ในเช้าวันออกเดินทาง ผมรีบตื่นขึ้นมาเตรียมตัวด้วยความกระตือรือร้นแบบสุดขีด
เพื่อที่จะได้เตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการมาถึงของเหล่าจิราโซเล่
“ฟุฟุฟุ นายท่าน ถ้าตื่นเต้นเกินไป ระวังจะถูกจับไต๋ได้นะคะ”
“ฉันว่านายท่านทำตัวตามปกติน่าจะดีกว่านะคะ”
“เอ๋? พวกเธอรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังตื่นเต้น?”
“ก็ดวงตาของท่านมัน…ดูจริงจังมากๆ เลยค่ะ”
“แล้วนายท่านก็หายใจแรงด้วย”
“จ-จริงเหรอ!…ต้องสงบสติอารมณ์ลงหน่อยแล้ว…ฟู่”
การเดินทางร่วมกับจิราโซเล่… มันช่วยให่ใจเต้นจริงๆ …
อ๊ะ ไม่สิ ต้องใจเย็นๆ เข้าไว้
ถ้าผมปล่อยให้ตัวเองคึกคักเกินไปจนหลุดการควบคุมล่ะก็
ผมอาจจะถูกพวกเธอปฏิเสธก็ได้
ดังนั้นต้อง ใจเย็นๆ… ใจเย็นๆ… ใจเย็นๆ เข้าไว้…
ใช่แล้ว มันต้องใช้พลังใจอย่างมากในการกดข่มความต้องการของตัวเองเอาไว้
ชายหนุ่มจืดจางกับเหล่าสาวงามที่เปล่งประกาย
พวกเธอเปรียบได้ดั่งดวงดาราและจันทราที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า ส่วนตัวผมก็คงเป็น
ได้แค่หิ่งห้อยตัวน้อยที่คอยแต่แหงนมองจันทร์เท่านั้น
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาแทบทุกมี…แต่ถ้าผมไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้เอาไว้
ผมอาจจะต้องมีจุดจบเหมือนกับพนักงานโรงแรมคนนั้นเลยก็ได้
ดังนั้นผมจะต้องระวังเรื่องนี้เอาไว้ให้มากๆ
“ฟู่… ตอนนี้ผมว่าผมสงบใจลงได้แล้วล่ะ ขอบคุณนะทั้ง 2 คน”
“ดูเหมือนว่าความกระตือรือล้นของนายท่านจะหายไปเยอะเลยนะ…ไหวไหมคะเนี่ย?”
“ฮะๆ ไม่เป็นไรๆ ผมก็แค่ได้รู้ถึงรสชาติของความจริงเข้าหน่อยเท่านั้นเอง”
ผมรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่พอได้กอดริมุมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเป็นร้อยเท่าเลย
“จริงเหรอคะ?”
“จริงสิ เอาล่ะ อีกไม่นานจะถึงเวลานัดแล้ว
พวกเราออกไปรอพวกเธอกันข้างนอกน่าจะดีกว่า
“”ค่ะ””
หลังจากรออยู่ข้างนอกสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน”
“”””””อรุณสวัสดิ์ค่ะ””””””
“เอาล่ะครับ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้วพวกเราก็ขึ้นเรือกันเถอะ”
เราทักทายกันแค่พอตามมารยาท แล้วผมก็อนุญาตให้พวกเธอขึ้นเรือ
“พวกเราจะออกเดินทางกันเลยไหมครับ?”
