การทดสอบบาเรียได้จบลงแล้ว พวกเราจึงเดินทางกลับมาที่เมืองทางใต้กัน
เหล่าสมาชิกจิราโซเล่ที่ไม่ได้สัมผัสกับลูโตะมานาน ต่างก็พึงพอใจไปกับการอาบน้ำ
และอาหารจากตู้ขายของอัตโนมัติที่ผมซื้อมาตุนเอาไว้มากๆ เลยล่ะ
ไม่ได้เห็นหน้าตาที่ยิ้มแย้มของพวกเธอแบบนี้มานานแล้วสินะ
โชคดีจริงๆ ที่วันนี้พวกเธอมากับผมด้วย
ไอเนสเองก็บอกกับผมว่าเคยได้ยินเรื่องของพาริสซังมาเหมือนกัน
แต่ยังไม่เคยเจอเขาตัวเป็นๆ เฟลิเซียบอกว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตัวตนแบบเขาอยู่ในโลกนี้ด้วย
ก็นะจู่ๆ ได้เห็นการโจมตีระดับสัตว์ประหลาดแบบนั้น เป็นไม่ว่าจะเป็นใครก็คงต้องมีช็อคกันบ้างล่ะ
ขนาดผมเองยังไม่อยากจะเชื่อสายตา ตอนนี่เห็นลูโตะถูกส่งลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย…
ถ้าให้ลองวิเคาะห์ดู ผมคิดว่าการที่พาริสซังสามารถส่งลูโตะให้ลอยขึ้นไปกลาางอากาศได้แบบนั่น
น่าจะเกิดจากการที่เขาดันน้ำทะเลที่อยู่ใต้ท้องให้มันดันตัวเรือขึ้นไปมากว่าจะเป็นการสัมผัสกับท้องเรือโดยตรงสินะ
แต่ถึงจะคิดได้แบบนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีกว่าการแทงหอกลงบนผิวน้ำ
มันทำให้เกิดแรงดันน้ำจนส่งเรือให้ลอยขึ้นไปในอากาศได้ยังไง ยิ่งคิดเท่าไหร่ผมก็ไม่เข้าใจเท่านั้น…
“นี่ทั้งสองคนคิดว่ามันจะเป็นอะไรไหม ถ้าพวกเราอยู่บนลูโตะตอนที่พาริสซังดีดเรือขึ้นไปบนอากาศแบบนั้นน่ะ?”
“อืม ฉันคิดว่ามันน่าจะไม่เป็นอะไรนะคะ ถ้ามันลอยสูงขึ้นได้แค่นั้น
แต่ถ้านายท่านรู้สึกไม่สบายใจ จะให้เฟลิเซียกางบาเรียไว้ข้างในเรือด้วยก็ได้นะคะ
เพราะถ้าทำอย่างนั้นต่อให้เรือจะถูกกระแทกแค่ไหนพวกเราก็ยังปลอดภัยค่ะ
แล้วก็มีเวลาพอที่จะให้นายท่านเรียกเรือลำใหญ่กว่าออกมาได้ด้วยค่ะ”
“จริงด้วย! ผมขอฝากเรื่องนี้ไว้กับเธอนะ เฟลิเซีย”
“ค่ะ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ”
“ขอบคุณมาก”
บางทีผมอาจระแวงเกินไปจริงๆ ก็ได้ เพราะได้เจอในสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยทำให้ผมตกใจ
แต่พอได้มาคุยกับพวกเธอถึงแผนการรับมือแบบนี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะเลย
เอาล่ะ ไหนๆ ตอนนี้ก็สบายใจแล้ว มาลองหาเรือสำราญที่ถูกใจดูสักลำดีกว่า
ตอนแรกผมคิดว่ายิ่งเรือสำราญลำใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่พอไปลองคิดดูดีๆ แล้ว
ถ้าผมอยากสนุกให้เต็มที่ในฐานะแขกจริงๆ ล่ะก็ มันมีตัวเลือกให้เลือกมากมายเลยล่ะ
ก่อนหน้านี้ผมเอาแต่สนใจพวกสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บนเรืออย่างเดียว
จนลืมคิดเรื่องกิจกรรมต่างๆ ที่มีให้ทำบนเรือไปซะสนิทเลย
อีกอย่างมันมีรูปแบบให้เลือกหลากหลายมาก จนผมแทบจะเลือกไม่ถูกเลยล่ะ
แต่ถ้าจะใช้แบ่งออกเป็นคร่าวๆ ก็จะได้ 3 แบบคือ แบบหรูหรา แบบพรีเมียม แล้วก็แบบธรรมดา
แต่ในเมื่อผมเป็นเจ้าของเรือ ผมก็ต้องเลือกลำที่ผมชอบที่สุดสิ
ผมเจอเรือสำราญหลายลำเลยที่ผมอยากได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะต้องตัดสินใจเลือกเพียงแค่ลำเดียว
จากที่ดูผมสนใจ Oasis of the Seas กับ Harmony of the Seas เป็นพิเศษ
เพราะทั้งคู่เป็นเรือระดับ 220,000 ตันดัวยกันทั้งคู่…ว่าแต่หนักขนาดนั้นมันลอยอยู่ในทะเลได้ยังไงนะ?
