หลังจากที่พวกมอนสเตอร์สลายตัวไป พวกเราก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง
โดยมุ่งหน้าลึกเข้าไปยังใจกลางของป่าปีศาจ การสำรวจดำเนินไปอย่างระมัดระวัง
แต่ก็ยังมีบางครั้งที่พวกงมอนสเตอร์ถูกกระตุ้น จนพวกเราต้องกลับไปหลบในไฮด์อเวย์อยู่หลายครั้ง
“อืม… ฉันไม่เข้าใจเลยว่าพวกมันถูกกระตุ้นด้วยอะไร”
พวกเรานั่งล้อมวงกันบนไฮด์อเวย์ พร้อมกับถกเถียงกันเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะที่ถูกล้อมไปด้วยกองทัพมอนสเตอร์
“ใช่ ไม่ว่าจะกำจัดมันไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
นี่ขนาดไม่มีใครอยู่พวกมันยังโจมตีเข้ามาไม่หยุดเลย มีใครพอสังเกตเห็นอะไรบ้างไหม?”
อลิเซียซังถามขึ้น แต่สาวๆ ทุกคนต่างก็ส่ายหน้า ไม่มีใครพบเบาะแสอะไรเลยสินะ?
“พวกเรารู้แค่ว่าถ้าไม่โผล่ออกไปให้มอนสเตอร์เห็น พวกมันจะสงบลงภายใน 3-4 วัน
แต่แบบนี้มันจะเสียเวลาเกินไปแล้ว? หรือเราควรหันไปจัดการกับพวกมันแทน?”
“โดโรธีพูดถูก พวกเราน่าจะกำจัดมันไปเลย…”
“เดี๋ยวก่อน ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีหรอกนะ”
มีปัญหาอย่างงั้นเหรอ? แล้วมันจะมีปัญหาอะไรถ้าพวกเรากำจัดมอนสเตอร์ไป?
ผมไม่เข้าใจเลยว่าอัลม่าซังต้องการจะสื่ออะไร…
“มีปัญหาอะไรอย่างงั้นเหรอครับ อัลม่าซัง?”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อัลม่าซังก็ตอบคำถามของผม
“คือ…ฉันคิดว่าถ้าเราทำแบบนั้นมันจะไม่ดีสำหรับมนุษย์สัตว์ที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ค่ะ
เพราะถ้าเรากำจัดมอนสเตอร์ในป่าปีศาจไปจนหมด ประเทศนี้ก็จะสามารถเข้ามาพัฒนาพื้นที่ภายในป่าปีศาจได้
การที่ประเทศที่ยึดถือมนุษย์เป็นใหญ่จะมีอำนาจเพิ่มขึ้นแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับมนุษย์สัตว์เลยค่ะ”
อัลม่าซังพูดออกมาด้วยความลำบากใจแต่ก็ชัดเจน
“อา…อย่างงี้นี่เอง ถ้าประเทศนี้แข็งแกร่งขึ้น ก็มีโอกาสจะไปโจมตีประเทศอื่นสินะครับ”
“ใช่ค่ะ แล้วมนุษย์สัตว์ก็จะถูกใช้งานอย่างไม่เป็นธรรมด้วย
อีกอย่างประเทศนี้เป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิ
หากพวกเขาเข้าไปช่วยจักรวรรดิที่กำลังลำบากมันจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปอีกค่ะ”
เข้าใจเลยว่าถ้าพวกเราทำอะไรแบบนั้นลงไปมันคงจะวุ่นวายมากแน่ๆ …
แต่ถ้าให้พูดตรงๆ คือเรื่องพวกนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับผม เพราะต่อให้จักรวรรดิกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิม
ผมก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าพวกเขาพยายามเข้ามายุ่งกับผมอีกล่ะ…
งั้นก็คงเรื่องได้แต่ทางที่เสียเวลาสินะ ผมขอเลือกทางที่เสียเวลาดีกว่าต้องเข้าไปยุ่งกับจักรวรรดิอีกครั้ง
“ถ้างั้น ผมขอเลือกทางที่เสียเวลาดีกว่าครับ
เพราะผมไม่อยากไปช่วยประเทศที่ยึดถือมนุษย์เป็นใหญ่พวกนั้น
เรามาค่อยๆ สำรวจไปเรื่อยๆ ดีกว่าครับ”
พวกเราจึงตัดสินใจหยุดแผนการกวาดล้างมอนสเตอร์
แล้วค่อยๆ สำรวจป่ากันต่อไป เพราะไม่อยากก่อปัญหาให้กับฝ่ายมนุษย์สัตว์
พวกเรากลับมาเริ่มต้นการสำรวจกันใหม่ และมุ่งหน้าเข้าไปยังใจกลางของป่าปีศาจอีกครั้ง
พวกเราพบว่าหากเราพยายามหลบและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกมัน
จะทำให้พวกมันถูกกระตุ้นน้อยลง แต่ก็ยังถูกกระตุ้นอยู่ดี จนพวกเราต้องเข้าไปหลบอยู่ในไฮด์อเวย์อีกหลายครั้ง
ตอนนี้พอมาลองคิดดู สมมติว่าพวกเราพบกับดาร์คเอลฟ์แล้วพวกเขาก็ยินดีที่จะย้ายถิ่นฐาน…
แล้วพวกเราจะพาพวกเขาออกจากป่าปีศาจไปได้ยังไงกันล่ะเนี่ย?
