ด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ ผมเดินกลับมาที่ห้องอาหารอย่างเงียบๆ พร้อมกับอลิเซียซัง
ก้าวแต่ละก้าวของผมช่างหนักอึ้งจริงๆ กว่าจะกลับมาถึงที่ห้องอาการได้
แต่แล้วพอกลับมาถึงที่ห้องอาหารไอเนสก็ยิ้มร่าพร้อมกับวิ่งมาที่ผม
เอ๊ะ! มีเรื่องอะไรสนุกๆ เกิดขึ้นเหรอ?
“นายท่านๆ ฉันเขียนเสร็จแล้วค่ะ”
“หือ หมายถึงจดหมายที่จะส่งให้องค์ชายน่ะเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ลองอ่านดูสิคะ ฉันคิดว่าฉันเขียนออกมาได้ดีเลยล่ะ…”
ผมรับจดหมายจากมือของเธอแล้วอ่านข้อความที่อยุ่ในนั้น…
“เจ้าชายจากประเทศที่กำลังจะล่มสลาย กล้าคิดที่จะมีเรื่องกับข้างั้นเหรอ?
แค่คิดก็ขำแล้ว ได้…ถ้าเจ้าอยากตายนัก ข้าจะสนองให้”
“เอ่อ,,,นี่มันแค่สองบรรทัดเองนะ ถึงจะเป็นสองบรรทัดที่เต็มไปด้วยความอาฆาตก็เถอะ แต่แค่นี้จะพอจริงๆ เหรอ?”
“พอสิคะ…”
“ฉันคิดคำพวกนั้นนานมากเลยนะ ตอนแรกก็ว่าจะเขียนเป็นประโยคยาวๆ อยู่หรอก
แต่สุดท้ายก็นึกขึ้นมาได้ ว่านายท่านจะเขียนจดหมายออกมายังไงในตอนที่กำลังโกรธ
และสุดท้ายก็ได้ประโยคพวกนั้นออกมาค่ะ เป็นไงคะ สุดยอดไปเลยใช่ไหม?
สั้นๆ แต่ได้ใจความ แถมแฝงไปด้วยอารมณ์อีกต่างหาก…”
“ก็จริง…แต่แบบนี้มันจะไม่ดูแรงเกินไปหน่อยเหรอ? เฟลิเซีย โดโรธีซัง
แล้วก็อัลม่าซังช่วยกันคิดด้วยใช่ไหมครับ? ทุกคนโอเคกันจริงๆ เหรอ?”
“นายท่าน ถึงมันจะดูรุนแรงไปหน่อยก็จริง แต่ในฐานะจดหมายข่มขู่
ฉันคิดว่าความแรงในระดับนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นค่ะ
ฉันได้ยินมาว่ามีผู้บัญชาการคนนึงเป็นคนที่หยิ่งยโสมากๆ
ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่เราจะยั่วยุเขาค่ะ”
ผมมองไปรอบๆ และเห็นทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเฟลิเซีย
“…เข้าใจแล้วครับ ถ้าทุกคเห็นด้วยผมก็จะไม่คัดค้านอะไร
งั้นต่อไปพวกเราจะทำอะไรกันดีครับ?”
“อัญเชิญเรือไปปิดตรงหน้ากำแพงเมืองค่ะ นายท่าน”
“ไอเนส นายท่านก็บอกไปแล้วไงว่าจะไม่ทำแบบนั้น เธอน่ะยอมแพ้ไปได้แล้ว…”
“ชิ! ก็ได้ ขอโทษนะคะ นายท่าน”
…เกือบไปแล้ว เกือบตอบตกลงไปแล้วไง นี่เล่นจังหวะที่เผลออย่างงั้นเหรอ!?
“ฮ่าๆ งั้นเราจะทำยังไงกันดีครับ?”
“มันก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของฝ่ายนั้นค่ะ
แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะปิดล้อมท่าเรือเอาไว้ก่อน น่าจะดีกว่า
เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหนี ฉันคิดว่าแค่นั้นก็น่าจะทำให้พวกแตกตื่นกันได้แล้ว
อีกอย่างการทำแบบนั้นไม่มีผลกระทบอะไรกับตัวเมืองด้วย”
“เอ๊ะ? เราต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?