“ได้เลยค่ะ ต้องขอขอบคุณอีกครั้งจริงๆ นะคะ วาตารุซัง”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นเราออกเดินทางกันเลยนะครับ”
ผมขึ้นไปที่ห้องคนขับจากนั้นก็เริ่มออกเดินทาง…
หือ? ผมใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติไม่ได้นิ เพราะมันเป็นการเดินทางไปยังสถานที่ใหม่…
แบบนี้ก็หมายความว่า เวลาที่จะได้ใช้ร่วมกันกับเหล่าจิราโซเล่ของผมมัน…
อึก…จู่ๆ พลังมันก็หายไปหมดเลย ผมคึกเกินไปจนลืมไปว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนี้
ผมได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังแว่วๆ มาจากทางห้องนั่งเล่น
อึก…แบบนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหงาขึ้นไปอีก…
หลังจากขับเรือไปได้สักพัก ไอเนสกับเฟลิเซียก็ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนตัว
ผมดีใจที่เคยสอนให้พวกเธอสามารถขับเรือได้
ผมกำลังจะไปที่ห้องนั่งเล่น แต่ก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้…
“อ้อ ไอเนส ถ้าเกิดถูกมอนสเตอร์โจมตี ผมจะเป็นคนอธิบายเรื่องเรือลำนี้ให้กับ
เหล่าจิราโซเล่ฟังเองนะ เพราะฉะนั้นห้ามเล่นเกมหลบหนีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเด็ดขาด
เธอจะต้องลงมารายงานผมให้เรียบร้อยเสียก่อน”
ผมมองไปที่ไอเนส เธอเบือนสายตาหนีเล็กน้อยในขณะที่ตอบผมกลับมา
เห้อ…นึกไว้แล้วต้องเป็นแบบนี้ ดีนะที่ผมสังเกตเห็นเรื่องนี้ก่อน
พอออกมาถึงทะเลเปิดทีไร พวกเธอก็มักขอเข้ามาผลัดเวรแทบจะในทันที แบบนี้ต้องตั้งใจกันแน่ๆ
พวกเธอต้องวางแผนทำให้เหล่าสมาชิกของจิราโซเล่ตกใจกันแน่ๆ
ด้วยการเล่นเกมหลบหนีกลางทะเลกับเหล่ามอนสเตอร์อย่างกะทันหัน
“เฟลิเซีย ถ้าไอเนสเริ่มคุมตัวเองไม่อยู่ ช่วยหยุดเธอด้วยนะ”
“ค่ะ นายท่าน”
พอมีเฟลิเซียอยู่ด้วยแบบนี้ ผมก็รู้สึกเบาใจขึ้น เพราะเฟลิเซียเป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้
การที่ผมฝากไอเนสไว้กับเธอ ต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน…
“งั้นก็ ฝากด้วยนะ เฟลิเซีย”
“”ค่ะ””
ไอเนสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่… ผมเริ่มรู้สึกกลัวนิดๆ แล้วสิ
จากนั้นผมก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น…
“ทุกคนเป็นยังไงกันบ้างครับ มีอะไรที่ไม่สะดวกกันหรือเปล่า?”
“เหนื่อยหน่อยนะคะ วาตารุงซัง ทุกอย่างสะดวกสบายมากค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“อ๊ะ อลิเซียซัง สนใจให้ผมอธิบายแผนการเดินทางไปปาแลร์โม่ให้ฟังไหมครับ?”
“ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
“โอเคครับ ถ้างั้นผมขอเริ่มอธิบายเลยนะครับ”
“พวกเราจะเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน
โดยจะหยุดเฉพาะช่วงที่พักทานอาหารและหยุดเพื่อพักผ่อนเท่านั้น
โดยเรามีกำหนดที่จะเดินทางถึงจุดหมายภายในเวลา 17 วัน
เราจะเดินทางผ่านทะเลเปิด โดยหลีกเลี่ยงเส้นทางที่เลียบตามชายฝั่ง เพื่อหลีกเลี่ยงด่านตรวจ…”
“เอ่อ…วาตารุซัง ฉันขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้ครับ โดโรธีซัง”
