พวกเราเดินเรือกลับมาถึงท่าเรือของเมืองกอเธนเบิร์ก
ผมจ่ายค่าธรรมเนียมจอดเรือในราคา 3เหรียญเงินต่อวัน ซึ่งถือว่าค่อนข้างแพง
ในเมืองทางใต้ราคาขนาดนี้สามารถเช่าที่จอดได้ทั้งเดือน
แต่เมื่อผมบอกพวกเขาว่าจะต้องมีการขนสินค้าไปมาหลายรอบ
พวกเขาก็อนุญาตให้ผมเข้า-ออก ท่าเรือได้อย่างอิสระภายในหนึ่งวัน
โดยยังคงคิด 3 เหรียญเงินต่อวัน ต่อวันเท่าเดิม
ซึ่งถือว่าดีมากสำหรับผม เพราะการต้องจ่าย 3 เหรียญเงินทุกครั้งที่ เข้า-ออก นี่…
เมื่อผมาถึงกิลด์การค้า เมียร์ซังก็เข้ามาทักทายผมทันที
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ วาตารุซัง การเจรจาการค้าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีไหมคะ?”
“ครับ ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี”
“อย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ”
“ที่นี่เรา ได้รวบรวมพริกไทยมูลค่า 65 เหรียญทองคำขาวเอาไว้ให้แล้วค่ะ”
“แต่เนื่องจากทางกิลด์ไม่มีพื้นที่เพียงพอ”
“ทางเราจึงต้องเก็บพวกมันไว้ที่โกดังสินค้าในท่าเรือ”
“คุณอยากจะไปดูไหมคะ?”
“ครับ ขอรบกวนด้วย”
พื้นที่ไม่พอ ในนี้เนี่ยนะ?
แล้วไหนจะโกดังที่ท่าเรืออีก…
ชักอยากรู้แล้วสิ ว่าของมันจะเยอะขนาดไหน…
“งั้นตามฉันมาทางนี้ค่ะ”
เมียร์ซังพาผมไปที่โกดังที่ท่าเรือ
“ทั้งหมดนี้คือพริกไทยมูลค่า 65 เหรียญทองคำขาว ค่ะ”
“ว้าว นี่มันเป็นปริมาณที่มหาศาลเลยนะครับเนี่ย!”
พริกไทยถูกกองสูงจนเกือบถึงเพดานในโกดังขนาดใหญ่
ผมไม่น่าซื้อเยอะขนาดนี้เลย ถึงจะรู้ว่ามันทำกำไรได้ก็เถอะ
แต่พอคิดถึงเรื่องที่ต้องขนพวกมันแล้วก็…
“วาตารุซัง ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”
“ครับ ได้สิมีอะไรเหรอ?”
“ฉันสงสัยว่าคุณจะขนพริกไทยปริมาณมากขนาดนี้ไปยังไง?”
“อ๋อ คือเรามีเรือหลายลำน่ะครับ”
“เราจะขนพริกไทยจากท่าเรือนี้ ด้วยเรือเล็กจากนั้นก็ไปส่งต่อให้เรือลำใหญ่”
“แต่จากที่ดูปริมาณ เราน่าจะซื้อเกินแผนที่วางไว้ไปเยอะเลย เพราะมันราคาถูกมาก”
“เลยอาจจะต้อง ไป-กลับ หลายรอบหน่อย”
“อย่างนั้นเองเหรอคะ!?”