ถ้าพวกเขาอาศัยอยู่ในป่าปีศาจ บางทีพวกเขาอาจรู้เงื่อนไขที่ทำให้ทริกเกอร์ทำงานก็ได้
ถ้าไม่รู้ ผมก็คงต้องเปิดเผยความลับเรื่องสกิลอัญเชิญเรือของผม ซึ่งผมไม่อยากทำเลย…
อืม…ไว้ค่อยคิดอีกทีตอนเจอกับพวกเขาก็แล้วกัน
หลังจากออกสำรวจและถอยกลับเข้าไปหลบอยู่ใน ไฮด์อเวย์ หลายครั้ง
จนกระทั้งเวลาล่วงเลยไปเกือบ 2 เดือน ในที่สุดพวกเราก็มาหยุดที่ตรงหน้าทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
“…..”
ทิวทัศน์ที่งดงามที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเราทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก
“มันสวยจังเลยนะคะ”
“ครับ…”
พวกเราจ้องมองทะเลสาบอยู่เงียบๆ จนคำพูดของอลิเซียซังดึงสติของพวกเรากลับมา
ก็แน่ล่ะ ผมเองก็ยังตกใจที่ได้พบสถานที่ที่แสนมหัศจรรย์ที่ใจกลางของป่าปีศาจแบบนี้ จนอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
มันเหมือนกับทะเลสาบโมเรนในแคนาดาที่ผมเคยเห็นในทีวีเลย
น้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ส่องประกายระยิบระยับสะท้อนกับแสงอาทิตย์
มันสวยเกินกว่าจะเชื่อได้ว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ป่าแบบนี้ได้…
ผมจำได้ว่าทะเลสาบโมเรนเกิดจากการละลายของหิมะ
แต่ที่นี่มันไม่เห็นมีหิมะเลยนี่นา…หรือเพราะเป็นต่างโลก? ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ…
“ถึงมันจะเป็นทะเลสาบที่สวยขนาดไหน แต่ตอนนี้พวกเราก็ยังอยู่ในป่าปีศาจอยู่ดี
ผมขออัญเชิญ ลูโตะ ออกมาก่อนนะครับ พวกเราจะได้พักกันสักหน่อย”
ถึงจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะทำลายบรรยากาศก็เถอะ…
แต่สุดท้ายพวกเราก็ต้องใช้เรือในการสำรวจต่อไปอยู่ดี
จะช้าหรือเร็วยังไงผมก็ต้องอัญเชิญลูโตะออกมา
“ฟุฟุ ได้มาเจอสถานที่ที่สวยงามขนาดนี้อยู่ภายในป่าปีศาจนี่…
มันสุดจะบรรยายจริงๆ เพราะงี้แหละฉันถึงเลิกเป็นนักผจญภัยไม่ได้ซักที”
“ใช่ ถึงพวกเราจะไปมาหลายที่แล้วแต่ก็ไม่เคยมีที่ไหนสวยงามขนาดนี้มาก่อนเลย…ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจดีจริงๆ”
สาวๆ คนอื่นก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยเหมือนกัน พวกเธอคุยกันเรื่องความสวยงามของทัศนียภาพกันอย่างออกรส
ผมเองก็รู้สึกประทับใจเหมือนกันเพราะตอนที่ผมยังอยู่ที่ญี่ปุ่น
ผมเองก็เคยไปเที่ยวชมสถานที่ที่มีวิวสวยๆ อยู่เหมือนกัน
แต่การได้เห็นภาพจากอินเทอร์เน็ตหรือไกด์บุ๊กก่อนที่จะไปเห็นของจริง
กับการได้มาเห็นของจริงกับตาตัวเองโดยไม่รู้ตัวล่วงหน้าแบบนี้ ความรู้สึกประทับใจมันต่างกันเยอะ
ผมออกไปนั่งที่บนดาดฟ้าเรือ จิบชา และชมวิวไปด้วย
อ๊า…ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ การได้มานั่งจิบชาบนเรือที่อยู่ท่ามกลางทะเลสาบที่งดงามอย่างนี้…
“ริมุ สวยใช่ไหมล่ะ?”
