เฟลิเซียลงจากเรือลำนั้นและมุ่งหน้าไปยังแพของดาร์คเอลฟ์…
ผมรู้นะว่ามาพูดอะไรตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
แต่ผมน่าจะสั่งกับเฟลิเซียก่อนไปว่า ถ้าโดนทำร้ายก็ให้ตอบโต้ได้เลย
แต่ก็นะ พวกเขาบอกเองว่าเธอเป็นพวกเดียวกัน
ดังนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก…มั้ง?
“นายท่าน เฟลิเซียจะไม่เป็นไรค่ะ เธอไม่ใช่คนโง่ดังนั้นเธอสามารถเอาตัวรวดได้อย่างแน่นอน”
“…ผมแสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฟุฟุ ฉันมองออกค่ะ”
ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องการเก็บสีหน้าเลยสินะ…
ถ้าไม่ได้สกิลอัญเชิญเรือมา ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง
ดูท่าว่าจะต้องรออีกสักพัก ผมเลยกอดริมุไว้แล้วคุยเล่นกับทุกคนเพื่อฆ่าเวลา
“…อยากเอาเรือเสบียงออกมาแล้วต้มชาสักถ้วยจัง…แต่คงไม่ได้สินะครับ?”
“ค่ะ จริงๆ ฉันเองก็อยากดื่มชาเหมือนกัน แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะเป็นจุดสนใจมากเกินไปค่ะ
อย่าลืมสิคะ ว่าตอนนี้พวกเรากำลังพยายามทำให้พวกเขาเชื่อใจพวกเราอยู่
ดังนั้นอย่าทำอะไรที่เป็นการทำให้พวกเขาระแวงน่าจะดีกว่านะคะ”
อลิเซียซัง…รู้ใจผมไปซะหมดเลย หรือนี่จะเป็นพลังแห่งความรัก?
ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะ…แต่เดิมผมก็ไม่ใช่คนที่เก็บความคิดเก่งอะไรอยู่แล้ว
ต่อให้ไม่มีความรัก เธอก็คงดูออกนั่นล่ะ…
“แต่…ถ้าพวกเขาตกลงที่จะย้าย ยังไงพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องสกิลของผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
จะใช้สกิลตอนนี้หรือใช่ตอนไหนมันก็น่าจะไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอครับ?”
“ก็จริงค่ะ แต่ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะไม่ย้ายใช่ไหมล่ะคะ…เราควรรอบคอบไว้ก่อนน่าจะดีกว่าค่ะ”
“อืม… งั้นคงต้องนั่งรอกันไปเงียบๆ แบบนี้สินะครับ… คราวหลังผมจะเตรียมชุดน้ำชาติดตัวเอาไว้ตลอดเลย”
“ฟุฟุ เป็นความคิดที่ดีเลยค่ะ”
เรานั่งคุยไปพลางถูกจับตามองไปพลางในขณะที่เฟลิเซียไปเจรจา
ผมน่าจะกำหนดเงื่อนไขการเจรจาว่าต้องคุยกันอยู่ในระยะที่เรามองเห็นเท่านั้น
แต่มาบ่นตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้ว ครั้งหน้าผมต้องคิดอะไรให้รอบคอบกว่านี้
แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง ผมก็มักก็พลาดในเรื่องที่สำคัญๆ อยู่เรื่อย อยากเจรจาเก่งกว่านี้จัง…
~มุมมองของเฟลิเซีย~
ฉันบอกลานายท่านและคนอื่นๆ จากนั้นก็ลงเรือมา
นายท่านดูจะเป็นห่วงฉันมากเลย นั่นทำให้ฉันรู้สึกดีใจมาก
แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ นายท่าน
ฉันจะไม่ปล่อยให้โอกาสที่นายท่านมอบให้เสียเปล่าเด็ดขาด
ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ
“เจ้าชื่อเฟลิเซียสินะ ข้าเกล เป็นผู้นำฝ่ายชายของหมู่บ้านแห่งนี้”
“ค่ะ ฉันชื่อเฟลิเซีย ยินดีที่ได้รู้จัก”
แม้จะยังระมัดระวังตัวอยู่ แต่สายตาที่เขามองมากลับเต็มไปด้วยความเห็นใจ
เขาน่าจะเป็นคนที่มีจิตใจดี เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่วงใยอยู่ในน้ำเสียงของเขา
พอมาถึงแพ ฉันก็ถูกพาเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง
ภายในนั้นมีชาย 2 คน รออยู่ จากที่ดูภายในบ้านไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์สักเท่าไหร่
เท่านี่เห็น คือ มีเก้าอี้กับโต๊ะ และบางจุดก็ดูเหมือนจะมีร่องรอยของการซ่อมแซม
ฉันสงสัยว่าที่นี่อาจจะเคยถูกโจมตีมาก่อน?