อาหารก็ไม่ได้มีแค่ห้องอาหารหลักเพียงห้องเดียว แต่ยังมีบุฟเฟ่ต์
ร้านอาหารอิตาเลียน ร้านสเต๊ก ร้านเบอร์เกอร์ ร้านอาหารญี่ปุ่น พิซซ่า และอื่นๆ…
แถมสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีทั้งโรงหนัง สระว่ายน้ำ มินิกอล์ฟ
ลานสเก็ตน้ำแข็ง เรือนกระจก ซิปไลน์ ปีนผา ห้องสมุด และอื่นๆ อีก…
ไหนจะมีโซนที่จำลองอเมริกาในยุคศตวรรษที่ 20 กับสวนลอยน้ำที่มีต้นไม้กับดอกไม้จริงๆ อีก… มันใหญ่ซะจนผมนึกภาพไม่ออกเลย
ข้อดีก็คือ มันมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดูน่าสนใจเยอะมากๆ แถมร้านอาหารก็ยังดูดีอีก
และที่สำคัญที่สุดคือมันมีจุดที่ให้กินอาหารได้ฟรีด้วยยังไงล่ะ!…ว่าแต่มันจะให้กินฟรีได้จริงๆ เหรอ?
ส่วนข้อเสียก็อย่างที่รู้ๆ กันคือมันแพงยังไงล่ะ! ไม่สิ แค่คำว่าแพงไม่น่าจะพอ ต้องใช้คำว่าแพงมากต่างหาก
เพราะมันมีราคาสูงถึง 1,255 เหรียญทองคำขาว เลยยังไงล่ะ แล้วก็จุผู้โดยสารได้ถึง 5,000 คน เลยนะ
ถึงเรื่องนี้มันจะไม่จำเป็นก็เถอะ แต่ผมอยากจะบอก เพราะยังไงผมก็ยังหลงใหลในเรือลำใหญ่ๆ อยู่ดี
เพราะมันรู้สึกปลอดภัย อีกอย่างถ้าผมได้เรือลำนี้มาจริงๆ ผมจะสามารถขังตัวเองอยู่ในนั้นไปได้อีกหลายปีเลยล่ะ
แน่นอนว่ายังมีเรือสำราญแบบอื่นๆ ด้วย ที่มีขนาด 50,000 ตัน
100,000 ตัน หรือ 150,000 ตัน แต่ถ้าดูที่สิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว เรือขนาด 220,000 ตัน นี่กินขาดจริง ๆ
มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากจริงๆ ว่าควรเก็บเงินเพื่อซื้อเรือขนาด 220,000 ตัน เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกของมันดีกว่า
หรือควรจะพอใจกับเรือขนาด 100,000 หรือ 150,000 ตัน ที่ดูจะซื้อได้ง่ายกว่าดี…
โดยเฉพาะเรือขนาด 150,000 ตัน เพราะขนาดนี้ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันแล้ว
อีกอย่างจะเปลี่ยนใจเพราะแค่ไม่ชอบมันก็ไม่ได้ด้วย เพราะราคาของแต่ละลำมันสูงเกินไป
…สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของผมอยู่ดี ถ้าผมอยากที่จะซื้อเรือขนาด 220,000 ตัน
ด้วยเงินในบัญชีของผมตอนนี้บวกกับเงินที่ได้จากการขายเรือพริกไทยจำนวน 60 ลำ
