บทนำอีกครั้งหนึ่ง
ซาตาบอร์นถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
ครอบครัวของเขามีฐานะร่ำรวยมาหลายชั่วอายุคน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว ในตอนที่อายุหนึ่งเดือน เขาก็สามารถพูดได้ ในตอนที่อายุสามเดือน เขาก็สามารถร่ายเวทมนตร์เป็นครั้งแรกได้ และก่อนที่เขาจะคลานได้ เขาก็หมกมุ่นอยู่กับหนังสือทางเทคนิคอย่างมาก เรื่องนี้มันทำให้พ่อของเขาที่ให้ทุกอย่างตามที่ต้องการรู้สึกชอบใจ
ดังนั้นซาตาบอร์นจึงเติบโตมาพร้อมกับมีอุปกรณ์เวทมนตร์ หนังสือเวทมนตร์ และอัญมณีเวทมนตร์ที่รายล้อมอยู่รอบตัว มันสามารถพูดได้ว่าในช่วงเวลานี้ของชีวิตได้ก่อร่างสร้างตัวตนของเขาขึ้นมา
ซาตาบอร์นในช่วงวัยทารก:
ในจุดนี้เอง ผู้คนได้เรียกเขาว่าอัจฉริยะไปเรียบร้อยแล้ว แต่เด็กชายนั้นคิดว่าคำสรรเสริญเยินยอจากผู้อื่นมันไม่ได้ต่างอะไรจากจากเสียงของสายลมที่พัดเข้ามาแบบไม่รู้จักหยุด และเขาก็รู้สึกว่ามันน่ารำคาญไปอย่างรวดเร็ว
กฎที่ซ่อนอยู่ ทฤษฎีที่ไม่รู้จัก และสูตรเวทมนตร์ได้เปลี่ยนสิ่งที่ไม่ถูกล่วงรู้เป็นสิ่งที่รู้จักได้เรื่องแล้วเรื่องเล่าภายในตัวของซาตาบอร์น ครั้งหนึ่งที่เขาตั้งใจจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างเต็มที่ เขาก็ยุ่งมากจนขนาดที่เสียงลมยังทำให้เกิดความรำคาญ
ซาตาบอร์นในช่วงวัยเด็ก:
ในตอนนี้เขารู้จักตัวเองมานานพอแล้ว ซาตาบอร์นจึงเข้าใจได้ว่าอะไรที่เข้าหรือไม่เข้ากับตัวเขา เขาไล่ตามการวิจัยโดยใช้วิธีการที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด และผลลัพธ์ที่ได้มาคือการที่ชื่อเสียงของเขาร่วงหล่นจากคำว่า “อัจฉริยะ” ไปเป็น “คนประหลาด” แม้สำหรับเขาแล้วมันจะไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปเลยก็ตาม
ในคราวนี้ ซาตาบอร์นรู้ว่าตัวของเขาต้องการอะไร เวทมนตร์ทุกบทมันทำให้เขารู้สึกพึงพอใจไม่ได้ ทุกสิ่งมันล้วนมีอะไรที่ขาดหายไป มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่เพียงพอ หากเขาสามารถชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปด้วยความคิดที่เอ่อล้นอยู่ภายในตัวตลอดได้ เวทมนตร์เหล่านั้นก็จะเปลี่ยนเป็นรูปร่างที่เหมาะสม —มันจะกลายเป็นสื่งที่งดงาม
ซาตาบอร์นมีสิ่งที่ตัวเองอยากทำ มีสิ่งที่เขาอยากจะสร้าง มั่นใจได้เลยว่าเขาจะทำมันออกมาได้แน่
ไลร์ ซาตาบอร์นในช่วงวัยหนุ่ม:
เขาได้อีกชื่อหนึ่งมาตอนที่อายุมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนการกระทำของเขาไป
ซาตาบอร์นยังคงทำหน้าที่เป็นนักวิจัยอิสระ ยา บาเรีย เงินบริจาค การเล่นแร่แปรธาตุ พันธสัญญา คำสาป เมจิคัลเกิร์ล —เขาลองทุกอย่างที่ทำให้เขารู้สึกสนใจ สร้างผลลัพธ์ขึ้นมาในทุกๆเรื่องจนกระทั่งผู้คนเรียกเขาว่าผู้มากซึ่งความสามารถ
แต่ซาตาบอร์นก็ไม่ได้คิดอะไรในเรื่องที่คนอื่นพูดถึงตัวเขา เขามุ่งเน้นไปยังการวิจัยของตัวเอง
ไลร์ คูเอ็ม ซาตาบอร์นในช่วงวัยอันเจิดจรัส:
เพราะเขาทำงานใดๆที่ได้รับมอบหมายด้วยทักษะอันสุดยอดของตัวเองจนเสร็จสิ้น เขาจึงได้รับอีกชื่อหนึ่งมาจากการรับรู้ถึงการมีส่วนร่วมต่อดินแดนเวทมนตร์ ชื่อของจอมเวทมากความสามารถเป็นชื่อเดียวกันกับสารบางอย่าง แต่ตัวของเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเช่นเคย
ยิ่งมีหน้าใหม่โผลมาหาเขามากเท่าไหร่ ซาตาบอร์นก็ปฎิบัติกับอีกฝ่ายเสมือนกับเป็นอากาศ —เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ได้สอนอะไรกับอีกฝ่ายเลย วิธีการเดียวที่จะเรียนรู้จากซาตาบอร์นได้คือการแอบมองงานของเขา และใครก็ตามที่ไม่ชอบวิธีนั้นก็จะลงเลยด้วยการออกไป มันหาได้ยากยิ่งที่จะมีหน้าใหม่ที่จะอยู่รอบตัวเขาได้มากกว่าหกเดือน
ไลร์ คูเอ็ม ซาตาบอร์นในช่วงวัยกลางคน:
ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน หน่วยงาน หรือห้องทดลองที่ต้องการความร่วมมือจากเขา เขาก็ตอบกลับไปทั้งหมด มันไม่ใช่ว่าเขาทำประโยชน์เพื่อสังคม หรือกระโดดเข้าหาโอกาสเรื่องงานใดๆที่ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองในฐานะนักวิจัย — งานนั้นมันเกี่ยวข้องกับการสร้างเวทมนตร์ที่เป็นความลับ เช่นการสร้างเพื่อการทหารหรือฝ่ายข่าวกรอง แต่เป็นเพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับซาตาบอร์นคือการทำให้ความคิดที่อยู่ภายในตัวเกิดขึ้นจริง
แต่อย่างไร งานหลายประเภทของเขาก็ไม่ควรถูกคนภายนอกล่วงรู้ แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าของการวิจัย แต่ตัวของซาตาบอร์นเองก็นับว่าเป็นคนนอก เขามักโดนขัดแข้งขัดขาอยู่บ่อยครั้ง ในตอนที่ใกล้จะถึงลำดับถัดไป ตอนที่โปรเจคกำลังใกล้จะใช้การได้ เขาก็ถอยห่างออกมา
หลังจากทดลองมามากมายหลายครั้ง ซาตาบอร์นก็ได้เรียนรู้และเปลี่ยนแปลง แก่นของเขาที่ปรารถนาไล่ตามความลึกลับของเวทมนตร์ยังมิได้เปลี่ยนไป แต่รอบๆแก่นนั้น มันมี “เรื่องของจิตใจ” ที่ไม่เคยมีมาก่อนอยู่ด้วย
หากเขาจะลงมือแล้วล้มเลิกก่อนที่งานของตัวเองจะเสร็จสิ้น แบบนั้นเขาก็จะทำให้เรื่องงานให้ไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยที่ไม่มีเขา ผู้คนที่มาขอความช่วยเหลือจากซาตาบอร์นมาตั้งแต่แรกเพราะว่าพวกนั้นไม่สามารถไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง หากเขาวางกับดักลงไปในงานเหล่านั้นเพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามันเป็นเรื่องหายนะสำหรับทุกคนยกเว้นเขา แบบนั้นเขาก็จำเป็นต้องอยู่ช่วยจนถึงท้ายที่สุด
มันไม่มีใครที่สามารถคิดค้นเทคนิคใหม่ได้มากเท่าซาตาบอร์นหรือรู้ถึงกับดับที่เขาวางเอาไว้ จริงๆแล้วเขาปรารถนาให้ใครบางคนมองออก แต่มันก็ไม่มีใครที่สังเกตว่ามันเป็นความตั้งใจเลย เนื่องจากว่าไม่มีใครที่สามารถเข้าใจได้ ซาตาบอร์นก็ค่อยๆโดดเด่นมากยิ่งขึ้นด้วยวิธีการของเขา
“เรื่องของจิตใจ” นี้ มันทำงานแตกต่างจากซาตาบอร์นคนเดิม มันไม่ได้เข้าไปรบกวนแก่นความปรารถนาเรื่องการวิจัย แต่นี่ก็ไม่ใช่ตัวตนที่ต่างออกไปของเขา มันคือสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่เสริมเข้าไปยังแก่นของชายผู้เรียบง่าย
ไลร์ คูเอ็ม ซาตาบอร์นช่วงผ่านวัยกลางคน:
ความปรารถที่จะสร้างความรู้มากมายที่หลบซ่อนอยู่และทำให้มันเป็นจริงไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป —ความจริงแล้วมันยังคงเพิ่มมากขึ้น เขาทำให้ความคิดที่เกิดขึ้นภายในตัวเกิดขึ้นจริงพร้อมกับวันเดือนปีที่ผ่านพ้นไป เส้นผมของเขากลายเป็นสีขาว ผิวหนังเองก็มีรอยย่น
ในตอนที่ซาตาบอร์นหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัยของตัวเอง เหล่าลูกศิษย์ก็แต่งงานและมีลูกไปเรียบร้อยแล้ว ซาตาบอร์นไม่สามารถทนกับเรื่องที่ต้องเสียเวลาไปกับอะไรเล็กๆน้อยๆ แกล้งป่วยตอนมีพิธี และงานอื่นๆตลอดได้ จนสุดท้าย หลานของเขาที่เติบโตขึ้นมาก็คอยป้วยเปี้ยนอยู่รอบๆและเข้ามาวุ่นวาย ดังนั้นซาตาบอร์นจึงไล่ออกไปด้วยการดุด่าแบบไม่ค่อยเต็มใจ
“เรื่องของจิตใจ” ของซาตาบอร์นทำให้เขาจัดการเรื่องทางสังคมเท่าที่จำเป็นมากกว่าที่จะเมินเฉยและลงเอยด้วยการที่ไม่ได้มีส่วนร่วม เขาไม่ได้รู้สึกแรงกล้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทางอื่น เขาใช้ชีวิตของตัวเองไปอย่างเรียบง่ายโดยไม่แยแสอะไรเช่นเคย
และไลร์ คูเอ็ม ซาตาบอร์นในวัยชรา:
เมื่ออายุมากขึ้นมันก็ทำให้มีรอยเหี่ยวย่นและจุดด่างดำมากขึ้นตามไปด้วย แต่กระนั้นจิตใจของเขายังคงเฉียบคมเช่นเดิม แม้ร่างกายจะไม่ได้เป็นอุปสรรค ซาตาบอร์นก็ยังคงสรรสร้างสิ่งต่างๆตามที่ตัวเองต้องการ
บาเรียรูปแบบใหม่ การพัฒนาที่เขามีส่วนร่วมด้วยเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็มาถึงขั้นตอนของความสำเร็จ จากนั้นเพียงแค่ไม่นาน สมาชิกของฝ่ายโอสก็เข้ามาหาเขา
พวกนั้นสร้างเมจิคัลเกิร์ลที่ทำหน้าที่เป็นภาชนะบรรจุวิญญาณของหนึ่งในสามสามปราชญ์ จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยเหลือดินแดนเวทมนตร์มาตั้งแต่อดีตกาล ฝ่ายโอสกำลังทำในสิ่งอันเป็นที่สุด ไม่ได้ประหยัดเงินทุน เวทมนตร์ หรือเลือดเนื้อโดยที่ไม่สนว่ามันต้องใช้มากแค่ไหน เมจิคัลเกิร์ลคนนี้คงเป็นสิ่งใหม่อย่างสมบูรณ์ตามความหมายของคำ
ช่างเป็นหัวข้อในการวิจัยที่น่าตื่นเต้นยิ่งนัก
หากซาตาบอร์นเสริมการวิจัยที่มีอยู่ของตนเองลงไปในความพยายามใดๆในอนาคตและใช้ข้อมูลจากฝ่ายโอส เขาก็ควรจะสร้างอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาได้ —เสียงที่ไร้ซึ่งความมีมนุษยธรรมภายในตัวของเขาพูดออกมาเช่นนั้น
เขาให้คนพวกนั้นคุ้มครองความปลอดภัยของเกาะให้แก่เขา ร่ายบาเรียแบบปรับแต่งขึ้นเพื่อสร้างสุดยอดศูนย์วิจัยที่ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เติมเต็มเกาะแห่งนี้ด้วยพืชพรรณนานาชนิดเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงวัตถุดิบในการทดลอง ในขณะที่สถานที่พักถูกสร้างขึ้นด้วยการใช้ก้อนหิน
ทางห้องทดลองพยายามส่งผู้ช่วยมาหาเขา ซึ่งเขาได้ปฎิเสธไปเพราะมันไม่จำเป็น แต่ทางนั้นก็ยัดเยียดชายวัยกลางคนที่รูปร่างสมส่วนมาให้พร้อมพูดว่า “จะใช้เขาไปทำงานแปลกๆก็ได้” ดังนั้นซาตาบอร์นจึงยอมรับและอนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมเป็นบางครั้ง การไล่เขาออกไปมันคงทำให้เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์
ชายคนนี้คงเป็นนักวิจัยมากความสามารถเพราะเขาถูกส่งมาจากทางห้องทดลอง แต่เขาก็ทำตามสิ่งที่ถูกบอกโดยที่ไม่ได้บ่นออกมาแม้แต่คำเดียว ซาตาบอร์นจึงปล่อยเขาเอาไว้เช่นนั้น ไม่ได้ปฎิบัติกับเขาแบบที่โหดร้ายหรือใจดี เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับชายคนนี้มากนัก
วันหนึ่ง เมื่อซาตาบอร์นมอบหมายให้เขาจัดการคลังเก็บของ —มันเป็นงานที่ซาตาบอร์นไม่มีวันทำด้วยตัวเอง— ชายคนนั้นก็พูดออกมาว่าที่แห่งนี้มีสุดยอดไอเท็มมากขนาดไหนและไอเท็มหนึ่งชิ้นที่ทรงค่ามีความเชื่อมโยงไปถึงปฐมจอมเวทเช่นไร ในขณะที่ซาตาบอร์นที่เก่งเรื่องการเพิกเฉยเสียงนกเสียงกานั้น เขาก็สามารถเลี่ยงปัญหาได้อีกครั้งด้วยการผลักเอาเสียงของชายคนนั้นออกไปจากสมอง
ในจิตใจของซาตาบอร์นเต็มไปด้วยงานที่เขาต้องทำ เพื่อที่จะทำให้ความรู้สึกของร่างเกิดใหม่ของปราชญ์ออกมาอย่างสมบูรณ์ เขาต้องเติมเต็มแต่ละส่วนไปทีละอย่าง จอมเวทจำนวนมากจะคิดว่ามันไม่ได้มีความแตกต่างที่ใหญ่หลวงนักในเรื่องความรู้สึกของเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นจึงจึงย่อหย่อนในเรื่องนั้นแล้วใช้วิธีการที่มีอยู่ แต่ถ้าทำแบบนั้น งานมันก็จะไม่มีวันไปถึงจุดที่ควรจะเป็น