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้มาเยือนมมีดาร์คเอลฟ์คนหนึ่งมาด้วย
ข้าเลยพานางมาคุยกับท่าน พวกเขาบอกว่านางเป็นทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
และได้รับคำสั่งให้อธิบายตามความเป็นจริงและจะไม่ทำร้ายพวกเรา ข้าว่าเราน่าจะคุยกับนางได้”
“เข้าใจล่ะ ขอบใจเจ้ามาก แล้วพวกยามล่า?”
“ข้าสั่งให้คนของเราประจำตำแหน่งแล้วครับ”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว…”
“ขอโทษที่ให้รอนะสาวน้อย ข้ามีชื่อว่า ราซันโตะ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านแห่งนี้
เจ้าช่วยเล่าเรื่องของเจ้าให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมสาวน้อย?”
“ดิฉันมีชื่อว่าเฟลิเซีย เป็นบุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์
ที่อยู่ในป่าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรลาติน่าค่ะ
ยินดีที่ได้พบท่านค่ะ ท่านเอียซันโตะ”
ทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและเกลซังดูจะเป็นคนที่มีฝีมือ
ฉันเข้าใจได้ว่าความแข็งแกร่งจำเป็นแค่ไหนในการเอาชีวิตรอดอยู่ภายในปีศาจป่าแห่งนี้
“ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน! กลายมาเป็นทาสงั้นหรือ…”
“อืม…คงจะมีอะไรบ้างอย่างเกิดขึ้นสินะ เอาเถอะ…
ก่อนอื่น ข้าขอถามเกี่ยวกับเพื่อนร่วมทางของเจ้าก่อน
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาเยี่ยนถึงหมู่บ้านของเรา
และนั่นทำให้พวกเราลำบากใจกันไม่น้อยเลย”
ครั้งแรกเหรอ? อืม…ก็เข้าใจได้ เพราะจากเส้นทางที่พวกเราผ่านมาไม่น่าจะมีคนปกติที่ไหนผ่านมาได้
แต่ที่ทำให้ฉันสงสัยที่สุดคือพวกเขามาอยู่ที่นี่กันได้ยังไง?
แต่ถึงฉันจะอยากรู้แค่ไหนก็คงจะถามออกไปไม่ได้ เพราะพวกเขาน่าจะยังไม่ไว้ใจฉันขนาดนั้น…
“ฉันเดินทางมากับนายท่านและทาสของนายท่านอีกหนึ่งคน
และนักผจญภัยที่เป็นคนคุ้มกันของนายท่าน พวกเธอเป็นปาร์ตี้นักผจญภัยแรงค์ A ที่มีชื่อว่า จิราโซเล่
พวกเรามาที่นี้โดยไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายอะไรคนภายในหมู่บ้าน
และที่ฉันมาที่นี่ก็เป็นไปตามสัญญาที่ฉันได้ทำไว้กับนายท่าน ตอนที่ฉันกลายมาเป็นทาสค่ะ”
“สัญญาเรอะ? สัญญาที่ให้มาในที่ที่อันตรายถึงขนาดนี้เนี่ยนะ!
…ฟังดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อ เจ้าช่วยเล่าเนื้อหาของสัญญาให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม?”