ที่เรามาที่นี่ก็เพื่อช่วยลูก้าจากการปิดล้อมนะครับ
แต่กลับมาทำซะเองแบบนี้มันก็ออกจะ…”
“ฉันเข้าใจค่ะ แต่นี่ก็เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
ในกณีที่พวกเขาหนีออกไปได้ค่ะ อีกอย่างถ้าสถานการณ์มันเริ่มควบคุมไม่ได้จริงๆ
การทำแบบนั้นก็ง่ายต่อพวกเราที่จะอพยพครอบครัวออกจากลูก้าด้วยค่ะ”
“…ถ้าแบบนี้ หนีกันตอนนี้เลยจะไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
“วาตารุซัง พวกเราช่วยกันคิดเรื่องนี้มาดีแล้วค่ะ
ถ้าเป็นไปได้เราควรที่จะควบคุมลูก้าเอาไว้ เพราะนั่นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
การปิดล้อมท่าเรือจะช่วยให้เราจัดการข้อเรียกร้องขององค์ชายได้
และยังสามารถช่วยลูก้าได้ด้วยค่ะ ดังนั้นคุณพอจะช่วยพวกเราได้ไหมคะ?”
“อืม…ผมก็พอเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณนะครับ โดโรธีซัง
แล้วถ้าผมเข้าไปปิดล้อมท่าเรือแบบนั้น มันจะผิดเงื่อนไขของสัญญารึเปล่า?
นอกจากการข่มขู่องค์ชายแล้ว การปิดล้อมท่าเรือมันฟังดูแปลกๆ นะครับ?”
“ในสัญญาระบุว่า คุณจะช่วยในการปกป้องเมืองและช่วยในการหลบหนีค่ะ
ดังนั้นที่พวกเราทำฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ
เพราะการเข้าไปปิดล้อมท่าเรือก็เป็นการช่วยในการป้องกันในรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน
เพราะมันสามารถช่วยป้องกันกองทัพของจักรวรรดิที่จะบุกเข้ามาทางทะเลได้
อีกย่างยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพวกเราในการอพยพครอบครัวในกรณีฉุกเฉินได้ด้วยค่ะ
ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการช่วยในการหลบหนีไปในตัวด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ถึงตัว เลยค่ะ”
“เอ่อ…อย่างงั้นเหรอครับ? อ-โอเคครับเข้าใจแล้ว”
…จะช่วยในการป้องกัน แต่ในสัญญาก็ไม่ได้เขียนว่าห้ามเข้าไปป้องกันด้วยตัวเองสินะ
แต่แบบนี้ก็ได้เหรอ? ฟังดูทะแม่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ นี่ สัญญามันต้องละเอียดขนาดไหนกันล่ะเนี่ย?
อ้อ อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมเวลาเซ็นสัญญาตอนอยู่ญี่ปุ่น มันถึงต้องมีรายละเอียดละเอียดยิบย่อยด้วย…
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะให้ความร่วมมือ แต่เรื่องมันชักเริ่มไปคนละทางกับที่ผทคิดเอาไว้เยอะเลยนะครับ…
เอาเถอะ ถ้าผมเห็นว่ามันจะไปต่อไม่ได้แล้ว ผมจะทิ้งลูก้าไปในทันทีนะครับ
ดังนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจในจุดๆ นี้ด้วย ตกลงไหมครับ?”