ก็น่าจะพอสำหรับการซื้อมันได้แล้ว แต่เงินที่จะต้องเก็บเอาไว้ใช้ในอนาคตล่ะ
อืมลำบากใจชะมัดเลย…เอาล่ะ ไหนๆ ก็ได้มาต่างโลกแล้ว มาทำสิ่งที่ผมต้องการที่สุดก็แล้วกัน
ต่อให้ต้องพยามอีกเท่าไหร่ ผมก็จะหาเงินมาซื้อเรือลำที่ผมต้องการให้ได้
พรุ่งนี้ผมจะไปที่กิลด์การค้า และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผมจะได้เงินมากพอที่จะซื้อเรือลำใหม่ได้…
ไม่ดีกว่า เพราะตอนนี้พาริสซังน่าจะกำลังอยู่ที่เมือง ถึงความเป็นไปได้จะต่ำ
แต่ถ้าเปิดเขาโจมตีพวกเราขึ้นมาจริงๆ ล่ะ พวกเราคงไม่มีทางรอดแน่ๆ ดังนั้นต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน
ผมจะฝากให้เจ้าหน้าที่ของกิลด์การค้าที่อยู่ท่าเรือไปติดต่อกิลด์การค้าให้
และจะขอให้เขาเรียกคามิลล์ซังมาให้ด้วย ว่าแต่มันพอที่จะสามารถเช็คยอดเงินในบัญชี
ได้โดยที่ไม่ต้องใช้บัตรกิลด์บ้างไหมนะ? ไว้ผมจะลองถามคามิลล์ซังดู
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมขอให้เจ้าหน้าที่ของกิลด์การค้าที่ประจำอยู่ที่ท่าเรือไปส่งข้อความถึงคามิลล์ซังให้
แล้วผมก็ไปจัดการแปลงโฉมภายในเรือ (ลูโตะ) ให้ดูเรียบร้อย
จากนั้นก็รอการมาถึงของเธอ… ว่าแต่ถ้าเธอไม่อยู่จะทำยังไงกันดีล่ะเนี่ย?
ลำบากจริงๆ ที่ต้องมาคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
ไว้ผมทำธุระเสร็จเมื่อไหร่ จะรีบออกจากเมืองทางใต้ให้ไวเลย
“นายท่าน คามิลล์ซังมาถึงแล้วค่ะ”
“ขอบใจนะ เดี๋ยวผมจะออกไปรับเธอ”
ผมอนุญาตให้คามิลล์ซังขึ้นเรือ และพาเธอชมภายในเรือ
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ คามิลล์ซัง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจสถานการณ์ของวาตารุซังในตอนนี้ดี
และฉันก็อยากมาสอบถามเรื่องพริกไทยอยู่พอดี ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะคะ”
“พริกไทยเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ การเตรียมการสำหรับการจ่ายเงินในการซื้อขายพริกไทยและการถอนเงินออกจากบัญชีของวาตารุซัง
ต้องใช้เวลาในการเตรียมการพอสมควร และในระหว่างนั้นคุณภาพของพริกไทยก็จะเสื่อมลงเรื่อยๆ
ดังนั้นแล้วมันคงจะน่าเสียดายถ้า…”
“อ๋อ เข้าใจแล้วครับ… เดี๋ยวขอคิดแปปนะครับ”
“ค่ะ”
คุณภาพของพริกไทยงั้นเหรอ…?