“การมีเรือหลายลำที่สามารถข้ามมหาสมุทรมาได้แบบนี้ นี่ดีจังเลยนะคะ”
“ฮ่าฮ่า ขอบคุณครับ”
ขอโทษครับ โกหกหมดเลยครับ…
อ๊าก! อย่ามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพแบบนั้น มันทำให้ใจผมเจ็บ
“ขอโทษนะครับ”
“คือกว่าจะขนทั้งหมดออกไปคงต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“แบบ เอ่อ…ค่าเช่าโกดังเท่าไหร่ครับ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ เนื่องจากคุณเป็นลูกค้าชั้นหนึ่งที่ซื้อสินค้าของเราไปเป็นจำนวนมาก”
“ดังนั้นทางกิลด์จะรับผิดชอบเรื่องค่าเช่าโกดังให้ เป็นจำนวน 5 วัน ค่ะ”
“แต่ถ้าเกินจากนั้น ทางเราจะต้องขอคิดค่าบริการนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ ผมจะพยายามจัดการให้เสร็จภายใน 5 วัน”
“ค่ะ”
“งั้นเรากลับไปที่กิลด์เพื่อตกลงเรื่องสัญญากันดีกว่าค่ะ”
“ครับ”
ผมกลับไปที่กิลด์และจ่ายเงิน 65 เหรียญทองคำขาว
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ขอบคุณเช่นกันครับ ผมขอยืมรถลากหน่อยได้ไหมครับ?”
“รถลากเหรอคะ? ได้ค่ะ ต้องการกี่คันดีคะ?”
“ขอ 3 คันก็พอครับ”
เรานำรถลาก 3 คันไปที่โกดัง
“เฮ้อ ผมซื้อเยอะเกินไปจริงๆ ด้วย โชคดีน่ะเนี่ยที่มีโกดังดีๆ ให้เก็บ”
“เราสามารถขนพริกไทยไปที่เรือได้วันละหลายเที่ยว”
“ดังนั้นเมื่อเราขนพริกไทยไปที่เรือแล้ว”
“ผมจะแล่นเรือออกไปสักหน่อยจากนั้นก็ค่อยวกกลับมา”
“แบบนี้เป็นไง?”
“เราต้องขนพริกไทยขึ้นเรือด้วยรถลากพวกนี้เหรอคะ?”
“ใช่ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรเลยมันจะผิดสังเกตได้”
“ดังนั้นเราต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าเรากำลังขนของกันอยู่”
“พวกเขาจะคิดว่าเราขนสินค้าทั้งหมดออกไปในตอนพวกเขาไม่เห็น”
“เพราะถ้าเราไม่ทำให้มีใครเห็นบ้าง อาจมีคนสงสัยเราได้”
“ก็ยังดีกว่าต้องขนเองทั้งหมดล่ะนะ…”
“ฉันก็จะช่วยค่ะ”
“ขอบคุณนะทั้งสองคน”
“งั้นเรามาขนพริกไทยไปที่เรือกันตอนนี้เลยเถอะ”
“ค่ะ”
ตลอด 5 วัน เราขนพริกไทยออกจากโกดังไปที่เรือทุกวัน
จากนั้นก็แล่นออกไปแล้วก็กลับมา ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ
ระหว่างช่วงพักเหนื่อย พวกเราก็ออกไปซื้อเหล้า เครื่องเทศ ผ้า และของใช้อื่นๆ
เราเจอปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อยู่สองสามครั้ง มันทำให้รู้สึกว่าไม่ได้พักผ่อนจริงๆ เลยล่ะ
“เฮ้อ…สุดท้ายแล้ว”
“ขอบคุณมากนะทั้งสองคนที่ทำงานหนัก”
“ผมซาบซึ้งใจจริงๆ”
“นายท่าน เราเป็นทาสของคุณนะคะ”
“คุณไม่จำเป็นต้องขอบคุณพวกเราหรอก”
“ไอเนสพูดถูกค่ะ”
“งั้นเหรอ?”