“อืม”
ริมุซึ่งนั่งอยู่ขอบเรือ กำลังจ้องมองวิวอยู่เงียบๆ…หรือจะเป็นแค่ผมที่รู้สึกว่าการที่สไลม์กำลังชมวิวอยู่แบบนี้มันดูเท่มากๆ นะ?
อ๊ะ ฟูจังก็มาด้วย แถมยังขึ้นไปนั่งอยู่บนหัวของริมุอีกต่างหาก…
ผมอยากถ่ายรูปนี้เก็บเอาไว้จัง นี่ถ้าโดโรธีซังสามารถฝึกสไลม์สีชมพูได้อีกตัวล่ะก็…
เราจะมี “ดังโงะสามสี” แบบครบเซ็ตเลยนะ… ชักหิวขึ้นมาแล้วสิ
“วาตารุซัง ฉันคิดว่าเราน่าจะเริ่มสำรวจรอบๆ ทะเลสาบกันได้แล้วนะคะ?”
“ได้สิครับ อลิเซียซัง”
พูดจบผมก็ขึ้นไปบนห้องบังคับ เแต่แล้วหลังจากมองไปรอบๆ ผมก็ต้องกลับลงมาอีกครั้ง
“มีอะไรเหรอคะ วาตารุซัง?”
“ผมเห็นจุดที่เป็นน้ำตื้นอยู่หลายจุดเลยครับจากด้านบน
เลยคิดว่าเราควรจะใช้เรือแบบญี่ปุ่นในการสำรวจน่าจะดีกว่า”
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้วค่ะ”
อลิเซียซังมองมาที่ผมด้วยสายตาชื่นชม…ผมก็แค่เห็นว่าน้ำมันตื้นเฉยๆ เองนะ
ทำไมเธอถึงดูประทับใจขนาดนั้นล่ะ? ผมจึงอัญเชิญเรือแบบญี่ปุ่นออกมา แล้วเรียกลูโต้กลับไป
“งั้นไปกันเลยนะครับ”
ผมล่องเรือไปตามทะเลสาย…น้ำที่นี่ใสมากจนเห็นปลาตัวใหญ่ๆ ว่ายอยู่เลยล่ะ
ทั้งที่เคยได้ยินว่าทะเลสาบที่มีน้ำที่ใสมากๆ จะมีสารอาหารน้อย
แต่ที่นี่กลับมีปลาที่ขนาดใหญ่เกินกว่า 1 เมตร อยู่ให้เห็นเต็มไปหมดเลย
ไม่รู้ว่าปลาพวกนี้เป็นมอนสเตอร์ด้วยรึเปล่า? หลังจากแล่นเรือวนไปรอบๆ
ผมก็เห็นก้อนหินขนาดใหญ่ก่อนหนึ่งตั้งอยู่ไกลๆ มันใหญ่มากจนแม้จะอยู่ไกลๆ ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“อยากลองไปตรงหินนั้นดูไหมครับ ทุกคน?”