“ตกลงค่ะ ขอบคุณนะคะ วาตารุซัง”
“งั้นก็เหลือแค่ส่งจดหมาย แล้วคอยดูท่าทีของพวกเขาสินะครับ?”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ วาตารุซัง ฉันคิดว่าเราน่าจะแจ้งเรื่องการปิดล้อมท่าเรือไปพร้อมกันด้วยเลย จะได้ไม่เป็นแค่การขู่เฉยๆ”
“เอางั้นเหรอครับ? ถ้างั้นก็ช่วยเขียนจดหมายไปถึงท่านมาร์ควิส
แจ้งเรื่องการปิดล้อมท่าเรือให้ผมด้วยแล้วกัน แต่ไม่ต้องใส่ถ้อยคำข่มขู่หรืออะไรพวกนั้นลงไปนะครับ
แค่บอกเขาไปว่าพวกเราจะปิดล้อมท่าเรือก็พอ”
อัลม่าซังนี่น่ากลัวไม่ใช่เล่นเลย ผมเข้าใจว่าเธอทำเพื่อลูก้า
แต่การตัดสินใจว่าจะปิดล้อมท่าเรือมันทำกันได้ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ…
“เอ่อ…ถ้าส่งจดหมายแบบนี้ไป พวกอลิเซียซังจะไม่โดนจับกันเหรอครับ?
เพราะมันก็ เอ่อ…ออกจะหยาบคายอยู่นะครับ แบบนี้น่ะ…”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกค่ะ นายท่าน แค่ให้ทุกคนทำเหมือนว่าไม่รู้เนื้อหาในจดหมายก็พอ
เพราะทุกคนกลับมาที่นี่ก็เพื่อช่วยเหลือลูก้า พวกเธอกลายเป็นฮีโร่ของประชาชนไปแล้ว
ต่อให้ทางนั้นจะโง่ยังไง ก็คงไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรกับพวกเธอหรอกค่ะ เพราะมันจะมีปัญหากับประชาชน”
“ไอเนสพูดถูกค่ะ เพราะถ้าทางนั้นเห็นว่าจิราโซเล่มีค่าพอให้ใช้งาน
พวกเขาจะเริ่มคิดหาผลประโยชน์จากพวกเธอ แทนที่จะทำอันตรายพวกเธอค่ะ”
“…เข้าใจแล้ว”
แม้ความนิยมของจิราโซเล่จะเพิ่มขึ้น แต่พวกเราเองก็ไม่รู้สถานการณ์ภายในท่าไหร่
แต่ดูเหมือนพวกเธอจะอยู่ในตำแหน่งที่เปราะบางสินะ…
การพูดคุยจบลงแล้ว ผมสวมฮู้ดกลับไปเหมือนเดิม…
แต่ยังไงก็คงต้องมาคุยกันเรื่องนี้กันอีก แต่วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน เพราะผมเหนื่อยแล้ว
ไอเนสสวมฮู้ดแล้วพาจิราโซเล่ไปส่งที่ท่าเรือ…
~มุมมองของอลิเซีย~
เมื่อฉันมาถึงปราสาทพร้อมกับจดหมายถึงองค์ชายและท่านมาร์ควิส
ฉันก็ถูกพาไปยังห้องที่มีการประชุมทางการทหารอีกครั้ง
“ไหน จอมเวทว่ายังไงมาบ้าง?”
คำแรกก็ปิดมาแบบนี้เลยเหรอ?
“ค่ะ ฉันได้ไปบอกกับท่านจอมเวทตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้วค่ะ
และเขาได้ฝากจดหมายมาให้พวกท่านค่ะ
ฉบับนี้ส่งมาถึงองค์ชาย ส่วนฉบับนี้ถึงท่านมาร์ควิสค่ะ”
จดหมายถูกส่งไปให้องค์ชายและท่านมาร์ควิส
ฉันถูกบอกให้ทำเหมือนไม่รู้เรื่องเนื้อหาในจดหมายนั้น
แต่กับข้อความแบบนั้น ยังไงก็ไม่น่าจะรอด
ฉันเฝ้าดูด้วยใจระทึกขณะที่องค์ชายเปิดซองจดหมาย
“ไร้มารยาท”
“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ?”
“ดูนี่…”
“เจ้าชื่ออลิเซียใช่ไหม? เจ้ารู้เนื้อหาในจดหมายนี่หรือไม่?”