“ถึงด่านตรวจจะน่ารำคาญ แต่ฉันไม่คิดว่าการเลือกเส้นทางที่เสี่ยงต่อการถูกมอนสเตอร์โจมตีอย่างการเดินทางผ่านทะเลเปิด
จะเป็นความคิดที่ดีหรอกนะคะ เพราะถ้าโชคร้ายเราอาจจะเสียชีวิตกันหมดก็ได้
อีกอย่างการใช้เส้นทางเลียบตามชายฝั่งก็ใช่ว่าจะเจอกับด่านตรวจเสมอไป…”
“ครับ โดยปกติก็คงต้องเป็นแบบนั้น แต่เรือลำนี้มีบาเรียปกป้องอยู่ครับ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีจากมอนสเตอร์แบบไหน
ก็ไม่สามารถทำอันตรายเรือลำนี้ได้ ดังนั้นการต้องไปผ่านด่านตรวจจึงเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าครับ
อีกอย่างบาเรียของเรือลำนี้ก็แข็งแกร่งมากถึงขนาดที่สามารถสะท้อนลมหายใจของมังกรได้อย่างสบายๆ
ดังนั้นแล้วแค่การโจมตีของซีเซอร์เพนท์ไม่สามารถทำอะไรเรือลำนี้ได้อย่างแน่นอนครับ”
“อย่างนั้นเหรอค่ะ? มันเป็นสกิลเฉพาะตัว ดังนั้นก็น่าเป็นไปได้… แต่มันก็ยังเชื่อยากอยู่ดี…”
“อืม…ผมก็พอเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ
เอาเป็นว่ารอให้ถึงเวลาที่เราถูกมอนสเตอร์โจมตี แล้วคุณเห็นจะเห็นเองครับ
ดังนั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้น ผมขอให้พวกคุณเชื่อใจผม”
“อ่า…คุณเคยประสบความสำเร็จในการค้าพริกไทยถึงสองครั้ง…
ฉันก็ไม่ได้สงสัยอะไรคุณหรอกนะคะ แค่ยังนึกภาพไม่ออกเท่านั้นเอง ขอโทษด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องคิดมาก จริงๆ ตอนแรกผมเองก็กังวลเรื่องการถูกโจมตีเหมือนกัน
เพราะตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าบาเรียมันทำงานยังไง เพราะงั้นไว้พวกคุณเห็นด้วยตาตัวเองแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมาก แต่…เอ่อ วาตารุซัง คุณจะไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันหน่อยเหรอคะ?”
“ไม่ครับ การใส่อุปกรณ์ป้องกันมันค่อนข้างอึดอัด ดังนั้นถ้าพวกคุณตรวจสอบจนมั่นใจแล้วจะถอดอุปกรณ์ป้องกันออกก็ได้นะครับ
เพื่อความสะดวกในการเดินทาง”
“คุณดูมั่นใจเรื่องความปลอดภัยมากๆ เลยนะคะ วาตารุซัง
คุณเคยป้องกันลมหายใจมังกรได้จริงๆ เหรอคะ?”
“ยังไม่เคยครับ แต่มีคนที่น่าเชื่อถือมากๆ รับรองเอาไว้แล้ว ดังนั้นผมจึงมั่นใจว่ามันจะไม่มีปัญหาแน่นอน”
ก็คำรับรองนั่นมันมาจากท่านเทพผู้สร้างเลยนี่นา…ดังนั้นก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรล่ะมั้ง?
ถึงเขาจะมีบุคลิกแปลกๆ หน่อยก็เถอะ… แต่ก็เป็นถึงเทพผู้สร้างอยู่ดี
“ฉันสงสัยจังว่าใครเป็นคนที่รับรองให้คุณ พอจะช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะ?”
“อืม… เป็นความลับครับ ถ้าเป็นเรื่องของผมเอง ผมก็พอจะบอกได้บ้าง
แต่ในกรณีนี้ ผมไม่สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่ามันจะโอเคจริงๆ หรือเปล่าที่จะพูดมันออกไป”
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอโทษที่ถามเรื่องที่มันส่วนตัวเกินไปนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ไอเนสก็เข้ามาแจ้งว่ามีมอนสเตอร์เข้ามาโจมตี ซึ่งก็คือฉลามจอมตะกละเจ้าเดิมนั่นเอง…
“ทุกคนครับ เราถูกมอนสเตอร์โจมตีแล้ว ดังนั้นออกไปดูข้างนอกกันเถอะครับ เดี๋ยวผมจะอธิบายความสามารถให้ฟังในขณะที่ดูสถานการณ์จริงไปด้วย”