แต่จากนั้น ชายคนนั้นทำอะไรที่ดูรุนแรง —เขาจับไหล่ของซาตาบอร์นและเขย่าตัว “นี่ฟังอยู่รึเปล่า ตาแก่?!” เขาตะโกนออกมา พยายามทำลายความตั้งใจของซาตาบอร์นอย่างสิ้นหวัง
การเขย่าอย่างรุนแรงนั้นมันทำให้เศษกระดาษจำนวนหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะลอยขึ้นไปในอากาศ กระดาษนั้นมันคือความต้องการของซาตาบอร์น มันเป็นสิ่งที่เขาทำขึ้นมาในระหว่างการทดลองอย่างง่ายๆเพื่อเป็นการลดความซับซ้อนของสูตรต่อหน่วยงานรัฐ เขาเติมอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมาในใจลงไป ดังนั้นถึงมันจะฉีกขาดหรือสกปรกก็ไม่มีปัญหา แต่เขาก็คิดว่ายิ่งเรื่องมันซับซ้อนมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้กว่าที่ผู้ช่วยเขาจะใช้เวลาทำให้สำเร็จได้นานขึ้นเท่านั้น เขาเอามือของชายคนนั้นออกไปอย่างใจเย็น ผลักเขาออกไปด้านข้าง แล้วก็กลับไปทำงานต่อ จมดิ่งลงไปในความคิดของตัวเองและออกห่างจากเสียงของชายที่พูดออกมา
เมื่อซาตาบอร์นเสร็จสิ้นการตั้งค่าทางประสาทสัมผัส ท้องฟ้ามันก็มืดไปเรียบร้อยแล้ว เขาสาบานได้ว่าชายที่เป็นผู้ช่วยยังคงพูดพล่ามออกมา แต่ก็หยุดลงตรงจุดหนึ่ง ซาตาบอร์นล้างความคิดเรื่องชายคนนั้นภายในหัวออกไปและทำเรื่องถัดไปต่อ เขาต้องวางกับดักที่มีแต่เขาคนเดียวเข้าใจพื้นฐานร่างเกิดใหม่ของปราชญ์เอาไว้ เขาสร้างวิธีการที่จะทำให้คนอื่นที่เข้ามายุ่งถูกเผาขึ้นโดยที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น จากนั้นก็สร้างช่องลับเอาไว้ในวิธีการ เขาจะไม่ใส่เรื่องนี้ลงไปในเอกสาร หากซาตาบอร์นถูกขับไล่ออกไปก่อนที่จะเสร็จสิ้น เขาก็จะถูกเรียกกลับมา —เพราะสุดท้ายแล้ว เขาคือคนเพียงคนเดียวที่สามารถแก้ไขร่างเกิดใหม่ได้
โดยแก่นแท้ของซาตาบอร์นแล้ว เขาสนใจเพียงแค่การทำให้ความคิดของตัวเองเป็นจริงต่อไป จิตใจของเขาไม่ได้รู้ถึงเรื่องการรักษาเอาตัวรอดเลย
ตอนที่ 11:
จากหายนะสู่หายนะที่ร้ายแรงยิ่งกว่า
☆ ดรีมมี่✰เชลซี
ในตอนที่สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นเลวร้าย เชลซี เมรี่ และจอมเวทชรากำลังโต้เถียงกันอยู่ : ฆาตกรถือขวานปรากฏตัวออกมา มันเป็นอะไรที่กระทันหันมาก ราวกับว่าคนๆนี้ปรากฏตัวขึ้นมาจากอากาศ
ในหมู่เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อยที่แม่ของเชลซีได้สอนเธอเอาไว้ว่า “ในสถานการณ์ฉุกเฉินให้ทำตามสัญชาตญาณ” นั่นหมายถึง “หากไม่มีเวลาก็อย่าคิดนานไปนัก” —หรือก็คืออย่าคิดอะไรมากเกินไปเพราะมันจะไม่ทำให้อะไรออกมาดี ความจริงแล้วแทนที่จะคิดอะไรอย่างระมัดระวัง บ่อยครั้งเรื่องต่างๆมันก็ดีขึ้นเพราะเธอปล่อยตัวเองให้ทำตามสัญชาตญาณ
เชลซีทำตามแรงกระตุ้น สัญชาตญาณมันทำให้เธอคิดออกมาสองเรื่อง : “นี่คือศัตรู” และ “นี่คือคนที่ฆ่าเชพเพิร์ดพาย” เธอข้ามกระบวนการตั้งคำถามและตรวจสอบไป จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปโจมตี เธอสร้างดวงดาวขึ้นมาเอาไว้ก่อนแล้วด้วยการบดหิน และในตอนนี้เธอก็ส่งดวงดาวสามดวงบินไปทางด้านขวา อีกสามดวงจากทางด้านซ้าย และอีกสี่ดวงจากทางด้านบนในขณะที่ตัวเองก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมทำท่าชูสองนิ้ว มันช่างน่ารัก น่ารักอย่างไร้เดียงสา
แต่คู่ต่อสู้ก็ขยับตัวก่อนเชลซีเพียงแค่อึดใจเดียว เทพธิดาหมุนตัวสองรอบกลับไปด้านหลังและลงมาที่ต้นไม้ได้รวดเร็วกว่าดวงดาวของเชลซีที่จะบินเข้าไปหา อีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมากจนไม่คิดว่าจะถือขวานสองด้ามอยู่ในมือ ต้นไม้มันไม่ได้แตกหรือหัก —ความจริงแล้ว มันไม่ได้มีกิ่งไม้หรือใบไม้ร่วงลงมาด้วย ต้นไม้แค่สั่นไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันบอกได้ว่าเธอไม่ใช่แค่ใช้ต้นไม้เป็นที่เด้งตัวแบบธรรมดา —แต่เธอยังเชี่ยวชาญเทคนิคบางอย่างอีกด้วย
เชลซียังคงไม่คิด เธอยังคงให้ความสำคัญกับการกระทำ
เธอลดนิ้วที่ชูสองนิ้วลง ทำรูปหัวใจด้วยสองมือที่ด้านหน้าใบหน้า หัวใจ สัญลักษณ์ของมิตรภาพและความอบอุ่นคือสิ่งที่เหมาะสมกับเมจิคัลเกิร์ลที่มีเสน่ห์และจิตใจดีงาม มันมอบความเป็นเมจิคัลเกิร์ลมากกว่าสิ่งที่ธรรมดาอย่างการชูสองนิ้วทั้งสองมือแบบไร้เดียงสา และแน่นอนว่ามันน่ารักอีกด้วย
เทพธิดาเหวี่ยงขวานขึ้น อีกฝ่ายยังคงอยู่ห่าง เธอคงกะระยะพลาดแน่ —ไม่สิ!
เชลซีวิ่งตรงเข้าไปหาเทพธิดาโดยไม่คิด เธอวิ่งอย่างร่าเริงเหมือนกับเมจิคัลเกิร์ลในเพลงเปิดของอนิเม —โดยทั่วไปแล้วเธอคิดถึงริคคาเบล ศัตรูนั้นไม่ได้อยู่ห่างออกไปมาก อีกฝ่ายจึงไม่ได้ทำอะไรพลาดแน่ เชลซีคือคนที่พลาดเอง ขวานของศัตรูสามารถโจมตีได้เป็นวงกว้างมากกว่าที่เห็น ในตอนที่ศัตรูเหวี่ยงขวานขึ้น ขวานมันก็บิดไปมา แล้วผิวสีเทาที่ดูเหมือนกับหินก็กลายเป็นอะไรบางอย่างสีแดงและหยาบเหมือนกับทราย และในตอนที่พร้อมจะโจมตีเข้ามา เชลซีก็กระโดดขึ้นไปสูงเสมือนกับการกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ยืดอกขึ้นและกางแขนออกกว้างราวกับให้ความสำคัญกับความสดใสของเด็กสาว ขวานทรายไม่ได้โดนตัวเชลซี มันโดนเข้าไปที่พื้นและทำให้ฝุ่นฟุ้งขึ้นมา
ขวานทรายเปลี่ยนกลับไปเป็นเหล็กในทันที และเทพธิดาก็เหวี่ยงมันอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับว่าเธอถือขวานอยู่สิบหรือยี่สิบด้ามแทนที่จะเป็นสอง มันเป็นความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เชลซีหลบการโจมตีด้วยการผสานการหมุนตัวและหักเลี้ยวอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่าเธอกำลังเต้นรำอยู่ และด้วยการกระโดดเบาๆหลังจากนั้น เธอก็ลงมาบนยอดของดวงดาวที่หมุนอยู่และกระโดดออกไปอีกครั้ง
ขวานมันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก มันยากที่จะตามการเคลื่อนไหวทันได้ด้วยตา ในตอนนี้เชลซียังคงสามารถหลบการโจมตีได้ แต่ถ้าเธอยังคงทำแบบนี้ต่อไป เธอก็คงจะพลาดตรงจุดไหนซักจุด และความผิดพลาดเพียงแค่ครั้งเดียวก็จะเท่ากับเกมโอเวอร์
เธอตัดสินใจแล้ว เธอจะสู้กับศัตรูคนนี้ด้วยความรวดเร็วและเพิ่มความไม่แน่นอนลงไป เชลซีทำให้ดวงดาวสิบดวงของเธอดูเหมือนว่ามีวิถีแบบสุ่มและให้เคลื่อนไหวอย่างสับสน เธอกระโดดจากดาวดวงหนึ่งไปยังอีกดวงพร้อมโพสท่าไม่ก็สับเปลี่ยนลงมาบนพื้นเพื่อที่จะเล่นกับศัตรู —ไม่ใช่หลบเลี่ยงอีกฝ่าย ซึ่งมันเป็นการป้องกันให้ตัวของเธอไม่ตกเป็นเป้าโจมตี อีกอย่างคือ เธอทำให้ศัตรูสับสนด้วยท่าโพสด้วย
เชลซีกระโดดไปยังดาวอีกดวงด้วยการหมุนตัวสองและสามรอบด้วยปลายเท้า ลอดผ่านขวานเพื่อเข้าใกล้คู่ต่อสู้ ตีเข้าไปที่ท่อนแขนของศัตรูด้วยแขนของตัวเองที่ขยับตามทำนองเพลงอย่างรวดเร็ว แต่แขนของศัตรูนั้นแข็งมากจนมือของเธอเกิดชา มันไม่เหมือนกับว่าเป็นเพราะเวทมนตร์ แม้จะเป็นมาตราฐานของเมจิคัลเกิร์ล ร่างกายของเธอมันแข็งอย่างผิดปกติ แบบนี้มันไม่น่ารักเลย
ดาวดวงหนึ่งของเชลซีที่เธอยิงออกไปยังบริเวณนั้นแตกออกพร้อมกับเสียงดัง มันถูกฟันด้วยขวานของเทพธิดา อีกฝ่ายทำลายดาวอีกสองดวงหลังจากนั้นด้วย ขวานมันเคลื่อนไหวรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ใบขวานดูคมกริบยิ่งกว่าเดิม เชลซีสามารถสู้กลับได้ด้วยการเร่งความเร็วดวงดาวของเธอ แต่นั่นก็จะทำให้ตำแหน่งของเธอไม่เสถียรตามไปด้วย ดูเหมือนว่ามันไม่มีขีดจำกัดที่ศัตรูจะเหวี่ยงขวานได้รวดเร็วแค่ไหนอยู่เลย แถมเมื่อกลายเป็นแบบนั้นมันก็จะเสียเปรียบเรื่องความเร็วอีกต่างหาก เชลซีหลบการโจมตีถัดมาด้วยท่าที่เสมือนกับหงส์ที่บินลงมาบนผืนทะเลสาบอย่างสง่างาม เมื่อขวานเหวี่ยงตามหลังมา เธอก็จับด้ามของมันเอาไว้ หมุนตัวเองและศัตรูไปรอบๆเพื่อสลับตำแหน่งก่อนที่จะกระโดดออก เธอทำทุกอย่างด้วยท่าทางเหมือนกับการเล่นยิมนาสติก พร้อมกับตะโกนออกมาอย่างน่าหลงไหลเหมือนกับนักร้องขับกล่อม เพราะแบบนั้นเอง การกระทำของเธอจึงดูไม่เหมือนกับมีความรุนแรงอยู่เลย แม้จะเป็นการต่อสู้ตะลุมบอนกันก็ตาม แต่ถึงเธอจะไม่ได้เต็มใจใช้วิธีการเช่นนั้น ศัตรูคนนี้เองก็ไม่ใช่คนที่เธอจะสามารถจัดการในทันทีได้
“เมรี่ วิ่ง!” เชลซีตะโกน จากนั้นก็คิดถึงภาพเมรี่วิ่งเข้าไปหาเร็นเร็น ทันใดนั้นเอง ความคิดบ้าๆก็ติดอยู่ในหัว: เธอไม่อยากให้เมรี่หนีไป เธออยากให้เมรี่อยู่เคียงข้างเธอ เธอเกือบจะตะโกนมันออกมา “จริงๆแล้ว อย่าหนีไปเลยนะ” แต่อีกส่วนหนึ่งของเธอก็หักห้ามตัวของเธอเอาไว้ เธอไม่อยากให้เมรี่ต้องตกอยู่ในอันตราย แค่คิดว่าเมรี่จะถูกฆ่าเหมือนกับเชพเพิร์ดพายมันก็ทำให้เธอรู้สึกขนลุกแล้ว
“วิ่งไป! อย่าวิ่งไปหาเร็นเร็นนะ!”
เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว
การจำเรื่องของเชพเพิร์ดพายได้ มันทำให้หัวใจของเชลซีรู้สึกเหมือนจะหลุดออกมาจากร่าง แต่เรื่องของเมรี่ก็ลบมันให้หายไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เมรี่คือความสำคัญอันดับสูงสุดของเชลซี ทุกอย่างที่เชลซีทำลงไปมันก็เพื่อเมรี่
ดวงดาวที่เหลืออยู่วิ่งไปในอากาศ แล่นผ่านแมกไม้ตามเส้นทางที่สลับซับซ้อนเพื่อมารวมกันเป็นจุดเดียว หากคนธรรมดาควบคุมมัน มันก็จะมีหนึ่งหรือสองดวงที่ชนกันกลางอากาศ แต่นี่คือดรีมมี่✰เชลซี คนที่ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากผู้เชี่ยวชาญในการยิงดวงดาว
เมื่อเชลซีและเทพธิดาตั้งหลักได้แล้ว เชลซีก็ถือขวานเอาไว้ในมือแต่ละข้างพร้อมกับไขว้เข้าหากัน ดังนั้นศัตรูจึงเหวี่ยงมันไม่ได้อีกต่อไป —และไม่ลืมที่จะเอียงศีรษะพร้อมกับรอยยิ้มเพื่อเสริมความน่ารัก คู่ต่อสู้เองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ความโกรธนั้นหลบซ่อนอยู่ด้านหลังของรอยยิ้ม มีเจตนาร้ายพุ่งพล่านอยู่ด้านหลังและเข้าปะทะกับเหมือนใบดาบ บิดไปมาเข้าหากัน จนเธอไม่อาจละสายไปตา
ในตอนนั้นเอง ดวงดาวเจ็ดดวงก็พุ่งลงมาเข้าหาเทพธิดาจากด้านหลัง เคลื่อนไหวผ่านต้นไม้ภายใต้แสงอาทิตย์เข้าหาแผ่นหลังที่ไร้การป้องกัน แม้ว่ามันจะเป็นดวงดาวที่เชลซีสร้างขึ้นมาเป็นการชั่วคราว มันก็คงจะทำให้เจ็บปวด ไม่สิ —หากอีกฝ่ายเป็นเมจิคัลเกิร์ลธรรมดาล่ะก็ มันก็จะเป็นอะไรที่มากกว่าเจ็บปวด ดวงดาวดวงแล้วดวงเล่ากระแทกเข้าหาเทพธิดา แต่ตัวของเทพธิดาก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเลย เธอแค่ปล่อยให้ดวงดาวกระแทกเข้าหาแผ่นหลัง ในตอนนั้นเองรอยยิ้มก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
เชลซีเอียงศีรษะไปด้านตรงข้าม คู่ต่อสู้ของเธอไม่ใช่แค่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งเพียงแค่ด้านหน้า เชลซีมองสำรวจและพบว่าศัตรูบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทำไมผิวหนังถึงได้หนาขนาดนั้นกันนะ? ต้องกินอะไรถึงจะมีร่างกายแบบนั้นได้?