“ไม่ทราบค่ะ”
สีหน้าของอัศวินคนนั้นดูบิดเบี้ยวมากๆ เลยล่ะตอนนี้
หน้าของเขาแดงก่ำ เส้นเลือดก็ปูดโปน
อ๊า~ รู้สึกสะใจนิดๆ เหมือนกันแฮะ
“มาร์ควิส แล้วจดหมายที่เจ้าได้รับล่ะ?”
“เขาเขียมมาว่าจะทำการปิดล้อมท่าเรือของลูก้าเอาไว้ พะยะค่ะ ฝ่าบาท”
ท่านมาร์ควิสหน้าเริ่มถอดสีแล้ว ฉันก็รู้สึกเห็นใจท่านอยูนะ ท่านมาร์ควิส…
“อลิเซีย จอมเวทนั่นประกาศสงครามกับเราแล้ว บอกข้อมูลเกี่ยวกับเขามาสิ!”
“ฉันไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับท่านจอมเวทได้ เนื่องจากติดสัญญาที่ให้ไว้ค่ะ”
กี่ครั้งแล้วนะ ที่ฉันต้องบอกเรื่องนี้กับอัศวินคนนี้?
“ชิ…ไร้ประโยชน์ชะมัด”
“ขออภัยค่ะ”
“มาร์ควิส การปิดล้อมท่าเรือ พอจะเป็นไปได้หรือไม่?”
“น่าจะเป็นไปได้พะยะค่ะฝ่าบาท เพราะเขามีพลังมากพอที่จะทำลายกองทัพเรือของจักรวรรดิทั้งหมดได้”
“แบบนั้นพวกเราก็จะถูกตัดขาด…ชีวิตข้า นี่ ข้าคิดผิดไปอย่างงั้นหริอ?”
“ฝ่าบาท เขาแค่พยายามข่มขู่พระองค์พะยะค่ะ
ตราบใดที่ฝ่าบาทยังอยู่ในปราสาท เขาจะไม่มีทางทำอะไรพระองค์ได้”
“หือ เกิดอะไรขึ้น พะยะค่ะ ทำไมพระองค์ถึงพูดเช่นนั้น?”
“อ้อ ข้ายังไม่ได้ให้เจ้าดูจดหมายสินะ มาร์ควิส เอานี่จดหมาย…”
“เจ้าชายจากประเทศที่กำลังจะล่มสลาย กล้าคิดที่จะมีเรื่องกับข้างั้นเหรอ?
แค่คิดก็ขำแล้ว ได้…ถ้าเจ้าอยากตายนัก ข้าจะสนองให้”
“น-นี่มัน… พอรวมกับเรื่องการปิดล้อมท่าเรือแล้ว
สถานการณ์ในตอนนี้มันเลวร้ายมากๆ เลยนะพะยะค่ะ ฝ่าบาท
กระหม่อมคิดว่าพวกเราควรจะรีบไปปรับความเข้าใจกับจอมเวทคนนั้น”
“มาร์ควิส นี่ท่านคิดจะไปปรับความเข้าใจกับคนที่กล้าขู่เอาชีวิตของฝ่าบาทอย่างงั้นเหรอ?”
ไวส์เคานต์จาโคโป นี่ก็…เห้อ~
เขาถึงกับกล้ายิ้มเยาะใส่ท่านมาร์ควิสเลยเหรอ นี่ไม่รู้จุดยืนของตัวเองจริงๆ อ่ะ?
ยังคิดว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบอยู่อีกเหรอถามจริง?
“แล้วเราจะทำอะไรได้ในสถานการณ์ที่โดนปิดล้อมอยู่เช่นนี้?
ท่านจะไปเจรจากับพวกจักรวรรดิหรือ? การเจรจากับจอมเวทเป็นทาางเลือกที่ดีที่สุด
ไม่งั้นลูก้าได้จบสิ้นแน่ หรือท่านจะยอมไปก้มหัวให้พวกจักรวรรดิ?”