เมื่อเราออกไปข้างนอก ฉลามจอมตะกละตัวหนึ่งก็กำลังอ้าปากกว้างพุ่งมาหาเรา
ถ้าผมไม่ได้อยู่บนเรือล่ะก็ ตอนนี้ผมก็คงขาสั่นจนล้มลงไปแล้ว แต่พออยู่บนเรือ…ก็หึหึ
ส่วนสมาชิกจิราโซเล่ในฐานะของนักผจญภัยแรงค์ A พวกเธอสามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างเยือกเย็น
ว๊า…ผมอยากได้ยินเสียงกรี๊ดหรือไม่ก็น้ำเสียงตอนกลัวแบบน่ารักๆ สักหน่อยจัง
แต่พวกเธอกลับเตรียมพร้อมสู้กันได้ในแทบจะทันที พวกเธอทั้งสวยและแข็งแกร่ง… พอมาคิดแบบนี้ก็แอบน่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ
“สุดยอด ปกติถ้าเจอฉลามจอมตะกละเวลาที่อยู่บนเรือ มันแทบจะเป็นศัตรูที่ไม่มีทางเอาชนะได้เลย
แต่นี่…ตอนที่มันโจมตีเข้ามา ฉันแทบไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเลย”
“ใช่ บาเรียสะท้อนแรงจากการโจมตีของมันออกไปจนหมด”
“แค่ดูจากตรงนี้ก็รู้แล้วว่ามันเป็นบาเรียที่ทรงพลังขนาดไหน แม้จะเป็นการโจมตีจากซีเซอร์เพนท์ฉันก็คิดว่าผลลัพธ์ก็คงออกมาไม่ต่างกัน”
“ใช่แล้วครับ อ๊ะ เดี๋ยวผมกับริมุจะโจมตีมันด้วยธนูกับหินนะครับ แล้วจากนั้นไอเนสกับเฟลิเซียจะเป็นคนไปจัดการมันต่อเอง”
ผมหันไปบอกกับทั้งสองคนว่าให้จัดการมันจนอ่อนแรงลงก่อน…
“พวกเราจะจัดการมันเหรอคะ? เยี่ยม! กำลังรออยู่เลย งั้นเรามาเริ่มเกมหลบหนีกันเลยดีกว่า”
“ไอเนส นี่มันเพิ่งวันแรกเองนะ ไม่เห็นเห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยก็ได้…เอาเถอะ ไว้รอให้ผมอธิบายจบก่อนแล้วกัน”
“อุฟุฟุ ได้ค่าาาาา” เฮ้อ…ผมนี่มันอ่อนแอจริงๆ
“ก็อย่างที่เห็นครับ ทั้งสองคนจะเล่น เกมหลบหนี กันทุกครั้งที่เราถูกมอนสเตอร์โจมตี
นี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกควบคุมเรือ เรือลำนี้จะไม่มีวันพลิกคว่ำหรือจม ไม่ว่ามันจะสั่นแรงแค่ไหนก็ตาม
ดังนั้นถ้าจู่ๆ เรือเกิดสั่นรุนแรงขึ้นมาให้คิดไว้เลยว่ากำลังถูกมอนสเตอร์โจมตี”
“เกมหลบหนีเหรอคะ?”
“เอ่อ…มันเป็นเกมที่พวกเธอจะบังคับเรือโดยไม่ได้หลบหนีจากการไล่ล่าของมอนสเตอร์
แต่จะทำการหลบเลี่ยงไม่ให้มอนสเตอ์เขามาชนกับบาเรียของเรือแทน…”
“พวกเธอเล่นแบบนั้นไปเพื่ออะไรเหรอคะ?”
“ถ้าพูดตรงๆ มันก็เป็นทั้งการฝึกและการฆ่าเวลาไปในตัวด้วยครับ
การเดินทางเป็นระยะเวลานานๆ เราเลยมีเวลาว่างกันเยอะมากดังนั้น…”
“เอาล่ะ ผมว่าเรามาเริ่มเกมหลบหนีกันเลยดีกว่า ทุกคนจะได้เข้าใจว่าเรือลำนี้มันทำงานยังไง”
“ค่ะ… แต่พวกเรากำลังถูกฉลามจอมตะกละโจมตีอยู่นะคะ เราจะมีเวลาว่างพอจะมาเล่นเกมกันอยู่อีกเหรอ?”
“ครับ ถ้าชินแล้วจะออกไปดูข้างนอกกันก็ได้นะครับ แต่ครั้งนี้เพื่อความปลอดภัย
ทุกคนมาดูกันจากในห้องนั่งเล่นก่อนน่าจะดีกว่า ไอเนส เฟลิเซีย ให้พวกเราเข้าไปข้างในกันซักพักแล้วค่อยเริ่มกันนะ”
“”ค่ะ””
“โอเคครับ งั้นพวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
เราทั้งหมดเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงบนโซฟา จากนั้นความเร็วของเรือก็เพิ่มขึ้น
เรือเริ่มที่จะโคลงเคลงมากขึ้นเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ยังคงคุยกันอย่างสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรสินะ?