หลังจากที่โจมตีครั้งแรกไปแล้ว ดวงดาวก็หมุนไปรอบๆแล้วก็บินขึ้นไปเหนือศีรษะของเชลซี จากนั้นก็พุ่งเข้าหาใบหน้าของศัตรู เชลซีทำให้ดวงดาวเร็วกว่าก่อนหน้านี้และเพิ่มการหมุนเข้าไปเหมือนกับลูกกระสุน เธอไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้สำหรับคู่ต่อสู้ธรรมดาเลย แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นอีก เชลซีใช้ดวงดาวพุ่งเข้าหาใบหน้าของศัตรูที่น่ากลัวดวงแล้วดวงเล่า การใช้พลังทำลายล้างมันจะทำให้แม้แต่เมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งยังลอยกลับไปด้านหลังกว่าสามเท่า ดวงดาวที่รับพลังไม่ไหวจนแตกสลายไป มันทำให้คางของเทพธิดาเงยขึ้น เทพธิดาลดคางลงมาจนมองเห็นรอยยิ้มเช่นเดิม แม้ว่าจะมีเลือดไหลออกมานิดหน่อยก็ตามที
“ขวานที่ท่านทำตกคือขวานทองงั้นหรือ?” เทพธิดาถามออกมาเหมือนกับก่อนหน้านี้ แขนของเทพธิดายื่นออกมาด้านหน้าอย่างช้าๆ เธอเกร็งมือที่จับขวานเอาไว้แรงกว่าเดิม จากการเกร็งนั้นเอง เชลซีก็ส่งเสียงที่ฟังดูน่ารักออกมา
“หรือว่าจะเป็นขวานเงินนี่กัน?”
“ย๊าา!”
ด้วยเสียงที่นำพาความแข็งแกร่งทั้งหมดของร่างกาย เชลซีกลับไปยืนด้วยท่าที่เอนตัวไปด้านหน้า และเผชิญหน้าเข้ากับเทพธิดา
เชลซีก้าวออกไปไม่กี่ก้าวและหยุดลง นิ้วเท้าของเธอจมลงไปในดิน เข่าของเธอสั่นไหว แม้ว่าเธอจะพยายามเคลื่อนไหวไปด้านหน้าแต่ขาของเธอมันก็ไม่ขยับ ความจริงแล้วมันกลับไปด้านหลังด้วยซ้ำ เธอกำลังก้าวถอยหลังออกมา
เชลซีมองไปที่เทพธิดา คนที่กำลังยิ้มอยู่อย่างใจเย็น “ขวานที่ท่านทำตกคือขวานทองงั้นหรือ?” เทพธิดาถามออกมาอีกครั้ง
“ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย… นี่มันอะไรกัน?”
“รึว่าจะเป็นขวานเงินนี่กัน?”
“นี่เธอเป็นใครกัน?” คำพูดที่ออกมาจากปากของเธอมันขาดซึ่งความน่ารัก เพราะแบบนั้นเธอจึงรีบถามออกไปอีก “นี่เธอเป็นใครกันแน่?”
เชลซีไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับคู่ต่อสู้ เธอสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ตัวของเชลซีถูกสร้างมาเหมือนกับเด็กช่วงวัยประถมตอนปลายหรือช่วงวัยมัธยมตอนต้น ในขณะที่เทพธิดามีร่างกายแบบหญิงสาวในวัยผู้ใหญ่ แต่ความแตกต่างเรื่องรูปร่างมันไม่ได้เป็นอุปสรรคเมื่อเป็นเมจิคัลเกิร์ล บางคนนั้นแข็งแกร่งแม้จะตัวเล็ก บางคนที่ตัวใหญ่ ตราบใดที่อ่อนแอมันก็จะอ่อนแอ ร่างกายส่วนล่างของเชลซีพยายามรักษาสมดุลเอาไว้หลายครั้ง แล้วเธอยิงดวงดาวออกมาจากแขนเสื้อ
เมื่อสัมผัสได้ว่าขาซ้ายของเทพธิดากำลังเกร็ง สัญชาตญาณของเชลซีบ่งบอกว่าเท้าของเทพธิดากำลังจะหมุนเพื่อใช้ขาขวาเตะเข้ามา ตั้งแต่เทพธิดาดึงขากลับไปในตอนนี้มันเป็นจุดบอดของเชลซี
เชลซีใช้ดวงดาวยิงเข้าไปที่จุดนั้น มันไม่ใช่ดวงดาวธรรมดาๆ มันคือชิ้นส่วนกระจกที่ตัดเป็นรูปดวงดาว ด้วยการสะท้อนของกระจกรูปดวงดาวซึ่งกันและกัน เธอจึงมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลังศีรษะ เชลซีจึงยกเท้าขึ้นเพื่อที่จะเตะออกไปด้วยท่าที่ดูน่ารัก
หือ?
โดยทั่วไปแล้วเธอตั้งใจที่จะเผชิญหน้ากับเทพธิดาที่ดูแสนเบื่อด้วยท่าทางน่ารักกับลูกเตะธรรมดาเพื่อให้อีกฝ่ายล้มลง แต่เธอก็จินตนาการไม่ได้ว่ามันจะสำเร็จรึเปล่า จู่ๆเชลซีก็ทิ้งขวานและกระโดดไปด้านตรงข้าม การกระโดดของเชลซีและการเตะของเทพธิดาเกิดขึ้นในจังหวะที่เหมาะเจาะอย่างสมบูรณ์ มันทำให้ร่างเล็กๆของเชลซีลอยขึ้นไปสูงในอากาศ และเทพธิดาก็กวัดแกว่งขวานของตัวเองที่เป็นอิสระได้อีกครั้ง
เชลซีมองลงมาจากในอากาศที่สูงขึ้นไปจากพื้นยี่สิบเมตร พาสเทล เมรี่หายไปเรียบร้อยแล้ว จอมเวทชราเองก็หายไปเช่นกัน เชลซีรู้สึกโล่งอกที่ทั้งสองคนหนีไปได้ จากนั้นก็เปลี่ยนมุมของกระจกรูปดวงดาวสองดวงเพื่อทำให้ศัตรูมองไม่เห็นด้วยแสง และในเวลาเดียวกัน เธอก็เอาดวงดาวอีกคู่เคลื่อนไหวเป็นรูปดวงดาวเพื่อสะท้อนด้ามขวานจากด้านล่าง การโจมนั้นมันหยุดขวานที่เข้ามาหาไม่ได้ แต่มันทำให้สมดุลรวนเล็กน้อยเมื่อเทพธิดาพยายามจะยกมันขึ้นเหนือหัว ในเวลาเดียวกัน เชลซีก็ดึงเอาคฑาของเธอออกมาและจับเทปที่ติดกับรูปดวงดาวตรงปลายเอาไว้
เธอทำให้ดวงดาวเคลื่อนลงไปด้านล่างเป็นมุมแหลม ดวงดาวนั้นมันลากเธอตามไปด้วย เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อหลบการโจมตีที่เข้าหาอย่างเฉียดฉิว เทปเวทมนตร์นั้นทนต่อความเร็วไม่ได้จนมีบางส่วนที่ลอกออก การบินในอากาศพร้อมออกท่าทางมันทำให้เธอรู้สึกแย่เหมือนกับถูกโจมตีเข้าที่อวัยวะภายในโดยตรง เธอไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้ซ้ำๆ แต่มันก็ดีกว่ารับการโจมตีโดยตรงจากขวานพวกนั้นในตอนที่ไร้การป้องกันกลางอากาศ
เชลซีหลบการฟันจากด้านขวากลางอากาศ จากนั้นก็โฉบลงมาเลียบพื้นเพื่อหลบการโจมตีที่เข้ามาจากทางซ้าย พุ่งผ่านม่านทรายที่ลอยฟุ้งขึ้นเหมือนกับในตอนที่สามสิบหกของ ช่วยด้วย! ฮิโยโกะจัง! —ซึ่งเป็นตอนที่เล่นกระดานโต้คลื่น— เธอหักเลี้ยวสามรอบ และในตอนนี้เธออยู่ห่างจากเทพธิดายี่สิบห้าเมตร และลงมาที่พื้นด้วยขาขวา แต่มันมีอะไรบางอย่างที่แปลก —ในตอนที่เธอพยายามก้าวขาซ้ายออกมาอย่างช้าๆ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันมันหยุดเธอเอาไว้
ขาของเธอชาจากการที่ถูกเทพธิดาเตะ เธอคิดว่ากว่าขาจะขยับได้อีกครั้งมันก็อีกพักหนึ่ง เธอสาบานได้ว่าตัวเองกระโดดในจังหวะที่โดนโจมตีเพื่อลดแรงกระแทก แต่กระนั้นเธอก็ยังคงรับความเสียหายมากพอสมควรอยู่ดี มันเจ็บ
เชลซีติดอยู่ในท่าโพสที่ดูงี่เง่า มือขวาของเธอแผ่ออกและยกขาซ้ายขึ้น แบบนี้มันไม่ใช่รสนิยมของเธอเลย แต่อย่างน้อยเธอก็ต้องอดทนกับท่าทางในตอนนี้เพื่อให้ผ่านไปให้ได้ จากท่าโพสของเธอแล้วไม่ว่ายังไงศัตรูก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอถูกโจมตี
เทพธิดาก้าวเท้าขวาออกมาด้านหน้า การเคลื่อนไหวนั้นมันช่างลื่นไหล ดูไม่เหมือนว่าได้รับบาดเจ็บอะไรเลย มันไม่แฟร์เลยที่เชลซีบาดเจ็บในขณะที่ศัตรูไม่ได้มีบาดแผลในตอนที่เข้าปะทะกันเลย แบบนี้มันไม่เท่าเทียมกันซักนิด
ความเจ็บปวดมันเกิดขึ้นอย่างไม่จบไม่สิ้น มันทำให้เชลซีรู้สึกทรมาณ เธอกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับศัตรูที่ต่อสู้ด้วยความสนุกสนาน ความน่ารักกำลังจะพ่ายแพ้งั้นเหรอ? แบบนี้ไม่ได้ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้
ขวานด้านขวากลายเป็นสีดำ ขวานด้านซ้ายกลายเป็นสีแดง เทพธิดาเดินตรงเข้ามาด้านหน้า และเชลซีก็กระโดดถอยหลังด้วยขาข้างเดียว มันไม่เหมือนกับเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิที่ปรากฏในเทพนิยาย เทพธิดาคนนี้ใช้ขวานเพื่อความรุนแรงเพียงเท่านั้น แม้ว่าตัวตนจะดูน่าอัศจรรย์เหมือนกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย —เทพธิดาก็ทำให้มันเสียเปล่าไปจนหมด
ขาซ้ายของเชลซีรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจำเป็นต้องพักไม่ใช่ต่อสู้ ถ้าให้พูดตรงๆเลยก็คือ เธอไม่สามารถต่อสู้ไปได้นานกว่านี้แล้ว มันเป็นเรื่องโกหกที่พลังที่แท้จริงของเมจิคัลเกิร์ลจะออกในตอนที่ตกที่นั่งลำบาก เมจิคัลเกิร์ลไม่ควรจะแสดงความแข็งแกร่งออกมาในเวลาแบบนั้น มีแต่เมจิคัลเกิร์ลของปลอมเท่านั้นที่จะชื่นชอบการต่อสู้ พวกนั้นแตกต่างจากเชลซี
พาสเทล เมรี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกแง่หนึ่ง คนที่เชลซีต้องปกป้องนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ มันไม่จำเป็นต้องฝืนเลยเพื่อที่จะให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ ความน่ารักจะไม่มีวันพ่ายแพ้ นี่คือการล่าถอยเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เชลซีตบเข้าไปที่ดวงดาวตรงคฑาด้วยมือขวา จากนั้นก็พูดอะไรน่ารักๆออกมาว่า “ใช่แล้ว จริงสิ ฉันทำขวานตกจริงๆนั่นแหละ เห็นกับตาเลย”
เทพธิดาเอียงศีรษะในตอนที่กำลังยิ้มอยู่ ในบรรยากาศเช่นนี้ มันทำให้ดูอ่อนหวานอย่างลึกลับ
“แต่ฉันไม่คิดว่าเป็นขวานทองหรอก ฉันคิดว่ามันเป็นขวานเหล็กมากกว่า” เชลซีพูดออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส จากนั้นก็กระโดดกลับไปด้านหลังและคอยควบคุมเครื่องประดับรูปดวงดาวที่อยู่ในมือ
เทพธิดาเริ่มวิ่งไล่ตามเธอโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด การพยายามพูดคุยเพื่อเปิดช่องว่างนั้นไม่ได้ผล
เชลซีคิดว่าหากเธอวิ่งเข้าไปในป่า ต้นไม้มันจะขวางทางของศัตรูเอาไว้และทำให้ช้าลงได้ แต่ด้วยการวิ่งที่แปลกประหลาด ในท่วงท่าที่ทรงพลังและคล่องแคล่ว มันทำให้สิ่งที่กีดขวางอย่างรากไม้ไม่ก็หลุมที่พื้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับอีกฝ่ายเลย
เอาล่ะ เชลซีคิดและเปลี่ยนทิศทางของดวงดาว เธอยิงมันขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นมุมแหลม ทำให้ใบไม้และกิ่งไม้สั่นไหว เนื่องจากเชลซีคิดว่าศัตรูไม่ใช่นางฟ้าหรือแฟร์รี่แต่เป็นเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูจึงไม่ควรที่จะบินได้ แต่เทพธิดาก็ทำให้ความคิดนั้นหายไปในทันที มันมีเสียงระเบิดที่ก้องกังวาลดังขึ้น จากนั้นเชลซีก็สัมผัสได้ว่ามีวัตถุที่บินเข้ามาหาเธอด้วยความเร็วเสียง —เชลซีเปลี่ยนวิถีการบินของเธอเป็นสี่สิบห้าองศาและหลบการเฉือนได้อย่างฉิวเฉียด ศัตรูนั้นสร้างการระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและใช้แรงลมจากการระเบิดในการบิน เส้นผมที่ด้านหลังศีรษะของเชลซีถูกเฉือนออกไป มีของเหลวอุ่นๆไหลย้อยลงมาจากศีรษะมาที่ลำคอ เธอได้แต่กัดฟันทนเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลควรจะทำ เส้นผมที่สละสลวยกลายเป็นยุ่งเหยิง การเลือดที่ไหลออกมาจนย้อมศีรษะของเมจิคัลเกิร์ลกลายเป็นสีแดงก็ไม่เหมาะสม มันไม่มีอะไรเลยที่ถูกต้องสำหรับเมจิคัลเกิร์ล มันไม่ถูกต้องสำหรับดรีมมี่✰เชลซีด้วย มันไม่น่ารักตรงไหนเลย
ขวานของเทพธิดาขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับเสียง ป๊อป มันมีสีขาวและแหลมคม พวกมันดูเหมือนกับเป็นปีก เทพธิดากระพือปีกนั้นครั้งหนึ่งเพื่อย่นระยะทางระหว่างทั้งคู่ และอีกหนึ่งครั้งเพื่อเข้าใกล้มากขึ้นกว่าเดิม พวกมันคือปีกจริงๆด้วย
อ๊า ไม่เอาสิ! ทำไมทุกอย่างต้องเข้าทางอีกฝ่ายด้วยล่ะ?! ไม่ยุติธรรมเลย!