“พวกก็แค่ต้องจัดการกับจอมเวทนั่นก็เท่านั้น”
“จัดการเหรอ? จัดการยังไง พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“…ก็อย่างที่ข้าบอก ใช้พวกจิราโซเล่ไปล่อลวงจอมเวทนั่น…”
“มันคงสายไปแล้วล่ะ…นี่ ท่านคิดจริงๆ หรือว่า
จอมเวทที่กล้าส่งจดหมายแบบนั้นมาให้ฝ่าบาท
จะยอมฟังหรือทำตามคำพูดของพวกนางน่ะ?”
“…..”
“ฝ่าบาท ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราได้ถึงคราวจบสิ้นแน่ พะยะค่ะ
แม้แต่เรื่องการจัดหาเสบียงอาหาร พวกเราก็ต้องพึ่งพาจอมเวทคนนั้น”
“…เจ้าชื่ออลิเซียใช่ไหม? พอจะมีทางไหมที่จอมเวทจะยอมร่วมมือกับข้า?
ข้าสามารถมอบยศถาบรรดาศักดิ์ ที่ดิน ทองคำ หรือแม้แต่รางวัลอื่นใดที่เขาต้องการให้กับเขาได้
ถ้าเขาช่วยข้ากอบกู้ราชอาณาจักรเบรสเซีย”
“ในความคิดเห็นของดิฉัน ไม่น่าจะมีทางที่ท่านจอมเวทจะยอมร่วมมือกับฝ่าบาทค่ะ
เพราะเท่านี่รู้มา ท่านจอมเวทไม่ได้สนใจในสิ่งของเหล่านั้นเลย อีกอย่างท่านจอมเวท
เป็นคนที่สามารถหาสิ่งเหล่านั้นมาได้ด้วยพลังของเขาเองถ้าเขาต้องการ ดังนั้นฉันคิดว่าเขาน่าจะไม่ให้ความร่วมมือค่ะ”
ถึงเขาจะต้องการเงินเพื่อเอาไว้ใช้สำหรับการซื้อเรือลำใหม่ก็เถอะ
แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจของอย่าง ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือที่ดิน อะไรนั่นหรอก
ถ้าจะบอกว่าเขาสนใจอะไร ก็คงเป็นพวกของกินอร่อยๆ กับสาวๆ สวยๆ ล่ะมั้ง…
อัลม่าเคยบอกว่าท่านจอมเวทชอบผู้หญิง ตอนที่ฉันบอกเขาว่า ‘จะยอมทำทุกอย่าง’
ในตอนที่พวกเราคุยกัน เขาก็ถามขึ้นมาทันทีเลยว่า ‘รวมถึงเรื่องลามกด้วยเหรอครับ?” เพราะงั้นฉันถึงมั่นใจเรื่องนี้มาก
จริงๆ ฉันก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่เขาขอมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…
แต่ก็นะ ฉันเป็นผู้หญิงก็ควรเป็นฝ่ายรอให้เขาเป็นคนเริ่มก่อนใช่ไหมล่ะ?
ฉันก็ไม่ได้มีความรู้สึกแบบรักโรแมนติกอะไรพวกนั้นหรอกนะ…แต่ฉันชอบเขา
เพราะงั้นถึงเขาจะขออะไรแบบนั้นมาฉันก็ไม่รังเกียจหรอก
อย่างน้อยๆ เขาก็ดีกว่าพวกผู้ชายที่พยายามจะเข้าหาเราเพื่อหวังที่จะเอาตัวของพวกเราไปเป็นสมบัติของพวกเขา
แล้วฉันก็ไม่คิดว่าการขอรางวัลเป็นเรื่องอย่างว่าจะเลวร้ายอะไรด้วย…ไว้ฉันจะไปคุยเรื่องนี้กับอัลม่าทีหลังแล้วกัน
“เอาเป็นว่า ข้าต้องการกำลังที่จะเอาไว้ใช้ในการช่วยปกป้องอาณาจักรเบรสเซีย
ข้าได้ยินจากมาร์ควิสว่าพวกเจ้าเองก็กลับมาที่นี่เพื่อปกป้องบ้านเกิด
แต่ว่าการปกป้องอาณาจักรเบรสเซียก็เปรียบเสมือนการปกป้องลูก้าไปในตัว
ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าช่วยไปบอกกับจอมเวทว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิด
และข้าอยากฝากจดหมายไปให้เขาด้วย เจ้าพอจะทำได้หรือไม่?”