ผมเซ็ตค่าไว้ว่าผมเดินทางไปกลับทวีปทางใต้เพื่อทำการค้าพริกไทย
ดังนั้นถ้าเวลามันผ่านไปนานแล้ว แต่พริกไทยยังมีคุณภาพดีอยู่ก็คงจะน่าสงสัย…
พวกเขาต้องสงสัยแน่ๆ ว่าทำไมพริกไทยถึงยังมีคุณภาพดีอยู่และจะต้องมีคำถามตามมาอย่างแน่นอน
แล้วแบบนี้ผมควรจะทำยังไงดีล่ะ…นึกอะไรไม่ออกเลยแฮะ
ยิ่งปล่อยไว้นาน คนก็จะยิ่งสงสัยถึงคุณภาพของมันเพิ่มมากขึ้น
งั้นขายไปเลยก็แล้วกันจะได้ตัดปัญหา จากนั้นพอได้เงินเรียบร้อยแล้วค่อยออกเดินทาง
“ได้ครับ ผมจะส่งมอบพริกไทยให้ก่อนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณพระคุณมากค่ะ วาตารุซัง”
ว้าว~ รอยยิ้มของคามิลล์ซังงดงามสุดๆ จนทำให้ผมรู้สึกใจเต้นเลยล่ะ…
แต่ก็กลัวความอ่อนต่อโลกของตัวเองจริงๆ นี่ผมใจอ่อนกับคามิลล์ซังถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?
“งั้นเช้าวันมะรืน ช่วยมารับพริกไทยที่ท่าเรือทีนะครับ
ผมจะแบ่งออกเป็นสามรอบ แต่ละรอบจะมีพริกไทยเท่ากับจำนวนที่ผมเอามาขายในครั้งก่อนนะครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไปเตรียมการไว้ให้เรียบร้อย”
“แล้วเรื่องเงินในบัญชีของผม ต้องใช้เวลานานขนาดไหนเหรอครับ กว่าที่จะรวบรวมเหรียญทองคำขาวมาได้?”
“เงินในบัญชีของวาตารุซังถ้ารวมเงินที่ได้จากการประมูลเกล็ดของริว
ค่าลิขสิทธิ์พุดดิ้ง ไอศกรีม โอเทลโล่ และเจงก้า แล้วจะมีเงินทั้งหมด 242 เหรียญทองคำขาว กับอีก 30 เหรียญทองค่ะ
ส่วนราคาของพริกไทยจะอยู่ที่ 200 เหรียญทองคำขาว หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของพริกไทยค่ะ
ซึ่งพอรวมกันทั้งหมดแล้วเราต้องเตรียมเหรียญทองคำขาวมามากถึง 450 เหรียญทองคำขาวเลยค่ะ
และก่อนหน้านี้ก็มีคนเพิ่งถอนเหรียญทองคำขาวจำนวนมากออกไปด้วยค่ะ
จึงทำให้ตอนนี้เหรียญทองคำขาวอยู่ในภาวะขาดแคลน จนกิลด์มาสเตอร์
ต้องติดต่อไปที่กิลด์การค้าสาขาเมืองหลวงเพื่อของให้พวกเขาส่งเหรียญทองคำขาวมาให้เลยค่ะ
ดังนั้นคุณช่วยรอสัก 20 วันได้ไหมคะ?”
“งั้นเหรอครับ! เข้าใจแล้วครับ ผมจะรอ…แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้นะครับ
ผมจะปล่อยเหรียญทองไว้ในบัญชีเหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้บัญชีว่าง ดังนั้นคุณช่วยจัดการไปตามนั้นทีนะครับ คามิลล์ซัง”
จิราโซเล่เป็นคนไปถอดเหรียญทองคำขาวออกมาจากก่อนหน้านี้สินะ?
“เข้าใจแล้วค่ะ จะให้ฉันแจ้งรายละเอียดค่าลิขสิทธิ์พุดดิ้งด้วยไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ขอแค่ยอดรวมแบบคร่าวๆ ก็พอ”
หืม? ทำไมเธอถึงทำหน้าผิดหวังแบบนั้นล่ะ?