“เอาเถอะ ผมแค่อยากขอบคุณก็เท่านั้น”
“อย่าคิดมากเลย”
“อุฟุฟุ โอเคค่ะ”
“ค่ะ”
การขนพริกไทยทั้งหมดใช้เวลานานมาก…
แต่ก็ง่ายกว่าที่จะขนทุกอย่างลงเรือไปในคราวเดียว
ผมเหนื่อยกับการซื้อเรือยางมากเลยล่ะ
เพราะต้องกดซื้อทีละลำ ถ้าสามารถซื้อได้ทีละเยอะๆ คงจะดีมาก
“งั้นเรากลับไปคืนรถลากกแล้วบอกลาเมียร์ซังกันเถอะ”
“จากนั้นค่อยเดินทางกลับ”
“ค่ะ”
ผมขอบคุณเมียร์ซังสำหรับความช่วยเหลือทั้งหมด
จากนั้นก็แล่นเรือออกมา ค่าจอดเรือวันละ 3 เหรียญเงินนี่มันน่าปวดหัวจริงๆ
ถึงจะไม่ต้องจ่ายค่าที่พักก็เถอะ แต่สุดท้ายก็ถือว่าเสมอตัวอยู่ดี
“งั้นเรามุ่งหน้าไปเกาะของดาร์กเอลฟ์กันก่อนแล้วกัน”
“ค่ะ”
ไอเนสและเฟลิเซียดูสนุกกับการเล่น เกมวิ่งหนีมอนสเตอร์
เพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการขนของ
ส่วนริมุก็ดูเหมือนจะชอบเล่นอยู่บนสะพานเรือตอนที่เรือกำลังแล่นเร็วๆ เหมือนกัน
ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเศร้านิดหน่อยในช่วงนี้
แต่ปัญหาจริงๆ ตอนนี้ก็คือผมจะขายพริกไทยที่ซื้อมาทั้งหมดยังไงดี?
รวมเรือ 20 ลำจากครั้งก่อน กับ 495 ลำในครั้งนี้ ก็เท่ากับพริกไทยจำนวน 515 ลำ
ถ้าขายส่งทั้งหมดและถอนเงินออกมาได้
ผมจะมีเงินทั้งหมด 1,854 เหรียญทองคำขาว
ซึ่งเพียงพอสำหรับการซื้อเรือสำราญสุดหรู
แต่มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น ถ้าผมซื้อเรือสำราญสุดหรูได้
ผมคิดว่าผมจะจัดการทุกอย่างได้ ไม่ว่าประเทศจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกับผมก็ตาม
แต่ผมก็ไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับประเทศโดยไม่จำเป็นหรอกนะ…
จะมีวิธีได้เรือสำราญมาโดยไม่ดึงดูดความสนใจมากเกินไปไหมนะ?
อืม… ผมยังคิดไม่ออก
“นายท่าน กังวลอะไรอยู่เหรอคะ?”
“อ่า… ผมกำลังคิดหาวิธีจัดการพริกไทยจำนวนมากพวกนี้อยู่น่ะ”
“อุฟุฟุ นายท่านเคยบอกว่าการค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอคะ?”
“ก็จริง แต่การจะจัดการกับพริกไทยจำนวน 515 ลำได้นี่”
“หมายความเราต้องทำการค้าพริกไทยสำเร็จไปถึง 26 รอบเลยนะ…”
“ผมคิดว่ามันต้องใช้เวลามากเกินไป แถมยังดึงดูดสายตาของผู้คนอีก”
“…ก็จริงค่ะ ถ้าทำสำเร็จถึง 26 รอบ”
“คนอื่นต้องสงสัยแน่ว่า นายท่านมีวิธีการอะไรหรือมีเรือเวทมนตร์แบบไหน”
“คุณถึงสามารถทำการค้ากับทวีปทางใต้ได้อย่างต่อเนื่องขนาดนี้”
“ทางราชวงศ์และขุนนางคงไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ แน่ค่ะ”
“อ๊ะ จริงด้วย เฟลิเซียพูดถูก”
“แม้แต่ 2 ครั้งก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้วค่ะ”
“อืม…ไหนจะการแลกเหรียญทองคำขาวอีก”
“ถ้าผมไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นจุดสนใจ”
“ผมก็คงทำทุกอย่างตามที่ต้องการได้”
“แต่มันจะวุ่นวายถ้าต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกชนชั้นสูง”
“จิตใจของสามัญชนคนธรรมดา อย่างผมคนรับไม่ไหว”