เชลซีพุ่งตัวลงไปด้านล่างอย่างกระทันหัน จากนั้นก่อนที่ตัวของเธอจะกระแทกพื้น เธอก็เปลี่ยนทิศทางเพื่อทำการบินต่ำขนานไปกับพื้น ชายกระโปรงสะบัดไปโดนกับพื้นดินจนสกปรก ขาซ้ายที่บาดเจ็บเองก็กระแทกเข้ากับกิ่งไม้ ความเจ็บปวดมันพุ่งตรงไปที่ศีรษะจนทำให้เธอร้องออกมาว่า “อี๋!” ไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน การร้องออกมาว่า “อ่า” ไม่ก็ “หวา” นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
มันมีแรงกระแทกรุนแรงและเสียงดังของการระเบิดอยู่ด้านหลัง เชลซีทำให้ดวงดาวช้าลง ยกขาขึ้นสูงพอที่จะไม่ให้กับอะไรอย่างอื่นในตอนที่ตรวจสอบสถานการณ์ กลุ่มของหมอกควันกำลังฟุ้งกระจาย ต้นไม้กับกิ่งไม้นั้นหักโค่นลงมาตามทางของกลุ่มควัน จากนั้นมันก็รูปร่างของคนโผล่ออกมาตัดผ่านฝุ่นควัน เชลซีเดาะลิ้นและเร่งความเร็วของดวงดาวขึ้น เธอไม่ได้คิดจะหนีขึ้นไปสูงบนท้องฟ้า การที่ไม่มีต้นไม้และสิ่งกีดขวางอยู่มันจะทำให้มีอันตรายมากยิ่งขึ้น
แบบนี้มันไม่ใช่! บ้ากันไปใหญ่แล้ว ไม่แฟร์เลย!
เทพธิดาไม่ใช่แค่แข็งแกร่งเท่านั้น การตอบสนองเองก็เฉียบคม และยิ่งกว่านั้นเธอต้านทานทุกอย่างได้อย่างผิดปกติ แม้ว่าจะอยู่ใกล้กับใจกลางการระเบิดที่ตัวเองสร้างขึ้น เธอก็แค่ตัวเปรอะเปื้อนเล็กน้อยเพียงเท่านั้น หลังจากที่ร่วงลงมาจากบนฟ้าอย่างรวดเร็วเองก็ดูไม่เหมือนว่าจะบาดเจ็บตรงไหนด้วย แถมยังไล่ตามเชลซีมาได้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก เมื่อเชลซีหันกลับไปมอง มือของเทพธิดาที่ถือด้ามขวานอยู่ก็ไขว้นิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าหากัน ในอีกแง่หนึ่งคือ เธอกำลังทำท่าชูสองนิ้วทั้งสองมือพร้อมกัน เชลซีตัวสั่น ศัตรูที่แข็งแกร่งนั้นกำลังทำให้ตัวเองมีเสน่ห์อยู่ด้วย
“อย่ามาเลียนแบบนะ!” เชลซีตะโกนกลับไปหา แต่มันก็ถูกเพิกเฉยไปด้วยรอยยิ้ม
ในที่สุดเชลซีก็ไม่มีทางเลือกอื่น ขาข้างหนึ่งของเธอไม่ขยับ ศัตรูเองก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ถึงแม้เธอจะพยายามโจมตเข้าใส่แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะสร้างความเสียหายอะไรได้ —มันไม่มีอะไรที่ทำได้เลย สิ่งเดียวที่เธอทำได้ดีคือการที่ทำให้เมรี่หนีไปได้ นั่นคือจุดหนึ่งที่เธอมีความสามารถและน่ารัก
เมื่อภายของเมรี่ลอยขึ้นมาในใจ สิ่งต่อไปที่โผล่ขึ้นมาคือภาพของเร็นเร็นอันน่าหงุดหงิด บอกเธอว่าอย่าวิ่งไปหาเร็นเร็นคือเรื่องดี หากฉันพูดกับตัวเอง เชลซียกย่องตัวเอง และเธอยังคิดว่าบางทีเร็นเร็นคงจะจัดการเรื่องพวกนี้ได้ เหมือนเธอจะจำได้ว่าเร็นเร็นเคยบอกว่าเวทมนตร์ของตัวเองคือการยิงลูกศรเวทมนตร์ที่สามารถควบคุมจิตใจหรืออะไรแบบนั้น เชลซีไม่อยากให้จิตใจของตัวเองถูกควบคุม เธอคิดว่าเวทมนตร์ประเภทนั้นมีไว้สำหรับเมจิคัลเกิร์ลที่ชั่วร้าย แต่บางทีการโจมตีทางจิตใจอาจจะมีผลกับศัตรูที่เหมือนว่าจะต้านทานการโจมตีทางกายภาพได้ เชลซียังจำได้ว่าแม่ของเธอเคยพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสอดคล้องกันว่ามันสำคัญในการต่อสู้ระหว่างเมจิคัลเกิร์ล แม้ว่าตัวของเชลซีจะไม่แน่ใจก็ตาม เธอไม่สนเรื่องแบบนั้นเพราะว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องการต่อสู้ แต่เธอคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรแบบนั้น เชลซีไม่คิดว่าเร็นเร็นมีค่าพอที่จะให้ความสนใจ แต่เชลซีรู้สึกว่าเร็นเร็นอาจจะมีประโยชน์ในการต่อกรกับเทพธิดา ดังนั้นเธอจึงมุ่งหน้าไปยังพื้นที่หินที่อากิและคนอื่นๆใช้เป็นจุดนัดพบ บางทีเร็นเร็นคงอาจจะอยู่ที่นั่นพร้อมกับเนฟิเรียและคนอื่นๆด้วย จากนั้นเชลซีก็จะร่วมมือกับคนอื่นเพื่อจัดการเทพธิดา แล้วก็ทำให้เทพธิดาสำนึกผิดและมอบตัวกับตำรวจ
ในตอนนี้มันดูเหมือนว่าดีจริงๆที่เมรี่หนีไปยังที่ที่เร็นเร็นไม่อยู่ พอมีท่อนซุงบินเข้ามาหาเชลซีจากด้านหลัง เธอก็เตะมันออกไปด้วยขาข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บเพื่อเร่งความเร็วของดวงดาว
☆ 7753
ด้วยการที่เท็ปเซเคเมย์ตรวจสอบตำแหน่งของพวกเธอ มานาและ 7753 จึงมุ่งหน้าไปยังอาคารหลัก หลังจากที่ออกมาจากพุ่มไม้ 7753 ก็เห็นรอยสีแดงที่แก้มของมานา และคิดอย่างเสียใจว่าเธอรีบเร่งเกินไป อ่าาา ฉันควรจะปัดใบไม้แหลมๆพวกนี้ออกไปจากหน้าของเธอก่อนสิ ในตอนนี้เรื่องต่างๆอัดกันแน่อยู่ภายในหัวของ 7753 จนไม่สามารถคิดอะไรเรื่องของคนอื่นได้ ในตอนนี้เธอเสียใจที่ตัวเองตัดสินใจล้มเหลวและจมอยู่กับเรื่องนั้น
พวกเธอให้ความสำคัญกับความเร็วแทนที่จะเป็นความกังวลหรือความระมัดระวังออกมาในตอนที่กำลังเดินทาง “รีบกันเถอะ” มานาบอก 7753 และเท็ปเซเคเมย์ก่อนที่จะรีบเร่งไปด้านหน้า มานาคงคิดถึงเรื่องมิสมาร์เกอริต พวกเธอกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตรงกันข้ามกับที่มิสมาร์เกอริตอยู่และทิศที่คนอื่นจะมุ่งหน้าไป หากพวกเธอไปเจอเข้ากับศัตรู บางทีพวกเธอก็ควรจะใจเย็นและคิดว่าตัวเองโชคร้าย พวกเธอจำเป็นต้องใจเย็นกับเรื่องนี้ 7753 เริ่มนึกถึงเหตุการณ์ในเมือง B และส่ายหน้าเพื่อสลัดมันออกไปจากจิตใจ เธอกำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้เกินไป และเมื่อเธอเป็นแบบนั้น เธอก็นึกถึงอดีต —เรื่องราวอันแสนเจ็บปวดและยากลำบาก 7753 และทุกคนต้องทำหัวให้โล่งเข้าไว้ เธอต่อยตัวเองเข้าไปที่แก้มเพื่อทำให้รู้สึกเจ็บ และมันดูเหมือนว่าจะให้พลังกับเธอมากขึ้นเล็กน้อย
พื้นที่โดยรอบอาคารยังคงอยู่ดี ด้วยการที่มีต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกตัดแต่งและวัชพืชขึ้นอยู่บ้าง มันทำให้ดูเหมือนกับเป็นสวนหย่อม ในอีกแง่หนึ่งคือภาพของที่นี่มันดีกว่าภายในป่า เมื่อ 7753 ออกมาจากทางเดินป่าพร้อมเอามือบังแสงจากดวงอาทิตย์ เธอก็ได้ยินเสียง
“เฮ้ พวกเธอก็มาที่นี่เหมือนกันเรอะ?”
หน้าผากที่กว้าง ใบหน้าทรงเหลี่ยม ชายรูปร่างกำยำและดูแข็งแกร่ง นาวี่ ลูนั่นเอง เขาโบกมือให้พวกเธอ แขนเสื้อของเขาไหลเลื่อนลงมาจนมองเห็นรอยสักรูปร่างเวทมนตร์ตรงท่อนแขน รอยสักของจอมเวทนั้นแน่นนอนว่ามีความหมายทางเวทมนตร์ แต่รวมกับรูปลักษณ์ของเขาแล้ว มันจึงดูไม่ค่อยเหมือนกับเป็นเวทมนตร์ซักเท่าไหร่ ดูเหมือนจะเป็นสมาชิกขององค์กรอาชญากรรมซะมากกว่า
7753 เก็บความเห็นแย่ๆเช่นนั้นเอาไว้กับตัวเองและโบกมือกลับไป
ในที่สุดพวกเธอก็ได้เจอกับคนอื่นที่ไม่ใช่ศัตรู 7753 กำลังจะรีบไปหาเขา แต่ก็มีแขนของใครบางคนห้ามเอาไว้ตรงหน้า เธอมองไปตามแขนนั้นและพบว่าอีกฝ่ายคือมานา ท่าทางของมานาดูเคร่งเครียด เธอดูแตกต่างจากตอนที่กำลังจะหมดสติภายในป่า และยังต่างจากคนที่พูดชื่อของฮานะออกมาร่าเริงด้วย
มานาห้าม 7753 เอาไว้และเข้าไปหานาวี่อย่างช้าๆ —7753 กำลังสับสนแต่ก็ตามมานาไป มานาหยุดก่อนที่จะถึงตัวนาวี่สามเมตร คนที่ยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยจากทางเข้าของอาคารหลัก
นาวี่ดูไม่ได้สงสัยอะไรกับเรื่องนี้ ไหล่ของเขาลู่ลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ดีจริงที่เจอพวกเดียวกันหลังจากที่เกิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้ขึ้น”
“แล้วคนอื่นอยู่ที่ไหน?” มานาถาม
“คลาริสซ่ากำลังไปตรวจดูรอบๆ ชั้นบอกเธอไปว่ามันอันตราย แต่เมจิคัลเกิร์ลก็ไม่เคยฟังกันเลย โยลกับราเรโกะกำลังซ่อนตัวอยู่ด้วยกันในสถานที่ปลอดภัยพร้อมกับเจ้าหนู ใช่ว่ามันจะมีที่ปลอดภัยอะไรหรอก แต่ที่ที่พวกเธออยู่มันก็ค่อนข้างปลอดภัย แล้วพวกเธอล่ะ?”
“พวกเราเจอศัตรู” มานาหยุดพูดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “มันคือเมจิคัลเกิร์ลที่ถือขวานสองด้าม ชั้น 7753 และเท็ปเซเคเมย์อยู่ด้วยกันกับคุณเชพเพิร์ดพายและมิสมาร์เกอริต แต่พวกเราก็แยกกันตอนที่ถูกศัตรูโจมตี”
“นั่นคือคนที่ฆ่าไมยะงั้นเรอะ?”
“มีโอกาสสูงที่จะเป็นแบบนั้น”
“งั้นเหรอ…” มุมปากของนาวี่บิดเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูแย่อย่างเห็นได้ชัด “ก่อนอื่นชั้นอยากจะพูดว่าชั้นไม่โทษพวกเธอหรอกนะ แต่ถ้าไม่ว่าอะไรชั้นก็อยากพูดอะไรบางอย่างซักหน่อย”
“อะไรล่ะ?”
“อีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่ง ถึงขนาดที่แม้จะมีเมจิคัลเกิร์ลอยู่สามคนก็สู้ไม่ได้งั้นเหรอ?”
“…ถ้าถามในสิ่งที่ชั้นเห็นล่ะก็ พูดตรงๆเลยก็คือชั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายทำอะไร มิสมาร์เกอริตและส่วนหนึ่งของเท็ปเซเคเมย์ลากศัตรูออกไป แต่เท็ปเซเคเมย์ก็บอกว่าส่วนหนึ่งของเธอถูกทำลายไปเรียบร้อย— ”
“เมย์ตายแล้ว” เท็ปเซเคเมย์พูดเสริม
“…แบบนั้นแหละ”
“ให้ตายสิ… แย่ชะมัดเลยแบบนี้” มุมปากสองข้างของนาวี่บิดไปมา และท่าทางก็เห็นได้ชัดว่ามืดหม่น ท่าทางเช่นนั้นมันทำให้ 7753 รู้สึกถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเองที่แสดงออกมาบนใบหน้า มันน่าอายที่ตัวของเธอยืนอยู่ตรงนี้แต่ก็ใช่ว่าจะไปซ่อนตัวที่ไหนได้
“เธอคิดว่าถ้ามีเมจิคัลเกิร์ลห้าไม่ก็หกคนจะจัดการอีกฝ่ายได้รึเปล่า?” นาวี่ถาม
“ชั้นตอบไม่ได้หรอก”
นาวี่หันสายตาจากมานามาที่ 7753 คนที่เขาคิดว่าจะสามารถวัดความแข็งแกร่งของศัตรูได้ เธอรีบส่ายหัวทันที หากมีแว่นกันลมของตัวเองอยู่ 7753 ก็จะสามารถวัดความแข็งแกร่งของศัตรูได้อย่างแม่นยำ แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้มีมันอยู่
นาวี่มองไปทางซ้ายของ 7753 จากนั้นก็เงยหน้าไปด้านบนหาเท็ปเซเคเมย์
“ถ้ามีเยอะพวกเราก็อาจชนะ หรืออาจจะแพ้” เท็ปเซเคเมย์พูดอย่างหนักแน่น
“ก็ใช่อยู่”
“หากมาโอแพมอยู่ที่นี่ พวกเราชนะแน่”
“มีเหตุผลดีนะ” นาวี่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับมองมาที่พวกเธอด้วยรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย 7753 รู้สึกค่อยยังชั่วที่นาวี่ไม่ได้คิดอะไรมากกับคำตอบของเท็ปเซเคเมย์และยิ้มออกมาอย่างแปลกๆ
“คิดว่า” นาวี่พูด “หากสถานการณ์สามารถตัดสินได้ง่ายๆ แบบนั้นมันก็ไม่มีใครที่ต้องหนีไปสินะ? แต่ชั้นเข้าใจแล้วล่ะว่าอีกฝ่ายคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งของจริง แม้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ชั้นอยากจะได้ยินก็เถอะ ชั้นคิดว่าพวกรวมควรจะรวมทุกคนเข้าด้วยกัน ก่อนอื่นไปรวมตัวกับคลาริสซ่าก่อนดีกว่า เธอบอกว่าจะมาหากมาได้ แต่เธอเป็นคนประเภทที่จะแสดงตัวออกมาเมื่อทุกคนรวมตัวกันแล้ว”
นาวี่ก้าวเข้ามาหาพวกเธอเพื่อพยายามเข้ามาใกล้ จากนั้นมานาก็ยกมือขึ้นจนนาวี่หยุด 7753 สงสัยว่ามานากำลังทำอะไร แล้วก็นึกได้ว่าท่าทางของภาษามือนั้นมันหมายถึงอย่าเข้ามาใกล้ เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อย เธอเกือบจะพูดออกมาว่า “นั่นทำอะไรน่ะ?” ออกมาแต่ก็ยั้งเอาไว้ได้
นาวี่ไม่ได้โกรธอะไร —จริงๆแล้วเขาดูเหมือนจะสงสัยมากกว่า “มีอะไรเรอะ?”