“ไปกันเถอะค่ะ”
“วาตารุซัง ตอนเข้าไปก็ระวังหน่อยนะคะ
เพราะฉันเห็นเหมือนมีสิ่งปลูกสร้างอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆ กับก้อนหินนั่น”
สิ่งปลูกสร้าง? ผมพยายามเพ่งไปตามารีน่าบอก แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย
แต่ถ้ามีสิ่งปลูกสร้าง ก็แสดงว่าอาจจะมีคนอาศัยอยู่…
ถ้าไม่ระวังก็อาจจะทำให้พวกเขาตกใจได้ งั้นเรามาค่อยๆ เข้าไปอย่างระมัดระวังกันดีกว่า
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะขับเรือเข้าไปอย่างช้าๆ”
ยังมีระยะห่างอยู่อีกมาก ผมเลยค่อยๆ ลดความเร็วลง
พร้อมกับภาวนาในใจว่าของให้เป็นพวกดาร์คเอลฟ์ แต่ภายในใจลึกๆ ก็เตรียมใจไว้เผื่อเจอกับอะไรอย่างอื่นด้วย
ถ้าเป็นดาร์คเอลฟ์จริงๆ ก็จะดีมากเลย เพราะผมไม่อยากเดินวนอยู่ในป่านี้อีกแล้ว
เมื่อเข้าไปใกล้ ผมก็เห็นว่ามีแพไม้ลอยล้อมอยู่รอบๆ ก้อนหินลูกใหญ่ลูกนั้น และมีบ้านไม้อยู่หลายหลังสร้างอยู่บนก้อนหิน…
ดูเหมือนพวกเขาจะใช้ทะเลสาบเป็นแนวป้องกันตัวเองจากมอนสเตอร์สินะ
ขณะที่พวกเราเข้าใกล้ด้วยความระมัดระวัง ก็เห็นดาร์คเอลฟ์คนหนึ่งถือคันธนูเล็งมาทางพวกเรา…
ผมดีใจมากที่ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกับดาร์คเอลฟ์สักที
แต่ก็รู้สึกแหยงๆ ที่พวกเขาตั้งท่าที่จะยิงเข้ามาอยู่เหมือนกัน…
แต่ก็นะ พวกเขากำลังหลบซ่อมกันอยู่นี่นา…จู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มุ่งหน้าเข้ามาแบบนี้ยังไงก็ต้องระวังตัวกันอยู่แล้ว…
“ยินดีด้วยนะคะ วาตารุซัง ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอกับดาร์คเอลฟ์แล้ว..ถึงพวกเขาจะระวังตัวกันแบบสุดๆ ก็เถอะ”
“ครับ หวังว่าพวกเขาจะไม่แตกตื่นกันนะครับ…”
“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะค่ะ พวกเราดูน่าสงสัยจะตาย”
อลิเซียซังพูดถูก เพราะถ้าจู่ๆ คนแบบจิราโซเล่เดินเข้ามาหาผม
ผมเองก็คงสงสัยเหมือนกันว่ากำลังจัดประกวดนางงามอยู่เหรอ?
เอาเถอะ เราต้องเริ่มจากทำให้พวกเขาไว้ใจพวกเราซะก่อน
“เฟลิเซีย ช่วยออกไปคุยให้หน่อยนะ”
“ไว้ใจได้เลยค่ะ นายท่าน ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด”
เฟลิเซียดูเอาจริงมาก สมแล้วที่มันเป็นสิ่งที่เธอปรารถนา
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
ผมจอดเรือตามที่ถูกสั่ง และพยายามทำตัวให้พวกเขาวางใจที่สุด…แบบนี้มันจะได้ผลไหมเนี่ยนะ?
“พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง? แล้วรู้จักกับที่นี่ได้ยังไง?”
ว้าว! น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจแบบเต็มๆ เลยล่ะ
ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะโกหกในสถานการณ์แบบนี้ เล่าไปตามตรงเลยแล้วกัน
“พวกเรามาที่นี่ได้ด้วยสกิลของผมน่ะ แล้วพวกเราก็ไม่รู้จักที่นี่มาก่อน
แต่ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อตามพวกคุณดาร์คเอลฟ์…”
“เจ้าคิดจะมาจับพวกเราไปเป็นทาสสินะ?”
ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าจะพูดอย่างงี้…
“ผมไม่ได้คิดจะจับพวกคุณไปเป็นทาสหรอกนะ
ดังนั้นขอเข้าไปใกล้กว่านี้หน่อยได้ไหม? จะได้ไม่ต้องตะโกนคุยกันแบบนี้”
“ไม่ได้”
ก็คิดไว้อยู่แล้ว… การที่ต้องตะโกนคุยกันแบบนี้ช่างลำบากจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องพยายาม
“เอ่อ ที่จริงพวกเรามาชวนพวกคุณให้ย้ายถิ่นฐานนะ
แต่ถ้าพวกคุณพอใจกับการอยู่อาศัยภายในป่าแห่งนี้ และไม่ต้องการย้าย เราก็จะจากไปอย่างสงบ”
“ย้ายถิ่นฐาน? โลกภายนอกเปลี่ยนไปแล้วงั้นรึ?
ไม่มีทาสอีกต่อไปแล้ว? หรือพวกที่เหยียดเผ่าพันธุ์สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว?”
น้ำเสียงของเขาช่างฟังดูขมขื่นจริงๆ ถ้าผมตอบอะไรพลาดไปมีหวังโดนลูกธนูยิงใส่แน่ๆ
“ไม่ ทาสยังคงมีอยู่ และพวกที่เหยียดเผ่าพันธุ์ก็ยังมีอยู่เหมือนกัน”
“งั้นเจ้าจะให้เราออกจากป่าเพื่อไปเสี่ยงโดนจับทำไม?”
“…ผมก็เข้าใจความรู้สึกของพวกคุณนะ แต่เรื่องการย้ายถิ่นฐานมันมีอยู่หลายทางเลือก
ผมเองก็มีทาสที่เป็นดาร์คเอลฟ์อยู่คนนึง ที่เรามาที่นี่ก็เพราะสัญญาที่ผมทำกับเธอไว้
พวกคุณอยากฟังเรื่องราวของเธอหน่อยไหม?”
(วาตารุซัง พูดเรื่องทาสออกไปแบบนั้น พวกเขาจะโกรธแย่เหรอคะ? นี่คุณกำลังทำอะไรของคุณอยู่เนี่ย?)
(อลิเซียซัง อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นสิครับ มันเจ็บจึ๊ดๆ เลยนะครับนั่น…)
(แต่ถึงจะไม่พูด ยังไงพวกเขาก็จับได้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ?)
(เพราะแบบนั่นแหละ ผมถึงพูดมันออกไปเลย)
“เจ้าคิดว่าเราจะเชื่อคำพูดของคนที่จับพวกเดียวกันไปเป็นทาสงั้นรึ?”
เสียงนิ่งๆ แบบนั้นยิ่งทำให้น่ากลัวกว่าตอนที่ตะโกนอีก
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณครับ แต่นี่สัญญาทาสอย่างเป็นทางการที่ได้รับการคุ้มครองจากเทพแห่งการค้า
ดังนั้นไม่มีเรื่องของการบังคับฝืนใจกันอย่างแน่นอน ถ้าคุณอยากตรวจสอบสัญญาผมก็ยินดีครับ”
“…เจ้าคิดว่าในป่าแบบนี้จะมีทางที่จะตรวจสอบสัญญาแบบนั้นได้งั้นรึ?”
“เอ่อ…พอมาลองคิดดูดีๆ ก็คงจะไม่มีสินะครับ?”
ผมคิดแค่ว่าถ้าเอาสัญญาไปให้เขาตรวจอะไรๆ ก็คงง่ายขึ้น
แต่พอมาลองคิดดูอีกทีใยนป่่าแบบนี้จะไปตรวจสอบกันยังไงล่ะเนี่ย?
“เฟลิเซีย พอมีวิธีที่แยกทาสที่ถูกกฎหมายกับผิดกฎหมายออกจากกันไหม?”
“มีค่ะ คนที่ถูกเวททาสจะถูกควบคุมจิตใจและการกระทำ
จนเห็นได้อยางชัดเจนเลยค่ะ ว่าถูกเวททาสสะกด”
“โอ้ อย่างงั้นเหรอ!”
“ค่ะ”
ดี แบบนี้ก็ไม่ต้องพิสูจน์อะไรให้ยุ่งยากแล้ว
“งั้นพวกคุณลองคุยกับเธอดูสิครับ แล้วจะรู้เองว่าเธอเป็นทาสที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย?”
“เจ้าคิดว่าเราจะยินดีที่ได้เห็นพวกพ้องของเราถูกจับไปเป็นทาสงั้นรึ
ไม่ว่าถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายก็ตาม เจ้าคิดว่าดาร์คเอลฟ์คนนั้นอยากจะไปเป็นทาสงั้นรึ?”
“ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพยายามจะสื่อนะครับ และเธอเองก็ไม่ได้อยากมาเป็นทาสหรอก
แต่เธอก็เลือกที่จะเสี่ยงเพื่ออนาคตที่ดีกว่า แล้วพวกคุณล่ะ คิดว่าจะมีอนาคตในป่าแห่งนี้เหรอครับ?”
ผมรู้สึกว่าคำพูดเมื่อกี้ก็เท่อยู่นะ ถึงจะเขินหน่อยๆ ที่พูดออกไปก็เถอะ…
“…”
พวกเขาเงียบกันไปหมด ก็เข้าใจได้แหละนะ
ดูจากบ้านที่มีอยู่ไม่กี่หลัง แถมต้องมาใช้ชีวิตในป่าปีศาจแบบนี้ คงไม่ใช่ชีวิตที่สบายนักหรอก
“งั้นเอาแบบนี้ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยฟังเรื่องของเธอก่อน ที่เหลือผมจะให้พวกคุณเป็นคนตัดสินใจเอง
ไม่ว่าพวกคุณจะยอมรับหรือปฏิเสธ พวกเราจะไม่บังคับ และจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วย”
“…ถ้าดาร์คเอลฟ์คนนั้นเป็นคนพูดเอง ข้าจะยอมฟัง
แต่เจ้าต้องสั่งให้เธอพูดความจริงทุกอย่าง ห้ามโกหก และห้ามทำร้ายพวกเรา”
…พูดความจริงทุกอย่าง? ห้ามโกหก? แบบนี้ก็ต้องถามเกี่ยวกับผมด้วยน่ะสิ แล้วแบบนี้จะทำยังไงดีล่ะ?
ผมไม่อยากให้พวกเขารู้เรื่องที่ว่าผมมาจากต่างโลกหรือเรื่องสกิลเฉพาะตัว
โดยเฉพาะเรื่องของผมกับเฟลิเซีย เกิดพวกเขาถามเรื่องชีวิตส่วนตัวขึ้นมาล่ะก็…ไม่ไหวมันน่าอายเกินไป
“เฟลิเซีย เธอโอเคไหม? มันอาจจะอันตรายนะ ถ้าเขาจับตัวเธอเป็นตัวประกันน่ะ…”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ นายท่าน ฉันจะโน้มน้าวพวกเขาให้ได้ กรุณาให้ฉันไปเถอะค่ะ”
“อืม…เข้าใจแล้ว แต่ห้ามทำอะไรที่เสี่ยงเกินไปนะ”
“ค่ะ”
เฟลิเซียดูแน่วแน่มาก หวังว่าความพยายามของเธอจะไม่สูญเปล่านะ
“เอ่อ ผมคงทำตามทั้งหมดที่พวกคุณขอมาไม่ได้ครับ
เพราะผมเองก็มีเรื่องที่ต้องปิดบังอยู่เหมือนกัน แล้วก็มีบางเรื่องที่ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้
ดังนั้นผมจะสั่งให้พูดแค่เรื่องการย้ายถิ่นฐาน
ส่วนเรื่องทำร้าย ถ้าพวกคุณไม่โจมตีเข้ามาก่อน
ผมจะสั่งให้เธอห้ามทำอะไร และที่เหลือจะขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของตัวเธอเอง”
“…เข้าใจแล้ว งั้นข้าจะลองฟังในสิ่งที่เธอพูด
ข้าจะออกไปรับเธอเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าอย่าทำอะไรตุกติกล่ะ”
“ครับ”
จากนั้นก็มีดาร์คเอลฟ์คนนึงพายเรือเล็กเข้ามารับตัวของเฟลิเซียไป
พวกเขาดูระวังตัวกันสุดๆ เลยล่ะ
เพราะเขามายืนยันว่าผมได้ออกคำสั่งตามที่ตกลงกันไว้หหรือเปล่า
ผมจึงสั่งเฟลิเซียไปตามนั้นต่อหน้าเขา จากนั้นเธอก็ขึ้นเรือเล็กไปและมุ่งหน้าไปยังแพของพวกเขา
ผมล่ะอดเป็นห่วงเฟลิเซียไม่ได้จริงๆ …
MANGA DISCUSSION