“วาตารุซัง คุณเป็นพ่อค้านะคะ ต้องบริหารจัดการการเงินให้ดีสิคะ…
เฮ้อ…ช่างมันเถอะค่ะ ยังไงคุณก็ทำกำไรจากการค้าพริกไทยได้มหาศาลอยู่แล้ว งั้นก็คงไม่ปัญหาหรอกค่ะ…”
“ฮะฮะ ขอโทษนะครับ”
เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้หรอก ผมแพ้พวกตัวเลขมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
คิดไปคิดมา ผมก็ไม่ได้เป็นพ่อค้าที่ดีอะไร เพราะถ้าตัดสกิลอัญเชิญเรือออกไปแล้วผมก็ไม่มีอะไรเลย
“โดยรวมแล้ว แต่ละสัญญาได้เงินมาประมาณ 1 เหรียญทองคำขาว กับอีก 60 เหรียญทองค่ะ
และตอนนี้พวกเราก็กำลังขยายตลาดกันอยู่ ดังนั้นฉันคิดว่ารายได้มันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”
ห๊ะ! 1 เหรียญทองคำขาว กับอีก 60 เหรียญทอง …
ผมจำได้ว่าผมได้ส่วนแบ่งแค่ 3% เองไม่ใช่เหรอ?
ทำไมมันถึงได้เงินมากถึงขนาดนั้นล่ะ นี่สินะพลังของตัวเลข…
“เข้าใจแล้วครับ ถ้ารวบรวมเงินได้แล้ว รบกวนช่วยเอาพวกมันมาส่งให้ที่เรือได้ไหมครับ?”
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ มันมีขั้นตอนที่ต้องทำก่อนถึงจะสามารถถอนเงินออกมาจากบัญชีได้
ดังนั้นวาตารุซังต้องเดินทางไปที่กิลด์ด้วยตัวของคุณเองค่ะ แต่ถ้าเป็นเงินค่าพริกไทย ฉันสามารถเอามันมาส่งให้คุณที่นี่ได้ค่ะ”
“งั้นเหรอครับ…”
หืม… แบบนี้จะทำยังไงดีล่ะ… สงสัยคงต้องไปปรึกษาพวกอลิเซีบซังซะแล้ว
“งั้นช่วยนำเงินค่าพริกไทยมาส่งให้ผมที่นี่แล้วกันครับ ส่วนเรื่องไปที่กิลด์การค้า เดี๋ยวผมจะไปจัดการเอง”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หลังจากพูดคุยธุระเสร็จ พวกเราก็มานั่งดื่มชากัน
คามิลล์ซังถามผมเรื่องไปเที่ยวและเรื่องสัพเพเหระต่างๆ
แต่ก็มีการวกกลับมาถามเรื่องที่ผมเก็บพริกไทยเอาไว้ที่ไหน กับข้อมูลอื่นๆ อีกเพียบ อย่างเนียนๆ ตั้งหลายครั้ง
เทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องตั้งหลายครั้งเลยล่ะ โชคดีจริงๆ ที่ผมไม่มีสถานที่ที่เอาไว้เก็บพริกไทยจริงๆ
ไม่งั้นผมได้เผลอหลุดพูดออกไปแล้วล่ะ คามิลล์ซัง… ช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ
หลังจากคุยเสร็จ ผมรู้สึกเหนื่อยมากๆ เลยล่ะ วันนี้ขอไปกินข้าวเย็นที่ สตรองโฮลด์ ก็แล้วกัน จากนั้นก็ไปนั่งเก้าอี้นวด…
ตั้งแต่นั้นมา ในวันทุกๆ 2 วัน ผมจะกลับมาที่เมืองทางใต้เพื่อนำพริกไทยมาส่ง
ถึงแม้จะมีคนที่สงสัยในคุณภาพของพริกไทยอยู่ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจแล้วนำพริกไทยมาส่งต่อไปจนกระทั่งครบจามจำนวน
ทุกครั้งที่ผมขับเรือออกไปที่ทะเลเปิด ผมจะต้องขับมันออกไปอย่างระมัดระวัง
เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครตามผมออกไปด้วย แต่ก็ไม่เคยเจอใครตามผมออกไปเลย
ผมลองปรึกษาจิราโซเล่ดูถึงข้อดีและข้อเสียของการไปที่กิลด์การค้า