ก็ถูกของคุณ ขนาดฉันเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย
เพราะเงื่อนไขที่ฉันยื่นให้นายท่านในตอนนั้นมันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากๆ จนฉันไม่คิดว่าเขาจะยอมเซ็นสัญญาเลยล่ะ
ตอนนั้นฉันคิดแค่อยากจะได้เงินมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยเหลือหมู่บ้าน
แม้จะรู้ดีว่าตัวเองจะต้องถูกนำไปขายทอดตลาด แต่ฉันก็หวังแค่ว่าจะได้เงินเพิ่มมาสักหน่อยก็ยังดี
ถึงขนาดทุกวันนี้ ฉันยังแอบคิดอยู่เลยว่าทั้งหมดนี่มันอาจจะเป็นเพียงแค่ความฝัน
ความฝันที่ทุกคนได้ย้ายไปอยู่ที่เกาะที่แสนสงบ
ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุข ไม่ต้องมาคอยหวาดกลัวว่าวันไหนจะถูกจับไปเป็นทาสอีกแล้ว
ได้กินอาหารอร่อยๆ ได้เห็นโลกกว้างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน…
จนฉันคิดว่าทั้งหมดนั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน…
แต่แล้วเมื่อนายท่านกอดฉันเอาไว้…ฉันก็ได้รู้ว่าทั้งหมดนั่นมันเป็นความจริง
ในคืนแรกของฉันกับนายท่าน…พวกเรา…จนถึงเช้า… แล้วก็หลังจากนั้นก็…ฟุฟุฟุ…
“เฟลิเซีย โอ้ยยย! เฟลิเซีย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“เอ๊ะ!…ขออภัยค่ะ พอท่านพูดเรื่องไม่น่าเชื่อขึ้นมา…
ฉันก็เลยเผลอไปนึกถึงช่วงเวลานั้นน่ะค่ะ เพราะฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน”
ฉันต้องมีสติสิ! ฉันมาที่นี่เพื่อเจรจานะ ต้องจริงจังมากกว่านี้
ไม่ใช่มามัวแต่นั่งเหม่ออยู่อยู่แบบนี้ แต่…วันนั้น นายท่านน่ารักมากๆ เลย… ฟุฟุฟุ~
“ดูเหมือนเจ้าจะผ่านเรื่องยากลำบากมาสินะ… หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ
พวกเราจะช่วยเจ้าเอง พวกเราจะช่วยเจ้าจะจากชีวิตเยี่ยงทาสนี้เอง!”
…เอ๊ะ! นี่พวกเขาเข้าใจผิดอะไรอยู่หรือเปล่านะ?
“ไม่ใช่นะคะ คือ…ฉันแค่มีความสุขมากค่ะ
มีความสุขมากจนคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นแค่ความฝันค่ะ
ฉันไม่ได้เดือดร้อน หรือลำบากอะไรเลยจริงๆ นะคะ!”
“หืม? เป็นอย่างนั้นเหรอ? …ข้าชักอยากฟังรายละเอียดแล้วสิ
เจ้าช่วยเล่ารายละเอียดของสัญญาให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม…”
“ค่ะ สัญญาระบุไว้ว่า นายท่านจะต้องช่วยหาสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับดาร์คเอลฟ์
ช่วยในการย้ายถิ่นฐาน และหากพบดาร์คเอลฟ์คนอื่นๆ ก็ต้องช่วยเหลือพวกเขาในการย้ายถิ่นเช่นกันค่ะ”
“สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับดาร์คเอลฟ์? ช่วยเล่าให้ละเอียดมากกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
ฉันจึงเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่ที่ที่หมู่บ้านถูกโจมตี ไปจนถึงการจัดงานเทศกาลที่บนเกาะ
และเรื่องอื่นๆ เท่าที่สามารถเล่าได้ โดยหลีกเลี่ยงเรื่องที่เป็นความลับทั้งหมด
“…อย่างนี้นี่เอง สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับดาร์คเอลฟ์สินะ…
สถานที่ที่สามารถร้องรำทำเพลง และจัดงานเทศกาล
ได้โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร…ข้าไม่เคยคิดฝันถึงสถานที่เช่นนั้นมาก่อนเลย”
ก็จริง เพราะฉันเองก็ไม่เคยคิดฝันถึงสถานที่เช่นนั้นมาก่อนเหมือนกัน
ไม่ว่าจะตอนที่อยู่ในหมู่บ้านหรือตอนที่ย้ายไปอยู่ที่เกาะใหม่ พวกเราก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย
จนกระทั่งนายท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมา และมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหมู่บ้านนี้
ที่อยู่ภายในป่าปีศาจ ที่จะทำเรื่องอย่างนั้นได้…
“เจ้าคิดว่ายังไง?”