กองกำลังเหรอ? ทีแรกก็กะจะใช้เขาเป็นเบี้ย ตอนนี้มาบอกว่าเป็นความเข้าใจผิด?
คนเรานี่เปลี่ยนกันง่ายๆ แบบนี้ได้จริงๆ เหรอ?
หรือนี่เป็นเรื่องปกติของพวกชนชั้นปกครอง? ยี้…ฉันรู้สึกขนลุกเลยเนี่ย!
“ได้ค่ะ ดิฉันจะนำมันไปส่งให้”
“ดี มากงั้นข้าขอฝากเจ้าด้วยนะ”
“พะยะค่ะ”
~จบมุมมองของอลิเซีย~
“ยินดีต้อนรับกลับครับทุกคน ไม่เป็นอะไรกันใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ พวกเราปลอดภัยดี ฉันได้รับมอบหมายให้นำจดหมายมาส่ง นี่ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ไหนดูหน่อยซิ…อืมๆ หือ?…อะไรกันล่ะเนี่ย? รู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้…
“นายท่าน ท่าทางแปลกๆ นะคะ มีอะไรหรือเปล่า?”
“อ่อ ก็มีนิดหน่อยน่ะ จดหมายเขียนมาว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดอะไรประมาณนั้น…
แล้วถึงจะไม่ได้บอกมาตรงๆ แต่บอกมาเป็นนัยว่าสมาชิกจิราโซเล่อาจบิดเบือนข้อมูล…”
“ไม่ใช่นะคะ วาตารุซัง ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น…”
“ไม่ต้องห่วงครับ อลิเซียซัง ผมเชื่อใจพวกคุณอยู่แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ วาตารุซัง”
“กลับมาที่จดหมายกันนะครับ เขาบอกว่าจะส่งผู้บัญชาการคนสนิทชื่อว่าเคลมองต์มาเป็นผู้เจรจา
เขาใช่คนที่ดูหยิ่งๆ ตามที่คุณบอกมาหรือเปล่าครับ?”
“น่าจะใช่ค่ะ เขาเป็นคนสนิทขององค์ชาย เขานี่ล่ะค่ะที่เห็นว่าวาตารุซังเป็นแค่เครื่องมือที่เขาจะใช้ได้”
“ฮะฮ่าๆๆๆ ฮ่า~ ฮู้… ขอโทษครับ พอดีอ่านเจอประโยคที่บอกว่าถ้าผมยอมรับใช้องค์ชาย
เขายอมมอบตำแหน่ง ที่ดิน ทองคำ สมบัติ หรือแม้แต่สาวงามเข้าน่ะครับ เขาบอกว่าเขาจะยอมมอบในสิ่งที่ผมต้องการให้ทุกอย่างเลย
อลิเซียซัง ช่วยเล่าเหตุการณ์ตอนที่พวกเขาเปิดจดหมายดูให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ
ผมอยากรู้ว่ามันไปยังไงมายังไงถึงออกมาในรูปแบบนี้ได้?”
“ได้ค่ะ ตอนที่ฉันเอาจดหมายไปส่ง หลังจากที่พวกเขาปิดดูแล้ว
ได้มีการโต้เถียงกันเล็กน้อยค่ะ จากนั้นท่านมาร์ควิสก็พูดถึงความเป็นไปได้ในการปิดล้อมท่าเรือของลูก้า
และผลที่จะตามมาค่ะ จากนั้นท่าทีขององค์ชายก็เปลี่ยนไปในทันที ฉันคิดว่าที่เขายอมเปลี่ยนท่าทีเพราะท่านไม่ยอมตกลงตามคำขู่ของเขาค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ งั้นผมจะปฏิเสธการมาเจรจาของผู้บัญชาการเพราะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวาย
และจะถือว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นการเข้าใจผิดตกลงไหมครับ?”