“พวกเราเจอกับดรีมมี่✰เชลซี…” มานาพูด “แต่เหมือนว่าเธอกำลังถูกควบคุมด้วยใครบางคนอยู่”
“เรื่องบ้าอะไรล่ะนั่น?”
“พวกเรารอดจากเรื่องนั้นมาได้ แต่เธอเป็นศัตรูอย่างอย่างได้ชัด อ๊ะ จริงสิ พวกเรายังไม่ได้ยืนยันประเภทของเวทมนตร์ที่ศัตรูใช้ด้วย”
“ก็นะ หากเธอรอจนอีกฝ่ายใช้ แบบนั้นเธอก็จะตกอยู่ในอันตรายได้ มันก็สมเหตุสมผลดี”
“บางทีอาจจะเป็นเวทมนตร์ที่สามารถบิดเบือนจิตใจหรือควบคุมผู้คน”
“ชั้นยังไม่ได้เห็นก็เลยไม่รู้หรอก… เดี๋ยวก่อนนะ นี่เธอจะพูดว่าชั้นถูกควบคุมอยู่เรอะ?”
“นั่นก็เป็นไปได้ เพราะดรีมมี่✰เชลซีเองก็ถุกควบคุมอยู่”
นาวี่เกาศีรษะราวกับช่วยไม่ได้ ตั้งแต่ที่ 7753 อยู่ในหมู่คนที่ถูกโจมตี เธอก็เลยได้เห็นตัวของศัตรู เธอเห็นขวานเปลี่ยนสีเช่นกัน และเธอก็รู้ว่าหลังจากนั้นมันเกิดระเบิดขึ้น จนครึ่งหนึ่งของเท็ปเซเคเมย์หายไป ดังนั้นการคิดว่านั่นคือเวทมนตร์ของศัตรูคือเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ? การข้ามการอธิบายไปและบอกว่าพวกเธอไม่ได้เห็นเวทมนตร์ของศัตรูนั้นมันไม่ถูกต้องนัก มันจริงที่เชลซีทำตัวแปลกประหลาด แต่ 7753 รู้สึกว่ามันคือคนละเรื่องกัน
7753 สงสัยว่าเธอควรจะพูดอะไรบางอย่างรึเปล่า แต่หลังจากที่มองดูท่าทางของมานาแล้ว เธอก็เปลี่ยนใจ มานานั้นดูเหมือนกับผู้ตรวจการณ์ในตอนที่กำลังมองไปยังนาวี่ สายตาที่แหลมและไร้ซึ่งจุดอ่อน ซึ่ง 7753 ไม่ควรที่จะเข้าไปก้าวก่าย
“หากเธอพูดว่ามีใครบางคนควบคุมชั้นอยู่ล่ะก็…” นาวี่พูด “ชั้นก็ตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าเธอตรวจดูด้วยแว่นกันลม…”
“แว่นกันลมไม่ได้อยู่ที่นี่” มานาบอกเขา “บางทีเชลซีคงขโมยมันไปแล้ว”
“ไม่ดีเลยนะนั่น”
“แค่ตรวจเบื้องต้นเพื่อให้แน่ใจว่านายไม่ได้มีอาวุธซ่อนอยู่ก็พอแล้ว”
“ฟังดูวุ่นวายนะ ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเธอถูกควบคุมอยู่รึเปล่าด้วย”
“ถ้าพวกเราถูกควบคุมอยู่…” มานามองไปที่ 7753 และเท็ปเซเคเมย์ก่อนที่จะหันมาที่นาวี่ “แบบนั้นพวกเราก็คงฆ่านายทิ้งไม่ก็จับตัวไปแล้ว”
ดวงตาของนาวี่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็หรี่ลงทันทีพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ “ก็นะ ชั้นคิดว่าเธอพูดถูก มันไม่มีทางเลยที่ชั้นจะสู้กับเมจิคัลเกิร์ลสองคนได้”
“เรียกว่าเป็นสัญชาตญาณของหน่วยสืบสวนที่จะสงสัยคนอื่นดีกว่า” มานาพูด น้ำเสียงของเธอดูไม่ได้จริงใจเลย
แต่นาวี่เองก็ยกมือขึ้นสองข้างโดยที่ไม่ได้แย้ง “ชั้นสู้ตำรวจไม่ได้นี่นะ”
7753 เข้าหานาวี่จากด้านข้างโดยระวังแบบที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป จากนั้นมานาก็ตรวจดูที่ตัวชายคนนี้อย่างจริงจังมากกว่าที่ตัวเองพูด และยืนยันว่าเขาไม่ได้พกอาวุธอะไรอยู่
มานาใช้มือจับหมวกเอาไว้และเอามันมานาบไว้ที่ตรงหน้าอกแล้วก็คำนับ “ไม่มีปัญหา ขออภัยเรื่องการหยาบคายด้วย”
“โอ๊ะ ไม่เป็นไรหรอก ที่สำคัญคือ เธอมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับชั้นสินะ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“ชั้นหมายถึง ไม่ใช่ว่าเธอมาที่นี่เพราะมันอาจจะมีบางอย่างที่ทำให้รอดจากสถานการณ์นี้ไปได้หรอกเหรอ? ชั้นเองก็มามองหาไอเท็มเวทมนตร์ดีๆเหมือนกัน”
มานาพยักหน้าและมองไปยังอาคารหลัก “นั่นคือแผน”
“แบบนั้นพวกเธอก็ดวงกุดแล้วล่ะ” นาวี่เข้าหาสิ่งก่อสร้างและเคาะลงไปที่ผนัง จากนั้นเมื่อตบลงไปด้วยฝ่ามือ เขาก็ดูไม่พอใจยิ่งกว่าตอนที่มานาสั่งให้ตรวจดูตัวของเขาซะอีก “ชั้นลองหาในคลังดูเหมือนกัน มันไม่ได้มีอะไรที่มีค่าเลย มีของโบราณไม่กี่ชิ้นที่มีค่าหากเอามันไปอยู่ให้ถูกที่ แต่มันไม่มีอะไรที่ใช้การได้ในตอนนี้เลย”
“แบบนั้นชั้นเองก็จะเข้าไปดูเหมือนกัน”
“เอ่อ ชั้นพึ่งพูดไปนะว่าเข้าไปดูมาแล้ว”
“ความชำนาญของพวกเราน่ะต่างกัน มันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่มีค่าที่มีแต่ชั้นที่รู้ก็ได้” มานาตรงเข้าไปด้านใน
นาวี่ยักไหล่พร้อมกับท่าทาง “นี่เธอจะทำอะไร?” ที่อยู่บนใบหน้า 7753 โค้งตัวลงและพูดว่า “ขอโทษนะ ตอนนี้พวกเราไม่มีทางอื่น”
“ก็ไม่แปลกใจหรอก ชั้นแน่ใจว่าไม่มีใครคิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ด้วย” เขานั้นดูง่ายๆอยู่เสมอ
7753 สั่งให้เท็ปเซเคเมย์คอยเฝ้าทางเข้าเอาไว้ จากนั้นก็ตามมานาไป พวกเธอเดินกันอย่างรวดเร็ว เลี้ยวที่หัวมุมหลายต่อหลายครั้ง จากนั้นก็ขึ้นบันไดเพื่อให้มาถึงประตูใหญ่ตรงสุดทาง ประตูนั้นไม่ได้หนักเหมือนกับที่ตาเห็น มานาเปิดออกด้วยมือข้างเดียวอย่างสบายๆแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน 7753 ตามเธอไป ภายในห้องนั้นสามเมตรหรือมากที่สุดก็หกเมตร มีชั้นหนังสือล้อมเอาไว้ทั้งสี่ด้าน มันดูเหมือนกับห้องเก็บของ มีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ที่นี่และไม่ได้มีการจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย มานาขยับกระดาษและกองหนังสือไปด้านข้างและดึงเอากล่องขนาดเท่าแขนออกมาและเลื่อนด้านบนเพื่อเปิดออก
“ในนี้มีอะไรที่ช่วยพวกเราได้รึเปล่า?” 7753 ถาม
“เธออยู่ตรงนั้นแหละ คนที่ไม่มีประสบการณ์ไม่ควรแตะของพวกนี้” นั่นหมายความว่า 7753 ทำอะไรไม่ได้เลย
จากนั้นมานาก็หันกลับมาราวกับว่านึกอะไรบางอย่างออก เธอใช้นิ้วชี้มาที่หน้าอกของ 7753 “แล้วก็ —เธอเชื่อใจนาวี่ไม่ได้ เขาบอกว่าที่นี่มันไม่มีอะไรอยู่ แต่อย่าคิดว่ามันเป็นไปตามนั้น ”
“หือ? พวกเราเชื่อเขาไม่ได้งั้นเหรอ?”
มานาหันไปหากล่องอีกครั้งและชี้ลงไปที่ก้นกล่อง “มันดูเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ตรงนี้ใช่ไหมล่ะ?”
7753 เอนตัวเข้ามาจากด้านหลังของมานาและมองลงมาเห็นพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมที่มีขนาดประมาณสี่นิ้ว
“ฉันคิดว่าตอนแรกมันมีอะไรอยู่นะ” 7753 พูด
“มองให้ทั่วสิ มันมีฝุ่นอยู่ในกล่อง แต่มีแค่จุดเดียวที่ไม่มีฝุ่น”
7753 มองเข้าไปใกล้ๆ ในตอนนี้พอมานาชี้ให้เห็นแล้ว เธอจึงรู้ มันจริงอย่างที่มานาพูด
“ในสถานการณ์แบบนี้น่ะ มันน่าสงสัยตั้งแต่แรกที่เขาเลือกจะแยกตัวกับเมจิคัลเกิร์ลที่มาด้วยกันที่อาคารหลักแล้ว มันบ้าบิ่นเกินไปสำหรับเจ้าหน้าที่ของห้องทดลอง —เขาควรที่จะเคยชินกับความรุนแรงสิ”
7753 สัมผัสได้ว่าบรรยากาศของมานาเปลี่ยนไปเมื่อเห็นนาวี่ยืนอยู่ตรงหน้าอาคารหลัก บางทีตอนที่มานาทำงานคงจะเป็นแบบนี้ เธอไม่ได้บังคับตัวเอง เธอนั้นทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบสวน
“อย่างน้อยที่สุด พวกเราควรจะสงสัยเขาว่าเป็นคนที่เอาของไป” มานาพูดต่อ
7753 คิดตามที่มานาพูดและคิดทุกอย่างย้อนกลับไปเป็นลำดับ จากนั้นก็นิ่วหน้าออกมา “หมายถึง เธอคิดว่าบางทีนาวี่ใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายเพื่อที่จะขโมยของบางอย่างที่เป็นมรดกไปงั้นเหรอ? แล้วทำไมถึงสงสัยคนๆนี้กันล่ะ? เขาไม่ได้พกอะไรมาด้วยนี่?”
“เขาไม่ได้พกอะไรที่เหมือนกับมรดกอยู่”
“แบบนั้น มันก็เป็นไปได้ที่คนอื่นนอกเหนือจากนาวี่เข้ามาในตอนที่กำลังวุ่นวายและขโมยไปใช่ไหมล่ะ? เดี๋ยวสิ บางทีอาจจะไม่ได้ขโมย แต่ เอ่อ —ซาตาบอร์นใช่ไหม? —บางทีเขาอาจจะต้องการอะไรบางอย่าง เขาก็เลยเอามันออกไป”
“ไม่” มานาพูดตัด 7753 “นาวี่นี่แหละน่าสงสัยที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้นเธอแน่ใจได้ยังไงล่ะ? ค้นตัวเขาแล้วนี่นา”
“เขามีผลไม้สีเทาอยู่ไม่กี่ลูกแล้วก็ไม้เท้าหนึ่งด้าม ไม่ได้มีกระเป๋าเวทมนตร์ด้วย”
“แบบนั้นเขาก็ไม่ได้ขโมยไปงั้นสิ?”
“เขาไม่มีอะไรบางอย่างที่ควรจะมีในก่อนหน้านี้”
“อะไรหายไปเหรอ?”
“พรมเวทมนตร์ที่ใช้ในตอนก่อนหน้านี้ มันหายไป”
7753 นึกถึงตอนที่นาวี่ปรากฏตัวออกมา ในตอนนั้นมันทิ้งภาพจำเอาไว้ มันจริงที่เขามีพรมอยู่ อีกอย่างก็คือเขาขี่อยู่นั่นเอง
“เขาอาจจะให้คลาริสซ่าไปก็ได้นะ” 7753 พูด
“ในสถานการณ์แบบนี้ ชั้นสงสัยว่าเขาจะให้เครื่องมือที่สามารถใช้หนีหรือว่าล่าถอยได้กับเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ได้อยู่กับเขาไปทำไม”
“นั่น ก็จริงนะ… แต่การที่เขาไม่ได้มีมันอยู่มันทำให้เขาเชื่อใจไม่ได้เหรอ?”
มานามองขึ้นไป 7753 มองตามขึ้นไปด้วย เพดานหินสีครีมมันไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ถ้าจะมีอะไรอยู่ล่ะก็ มันก็มีฝุ่นอยู่เพียงเล็กน้อย
“เธอคิดว่าบาเรียที่เกาะนี้มันสูงขึ้นไปแค่ไหน?” มานาถาม
“ใครจะตอบได่ล่ะ…? ฉันไม่รู้หรอก”
“เธอไม่คิดว่าถ้าเขาเอาไอเท็มที่ต้องการวางไว้บนพรมแล้วให้มันลอยขึ้นสูงเหนือก้อนเมฆ แบบนั้นก็จะไม่มีใครหาเจอเหรอ?”