แต่พวกเธอกลับตอบมาว่า เป็นไปไม่ได้ที่นักผจญภัยแรงค์ S จะโจมตีคนตอนกลางวันแสกๆ
เพราะเขาต้องรักษาชื่อเสียงของตัวเอง ดังนั้นเขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเองในที่สาธารณะหรอก
พวกเธอบอกว่า ผมควรที่จะหลีกเลี่ยงสถานที่ๆ มันเปลี่ยวและดูอันตราย
ห้ามออกไปไหนมาไหนคนเดียวและห้ามออกไปในตอนกลางคือ
แบบนี้มันฟังดูเหมือนคำเตือนเวลาไปเที่ยวต่างประเทศเลยอ่ะ
เฟลิเซียสร้างบาเรียเวทเอาไว้รอบๆ ตัวผมแล้ว และเลเวลของผมก็สูงขึ้นแล้วตอนนี้
ดังนั้นตราบใดที่ผมไม่แยกกับไอเนสกับเฟลิเซีย ผมก็น่าจะปลอดภัยในเวลากลางวัน
ช่วงนี้ทุกคนจะเป็นคนคอยคุ้มกันผมเวลาไปที่กิลด์การค้า ซึ่งนั่นก็ช่วยให้ผมรู้สึกอุ่นใจมากๆ เลย
“นี่ วาตารุซัง พรุ่งนี้คุณมีแผนอะไรไหมคะ?”
“หือ แผนเหรอครับ? ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะครับ”
ผมตอบคำถามที่อลิเซียซังถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา
“ฟุฟุ งั้นพรุ่งนี้ฉันกับทุกคนขอมาที่นี่ได้ไหมคะ?”
“ได้สิครับ ไม่มีปัญหา”
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
“ครับ ไปดีมาดีนะครับ”
“วาตารุซัง คุณยังพูดสุภาพอยู่เลยนะคะ”
“ฮ่าๆ ผมจะพยายามปรับครับ”
“งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
พูดจบอลิเซียซังก็เดินออกไป… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?
แล้วการพูดสุภาพมันก็กลายเป็นนิสัยของผมไปแล้ว จะเปลี่ยนกะทันหันมันก็ยากอยู่นะ
เอาเถอะ ค่อยๆ ปรับไปก็แล้วกัน
คืนถัดมาจิราโซเล่ก็มาหาผมอย่างที่อลิเซียซังบอกไว้จริงๆ
อลิเซียซังถือกระเป๋าใบใหญ่มาจากนั้นก็ยื่นมันมาให้ผมอย่างร่าเริงแล้วบอกว่ามันเป็นของฝาก
“ของฝากเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ”
ผมมองเข้าไปข้างในกระเป๋าแล้วก็พบว่ามันเป็นปูตัวใหญ่ตัวนึง…
อะไรเนี่ย? …อา หรือว่าจะเป็นปูยักษ์?
“อลิเซียซัง นี่คือปูยักษ์ใช่ไหมครับ?”
“ใช่ค่ะ คุณเคยบอกว่าอยากลองกินมันดูไม่ใช่เหรอคะ?
พอดีพวกเราได้รับคำขอให้ออกไปจัดการกับมันพอดีก็เลยจับมันกลับมาด้วยค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ…ว่าแต่ปูยักษ์นี่มันผิดจากที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลยนะครับ ผมคิดว่ามันจะตัวใหญ่เท่าคนซะอีก”
“ฟุฟุ ถ้ามีปูที่ใหญ่ถึงขนาดนั้น มันคงเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วล่ะคะ
ถึงแม้สถานที่ที่ได้รับคำขอจะอยู่ใกล้กับเมือง
แต่ถ้าเอาจริงๆ ขนาดแค่นี้ก็ถือว่าเป็นมอนสเตอร์ที่อันตรายแล้วนะคะ”
“อืม…ก็จริงของคุณ ผมแค่ได้ยินมาว่ามันเป็นปูยักษ์ ก็เลยจินตนาการไปว่ามันจะใหญ่กว่านี้น่ะครับ”
ถ้าลองคิดดูดีๆ แค่กระดองอย่างเดียวมันก็กว้างกว่ามตรแล้ว…แค่นี้ก็น่าจะใหญ่พอแล้วไม่ใช่เหรอ?