“ด้วยสกิลของนายท่าน นายท่านน่าจะเป็นราชาได้เลยนะคะ”
“แต่จิตใจของคุณยังคงเป็นคนธรรมดาอยู่”
“นายท่านควรรู้ตัวได้แล้วนะคะ ว่ารายได้ขอนายท่านตอนนี้มันเกินคำว่าธรรมดาไปไกลแล้วนะคะ”
“อืม ก็ช่วยไม่ได้นี่…”
“ถ้ามันไม่มีความเสี่ยงเรื่องชีวิต ความตาย การถูกกล่าวหา หรือคำสั่งที่ยุ่งยาก”
“ผมก็คงไปติดต่อกับพวกชนชั้นสูงแล้วล่ะ”
“สุดท้ายแล้ว ของพวกนั้นจะต้องมาหานายท่านแน่นอนค่ะ”
“และแน่นอนว่าจะต้องมีคำสั่งที่ยุ่งยากตามมาแน่ๆ”
“และสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นมากที่สุดก็คือคำสั่งให้ส่งมอบเรือเวทมนตร์ของคุณค่ะ”
“เรือที่สร้างจากสกิลน่ะไร้ประโยชน์”
“ถ้าพวกเขารู้ว่ามันเป็นสกิล คุณต้องเจอกับปัญหาแน่ๆ ค่ะ นายท่าน”
“จริงค่ะ พวกเขาต้องพยายามรั้งตัวคุณไว้แน่ๆ”
“ถ้าผมอยู่บนเรือสำราญตลอดก็คงไม่เป็นไร”
“ผมอาจจะถูกเรียกว่าฤๅษีเรือสำราญก็ได้”
“แต่ผมไม่อยากทิ้งชีวิตอิสระ ที่สุขสบายเพื่อเข้าไปยุ่งกับใครหรอกนะ”
“ก็จริงค่ะ แค่คุณพยายามขายทุกอย่างผ่านกิลด์การค้าก็ดูเด่นมากเกินพอแล้ว”
“จริงๆ พริกไทยก็ไม่ได้มีขายแค่ในราชอาณาจักรลาติน่า”
“ถ้าเราเอาไปขายให้กับพ่อค้าในประเทศอื่นโดยตรง”
“ก็อาจจะหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจได้…”
“เอ๊ะ?”
“นายท่านไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขาว่า ได้พริกไทยมาจากการค้าพริกไทยนี่คะ”
“และมันก็ไม่น่ามีปัญหา ถ้านายท่านขายพริกไทยทีละน้อยๆ”
“โอ้!”
“ผมนึกถึงแต่การขายพริกไทยให้กิลด์การค้าแค่นั้นเอง”
“แต่พอนึกว่ามีประเทศอื่นแล้ว…”
“อาจจะต้องใช้เวลานิดหน่อย แต่ก็สามารถจัดการได้”
“ไอเนส เธอนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ”
“ใช่ค่ะ ไอเนสเป็นอัจฉริยะ”
“อุฟุฟุ ก็เพราะว่านายท่านกับเฟลิเซียคิดถึงแต่กิลด์การค้าไงคะ”
“ผมมองข้ามไปจริงๆ”
“ผมก็อายเหมือนกันที่ต้องยอมรับเรื่องนี้”
“แต่ผมคิดถึงแต่เรื่องการซื้อพริกไทยให้ได้เยอะๆ แค่อย่างเดียวเลยเพราะว่ามันถูก”
“ผมไม่ได้ติดเรื่องที่จะขายพวกมันออกไปยังไงเอาไว้เลย”
“สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ คือข้ออ้างว่าเราขนพริกไทยทั้งหมดกลับมาได้ยังไง”
“ผมว่าจะบอกพวกเขาไปว่าเรา ลากพวกมันกลับมาโดยการผูกไว้กับท้ายเรือเหมือนตอนที่เราลากท่อนซุง”
“แต่ต้องขอบคุณไอเนสที่ทำให้เรามีแผนแล้วตอนนี้”
“เมื่อกลับไป ผมจะบอกกิลด์การค้าว่าเราจะขายพริกไทยให้พวกเป็นจำนวน 20 ลำเรือ”
“และจะนำที่เหลือไปเร่ขายตามประเทศต่างๆ”
“ถ้าบอกไปแบบนี้เราน่าจะได้ข้อมูลจากคามิลล์ซังด้วย”
“เห็นด้วยค่ะ”
เราเดินทางต่อไปตามปกติ
แม้จะน่ากลัวเล็กน้อยที่ทักษะการควบคุมเรือของไอเนสและเฟลิเซียพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่เราก็เดินทางมาถึงเกาะของเหล่าดาร์กเอลฟ์ได้ในเวลา 10 วัน
“ขอบคุณที่ออกมาต้อนรับนะครับ คุณหัวหน้าหมู่บ้าน ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีไหมครับ?”