7753 ปรบมือเข้าหากับพร้อมกับส่งเสียง “อ๊ะ” หากเป็นแบบนั้นเขาก็จะได้ทุกอย่างไปเมื่อเรื่องราวจบลง เนื่องจากว่ามันไม่ได้มีแคตตาล็อกมาตั้งแต่แรก มันจึงไม่มีใครที่รู้ว่าอะไรถูกขโมยไป
“ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ชั้นได้ยินเรื่องของโจรที่ขโมยพลอยด้วยวิธีเดียวกัน” มานาอธิบาย เธอดึงเอาภาชนะเซรามิกสีชมพูอ่อนออกมาจากกล่อง จากนั้นก็วางลงไปบนชั้นวางอย่างเบามือกว่าตอนที่ยกขึ้นมา มันมีรอยบิ่นอยู่ด้วย “เหมือนว่า… มีอะไรหลายๆอย่างที่พังนะ”
“มีใครบางคนทำลายมันรึเปล่า?” 7753 ถาม
“ไม่หรอก บางทีอาจจะเป็นเพราะอายุของมันด้วย ของพวกนี้มันเก่าเหมือนกับของที่เจอได้ตามพิพิธภัณฑ์ บางคนอาจหาความหมายทางประวัติศาสตร์ได้จากรอยบิ่นเพียงแค่รอยเดียว ดังนั้นหากไม่รู้ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อมหรอก”
“แบบนี้ก็หมายความว่ามีของโบราณมากมายอยู่ในนี้สินะ”
“ชั้นจะดีใจหากเจออะไรที่เกี่ยวกับเทคนิคใหม่นะ…” มานาดึงเอาไอเท็มหลายอันออกมาจากกล่อง เธอวางมันไว้เป็นแถวอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะเล็กแต่มันก็มีพลังงานอยู่ด้านในสิ่งเหล่านี้ เธอไม่ได้ดูเหมือนกับเหยื่อที่เข้ามาพัวพันกับเหตุไม่คาดคิด แต่ดูเป็นผู้ตรวจการณ์ที่เจอบุคคลที่น่าสงสัยมากกว่า นี่แหละคือมานาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
☆ ราเรโกะ
เหมือนว่าโทตะจะกังวลเรื่องอะไรบางอย่าง —เขานั้นกำลังบ่นงึมงำกับตัวเอง เขาไม่ได้พยายามจะซ่อนว่าตัวเองกำลังมีปัญหาเลย
“ถ้ากลั้นไม่ไหว ฉันขุดหลุมด้านหลังให้ได้นะ….” โยลพูด
“ไม่ฮะ โยล ไม่ใช่เรื่องแบบนั้น ผมกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่นิดหน่อย”
เหมือนว่าเขาไม่อยากจะบอกพวกเธอถึงเรื่องอะไรบางอย่าง หากมีการบ่นไม่ก็โอดครวญตามมา แบบนั้นราเรโกะก็จะพูดว่า “งั้นเหรอ” —สำหรับเธอแล้ว มันคือเรื่องที่ตรงไปตรงมาและเข้าใจได้ง่ายๆ เธอเองก็อยากบ่นแล้วก็โอดครวญออกมาเรื่อยๆเช่นกัน โลกใบนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ —โดยเฉพาะเกาะแห่งนี้
โยลถอนหายใจออกมาแล้วก็ก้มหน้าลง เหมือนว่ากำลังจมอยู่ในความคิด ความตายของไมยะทำให้เธอขวัญเสียอย่างยิ่ง คนคุ้มกันที่เชื่อถือได้หายไปแล้ว และเธอก็ถูกทิ้งเอาไว้บนเกาะที่เต็มไปด้วยพวกป่าเถื่อน เธอไม่สามารถเป็นคุณหนูผู้ไร้เดียงสาและเอาแต่ใจได้อีกแล้ว
ราเรโกะปรับแว่นด้วยปลายนิ้วชี้ การปรับแว่นไว้ในองศานี้มันทำให้ยากที่จะอ่านสายตาของเธอได้จากจุดที่โทตะอยู่เนื่องจากการสะท้อนของแสง ในตอนที่เธอใช้เวลามองสำรวจโทตะ เขานั้นเอาแต่มองไปข้างนอกอย่างซ้ำๆ เหมือนว่าเขายังไม่ได้ยอมแพ้ความคิดที่จะออกไปจากถ้ำ โดยทั่วไปแล้วนั่นหมายถึงเขาคิดวิธีการที่จะออกไป จะเปลี่ยนการคัดค้านของราเรโกะและโยลให้เห็นด้วยได้ยังไง เมื่อคิดจากสมองของเด็กแล้ว ราเรโกะก็คิดว่าเขาคงได้คำตอบออกมาในทันที
ราเรโกะหันสายตาออกจากโทตะ
การที่ไมยะถูกฆ่าตาย สำหรับราเรโกะแล้วมันเป็นการสูญเสียที่รุนแรงยิ่งกว่าเสียมาสเตอร์ไป ในฐานะเมจิคัลเกิร์ลที่รับใช้มานานหลายปี ไมยะจึงมีตำแหน่งภายในตระกูล เธอถูกมอบตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบในการทำงานมาทั้งรุ่นก่อนและรุ่นปัจจุบัน และยังเหมือนกับว่ารับผิดชอบรุ่นถัดไปในอนาคต —ซึ่งก็คือโยล— อีกด้วย ไมยะได้ล่วงรู้ถึงความลับที่ไม่ควรจะแตะต้องมากมาย เธอยังสามารถทำรายงานที่ข้ารับใช้คนอื่นไม่สามารถทำได้ ราเรโกะแค่ถูกจ้างมาเพราะว่าเป็นลูกศิษย์ของไมยะเท่านั้น เมื่อไมยะหายไปด้วย ตัวตนของราเรโกะภายในตระกูลก็กลายเป็นความเสี่ยงอันใหญ่หลวง จุดยืนของเธอกำลังจะย่ำแย่แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความผิดของเธอก็ตาม
ราเรโกะบิดชายผ้ากันเปื้อนด้วยนิ้ว การกลับไปแบบปลอดภัยคือเงื่อนไขเพียงประการเดียวของเธอ และเธอต้องคิดเรื่องหลังจากที่กลับไปแล้วด้วย มันมีเสียงหยดน้ำหยดหนึ่งอยู่ที่ด้านหลังของถ้ำ เสียงนั้นมันดังก้องแต่เธอก็ไม่ได้หันกลับไปมอง เธอกำลังรู้สึกตึงเครียด ก่อนหน้านี้เองก็มองดูหยดน้ำทุกหยด แต่เธอก็รู้สึกเบื่อมันแล้ว มีเพียงเมจิคัลเกิร์ลอย่างไมยะที่สามารถตื่นตัวกับสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดได้ การที่ราเรโกะไม่สามารถทำได้มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ
นาวี่พยายามเข้าหาโยล ไมยะเกลียดเรื่องนั้น นาวี่ล้มเหลวในการเทียบมาตราฐานของไมยะในเรื่องนิสัย ประวัติการทำงาน ทักษะ และตัวตน หากไมยะอยู่ที่นี่ มันก็คงยากที่นาวี่จะเข้าหาโยล
การระวังตัวของไมยะนั้นสูง นาวี่คงเห็นเธอเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ในไม่นานเขาจึงขอความร่วมมือจากราเรโกะ มันไม่ใช่เรื่องดราม่าถึงขั้นที่จะเรียกว่าทรยศ —เธอแค่ปล่อยข่าวไปให้เขาเพียงเท่านั้น
ราเรโกะจำเป็นต้องมีคนที่มากกว่าหนึ่งที่สามารถหวังพึ่งได้เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึัน เธอมองว่านี่เป็นการเอาตัวรอดในโลกไปนี้ไม่ใช่การไม่เชื่อถือในคนอื่น —แต่เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันคงไปได้ไม่ดี หากข้อมูลของราเรโกะรั่วไหลออกไปเพราะความตายของไมยะ แบบนั้นราเรโกะก็ไม่มีที่ให้หนีไปแล้ว ถึงเธอจะแย้งว่า “มันไม่ใช่ความผิดของดิฉันซักหน่อย! ดิฉันไม่ได้ทำอะไรเลย” มันก็จะไม่มีใครที่รับฟังเธออีก แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความผิดของเธอจริงๆ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เพราะเธอมันก็ไม่ได้สำคัญอีกแล้ว
ใช่แล้ว บางทีนาวี่อาจจะเกี่ยวข้องกับความตายของไมยะ นาวี่พูดออกมาไม่กี่ครั้งว่าเขาอยากจะโน้มน้าวไมยะ แต่ถ้าหากนี่คือวิธีการโน้มน้าวที่เขาพูดถึง มันก็คือเรื่องหายนะ มันทำให้ราเรโกะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้่ ตั้งแต่มายังเกาะแห่งนี้ เธอก็ส่งข้อมูลไปให้นาวี่ผ่านโน๊ต —ที่เกี่ยวกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่โยลและไมยะพูดคุยกันและเรื่องที่พวกเธอทำ เมื่อคลาริสซ่าเอาปากไปกัดที่แขนเสื้อของโทตะ ราเรโกะก็ปล่อยไป และเมื่อคลาริสซ่ามาที่นี่เพราะถูกแคลนเทลไล่ตาม ราเรโกะก็ต้องวิ่งออกไปช่วย แม้ว่ามันจะหมายถึงการทิ้งโยลเขาไว้ข้างหลังก็ตาม ราเรโกะต้องร่วมมือทุกอย่างแบบที่ปฎิเสธไม่ได้ หากการร่วมมือของราเรโกะนำไปสู่ความตายของไมยะ นั่นก็คงจะกลายเป็นความรับผิดชอบของราเรโกะไป
แม้ว่าแว่นกันลมของ 7753 จะปฎิเสธว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง มันก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรนักที่นาวี่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่าง ราเรโกะเห็นเขาในฐานะผู้ชายที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และนั่นมันก็ได้ผลสำหรับเขา เขาตีสีหน้าใหม่ๆในทุกครั้งที่สบโอกาสและพูดอะไรก็ตามที่คนอื่นอยากให้เขาพูด บางครั้งก็รับบทเป็นตัวตลกที่สร้างเสียงหัวเราะ บางครั้งก็รับบทเป็นชายที่ดูน่ากลัวแต่จิตใจดี และก็ยังเป็นพวกป่าเถื่อนที่เป็นมิตรและสามารถพึ่งพาได้อีกด้วย
สุดท้ายแล้วดิฉันคงให้เขามาเป็นพวกเดียวกัน
แม้ว่านาวี่จะไม่ได้เป็นคนที่สร้างสถานการณ์นี้ขึ้น เขาก็พยายามที่จะใช้ประโยชน์จากมัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับราเรโกะก็คือการร่วมมือกับเขา นี่คือการที่บ่งบอกว่าเธอสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ นี่คือการเอาตัวรอดของเธอเพียงคนเดียว
ราเรโกะได้ยินเรื่องราวอันแสนเศร้าที่เกิดขึ้นกับเมจิคัลเกิร์ลเมื่อสูญเสียงานของตัวเองไป แม้จะนับมันด้วยนิ้วของทั้งสองมือก็ยังไม่เพียงพอ เธอไม่อยากจะเป็นหนึ่งในนั้น เธอไม่อยากใครบางคนเหยียบย่ำเธอ เธอไม่อยากพบกับโชคชะตาอันเลวร้ายอย่างไร้เหตุผล เธอขี้ขลาดและพูดไม่เก่ง ไม่มีใครที่เห็นว่าเธอสำคัญ เรื่องนี้มันไม่เคยเปลี่ยนไป มีเพียงไมยะเท่านั้นที่เพ่งความสนใจมาที่ราเรโกะ คำพูดของไมยะที่สอนเธอว่า — “ให้คิดเรื่องอนาคตอยู่เสมอ” — ฟังอยู่ภายในใจของเธอ ในเวลาแบบนี้เป็นเวลาที่ต้องคิดถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เธอจะมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคต เธอจะยืนกรานว่า “มันไม่ใช่ความผิดของดิฉัน”
ปัญหาในตอนนี้คือการที่จะติดต่อกับนาวี่ไม่ก็คลาริสซ่าได้ยังไง เธอไม่สามารถพูดทุกอย่างตรงหน้าของโยลได้ เธออยากจะได้โอกาสที่จะพูดกันเป็นส่วนตัว ส่วนโทตะนั้น ราเรโกะไม่สามารถทิ้งโยลเอาไว้เป็นเวลานานได้ และเธอก็คิดวิธีการดีๆไม่ออกเลย
“นี่ ผมคิดนะฮะว่า…”
นั่นคือเสียงของโทตะ ราเรโกะมองขึ้นมาพร้อมกับแว่นที่ไหลลง
คนบางคนมักใช้คำเกิร่นนำว่า “ฉันคิดนะว่า” ไม่ก็ “ฉันมีความคิด” แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่พวกเธอรู้อยู่แล้วหรือควรจะรู้ หากเขาขุดเรื่องที่พวกเธอคุยกันไปเรียบร้อยแล้วขึ้นมา แบบนั้นก็จะจบลงด้วยคำว่า “พอเถอะ” แต่ถ้าในตอนนี้เขาพูดเรื่องความคิดดีๆออกมา แบบนั้นคนอื่นก็จะรับฟังเขา สำหรับเด็กแล้วมันเป็นเทคนิคที่เจ้าเล่ห์มาก
โยลมองไปที่โทตะพร้อมกับท่าทางที่สดใสขึ้นเล็กน้อย ราเรโกะยังคงทำท่าทางเคร่งเครียด เธอแสดงความเครียดและกังวลออกมาหนึ่งในสี่ของความเป็นจริง
“เรื่องคลาริสซ่าน่ะฮะ… เธอบอกว่าถูกไล่ตามมาใช่ไหม?” โทตะพูด “แบบนั้นก็หมายถึงแคลนเทลที่เป็นคนไล่ตามมาก็รู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ใช่ไหมฮะ? รวมถึงโยลคนที่อยู่ด้วยกัน”
โยลเผยอริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียง “อ๊ะ” จากนั้นครู่หนึ่ง ปากของราเรโกะก็เปิดออกกว้างพร้อมกับเสียง “อ๊าาา!” ที่ดังออกมา
เจ้าเด็กบ้านี่จะฉลาดเกินไปแล้ว ราเรโกะคิด แต่เธอไม่ได้แสดงความรู้สึกจริงๆออกมา ราเรโกะสงสัยว่าแคลนเทลเป็นฝ่ายที่โจมตีคลาริสซ่าเพียงฝ่ายเดียวรึเปล่า แต่เธอก็ไม่ได้แสดงความสงสัยออกมา หากคลาริสซ่าพยายามกัดเสื้อผ้าของแคลนเทลเพื่อใช้เวทมนตร์ของตัวเอง แต่ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาและทำให้อีกฝ่ายโกรธ… ก็นะ นั่นเป็นการคิดแบบเบื้องต้น แต่บางทีเรื่องแบบนั้นอาจจะเกิดขึ้นจริงๆก็ได้
“ผมคิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่ที่จะอยู่ที่นี่ต่อนะฮะ แต่ทุกคนคิดยังไงเหรอ?” โทตะถาม
“อื้อ จริงด้วย ฉันคิดว่ามันไม่ดีสำหรับคนที่ เอ่อ … คนที่ใช้ความรุนแรงที่ไล่กวดคนอื่นเพื่อให้รู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหน… หาที่พักใหม่กันเถอะ” โยลพยักหน้า จับไม้เท้าแล้วก็ยืนขึ้น
ราเรโกะปิดปาดลง จากนั้นก็เปิดกว้างออกครึ่งหนึ่งก่อนที่จะปิดลงอีกครั้งแล้วก็ยืนขึ้น โทตะชะโงกหน้าออกไปที่ทางเข้าเพื่อตรวจดูว่ามีอะไรอยู่ข้างนอกรึเปล่า แล้วเขาก็ตะโกนกลับมาว่า “โอเคฮะ!” กับสองคนที่อยู่ด้านใน
โทตะมองทางซ้าย ขวา หน้า หลัง บน และล่าง เมื่อเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาก็ตัวแข็งทื่อ เขาพึมพำออกมาว่า “นั่น” ราเรโกะออกมาจากทางด้านหลังโยลและมองขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน เธอไม่ได้ยินเสียงอะไร —แต่มันมีการระเบิดเกิดขึ้น นั่นคือเวทมนตร์ลบเสียงงั้นเหรอ? แต่มันก็ไม่ใช่ เมจิคัลเกิร์ลกำลังไล่ล่ากันอยู่บนท้องฟ้า หนึ่งในนั้นคือเมจิคัลเกิร์ลที่ถือขวานประหลาดอยู่ในมือแต่ละข้าง ส่วนอีกคนคือดรีมมี่✰เชลซี