เฟลิเซียสนุกไปกับเกมหลบหนีอย่างเต็มที่เมื่อเธอได้รับอนุญาต แสดงว่าเธอคงชอบการบังคับเรือมากจริงๆ
“ทุกคนโอเคกับการที่เกมหลบหนีเริ่มขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้หรือเปล่าครับ?”
“ค่ะ ตอนยังไม่ชินก็อาจตกใจนิดหน่อย แต่ระดับการสั่นแค่นี้ไม่เป็นปัญหาค่ะ”
มาริน่าซังกับคาร์ล่าซังดูจะสนุกกับแรงสั่นสะเทือนไม่น้อย ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ก็นั่งจิบชากันอย่างชิวๆ สมแล้วที่เป็นปาร์ตี้แรงค์ A
หลังจากผ่านไปสักพัก เฟลิเซียก็มาตามพวกเรา โดยบอกว่ามอนสเตอร์เริ่มอ่อนแรงแล้ว
เราทุกคนก็ออกไปข้างนอก แล้วริมุกับผมก็เปิดการโจมตี จากนั้นไอเนสและเฟลิเซียก็จัดการมัน
ผมอัญเชิญเรือออกมารองรับมอนสเตอร์ จากนั้นก็นำหินเวทมนตร์ออกมา ตัดเนื้อมันเป็นชิ้นๆ แล้วก็ส่งกลับไปที่เดิม
“นี่คือวิธีที่เราจัดการกับมอนสเตอร์โดยทั่วไปครับ ผมคิดว่าวิธีนี้อย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยกว่าวิธีอื่น”
“ค่ะ ฉันไม่คิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกสงสารฉลามจอมตะกละแบบนี้ แต่ก็คิดว่าวิธีนี้มันปลอดภัยที่สุดแล้ว ขอบคุณนะคะ วาตารุซัง”
ผมเองก็รู้ว่าวิธีนี้มันดูโหดร้ายไปหน่อย แม้จะเป็นมอนสเตอร์ก็ตาม
ผมดีใจที่ยังมีคนที่คิดแบบเดียวกันกับผม เพราะไอเนสกับเฟลิเซียสนุกกับเกมหลบหนีกันมากๆ จนผมคิดว่าตัวเองเป็นคนแปลกๆ ไปซะแล้ว
“ไม่หรอกครับ ผมดีใจที่คุณคิดเหมือนกัน เอาล่ะ นี่ก็เป็นวิธีการเดินเรือโดยทั่วไปของเรา
ดังนั้นขอให้ทุกคนผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับการเดินทางได้เลยนะครับ อ๊ะ ว่าแต่มีคำถามอะไรไหมครับ?”
“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้เลยครับ อลิเซียซัง มีอะไรเหรอครับ?”
“ถ้าฉันอยากออกไปออกกำลังกายข้างนอกพอจะทำได้ไหมคะ?”
“ได้ครับ คุณสามารถฝึกซ้อมบนดาดฟ้าด้านหน้าหรือทางด้านหลังของเรือก็ได้
แต่ตามที่ผมบอก ห้ามปะทะกันทางกายภาพ เพราะถ้ามีการทำอะไรที่อาจส่งผลทำให้คนที่อยู่บนเรือได้รับบาดเจ็บ
คุณจะถูกดีดออกจากเรือทันที ดังนั้นอย่าทำอะไรที่มันจะส่งผลแบบนั้น แม้จะเป็นการฝึกซ้อมก็ตาม”
“เข้าใจแล้วค่ะ มันเป็นเรือที่ยอดเยี่ยมจริงๆ นะคะ”
“มีคำถามอื่นอีกไหมครับ?”
“ค่ะ”
“ครับ คาร์ล่าซัง?”
“อาหารพิเศษของวาตารุซัง จะพร้อมเมื่อไหร่เหรอคะ?”
“คาร์ล่าซังอยากให้ผมรีบทำมันขึ้นมาเร็วๆ เหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ”
เธอยิ้มกว้างมาก น่ารักสุดๆ พุดดิ้งได้รับการยืนยันแล้ว
งั้นอาหารจานหลักสำหรับมื้อเย็นจะทำอะไรดีนะ?
