ตอนที่ 9:
ห้อง 2-F
☆ มานา
เธอรู้สึกว่าก่อนหน้านี้หน่วยสืบสวนถูกดูหมิ่นมามากมายหลายครั้ง มันเกิดขึ้นหลายครั้งมากจนแม้กระทั่งสมาชิกรุ่นใหม่อย่างมานายังสามารถพบเจอได้มากกว่าหนึ่งครั้ง ผู้ที่มีประสบการณ์คงผ่านมันมาอย่างโชกโชน
จอมเวทที่สำคัญตนผิด คนมีโดยปกติแล้วจะไม่ใส่ใจ คนทำตัวเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะยื่นหน้าเข้ามาในการสืบสวน หรือบังคับให้พวกเธอจัดการคนบางคน คนพวกนี้มีมาอย่างไม่ขาดสาย คนเช่นนั้นไม่เคยคิดเลยแม้แต่นิดว่าเรื่องแบบนั้นมันทำให้ความเป็นอิสระของฝ่ายมัวหมองลงขนาดไหน
ไม่มีผู้ตรวจการณ์คนไหนอยากให้บุคคลภายนอกเข้ามายุ่ง มานาไม่ใช่คนๆเดียวที่ไม่อยากจะคิดเรื่องการสืบสวนในตอนที่ต้องร่วมมือกับใครบางคนที่เพิ่งจะได้พบหน้า
แต่เพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เธอจะวางความภาคภูมิในฐานะผู้ตรวจการณ์ลง แขวนเรื่องการสืบสวนเอาไว้ และจะลืมสิ่งที่คนที่มีตำแหน่งสูงได้บอกเธอ
ในตอนนี้ จอมเวทได้รวมตัวกันรอบบาเรียที่ล้อมโรงเรียนมัธยมต้นอุเมะมิซากิเอาไว้ พวกนั้นเหมือนกับมดที่รุมตอมน้ำตาล กวัดแกว่งไม้เท้าในตอนที่ลังเล มองไปที่ข้อมูลและเอียงศีรษะ ร่ายเวทมนตร์ และถกเถียงซึ่งกันและกัน แม้ว่าจะนำสมาชิกทั้งหมดของหน่วยสืบสวนมารวมกัน มันก็จะไม่ได้มีคนมากขนาดนี้
มันมีจอมเวทจากฝ่ายพัคที่อูรูรุเรียกมา และหลังจากนั้นก็มีจอมเวทจำนวนมากที่ถูกเรียกตามกันมาอีก ฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลได้ส่งจอมเวทออกมามากที่สุด
มานาได้เชิญหัวหน้าฝ่ายจัดการด้วย เธอคิดว่าคงช่วยอะไรไม่ได้หากโดนปฎิเสธ แต่จอมเวทชราหัวรั้นผู้มากด้วยประสบการณ์ก็มาในทันทีและพูดว่า “เมจิคัลเกิร์ลที่ชั้นแนะนำเข้าไปอยู่ด้านในนั้น”
ห้องทดลองและฝ่ายข้อมูลเองก็เข้ามาแม้ว่าจะไม่ได้รับคำเชิญ และเมื่อมันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝ่ายวิจัยและพัฒนาเองก็เข้ามาด้วย มานาใช้อำนาจเล็กน้อยทั้งหมดที่ตัวเองมีเพื่อตอบรับทุกคนและมอบหมายหน้าที่ให้ทำการคลายบาเรีย
มานาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการคลายบาเรีย ความเชี่ยวชาญของเธอคือเภสัชศาสตร์ งานของเธอในตอนนี้คือการป้องกันไม่ให้คนทะเลาะกันและป้องกันจากอะไรก็ตามที่ไม่จำเป็น
“ทางนี้! ทางนี้!” อูรูรุโบกมือสองข้าง “เร็วเข้า เร็วเข้า!”