ว่าแต่จะเอามันไปทำอาหารอะไรดีล่ะเนี่ย?
“ฉันเคยได้ยินมาว่ามีมอนสเตอร์ปูบางชนิด ที่ตัวใหญ่ถึงขนาดที่เราต้องแหงนหน้ามองเลยนะคะ
ไว้มีโอกาสพวกเราลองไปล่ามันกันดูดีไหมคะ?”
“ถ้ามันอร่อยก็น่าไปลองอยู่นะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องเอามันไปปรุงยังไงนี่สิ ถ้ามันตัวใหญ่ถึงขนาดนั้น…”
“ก็นั่นสิคะ ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเราจะเอามันมาด้วยวิธีไหนถ้าเราไม่แยกชิ้นส่วนมัน”
“ไม่รู้สิครับ เอาเป็นว่าคราวนี้ขอมาสนุกกับปูยักษ์ตัวนี้ก่อนก็แล้วกัน
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วพวกเราไปทำอาหารกันที่ ไฮอเวย์ และจัดปาร์ตี้กันดีกว่า ทุกคนได้เอาชุดว่ายน้ำมาด้วยไหมครับ?”
“ไม่ได้เอามาค่ะ แต่มันฟังดูน่าสนุก ดังนั้นคุณช่วยรอพวกเราหน่อยได้ไหมคะ ฉันจะรีบกลับไปเอาชุดว่ายน้ำมา”
“ได้สิครับ”
“งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ”
“นายท่าน จะทำอาหารอะไรเหรอคะ?”
“อืม ผมไม่เคยทำอาหารจากปูที่ตัวใหญ่ถึงขนาดนี้มาก่อนเลย
ย่างดีมั้ยนะ? หรือว่าจะต้มดี ถ้าเอาไปนึ่งคงจะทำไม่ได้แน่ๆ
เพราะผมไม่มีหม้อที่ใบใหญ่พอที่จะสามารถใส่มันทั้งตัวลงไปได้ งั้นถ้าหั่นเป็นชิ้นๆ ไม่ดีกว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะเสียรสชาติ…”
“ใช่ค่ะเราหาหม้อใบใหญ่ขนาดนั้นตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ งั้นลองให้ฉันใช้เวทไฟย่างมันทั้งตัวเลยดีไหมคะ?”
ย่างทั้งตัวเหรอ? ไอเนสเคยใช้เวทไฟทำกราแตงนี่นา…
แต่การทำให้ปูที่ใหญ่ถึงขนาดนี้สุกทั้งตัวนี่มัน…จะไม่ยากเกินไปหน่อยเหรอ?
จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากต้มหรือไม่ก็นึ่งทั้งตัวมากกว่า…ต้มเหรอ!
ใช่! ผมใช้เรือยางต้มมันก็ได้นิ เพราะยังไงมันก็ไม่ถูกทำลายอยู่แล้ว
แค่ทำความสะอาดพื้นของเรือยางนิดหน่อย จากนั้นก็ใส่หินร้อนๆ ลงไป
แค่นี้ก็น่าจะต้มปูทั้งตัวได้แล้ว แต่ถ้าทุกคนบอกว่าไม่อยากกินปูที่ต้มในเรือยาง
ผมก็แค่ต้องหั่นมันเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปต้มก็แค่นั้น…
อืม แต่ถ้าหั่นแล้วต้ม น้ำในเนื้อก็จะไหลออกมาทำให้น้ำซุปมันอร่อย
แต่ครั้งนี้ผมกะว่าจะใช้น้ำทะเลในการต้ม ดังนั้นการตัดเป็นชิ้นๆ จะทำให้น้ำมันเสียเปล่า
งั้นต้มมันทั้งตัวไปเลยนี่แหละ… จะถูกสุขอนามัยหรือไม่นั้นสุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง…
ดังนั้นทำแบบที่รู้ผลลับว่ามันจะออกมาดีที่สุดดีกว่า…
บ่นไปเรื่อยหลังจบตอน
เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็ถึงตอนที่กินปูกันแล้ว อีกไม่กี่ตอนก็จะทันมังงะแล้วนะครับ
MANGA DISCUSSION