ผมมีนมกับเนยอยู่ คงจะดีถ้าทำครีมสตูว์ ผมสามารถทำทั้งสองอย่างให้เสร็จได้ก่อนมื้อเย็น หรือจะทำมันตอนนี้เลยก็ได้
“งั้นมาทำกันตอนนี้เลยครับ จะได้ทันมื้อเย็นพอดี”
“ค่ะ”
“วาตารุซัง ฉันขอช่วยด้วยค่ะ”
“ฝากด้วยนะครับ คลอเร็ตต้าซัง”
ก่อนอื่นต้องทำพุดดิ้ง เพราะต้องใช้เวลาในการทำให้เย็น จากนั้นก็ทำสตูว์
ผมใส่น้ำตาลกับน้ำลงในหม้อแล้วตั้งไฟจนกระทั่งน้ำตาลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เมื่อได้ที่แล้วก็เทใส่ถ้วยเซรามิก แล้วเติมน้ำร้อนเล็กน้อย
ระหว่างที่อุ่นนม ก็ตีไข่กับน้ำตาลในชาม ผสมให้เข้ากันอย่างระมัดระวัง จากนั้นเทนมอุ่นๆ ลงไปในชามผสมไข่ คนให้เข้ากัน
กรองส่วนผสมของพุดดิ้งผ่านตะแกรงละเอียด แล้วเทลงในถ้วยที่มีซอสคาราเมล นำถ้วยไปแช่ในน้ำที่ร้อนเกือบเดือด ปิดฝา
แล้วให้ความร้อนประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ปิดไฟ ทิ้งไว้ให้นึ่งต่อไปอีก 10 นาที แล้วปล่อยให้เย็นก่อนนำไปเข้าตู้เย็น
“วาตารุซัง เมนูนี้ดูแปลกจังเลยนะคะ มันอร่อย?”
“อืม ที่ที่ผมเคยอยู่ พุดดิ้งเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมากๆ ดังนั้นผมคิดว่าที่นี่ก็น่าจะชอบมันเหมือนกัน อดใจรอตอนมื้อเย็นได้เลยครับ”
“ฟุฟุ ฉันจะตั้งตารอเลยค่ะ”
“ไม่ๆ อย่าคาดหวังมากเกินไปนะครับ เอาแค่พอดีๆ ก็พอ”
“ฟุฟุ วาตารุซัง ลองมองไปข้างหลังสิคะ”
พอผมหันไปมองด้านหลังผมก็เห็น คาร์ล่าซังกำลังมองมาที่ผมด้วยดวงตาที่เปร่งประกาย…
อึก ความคาดหวังขนาดนี้มัน…ตอนนี้คงถอยกลับไม่ได้แล้วสินะ…
ถ้ามีวานิลลาก็คงดี… ความคาดหวังมันช่างหนักหน่วงเหลือเกิน เอาล่ะ มาทำครีมสตูว์ต่อกันเลยดีกว่า
ผมให้คลอเร็ตต้าซังปอกมันฝรั่ง หัวหอม และแครอท แล้วหั่นเป็นชิ้นใหญ่ ผัดไก่กับเนย จากนั้นก็ใส่ผักที่หั่นเอาไว้ลงไป เติมเกลือและพริกไทย
จากนั้นก็เติมแป้ง ชีส นม และซุปไก่ จริงๆ ผมอยากได้ซุปคอนซอมเม่มากกว่าแต่ที่นี่มันไม่มี จะใช้น้ำซุปไก่แทนได้ไหมนะ…?
“วาตารุซัง นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะ ที่ฉันทำสตูว์โดยที่ใส่นมลงไปด้วย ฉันรู้สึกกังวลนิดหน่อย
แต่มันมีกลิ่นที่หอมมากเลยค่ะ ฉันสามารถคาดหวังกับเมนูนี้ได้ใช่ไหมคะ?”
“ถ้ารับเรื่องรสชาติของนมได้ ผมว่าก็น่าจะโอเคนะครับ ที่เหลือก็แค่เคี่ยวต่อไปเรื่อยๆ ด้วยไฟอ่อน
ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะครับ คลอเร็ตต้าซัง”
“ไม่เลยค่ะ ฉันได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ เลย แถมยังสนุกมากด้วยค่ะ ฉันจะรอให้ถึงมื้อเย็นนะคะ วาตารุซัง
โอ๊ะ จริงสิ วาตารุซัง ก่อนหน้านี้ฉันเคยขอให้คุณสอนวิธีทำมายองเนสใช่ไหมคะ?”
