ่างอาบน้ำออกมาได้”
“แต่คงจะทำที่โรงแรมนี้ไม่ได้แน่ๆ”
“น้ำจะหกเต็มไปหมด แล้วเราก็อาจจะมีปัญหากับโรงแรมได้”
“นั่นสินะ เอาไว้ถ้าเจอสถานที่เหมาะๆ เราค่อยไปแช่น้ำกัน”
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละค่ะ”
หลังจากเล่นกับริมุสักพัก และใช้เวลาสวีทกับไอเนสและเฟลิเซียเล็กน้อย ผมก็เข้านอน
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่น
หลังทำกิจวัตรยามเช้า และเตรียมตัวพร้อมแล้ว ผมก็ลงไปที่ห้องอาหาร
ผมทักทายสมาชิกจิราโซเล่ และพูดคุยเกี่ยวกับแผนการของวันนี้ระหว่างรับประทานอาหารเช้า
…คลอเร็ตตาซังดูจะมีความสุขสุดๆ คงเพราะเธอจะได้ไปมหาวิหารแล้วแน่ๆ
วันนี้พวกเราจะไปสวดภาวนากันที่มหาวิหาร จากนั้นจะแวะไปที่กิลด์การค้าและกิลด์นักผจญภัย
แล้วอาจจะได้ไปเที่ยวชมเมืองต่อด้วยถ้าเวลาเหลือ
เอาล่ะ ดูเหมือนเวลาที่จะได้สวดภาวนาต่อท่านผู้สร้างอย่างจริงๆ จังๆ จะมาถึงแล้ว…
MANGA DISCUSSION