“อืม ก่อนที่ข้าจะสรุปอะไร ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามาที่นี่กันได้อย่างไร?”
“…ต้องขออภัยด้วยค่ะ ฉันไม่สามารถเปิดเผยเรื่องความสามารถของนายท่านได้
แต่หากท่านยินดีที่จะย้ายถิ่นฐาน ท่านจะได้เห็นด้วยตาของท่านเอง”
“…เข้าใจล่ะ ข้าต้องหารือกับคนในหมู่บ้านก่อน และข้าอยากพบกับนายท่านของเจ้าด้วย
ข้าจะส่งคนไปแจ้งพวกเจ้าในวันพรุ่งนี้ เกลจะไปกับเจ้าด้วย”
“ฉันจะไปบอกนายท่านให้ค่ะ สุดท้ายนี้ถึงเรื่องทั้งหมดมันจะฟังดูน่าเหลือเชื่อ
แต่ฉันก็หวังว่าพวกท่านจะเชื่อในคำพูดของฉันบ้างนะคะ
พวกท่านสามารถเลือกได้ว่าจะย้ายหรือไม่ แต่ได้โปรดลองคิดดูด้วยค่ะ”
“ข้าจะลองคิดดู ขอบใจเจ้ามาก”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
…ฉันสงสัยว่าทุกอย่างจะเป็นยังไงต่อไป ฉันได้พูดทุกอย่างเท่าที่จะพูดออกไปได้แล้ว หวังว่าพวกเขาจะเชื่อฉันนะ…
เกลซังพาฉันกลับไปที่เรือแบบญี่ปุ่น และนายท่านก็มาต้อนรับฉันด้วยสีหน้าโล่งใจ…
~จบมุมมองของเฟลิเซีย~
เฟลิเซียกลับมาอย่างปลอดภัย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้บาดเจ็บอะไร
และสีหน้าก็ดูแจ่มใสด้วย น่าจะได้ผลตอบรับที่ดีสินะ
ดาร์คเอลฟ์คนนั้นมาแนะนำตัวเองว่าชื่อเกล และบอกกับผมว่าหัวหน้าหมู่บ้าน
ต้องการที่จะพบเพื่อพูดคุยด้วยในวันพรุ่งนี้
เขาบอกว่าไม่สามารถให้พวกเราอยู่ในหมู่บ้านได้
ผมจึงบอกไปว่าเราจะไปตั้งแคมป์ในจุดที่ไม่อยู่ในสายตาของคนจากหมู่บ้าน
ซึ่งมันตรงกับที่ผมคิดเอาไว้ อีกอย่างผมไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุแบบนั้นหรอกนะ
เรานัดกันว่าจะกลับมาเจอกันอีกทีในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ จากนั้นผมก็แล่นเรือออกจากบริเวณนั้น
“เฟลิเซียกลับมาได้อย่างปลอดภัย งั้นเราไปหาที่พักให้พ้นสายตาของคนในหมู่บ้านกันเถอะ”
เมื่อทุกคนเห็นพ้อง ผมก็ขับเรือไปยังจุดที่ไม่สามารถมองเห็นจากหมู่บ้านได้
แล้วก็อัญเชิญ ไฮด์อเวย์ ออกมา เรานั่งจิบชากันในห้องอาหารพลางฟังเรื่องราวจากเฟลิเซีย
หมู่บ้านดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก และจากที่เฟลิเซียเล่า
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเชื่อเรื่องราวของเธอแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งก็ไม่แปลก ถ้ามีใครโผล่มาแล้วพูดว่าจะพาไปอยู่ในที่ที่ดีกว่า ก็คงต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน
พวกเขาไม่ปฏิเสธการพูดคุยในวันพรุ่งนี้ ถือว่ายังมีหวัง