“มายองเนสเหรอครับ? ผมก็ไม่รังเกียจที่จะสอรสูตรให้หรอกนะ… อ๊ะ เดี๋ยวก่อน มันอาจจะเป็นปัญหาจริงๆ ก็ได้ถ้าสูตรนี้ถูกแพร่กระจายออกไป”
“ปัญหายังไงเหรอคะ?”
“ครับ มายองเนสทำง่ายก็จริง แต่ปัญหาคือ เวทย์ชำระล้าง
ถ้าไม่ใช้เวทย์ชำระล้างกับไข่ก่อนนำมาทำมันอาจทำให้ท้องเสียได้ อีกอย่างเวทย์ชำระล้างก็ไม่ใช้เวทย์ที่ใช้กันทั่วไปด้วยจริงไหมครับ?”
“ค่ะ ที่โบสถ์มีคนที่ใช้เวทชำระล้างได้ก็จริง แต่ในชีวิตประจำวันมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เวทนี้ในการทำอาหาร…
ขอโทษด้วยค่ะ งั้นฉันคงต้องขอเว้นไว้ก่อน”
“อืม… ถ้าให้โบสถ์เป็นคนทำ อาจจะไม่เป็นปัญหาก็ได้นะครับ ถ้าโบสถ์เป็นคนขาย คนก็น่าจะเชื่อมั่นกันได้”
“โบสถ์เหรอคะ?”
“ครับ ที่โบสถ์มีนักบวชที่ใช้เวทชำระล้างได้ใช่ไหมครับ แถมยังมีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วย งานมันหนักก็จริง
แต่ถ้าให้นักบวชเป็นคนใช้เวทย์ชำระล้าง แล้วให้เด็กๆ เป็นคนทำ จากนั้นก็มาแบ่งรายได้กัน ผมคิดว่าเด็กๆ คงจะมีความสุข”
“เป็นไอเดียที่น่าสนใจมากเลยค่ะ มายองเนสต้องขายดีแน่ๆ แล้วก็จะมีคนเข้ามาที่โบสถ์มากขึ้นด้วย
ถ้าเด็กๆ มีรายได้ ก็จะสามารถไปเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองได้… ถ้ามันประสบความสำเร็จ เราควรแบ่งเงินให้คุณเท่าไหร่ดีคะ วาตารุซัง?”
“ผมไม่ต้องการเงินหรอกครับ”
“แบบนั้นไม่ได้นะคะ”
“งั้นเหรอครับ? ถ้างั้นช่วยบริจาคเงินที่ผมควรจะได้ครึ่งหนึ่งให้กับทางโบสถ์ทีนะครับ แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็ให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”
ว้าว นี่มันเหมือนกับพล็อตนิยายเลย ยังไงผมก็หาเงินจากการค้าพริกไทยได้อยู่แล้ว
แบบนี้ก็จะทำให้ผมดูเป็นคนดีขึ้นมาหน่อยในสายตาคลอเร็ตต้าซัง! การให้เด็กกำพร้าทำมายองเนสก็เป็นพล็อตยอดนิยมเหมือนกันใช่ไหมนะ?
“เอาจะแบบนั้นก็ได้เหรอคะ? วาตารุซัง แต่ทั้งๆ ที่เป็นพ่อค้าแท้ๆ คุณนี่แปลกจังเลยนะคะ”
“จริงเหรอครับ? อืม… ตอนนี้มันยังไม่ประสบความสำเร็จก็จริง แต่ถ้าในอนาคตมันทำกำไรได้มหาศาลผมก็คงจะมานั่งเสียใจทีหลังแน่ๆ
ดังนั้นเมื่อถึงตอนนั้นคุณช่วยปลอบใจผมหน่อยได้ไหมครับ?”
“ฟุฟุ… ไว้ถึงตอนนั้นแล้วฉันจะคิดดูนะคะ”
เห้อ… คลอเร็ตต้าซังเป็นคนที่เอาชนะได้ยากจริงๆ…
คุยไปเรื่อยหลังจบตอน
แหม๋ตอนนี้ วาตารุมันเหลี่ยมใส่คลอเร็ตต้าเต็มๆ เลย
MANGA DISCUSSION