“นั่นมัน…ระเบิด? ดูเหมือนมีคนกำลังบินอยู่เลย…” โทตะพูด
“พวกนั้นกำลังบินไปรอบๆ… แต่ควันจากการระเบิดมันบังอยู่จนมองไม่เห็นเลย” โยลพูด
ทั้งสองคนบอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นคือใคร —ไม่ใช่เพราะความเร็ว แต่เป็นเพราะควันที่ฟุ้งกระจายอยู่ ด้วยสายตาของมนุษย์และจอมเวทแล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เห็นอย่างไม่ชัดเจน
“เกิดอะไรขึ้นนะ?” โยลกอดอกและเอียงศีรษะ ผมม้วนของเธอขยับไปมา
ราเรโกะเอานิ้วชี้ของมือขวาขึ้นมาปรับแว่น แต่เมื่อเธอชำเลืองมองจากด้านหนึ่งไปอีกด้าน มันก็ร่วงลงไปอีกครั้ง “เมจิคัลเกิร์ล… ดิฉันคิดว่าอีกฝ่ายคือเมจิคัลเกิร์ล”
ราเรโกะพยายามทำรูปร่างอะไรบางอย่างด้วยสองมือ จากนั้นก็ลดมือลงราวกับว่ายอมแพ้ เธอมองขึ้นไปพร้อมกับเสียงคราง “อืออ” จากนั้นส่งเสียง “อ่าา” ออกมาแล้วก็ก้มหน้าลง เธอทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองกำลังสับสนแม้ว่าจะไม่มากก็ตาม แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อให้ได้รับความสงสาร เรื่องนี้มันฝังแน่นอยู่ในตัวราเรโกะ —มันคือวิธีที่เธอใช้เพื่อมีชีวิตอยู่
“ดิฉันคิดว่าฝ่ายหนึ่งคือดรีมมี่✰เชลซี” ราเรโกะพูด “ส่วนอีกฝ่ายดิฉันไม่รู้จัก ดูเหมือนว่าเธอกำลังถือขวานอยู่ด้วย ดิฉันคิดว่านั่นคือเมจิคัลเกิร์ลที่พวกเราไม่รู้จักค่ะ ทั้งสองคนกำลังสู้กันอยู่”
“เมจิคัลเกิร์ลที่พวกเราไม่รู้จัก…” โยลพึมพำ “แบบนั้นมันก็หมายถึง คือคนที่ฆ่าไมยะ…”
“ค่ะ… ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น…”
ท่าทางของโยลตรึงเครียดขึ้น “ฉันจะไปด้วย”
“ไม่ได้นะฮะ”
“มันอันตรายเกินไปค่ะ”
โทตะและราเรโกะพูดออกมาในจังหวะเดียวกัน จากนั้นทั้งคู่ก็มองหน้ากันและกัน และราเรโกะก็ยกมือขวาขึ้นมาโบกตรงหน้า เช่นเดียวกับโทตะที่ส่ายหน้าอย่างจริงจัง
ไม่ว่าโยลจะฟังอยู่หรือไม่ ดวงตาของเธอก็ยังคงจับจ้องไปในทิศทางที่ศัตรูหายไปอย่างไม่เคลื่อนไหว —เธอไม่ได้กระพริบตาด้วยซ้ำ “แต่พวกเราต้องช่วยเธอนะ”
“ดิฉันพูดอยู่นะคะว่ามันอันตรายเกินไป” ราเรโกะพูดย้ำ
“ต่อให้พวกเราทำ มันก็ได้แต่ถ่วงแข้งถ่วงขาฮะ” โทตะพูดต่อ
“ราเรโกะแข็งแกร่งนะ” โยลพูดค้าน “เธอคือลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งของไมยะเลย”
ราเรโกะพูดไม่ได้ว่า “คุณหนูคะ แต่อีกฝ่ายคือคนที่เพิ่งฆ่าไมยะไป”
“แต่ลองคิดดูสิฮะ ถ้าเธอต้องปกป้องโยลในตอนที่กำลังสู้อยู่ แบบนั้นเธอก็ไม่สามารถใส่ทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในการต่อสู้ได้ใช่ไหมล่ะฮะ” โทตะพูดช่วย และราเรโกะก็รู้สึกเห็นด้วยกับเขา
โยลก้มหน้า แก้มบิดขึ้นพร้อมกับกัดฟัน เธอค่อยๆยกเอาไม้เท้าของตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ และเมื่อมันอยู่เหนือศีรษะของเธอ มันก็ไปโดนเข้ากับกิ่งไม้จนทำให้โยลตกใจและมองขึ้นไป เธอลดไม้เท้าลงอย่างอ่อนแรงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ “แต่ แต่… พวกเราจะปล่อยให้เชลซีตายไม่ได้นะ”
ราเรโกะพูดแทรกเข้ามาด้วยท่าทีอายๆ “ดิฉันควรไปช่วยเธอคนเดียวไหมคะ?”
โทตะส่งเสียง “หือ?” ออกมา
โยลเองก็เอามือปิดปาก ดูเหมือนว่าเธอจะแปลกใจเช่นกันเพราะมือที่เอาไปปิดปากมันสั่นเล็กน้อย “คือหมายถึง พอไม่ห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว มันก็สามารถสู้ได้แบบเต็มกำลัง… งั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เป็นแบบนั้น” ราเรโกะตอบ “ถ้าให้พูดแล้ว ดิฉันไม่สามารถไม่อยู่เคียงข้างคุณหนูได้ แต่ว่าบางทีมันอาจจะโชคดีที่พวกเรารู้ถึงตำแหน่งของคนร้าย ดังนั้นดิฉันเชื่อว่าการที่ตัวเองจะออกจากจุดนี้มันจึงไม่ได้สร้างปัญหามากนัก แบบนั้น สำหรับสถานที่ที่พวกเราจะเจอกันหลังจากนี้—”
นาวี่ไม่ได้อยากจะทำร้ายโยล แม้ว่าพวกเธอจะสู่สถานการณ์ฉุกเฉิน เขาก็ยังคงไปมารอบๆเพื่อทำการตรวจสอบ ในอีกแง่หนึ่ง สิ่งที่นาวี่ต้องการจากราเรโกะก็คือการให้เธอช่วยปกป้องโยล —แต่ถ้าเธอทำแบบนั้น เธอก็ไม่สามารถติดต่ออกับนาวี่ได้ ดังนั้นเธอจึงจะออกไปเองเพื่อติดต่อกับนาวี่ไม่ก็คลาริสซ่า ทางนั้นเองก็คงจะมีคำสั่งที่จะมอบให้เธอโดยตรงเช่นกัน
ราเรโกะพยายามดึงเอาผลไม้สีเทาออกมา แต่เธอก็ควานหาอย่างเงอะงะจนทำมันร่วงลงมา ผลไม้สีเทากลิ้งไปตามใบไม้ที่ร่วงบนพื้น สายตาของโทตะและโยลมองตามไป เธอมีโอกาสแล้ว ราเรโกะยื่นมือเข้าไปหาเสื้อคลุมของโทตะและฉีกผ้าตรงข้อมือออกและเก็บเอาไว้ หากเธอเก็บรอยกัดของคลาริสซ่าเอาไว้แล้วออกไปที่อื่น มันก็มีโอกาสสูงที่คลาริสซ่าจะเข้ามาหาเธอ
ราเรโกะก้มศีรษะในตอนที่รับผลไม้สีเทามาจากโทตะ ในสถานการณ์เช่นนี้มันช่วยไม่ได้ แต่ราเรโกะรู้ว่าตัวเอองโชคไม่ดีมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นเธอจึงเคยชินกับมันแล้ว เธอจะติดต่อนาวี่ไม่ก็คลาริสซ่า หลีกเลี่ยงการเข้าปะทะกับเมจิคัลเกิร์ลถือขวาน และภาวนาให้โยลยังคงปลอดภัย
เธอตัดสินใจออกมาในตอนท้าย เธอเตือนตัวเองอย่างหนักแน่นว่านี่มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย
☆ เลิฟมีเร็นเร็น
เธอรู้สึกว่าหัวของตัวเองกำลังหมุนติ้ว แต่เธอก็แข็งใจและกลับมายังพื้นที่หินด้วยความเร็วเต็มที่ อากิและเนฟิเรียกำลังคุยกันอย่างจริงจัง ทั้งสองแค่มองมาที่เร็นเร็นเท่านั้น
เมื่อเร็นเร็นแน่ใจว่ามีแค่อากิและเนฟิเรียอยู่ตรงหน้าในภาพที่ตัวเองมองเห็น เธอจึงตะโกนออกมา “อากิ!”
ทั้งคู่หันไปมารอบๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังเคร่งเครียด เนฟิเรียไม่เคยมีบรรยากาศของความจริงจังมาก่อน เธอเอาแต่เหม่อลอยไม่ก็แสยะยิ้มออกมาอยู่บ่อยๆ แต่ในตอนนี้ท่าทางของเธอกลับดูจริงจังอย่างน่าประหลาด อากิที่ฟังอยู่เองก็มีสีหน้าจริงจัง ท่าทางที่เธอมองมาที่เร็นเร็นมันไม่ได้มีอะไรที่ตลกเลย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” อากิพูด
“มันแปลก —มันมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นค่ะ” เร็นเร็นบอกเธอ
“เนฟิเรียเองก็พูดเหมือนกัน” อากิถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เร็นเร็นมองไปที่เนฟิเรีย เนฟิเรียเองก็มองกลับมาที่เร็นเร็น พวกเธอพยักหน้าให้กันและกัน แล้วเร็นเร็นก็ชักคางกลับไปเล็กน้อยเพื่อบอกให้เนฟิเรียพูด เนฟิเรียจึงอธิบายออกมาอย่างพึมพำในแบบของตัวเองที่บางทีอาจจะอธิบายให้อากิฟังแบบนี้ด้วย เธอบอกว่าตัวเองรีดเอาเงินก้อนใหญ่มาได้จากแคลนเทลและเธอก็ยังเห็นร่องรอยของการต่อสู้ที่ไม่ควรจะเกิด พอเนฟิเรียพูดจบแล้ว เร็นเร็นก็พูดออกมา เธอบอกไปว่าตัวเองก็เห็นร่องรอยของการต่อสู้ การต่อสู้นั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นหากนาวี่ควบคุมสถานการณ์ได้ —หรืออย่างน้อยหากเขาสามารถควบคุมเมจิคัลเกิร์ลของเขาได้
เรื่องนี้ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผลสำหรับอากิ เธอเอียงศีรษะไปมาแบบซ้ำๆ “เรื่องนี้มันเป็นเพราะพรรคพวกของคุณนาวี่เป็นคนทำจริงๆน่ะเหรอ?”
“เป็นคนอื่นไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ” เร็นเร็นพูด
“นี่เธอทำสัญญากับเขาดีแล้วใช่ไหม เนฟิเรีย? ไม่ได้ทำอะไรพลาดสินะ?”
“ไม่… พลาด…”
“อื้อ แน่อยู่แล้วล่ะ งั้นคิดว่าเขาควบคุมเธอไม่ได้ดีกว่า นอกจากเรื่องสัญญาเบื้องต้นแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องซื่อสัตย์กับการที่คุยกันรอบสอง… หากเขาทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลออกมาแล้วเกิดปัญหา แบบนั้นทรัพย์สินของเขาก็จะหายวับไป มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอยู่จริงๆนั่นแหละ ”
“บางที… ตอน… นั้น…”
“อ่า ใช่ เธออยากจะบอกว่าบางทีตอนนั้นเขาอาจจะควบคุมพรรคพวกได้สินะ ก็จริงอยู่”
“ตอนนี้… เองก็…”
“หืมมม มันเป็นไปได้เหมือนกันว่าเขาคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมเธอได้ แต่เธอก็หลุดออกจากการควบคุมมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย”
อากิหลับตาลง จากนั้นก็เดินวนไปรอบๆเป็นวงกลมราวสามเมตร พร้อมกับก้มหน้าพึมพำอะไรบางอย่างไปด้วย สุดท้าย เธอก็พึมพำกับตัวเองว่า “ก็นะ ฉันว่ามันคงไม่เลวนักหรอก” แล้วก็พยักหน้า “เปลี่ยนแผน”
“คะ?” เร็นเร็นพูด
“เน้นวิธีเชิงรุกกับการแบ่งปันผลไม้สีเทากับคนอื่นกันดีกว่า พวกเราจะขายมันแบบถูกๆ แทนที่จะเป็นการช่วยเหลือแบบตรงๆ พวกเราจะเสนอการสนับสนุนเพื่อให้อีกฝ่ายสู้กับคนที่หลุดการควบคุมได้ แต่เราควรซ่อนตัวเอาไว้ ในที่ไหนซีกที่ที่มันปลอดภัยถ้าเป็นไปได้ พวกเราจะไม่เข้าโจมตีใส่คุณนาวี่และเพื่อนที่แสนน่ารักของเขา แต่พวกเราจะเพื่อเอาไว้ด้วยการคิดว่านี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองเป็นอันดับแรก”
“ฉันว่ามันเป็นความคิดที่ดีค่ะ การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องสำคัญ”
“เอ่อ… มัน…”
“หืมมม”
อากิกวักมือเรียกเร็นเร็น จากนั้นก็กวักมือเรียกเนฟิเรีย เมจิคัลเกิร์ลสองคนขนาบข้างอากิ คนที่เอาแขนมาโอบรอบไหล่ของพวกเธอเพื่อให้เข้ามาใกล้เอาไว้ เธอทำแบบนี้หลายครั้งแล้วตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก มันเหมือนกับเป็นพิธีการ ไม่ว่าพวกเธอจะพยายามทำอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อากิก็จะกอดพวกเธอทั้งสองคนเอาไว้
“พวกเราได้เงินก้อนโตจากแคลนเทลมาอย่างน่าประหลาด บวกกับถ้าอะไรๆก็เป็นไปได้ ฉันโอเคกับเรื่องในตอนนี้แล้ว”
ลมหายใจของอากิมีกลิ่นหอมหวานของผลไม้สีเทาปนอยู่ด้วย เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เร็นเร็นก็รู้สึกลำบากใจมาก และเธอก็โล่งอกเมื่อได้เห็นสายตาของอากิที่มองมาอย่างแน่วแน่กว่าที่คิดไว้ เร็นเร็นรู้สึกดีใจ เธอเอาใบหน้าของตัวเองจมลงไปในหน้าอกของอากิ ลูกสาวของเมียน้อยผู้สิ้นหวังที่ปรารถนาจะทิ้งชีวิตของตัวเองเพื่อเงินทอง ในตอนนี้ได้พยายามที่จะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าไม่เพียงแค่สัญญาด้วยชีวิตของตัวเอง แต่มีเร็นเร็นและเนฟิเรียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
เร็นเร็นมองไปที่เนฟิเรีย และเห็นว่าเนฟิเรียกำลังใช้แก้มมุดเข้าในหน้าอกของอากิ เหมือนว่าเธอจะชอบความรู้สึกแบบนี้จนยิ้มออกมาเหมือนกับพึงพอใจในตัวเอง นั่นทำให้เร็นเร็นนึกถึงในตอนที่เนฟิเรียพูดอะไรที่เหมือนกับการล่วงละเมิดทางเพศออกมาในตอนที่อยู่ในร่างมนุษย์ เร็นเร็นคิดว่ามันน่าเสียใจ คิดว่าถ้าเนฟิเรียสามารถสัมผัสถึงไออุ่นของการโอบกอดด้วยความรู้สึกที่บริสุทธ์กว่านี้ได้ก็คงจะดี แต่เมื่อเธอตระหนักได้ถึงเรื่องนั้น มันก็มีอะไรแล่นผ่านไปทั่วทั้งตัวเหมือนกับสายฟ้าในทันใด
อากิอยากที่จะรู้สึกสบายใจ เนฟิเรียรู้สึกชื่นชอบกับสัมผัสเช่นนี้ แม้ว่าต่างคนจะมีต่างความต้องการ แต่ว่าแต่ละคนนั้นต่างก็มีการกระทำที่เหมือนกัน เร็นเร็นรู้สึกสงบจากการถูกสวมกอดโดยอากิ เธอเคยรู้สึกสงบเช่นนี้จากที่ไหนซักที่มาก่อน แต่เธอไม่สามารถเปลี่ยนมันออกมาเป็นคำพูดได้ ในตอนที่เธอเข้าใจแล้ว มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ถูกแม่ของเธอสวมกอดนั่นเอง อากิปล่อยให้เร็นเร็นปฎิบัติด้วยเสมือนกับเป็นแม่ และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมเร็นเร็นถึงอยากให้อากิมีความสุข
“แม่” คำพูดมันหลุดออกมาจากปากของเร็นเร็น และเธอก็เงยหน้าขึ้นทันที
อากิมองมาที่เธอด้วยท่าทางประหลาดใจ “แม่?”