“ผมดีใจที่เห็นคุณกลับมาอย่างปลอดภัยนะครับ วาตารุซัง”
“ทุกอย่างในหมู่บ้านดำเนินไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ”
เมื่อผมเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขา
ผมก็เห็นว่ามีบ้านหลายหลังที่สร้างเสร็จแล้ว
“คุณหัวหน้าหมู่บ้าน ผมเห็นว่ามีบ้านหลายหลังที่สร้างเสร็จแล้ว”
“ใช่ครับ แต่เสร็จแค่ภายนอกเท่านั้น”
“ภายในยังคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้อยู่อาศัยแต่ละคนที่ต้องจัดการกันเอง”
“อย่างนี้นี่เอง มันเริ่มดูเหมือนหมู่บ้านขึ้นมาทุกทีแล้วนะครับ”
“ครับ ชาวบ้านทุกคนกระตือรือร้นกันมาก”
“เราได้ออกไปสำรวจป่ามาแล้วหลายครั้งด้วยครับ”
“แล้วในป่าเป็นยังไงบ้างครับ?”
“มีมอนสเตอร์ที่เป็นอันตรายบ้างไหม?”
“เท่าที่เห็นตอนนี้มีสไลม์ ก็อบลิน และออร์คครับ”
“พวกเราสามารถจัดการกับพวกมันได้”
“นอกจากนี้เรายังพบสมุนไพรที่จำเป็นและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ในป่าด้วยครับ”
ออร์คเหรอ? พอพูดขึ้นมาแล้ว
ผมยังไม่เคยเจอพวกมันเลยนิ
ตอนนี้ผมเคยฆ่าแต่กระต่ายเขาและก็อบลินเท่านั้น
ผมมั่นใจเลยว่าถ้าเจอออร์คเข้า ผมคงกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ
ถึงแม้ว่าผมจะเลเวลอัพมาเยอะแล้วก็ตามตลอดการเดินทาง
“ดูเหมือนในป่าจะมีของให้ใช้ประโยชน์เยอะเลยนะครับ”
“สุดท้ายแล้วพวกคุณจะย้ายเข้าไปอยู่ในป่าไหมครับ?”