ผมจึงตั้งใจว่าจะพยายามให้เต็มที่ ถึงแม้สุดท้ายจะถูกปฏิเสธก็ตาม
หลังจากพูดคุยกัน ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าพรุ่งนี้น่าจะต้องด้นสด
เพราะตอนนี้พวกเราแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย
เลยไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก ขอแค่กินอิ่ม นอนหลับ
แล้วเก็บแรงเอาไว้สำหรับพรุ่งนี้ให้เยอะๆ แค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ในเช้าวันรุ่งขึ้น…หลังจากทำกิจวัตรยามเช้าเสร็จ
ผมก็อุ้มริมุแล้วตรงไปยังห้องอาหาร ตั้งใจว่าจะไปกินข้าวเช้า
แล้วจะนั่งพักผ่อนจนกว่าจะถึงเวลานัด แต่ก็นั่งไม่ติดสักที
เพราะถ้าภารกิจย้ายถิ่นฐานครั้งนี้สำเร็จ จำนวนดาร์คเอลฟ์บนเกาะก็จะเพิ่มขึ้น
และผมก็คงไม่ต้องลำบากออกไปตามหาพวกเขาอีกนาน
ผมจึงอยากจะทำมันให้สำเร็จให้ได้ เพื่อจะได้พักเรื่องการเดินป่าไปสักที
เส้นทางสู่การซื้อเรือสำราญสุดหรูก็ปูไว้เกือบหมดแล้ว
ขอแค่ทำภารกิจย้ายถิ่นฐานนี้สำเร็จ ซื้อเรือ จากนั้นก็จะได้เวลาเอ็นจอยกับชีวิต
โอ๊ะ! ผมยังอยากช่วยโดโรธีซังตามหาสไลม์อยู่นะ หวังว่าสไลม์ตัวต่อไปที่จะมาเข้ากลุ่มจะน่าสนใจนะ…
หลังจากอดทนรอด้วยความกระสับกระส่าย
ในที่สุดเวลานัดก็มาถึง พวกเรากลับไปยังหมู่บ้านดาร์คเอลฟ์ด้วยเรือญี่ปุ่น
ผมชักเริ่มรู้สึกปวดท้องขึ้นมาแล้วสิ เพราะผมไม่เก่งเรื่องการเจรจาเอามากๆ เลย…
เมื่อถึงหมู่บ้าน เกลซังก็มารับด้วยเรือเล็ก
“สวัสดีครับ ผมได้ยินว่าวันนี้จะมีการพูดคุยกันใช่ไหม?”
“ใช่ แต่ข้าไม่สามารถพาทุกคนเข้าไปได้ มีแค่เฟลิเซียและนายท่านของนางเท่านั้นที่เข้าไปได้”
“เดี๋ยวก่อนนะ ฉันเข้าใจว่าคุณอยากลดจำนวนคน
แต่ในฐานะผู้คุ้มกัน พวกเราก็ควรมีคนไปด้วยอย่างน้อยหนึ่งคนสิ”
จริงอย่างที่อลิเซียซังพูด การมี 3 คนย่อมปลอดภัยกว่าโดยเฉพาะในป่าปีศาจแห่งนี้
“…พวกเจ้าแข็งแกร่งพอที่จะเข้ามาที่นี่ได้
การเพิ่มคนอีกหนึ่งคนทำให้พวกเราเสียเปรียบ
ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากให้พวกเขามากันแค่สองคน”
“ฉันยอมรับเรื่องนั้นไม่ได่ เราสามารถลดคนให้ได้แค่นี้
ถ้าคุณตัดสินใจเองไม่ได้ ฉันก็ขอให้คุณกลับไปหารือกันที่หมู่บ้านใหม่แล้วค่อยมา”
“…เข้าใจแล้ว ข้าจะยอมให้ไปเพิ่มอีกหนึ่งคน”
เฮ้อ ดูเหมือนเกลซังจะเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าที่คิดแฮะ
“ขอบใจ งั้นฉันจะไปเอง”
อลิเซียซังเลยลงเรือมากับพวกเราด้วย
“…แล้วเจ้าสไลม์ตัวนั้นล่ะ เจ้าจะพามันไปด้วยเหรอ?”