“ไม่ค่ะ เอ่อ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ขอโทษค่ะ”
อากิหัวเราะอย่างมีความสุขจนไหล่สั่น “ตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียน มันมีเด็กที่เรียกคุณครูอายุน้อยว่าแม่ด้วยล่ะ เพราะแบบนั้นก็ถูกหัวเราะไปจนถึงตอนจบการศึกษาเลย… อ่า นึกถึงวันเก่าๆเลยนะเนี่ย”
“ขอโทษค่ะ…”
“แม่ งั้นเหรอ? เธอทำให้ฉันลำบาก แล้วฉันก็แค้นแม่มาตลอด… แต่ในตอนนี้ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
เร็นเร็นรู้สึกว่าท่าทีของอากิอ่อนลง รอยยิ้มนั้นกระจายอยู่ทั่วใบหน้า อากิไม่ได้ปฎิเสธการที่เธอพึมพำคำว่า “แม่” ออกมา เมื่อเร็นเร็นพยายามที่จะกลบเกลื่อนสิ่งที่หลุดออกมาจากปาก อากิก็ยิ้มให้เธอ —และวางมือลงบนศีรษะของเร็นเร็น ลูบเส้นผมของเธอแล้วก็เอามาพันไว้ที่รอบเขา
“เอ่อ ครอบครัว…” เร็นเร็นพึมพำ
“ใช่แล้ว ครอบครัวยังไงล่ะ พวกเราคือครอบครัว มาหาความสุขไปด้วยกันเถอะ ฉันชอบที่จะมีความสุขนะ”
“…ค่ะ!”
พวกเราคือครอบครัว พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน เร็นเร็นรู้สึกเหมือนกับน้ำตาจะไหลออกมา แต่เธอก็กลั้นเอาไว้ เธอยังไม่ควรร้องไห้ เธอควรจะทำอะไรหลายๆอย่างหลังจากที่มีความสุข ครอบครัวจะอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นอพาร์ทเมนท์ใหญ่ๆก็คงจะดี แม่ก็จะกลับมา แล้วพ่อเองก็อยู่ที่นั่นด้วย เพราะว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน แบบนั้นเธอก็จะมีความสุข แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ เร็นเร็นไม่ได้ฆ่าแม่ มันไม่มีทางที่เร็นเร็นจะฆ่าแม่ของตัวเองได้หรอก
“ถ้างั้น… ก็…” เนฟิเรียพูด และอากิก็ผ่อนการกอดลง เร็นเร็นเองก็เอาใบหน้าออกมาเช่นกัน เธอรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่พวกเธอจะกอดกันทั้งวันไม่ได้ นี่คือการทำเพื่อที่จะให้มีความสุข และเป็นการทำให้ครอบครัวมีความสุขเช่นกัน
“ฉันอยากรู้เรื่องของคุณนาวี่น่ะ” อากิพูด
“เขาอันตรายค่ะ” เร็นเร็นตอบ
“ทำไมไม่ให้เชลซีไปล่ะ? เธอแข็งแกร่งนี่ และถ้ามันแย่ล่ะก็ ถึงอีกฝ่ายได้ตัวเชลซีไปก็ไม่เป็นไร”
“งั้น… ก็…”
“หืมมม ใช่แล้วล่ะ การใช้แกะเมรี่ในฐานะผู้ส่งสาส์นฉันว่ามันเป็นความคิดที่ดีนะ แพะมันชอบกินกระดาษ ดังนั้นการให้แกะทำงานคือเรื่องปลอดภัย แถมมันก็—”
เร็นเร็นเอาลูกศรมาที่สาย เนฟิเรียยกเคียวขึ้นเป็นแนวทแยงมุม เมจิคัลเกิร์ลสองคนยืนอยู่ด้านหน้าของอากิ คนที่รู้สึกตัวช้ากว่าคนอื่น — “นั่นเสียงอะไรน่ะ?” มันไม่ใช่เสียงฝีเท้า มันคือเสียงของกีบเท้าสัตว์ ฝูงสัตว์ที่เหยียบพื้นดิน ทำให้ก้อนหินกระเด้งออก และเหยียบกิ่งไม้ตรงเท้าจนส่งเสียงดังตามทางของพื้นที่หิน เร็นเร็นยกตัวของอากิขึ้นด้วยการใช้ต้นขาของตัวเองหนีบเอวของอากิเอาไว้พร้อมกับธนูที่ยังคงชูขึ้น เธอบินขึ้นไปราวสองเมตร อากิส่งเสียงร้องออกมา “หวาาา!” อย่างตกใจ พร้อมบิดตัวไปมาราวกับจั๊กจี้
“มันอันตรายค่ะ ช่วยอยู่นิ่งๆด้วย” เร็นเร็นบอกเธอ
“อะไรน่ะ มันเกิดอะไรขึ้น?”
คำตอบนั้นถูกเฉลยออย่างรวดเร็ว พวกแกะกำลังวิ่งออกมา บางตัวเต็มไปด้วยสีเขียวของใบไม้ บางตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน บางตัวก็มีกิ่งไม้ติดอยู่ที่ขน พวกแกะวิ่งออกมาจากป่าตัวแล้วตัวเล่า —จนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด— แล้วมาหยุดลงในพื้นที่หิน จากนั้นก็เบียดเสียดกันตรงกลางฝูง เร็นเร็นและเนฟิเรียเคลื่อนไหวไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงฝูงแกะ มองดูพวกมันใกล้ๆจากด้านหลังก้อนหิน
แถวของแกะยังคงเดินไปอย่างต่อเนื่อง ความจริงมันยังเพิ่มจำนวนและแรงมากขึ้นอีกด้วย ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นของแกะที่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าสงสาร เนฟิเรียพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เสียงร้องของแกะมันดังจนกลบเสียงของเธอ และไม่นานเจ้านายของแกะพวกนี้ก็ปรากฏตัวออกมา เมจิคัลเกิร์ลนั้นกำลังใช้สีพาสเทลเขียนอย่างลวกๆ เธอฉีกแผ่นกระดาษออกมาจากสมุดวาดภาพแผ่นแล้วแผ่นเล่า กระดาษนั้นลอยขึ้นไปและกลายเป็นแกะที่เพิ่มจำนวนเข้าไปในฝูง โดยทั่วไปแล้วเธอกำลังหนีพร้อมกับเพิ่มจำนวนของแกะไปด้วย
“เมรี่! หยุดนะคะ!”
เมรี่จะไม่มีทางพลาดเสียงของเร็นเร็นไปได้ เธอจะฟังในเรื่องที่เร็นเร็นพูด เมรี่เงยหน้าขึ้น ส่งการสั่นเทาผ่านมาทางริมฝีปาก ไหล่ และขา จนทั่วทั้งตัวของเธอกลายเป็นสั่นไหว เธอตบเข้าไปที่ก้นของแกะเพื่อให้มันวิ่งตรงมาหาเร็นเร็น เธอตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วเกินไป และเมื่อแกะหยุดตัวอย่างกระทันหัน มันก็ทำให้เธอร่วงลงมาจากบนหลังของแกะ ศีรษะกระแทกเข้ากับหินจนเกิดรอยร้าวและหยุดลง
เมรี่เด้งตัวขึ้นเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุกแล้วก็ร้องไห้ “แย่สุดๆเลย!”
อากิเอียงศีรษะไปในทางเดียวกันกับที่เร็นเร็นเห็นก่อนหน้านี้ “อะไรล่ะ?”
“พวกเราถูกโจมตี! เมจิคัลเกิร์ลถือขวานโผล่ออกมา! แล้วเชลซีก็กำลังสู้อยู่!”
เร็นเร็นบินขึ้นไปบนท้องฟ้า อากิที่ถูกจับเอาไว้ระหว่างต้นขา และเนฟิเรียที่อยู่บนพื้นต่างก็มีท่าทีแบบเดียวกัน จากนั้นหลังจากที่หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เร็นเร็นก็เปิดปาก หากอากิถามคำถามออกไป เมรี่อาจจะไม่ฟัง แต่ถ้าหากเป็นคนที่เมรี่รักอย่างเร็นเร็นมันก็จะเป็นอีกเรื่อง “หมายถึงเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่รู้จักงั้นเหรอคะ?”
“เป็นคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วคุณเชพเพิร์ดพาย… มันน่าสยองสุดๆ…”
“หมายถึงเขาถูกฆ่าเหรอคะ?”
“อื้อ”
เนฟิเรียพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก เธอคิดว่ามันน่าขยะแขยงอย่างแท้จริง เร็นเร็นกัดริมฝีปากด้านล่าง มีอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกำลังเกิดขึ้น —มันแย่เกินคาดคิด
“…แล้วจากนั้น?” เร็นเร็นกระตุ้นให้พูดต่อ
“เชลซีบอกให้เราหนี แบบนั้นเราก็เลยคว้าเอาตัวของตาแก่มาด้วยแล้วก็วิ่ง บอกเขาไปว่าต้องออกจากที่นี่… นี่เร็นเร็น ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
“ตาแก่? หมายถึงรากิเหรอคะ? แล้วเขาอยู่ที่ไหน?”
“หือ? เดี๋ยวนะ…” เมรี่มองไปทางซ้ายและขวา จากนั้นก็หันหน้าไปรอบๆฝูงแกะก่อนที่จะเอาฝ่ามือมาปิดหน้า “อ๊า! เราคงทำร่วงไปแน่ๆ! เป็นแบบนี้ตลอดเลย! ความจำเองก็ไม่ดีแถมทำอะไรโง่ๆตลอด! ตลอดเลย! ตลอดเลย!”
เร็นเร็นไม่ทันได้พูดอะไรที่ปลอบโยนเธอ มันมีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากในป่าแล้วคว้าตัวเมรี่ไป เมื่อเร็นเร็นยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายคือดรีมมี่✰เชลซี ผู้เยี่ยมเยือนคนถัดไปก็ปรากฏตัวขึ้น ด้วยขวานสีแดงที่เปรอะเปื้อนในมือขวาและขวานสีดำในมือซ้าย ตัวของเธอเต็มไปด้วยโคลน เสื้อคลุมที่สวมอยู่ในตอนแรกอาจจะเป็นสีขาว เธอไม่ได้แม้แต่พยายามปัดใบไม้แห้งออกไปจากเส้นผมสีทองที่หยักเล็กน้อยด้วยซ้ำ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย
“ขวานที่ท่านทำตกคือขวานทองงั้นหรือ?”
แกะทั้งหมดกำลังวิ่งวนเป็นวงกลม เนฟิเรียยกส้นเท้าขึ้นหนึ่งข้าง เร็นเร็นนั้นกำลังสับสน นี่พวกเธอปล่อยให้เทพธิดาเข้ามาใกล้ขนาดนี้ได้ยังไงนะ? มันชัดมากที่อีกเธอไม่ได้เข้ามาหาอย่างเงียบๆด้วย แต่กระนั้นพวกเธอก็ไม่ได้เสียงของอีกฝ่ายที่เข้ามาเลย
“รึว่าจะเป็นขวานเงินนี่กัน?”
เร็นเร็นตัดสินใจที่จะบินขึ้นไป สั่งกล้ามเนื้อให้ขยับปีกเพื่อเคลื่อนไหว แต่ก่อนที่เธอจะทันได้เคลื่อนไหว มันก็เกิดแสงเป็นเส้นขึ้น เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เธอจะรู้ เธอก็ถูกพัดปลิวเหมือนกับดอกแดนดิไลออนที่ถูกลมพายุพัด แกะจำนวนหนึ่งลอยอยู่บนอากาศอย่างน่าตลก ดินและควันลอยขึ้นพร้อมกับต้นไม้ แม้กระทั่งหินก้อนใหญ่ยังถูกทุบจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันเกิดขึ้นแบบสโลโมชั่นเหมือนกับในภาพยนตร์ หูของเธอรู้สึกเจ็บ แม้กระทั่งเสียงก็เหมือนจะเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า พวกแกะกำลังส่งเสียงร้อง นี่เนฟิเรียปลอดภัยรึเปล่านะ? เทพธิดาหายไปไหนแล้ว? เร็นเร็นยังคงมีชีวิตอยู่ เธอยังคงมองเห็นและได้ยินเสียง เธอยังคงมีธนูและลูกธนูอยู่ เธอยังมีแขนทั้งสองข้าง ขาของเธอก็จับตัวของอากิเอาไว้แน่น ปีกเองก็ยังขยับได้ เธอได้สมดุลคืนมาจากกระพือปีก จากนั้นก็นึกได้ว่าเชลซีจับตัวขอองเมรี่ไว้แล้วก็วิ่งออกไป เธอยกเลิกเวทมนตร์ที่ร่ายกับทั้งสองคนออกไปแบบที่ไม่ต้องคิด หากเร็นเร็นยิงเทพธิดาด้วยลูกศรโดยที่ไม่ได้คลายเวทมนตร์ แบบนั้นเทพธิดาก็จะกลายเป็นตกหลุมรักเชลซี เร็นเร็นไม่อยากทำให้เทพธิดาไปตกหลุมรักกับคนที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุดโจมตีใส่เร็นเร็น การเสียเชลซีไปมันลำบากก็จริง ส่วนเมรี่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย แต่การรับมือกับภัยคุกคามมันสำคัญกว่าที่จะรู้สึกเสียใจ
ฝูงแกะที่อยู่ด้านล่างต่างก็วิ่งหนีไปเพราะอันตราย เธอมองไม่เห็นตัวของเนฟิเรียและเทพธิดา นอกจากเร็นเร็นที่ล่วงลงมาแล้วทุกอย่างมันปลิวขึ้นไปในอากาศ
“อากิเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” เธอถาม
จู่ๆเธอก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ——ตัวของอากิที่เธอจับเอาไว้มันรู้สึกเบาอย่างผิดปกติ เร็นเร็นมองลงมาที่อากิ ครึ่งล่างของเสื้อคลุมอากิที่เป็นสีครีมกลายเป็นสีแดงเข้ม ดวงตาของเธอมองลงมาอย่างไร้จุดหมาย มีเลือดไหลออกมาจากปาก ทุกอย่างที่อยู่ด้านล่างของเอวมันหายไปจนหมด เลือดและอวัยวะภายในไหลออกมาจากร่างกายส่วนที่ยังคงเหลืออยู่
MANGA DISCUSSION