“คงจะยังก่อนครับ ผมชอบหมู่บ้านที่เป็นอยู่ตอนนี้”
“แต่เราอาจจะไปสร้างหมู่บ้านอีกแห่งไว้ในป่า และ ใช้แม่น้ำสำหรับการเดินทาง”
“แม่น้ำสะดวกมากครับ พวกเราสามารถขนไม้จากป่ามาที่นี่ได้อย่างง่ายดาย”
“พวกเราเริ่มเข้าไปตัดไม้บางส่วนจากในป่าและลำเลียงพวกมันมาตามแม่น้ำแล้ว”
“ตอนนี้เรากำลังตากไม้พวกนั้นอยู่”
ระหว่างคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งมาหาเขา
เขาจึงต้องขอตัวไปก่อน ผมเลยแยกตัวไปหาเซซิเลียซัง
ผมทักทายเธอและฝากเฟลิเซียไว้กับเธอ ก่อนจะไปเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้าน
แล้วจู่ๆ ก็มีคน คนหนึ่งตะโกนใส่ผม
“แก แกต้องเป็นวาตารุแน่ๆ”
“ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ก็ปล่อยเฟลิเซียไปซะ!“”
ใครกันล่ะเนี่ย? เขาเป็นชายหนุ่มที่มีเชือกผูกเอาไว้รอบๆ เอวและมีสภาพค่อนข้างมอมแมม
ผมควรทำยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะ? แต่ว่าพอมาลองมองดูดีๆแล้ว
ผมล่ะอิจฉาเหล่าดาร์กเอลฟ์จริงๆ ถึงเขาจะอยู่ในสภาพแบบนั้นก็ยังดูหล่อเท่อยู่เลย
อย่างไรก็ตาม ผมรีบอุ้มริมุขึ้นและรีบเข้าไปหาไอเนส ผมควรเรียกเรือออกมาดีไหม?
“ไอเนส ผมควรเรียกเรือออกมาดีไหม?”
“ไม่จำเป็นค่ะ แค่ซ่อนอยู่ข้างหลังฉัน และก็อย่าโผล่ออกมา”
เมื่อผมถอยไปหลบอยู่ข้างหลังไอเนสตามที่เธอบอก
ผมก็ได้ยินชายหนุ่มคนตะโกนมาที่ผมด้วยความโกรธ
“แกหลบอยู่หลังผู้หญิงงั้นเหรอ!”
“ฉันไม่ยอมรับหรอกว่าแกเป็นเจ้านายของเฟลิเซีย!”
อ่า…ผมพอจะเดาเรื่องราวออกแล้วล่ะ
บางทีเขาอาจจะตกหลุมรักเฟลิเซียหรือไม่ก็อาจเคยรักกันมาก่อน?
โอ้ นี่มันช่างน่าเศร้าจริงๆ ถ้ามันเป็นอย่างนั้น
แบบนี้ผมคงเป็นตัวร้ายที่แยกทั้งสองคนจากกันแน่ๆ
ถ้าจำไม่ผิดนี่ต้องเป็นโครงเรื่องตามแบบฉบับนิยายรักทั่วไปแน่ๆ
และผมก็คงเป็นตัวร้ายที่ต้องถูกกำจัด? ดูเหมือนจะงานเข้าแล้วสิ
อ๊ะ เฟลิเซียกับเซซิเลียซังที่เห็นความวุ่นวายรีบวิ่งออกมาแล้ว
“นายท่าน เป็นอะไรไหมคะ?”
“ว่าแต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“โรมาโน่ นายถูกกักบริเวณอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วนายออกมาได้ยังไง?”
“ทุกคนในหมู่บ้านถูกหลอกกันไปหมดแล้ว!”
“ถ้าฉันยังถูกกักบริเวณอยู่ หมู่บ้านนี้จะต้องล่มสลายแน่ๆ”
“เฟลิเซีย มากับฉันเถอะ”
“เธอไม่ควรไปอยู่กับผู้ชายแบบนั้น!”
“นายพูดอะไรของนายน่ะ โรมาโน่?”
“นายท่านคือผู้มีพระคุณของพวกเรา ฉันไม่ยอมให้นายมาพูดจาดูถูกเขาหรอกนะ”
“อึกห์! เธอเองก็ถูกหลอกเหมือนกันเหรอ เฟลิเซีย?”
“ย๊าก ฉันจะช่วยเธอเอง!”
เอ๊ะ? เรื่องราวมันไม่เหมือนกับที่ผมคิดไว้แฮะ?
“นี่ เฟลิเซีย ความสัมพันธ์ของเธอกับหมอนั่น…”
“ความสัมพันธ์กับโรมาโน่เหรอคะ?”
“อืม…เราอายุใกล้เคียงกันก็เลยได้เล่นด้วยกันบ่อยๆ ตอนเด็ก…”
โอ้ นี่ผมรอดจากบทตัวร้ายที่ทำลายความรักระหว่างคนสองคนแล้วสินะ?