มานาวิ่งตรงไปหาอูรูรุ จอมเวทจำนวนมากรวมตัวกัน และที่ตรงใจกลาง หญิงชราที่มีรอยย่นลึกอยู่บนใบหน้าจนไม่รู้ว่าดวงตาของเธออยู่ตรงไหนกำลังกวัดแกว่งไม้เท้าและร่ายคาถา ภาพด้านหลังบาเรียที่หมองมัวก็กลายเป็นมองเห็นได้อย่างชัดเจน และรูที่มีขนาดใหญ่พอที่คนหนึ่งคนจะผ่านเข้าไปได้ก็เปิดออก เหล่าจอมเวทล้วนปรบมือและพูดว่า “โอ้วววว” แต่จากนั้นมันก็กลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ในทันที
ความผิดหวังที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการโต้เถียงกันในทันที
“พวกเรายังไม่ได้รับการอธิบายเรื่องเทคนิคเลยนะ”
“แล้วเทคนิคการคลายเวทมนตร์รูปแบบใหม่ของซาตาบอร์นล่ะว่าไง?”
“ถ้าใช้คนจำนวนมากพร้อมกัน แบบนั้นพวกเราก็อาจจะสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์แบบเดียวกันที่ประสิทธิภาพมากขึ้นได้สิ”
“นั่นมันแค่ไม่นานเองนะ!”
“ชั้นไม่ชอบแนวทางในการทำลาย มันตรงข้ามกับการปลดล็อค มันป่าเถื่อนเกินไป ไม่ได้แตกต่างอะไรจากหัวขโมย การปลดล็อคคือสิ่งที่อาศัยฝีมือของจริง แม้กระทั่งพวกงี่เง่ายังสามารถทำลายล็อคได้ด้วยตัวเอง”
“แล้วพวกงี่เง่าที่ว่ามันอยู่ที่นี่ไหมล่ะ? เธอเองก็ยังทำไม่ได้เลย!”
“พวกเราต้องคลายบาเรียทั้งหมดอย่างมีทักษะในคราวเดียว ดังนั้นควรจะทำการวิเคราะห์ก่อน”
“เป็นแบบนี้ตลอดเลย”
อูรูรุดึงแขนเสื้อของหญิงชรา “ทำแบบที่ทำเมื่อกี๊อีกครั้งสิ! อูรูรุจะรีบเข้าไปเอง!”
มานาดึงตัวของอูรูรุออกมา จากนั้นก็ก้มศีรษะให้กับหญิงชรา “ชั้นเองก็ขอเรื่องนั้นเหมือนกัน ถ้าทำได้ก็ขอร้องล่ะ!”
หญิงชราพึมพำอะไรบางอย่าง แม้ว่าคาถาที่เธอร่ายมันจะชัดเจน แต่เมื่อเป็นการพูดมันกลับฟังไม่ชัด มานาจับใจความไม่ได้ว่าเธอพูดอะไร
“ชั้นเองก็ด้วย” มีเสียงดังขึ้นมา
มานาหันกลับไป ชายชราที่มีหนวดยาวสีขาวและหมวกปลายแหลม หัวหน้าฝ่ายจัดการ รากิ สเว เน็นโต เอาหมวกมาไว้ในมือและก้มศีรษะลึกลงไป
“ขอร้องล่ะ” เขาพูด
หญิงชราพึมพำอะไรบางอย่างและพยักหน้าเล็กน้อย
การร่ายดำเนินต่อ คาถาดังออกมาอย่างชัดเจน และไม้เท้าของเธอก็กวัดแกว่งอย่างเฉียบคมยิ่งกว่าคนรุ่นหนุ่มสาว
☆ เมฟิส เฟเลส
อาจารย์ใหญ่โอ้อวดว่าร่างกายของสโนไวท์สีดำถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิเศษยังไง และเมื่อคิดย้อนไปว่าตัวของไลท์นิ่งเป็นยังไงแล้ว เมฟิสก็เชื่อมัน โฮมุนครูสเหนือกว่าใครในจุดนั้นหนึ่งหรือสองระดับ หรือบางทีอาจจะมากยิ่งกว่านั้น การตระหนักว่าตัวเองไร้พลังเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดก็จริง แต่ถ้าไม่มีสโนไวท์สีดำ สวนก็คงจะพังทลายไปแล้ว