“…ถ้าไม่ได้ ผมก็จะไม่เอาไปครับ”
“เจ้าคงจะคิดว่าข้าตื่นตูมแต่ข้าขอให้ช่วยงดเว้น การพาเจ้าสไลม์ตัวนั้นไปด้วยจะดีกว่า…”
อืม… ก็เข้าใจได้ ว่าในสถานการณ์แบบนี้จะเซ็ตตัวเองกับริมุเป็นแพ็คคู่มันก็คงจะดูแปลกๆ จริงๆ นั่นล่ะ…
“ริมุ รอผมอยู่ที่นี่ได้ไหม?”
“รอ?”
“ใช่ ผมจะออกไปข้างนอกสักพัก ริมุช่วยรออยู่ที่นี่ทีนะ”
“โอเค ริมุรอได้”
ผมอดไม่ได้ที่จะลูบหัวริมุเป็นรางวัล…
“…เรียบร้อยหรือยัง?”
“อ้อ ขอโทษที เรียบร้อยแล้วครับ”
ขณะที่ผมกำลังลูบริมุ เกลซังก็มองมาที่ผมอย่างสงสัย…
นี่หรือว่า! คุณจะยังไม่เข้าใจถึงความดีงามของสไลม์อย่างงั้นเหรอ? …ผมควรเริ่มเผยแพร่ลัทธิดีไหมนะ
จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปยังหมู่บ้านด้วยกัน
ผม เฟลิเซีย และอลิเซียซัง บรรยากาศในหมู่บ้านดูเงียบผิดปกติ…
แต่ผมไม่กล้าถาม เพราะ 90% น่าจะมาจากพวกเรานี่แหละ
มีแพหลายลำลอยล้อมรอบหินก้อนใหญ่อยู่
บ้านต่างๆ ถูกสร้างขึ้นบนแพเหล่านั้น หินที่มองจากไกลๆ ก็ดูใหญ่อยู่แล้ว
แต่พอเข้ามาใกล้จริงๆ ก็ยิ่งดูใหญ่เข้าไปอีก
ถ้าวัดจากที่เห็นด้วยตา ก็น่าจะประมาณบ้านสองชั้นขนาดปกติของญี่ปุ่นสองหลังวางคู่กัน
พื้นที่ที่อยู่ใต้น้ำก็คงจะใหญ่ไม่แพ้กัน
ตัวบ้านในหมู่บ้านนี้เองก็ดูคล้ายๆ กันหมด น่าจะออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับการอยู่บนแพ
เมื่อเราเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ก็มีชายสองคนออกมาต้อนรับ พร้อมกับเกลซังที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“ข้าชื่อ ราซันโตะ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้”
อีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาน่าจะเป็นผู้คุ้มกันสินะ
แต่… สามหนุ่มหน้าตาดีมายืนเรียงกันแบบนี้มัน…
หรือว่าผมคิดมากไปเองแต่มันรู้สึกกระอักกระอ่วนยังไงก็ไม่รู้…
“ผมชื่อ วาตารุ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
พวกเขาเชิญให้นั่ง ผมจึงนั่งลง ส่วนเฟลิเซียกับอลิเซียซังก็ไปยืนประจำตำแหน่งด้านหลังของผม
…มีเก้าอี้เหลืออยู่นะ ช่วยนั่งข้างๆ ผมสักคนสิ…
เงียบ? …ดูเหมือนผมจะต้องทำการเจรจาคนเดียวสินะ
ความกดดันชักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ แต่นี่เพื่อความสุขของตัวผมเอง ดังนั้นต้องพยายามให้ถึงที่สุด
MANGA DISCUSSION