ถ้าอย่างนั้น หมอนี่ก็คงเป็นพวกคิดเองเออเองล่ะสิ?
เรื่องคล้ายๆ กันแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วนิ…
สงสัยจังว่าพนักงานโรงแรมคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ?
“เอ่อ นายท่านคะ?”
“คิดอะไรอยู่เหรอคะ?”
“หืม? อ่อไม่มีอะไรหรอก”
“ว่าแต่แล้วเราจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“พ่อของฉันน่าจะกำลังมาที่นี่”
“ไว้เรารอให้เขามาจัดการดีกว่าค่ะ”
“เฟลิเซีย เธอไม่ควรไปพูดกับผู้ชายแบบนี้นะ”
“เซซิเลียซัง คุณไม่อยากช่วยลูกสาวของคุณเหรอครับ?”
โอ้ พระเจ้า เขาเป็นคนประเภทเดียวกันกับพนักงานโรงแรมคนนั้นจริงๆ ด้วย
หมอนี่คงเป็นคนที่หัวหน้าหมู่บ้านไม่อยากพูดถึงสินะ
เพราะเขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านเรื่องการย้ายหมู่บ้าน และนั่นคงทำให้หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกอับอาย
ทุกคนที่ยืนดูอยู่มีสีหน้างุนงง ยกเว้นชายคนนี้…
อ๊ะ จริงด้วย นี่มันคนที่ถูกมัดเชือกเอาไว้ตอนนั้นนี่นา
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงอยากซ่อนตัวเขาเอาไว้
ชายหคนนั้นตะโกนโหวกเหวกไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย…
อ๊ะ คุณหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมดาร์กเอลฟ์คนอื่นๆ มาถึงแล้ว
“โรมาโน่ นายมาทำอะไรที่นี่?”
“ฉันสั่งไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้นายออกมา?”
“หัวหน้าหมู่บ้านคุณกำลังถูกหลอกแล้ว”
“การกักบริเวณผมเพราะผมพยายามปกป้องลูกสาวคุณ และไปเข้าข้างผู้ชายแบบนั้นมันผิด”
“ได้โปรดเรียกสติกลับคืนมาด้วยเถอะ!”
“โรมาโน่ นี่ นายพูดอะไรของนาย?”
“ไม่มีใครที่นี่ถูกหลอกทั้งนั้น”
“อึก! ฉันไม่ยอมให้คุณมาหลอกฉันหรอก!”
ทุกคนที่นี่ดูอึดอัดกันไปหมด จนไม่มีใครกล้าที่จะโกรธเขาเลย
“ถ้าอย่างนั้น วาตารุ มาดวลกันเลย”
“ถ้าฉันชนะ แกต้องปล่อยเฟลิเซียและทุกคนๆ ในหมู่บ้านไป!”
“อ่า… ผมสู้ไม่เป็นหรอกนะ”
“เพราะงั้นขอปฏิเสธ”
“ได้ยินไหม หัวหน้าหมู่บ้าน?”
“เจ้าผู้ชายขี้ขลาดคนนี้มันหนีการดวล!”
“ถ้าเขาปกป้องเฟลิเซียไม่ได้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ข้างๆ เธอ”
“คุณไม่คิดแบบนั้นเหรอ หัวหน้าหมู่บ้าน?”
“คุณพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ”
“ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ผมไม่ได้ไม่อยากสู้กับคุณแต่ผมสู้ไม่เป็นเลยต่างหาก”
“และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ผมต้องให้เฟลิเซียมาเป็นคนคุ้มกัน”
“ถ้าแกไม่สู้ ก็ปล่อยเฟลิเซียไปซะ แล้วออกไปจากที่นี่!”
เห้อ…ไม่มีประโยชน์สินะ เขาไม่ฟังอะไรเลย แล้วแบบนี้จะทำยังไงกันดีล่ะนี่?
MANGA DISCUSSION