“นายท่าน ถ้ายอมง่ายๆ แบบนั้นฝั่งนั้นจะได้ใจนะคะ อย่างน้อยที่สุด นายท่านจะต้องทำให้พวกยอมเขาออกมาขอโทษ”
“ฉันเห็นด้วยค่ะ ฉันเห็นกับตาว่าพวกเขาเปลี่ยนท่าทีกันเร็วขนาดไหน
ถ้าคุณยอมยกโทษให้พวกเขาง่ายๆ พวกเขาจะต้องเริ่มคิดทำอะไรไม่ดีอีกแน่ค่ะ”
ไอเนสก็ว่าไปอย่าง แต่กระทั่งโดโรธีซังก็ยังพูดแบบนี้
แสดงว่าทุกคนอยากปกป้องลูก้าโดยไม่ให้มีปัญหากับองค์ชายจริงๆ ดูเหมือนทุกคนจะไม่เชื่อใจเขาเท่าไรสินะ
“เข้าใจแล้วครับ แล้วผมควรจะตอบกลับไปว่ายังไงดีล่ะ?”
“ค่าๆ ฉันจะเป็นคนเขียนจดหมายตอบกลับให้เองค่ะ นายท่าน”
“อ-อืม รบกวนด้วยนะ ไอเนส”
‘หึๆ ดูท่าแค่ขู่จะยังไม่พอสินะ…’
เอ๊ะ! เมื่อกี้เหมือนได้ยินอะไรแปลกๆ หลุดออกมาเลย
จากนั้นไอเนสก็เริ่มเขียนจดหมายด้วยความสนุกสนาน
อืม…ผมเริ่มเป็นห่วงว่าเธอจะเขียนอะไรออกมาซะแล้วสิ…
“เสร็จแล้วค่ะ”
ไอเนสยื่นจดหมายมาให้ผมพร้อมกับรอยยิ้ม ผมรับมันมาและเริ่มอ่าน
“เจ้ามีทางเลือกสองทาง : จะตายไปคนเดียว หรือ จะพินาศไปพร้อมกับลูก้า…
อ้อ หรือจะเลือกอีกทางก็ได้นะ ไปยอมจำนนต่อกองทัพจักรวรรดิซะ
บางทีถ้าเจ้ายอมคุกเข่าร้องขอชีวิตด้วยความน่าสมเพช พวกมันอาจจะปล่อยเจ้าไปก็ได้”
“…มันไม่ดูแรงเกิดไปหน่อยเหรอ? ทุกคนช่วยมาดูหน่อยสิครับ”
พออ่านกันครบทุกคน สาวๆ ก็ลงความเห็นว่ามันเหมาะสมแล้ว
เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองจริงๆ
ถ้าไม่เจอของแข็งซะบ้าง พวกเขาก็จะไม่มีวันเข้าใจ
โถ่~ เจ้าชายดูเหมือนนี่จะเป็นคราวซวยแล้วล่ะ
นี่ไปทำอะไรมากันแน่ พวกเธอถึงได้ดูไม่พอใจกันขนาดนั้น
ว่าแต่…กองทัพจักรวรรดิกำลังทำอะไรกันอยู่นะ?
เพราะตั้งแต่ที่พวกเขาพ่ายแพ้ในสงครามกลางทางทะเล
พวกเขาก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีกเลย
จะมีก็แต่ขนของไปมา แล้วก็ล้อมเมืองเอาไว้เฉยๆ
ผมให้จิราโซเล่ออกไปส่งจดหมายเหมือนเดิม
คราวนี้เหมือนจะมีแค่อลิเซียซังกับโดโรธีซังที่ไปที่ปราสาท
ผมเลยแนะนำให้คนอื่นๆ ไปเตรียมพร้อมไว้สำหรับการหลบหนีออกจากลูก้าในกรณีฉุกเฉิน
ทุกคนต่างกังวลกับเรื่องนี้ ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าองค์ชายจะตอบกลับมาว่ายังไง…
MANGA DISCUSSION