ก่อนหน้านี้พวกเธอพูดว่า โฮมุนครูสไม่ได้ใช้เวทมนตร์อะไรเพื่ออ่านใจเหมือนกับสโนไวท์ตัวจริง และการที่สโนไวท์ตัวจริงเข้าไปก็ไม่ได้ทำให้อ่อนแอลง พวกเธอคิดกันแบบนั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สโนไวท์คือคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ของพวกเธอ ขาของเธอช้ายิ่งกว่าเมฟิส มีแนวโน้มว่าจะถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง และเมื่อเธอเร่งความเร็วขึ้นมา จู่ๆเธอก็พยายามพุ่งเข้าไปในกำแพง
อาจารย์ใหญ่เองยังพูดอีกว่า —หรือภูมิใจ— ว่าไม่ใช่แค่แข็งแกร่งทางด้านกายภาพ แต่ยังสามารถต้านทานเวทมนตร์ได้สูงอีกด้วย เมฟิสสบถใส่อาจารย์ใหญ่ว่า “แล้วพวกเราคือรุ่นผลิตจำนวนมากงั้นสิ?” แต่การที่มีรุ่นคุณภาพสูงอยู่ด้วยก็ควรจะเป็นสิ่งที่สามารถพึ่งพาได้ อย่างน้อยที่สุด ถ้าอาจารย์ใหญ่อธิบายว่าแบบนั้น มันก็คงจะเป็นแบบนั้น
คานะเองก็บอกว่าอาจารย์ใหญ่ไม่ได้โกหก แล้วแบบนั้น การที่สโนไวท์ไม่สามารถใช้ร่างกายได้อย่างเต็มที่หลังจากที่ทำการสับเปลี่ยนร่างอย่างกระทันหันมันคืออะไรล่ะ? มันดูไม่เหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นเลย เพราะกระทั่งหลังจากเมฟิสสับเปลี่ยนร่างกาย เธอก็ทำอะไรได้ตามปกติ แม้ว่าเธอไม่อยากจะจำเรื่องแบบนั้นก็ตาม
เมฟิสประคองสโนไวท์จากทางด้านขวาเพื่อช่วยยกตัวขึ้น เท็ตตี้เองก็คอยช่วยจากอีกข้าง แต่ใบหน้าของเธอเองก็ซีดเช่นกัน และยังตัวสั่นในตอนที่เดินด้วย เมฟิสเข้าใจดีว่าความรู้สึกนั้นมันเจ็บปวด หากเมฟิสจ้องเดินแบบนี้ด้วยตัวของเธอเอง เธอก็คงจะตัวสั่นและหน้าซีด บางทีเธออาจจะหันหลังกลับโดยที่ไม่ได้แม้แต่จะก้าวออกไปซักก้าวอีกด้วย
“เอาจริงๆนะ ไหวไหมเนี่ย?” เมฟิสถามสโนไวท์
“บางที”
“บางที? ไม่เอาน่า”
“เสียงพวกนี้… เวทมนตร์ของฉัน… มันได้ยินเสียงแปลกๆ…”
หากปัญหาไม่ใช่เรื่องของร่างกาย แต่เป็นจิตใจล่ะก็ แบบนั้นมันก็แย่ยิ่งขึ้นไปอีก
มอสมันปกคลุมทางเดินเอาไว้จนไม่สามารถที่จะเรียกว่าทางเดินได้ พวกเธอจมลงไปถึงข้อเท้าพร้อมกับน้ำเลี้ยงสีเขียวที่ไหลออกมา จมูกย่นจากกลิ่นหญ้า แม้ว่าเส้นทางจะเป็นเส้นตรงจนเป็นไปไม่ได้ที่จะหลงทาง พวกเธอก็ไม่รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเดินมาถูกทาง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอได้ยินเสียง มันคือเสียงของคุมิคุมิและลิเลี่ยน
เมื่อพวกเธอเข้ามาในเขาวงกตนี้ พวกเธอก็มีแผนที่จะช่วยคุมิคุมิและลิเลี่ยน หาตัวพวกเธอ และกลับออกไป เมฟิสยังจินตนาการอีกว่าทั้งสองคนนั้นหลงทาง คุมิคุมิคงมีน้ำตาเอ่อออกมาและลิเลี่ยนคอยปลอบโยน แต่จากการที่ได้เดินมา เมฟิสก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเธอมองในแง่ดีเกินไป แม้จะรู้ว่ามันคือเสียงของคุมิคุมิและลิเลี่ยน เธอก็บอกไม่ได้ว่าทั้งสองคนพูดอะไร แล้วเสียงมันตามพวกเธอมาตลอดเวลา จนเธอสงสัยว่าทั้งสองคนยังปลอดภัยรึเปล่า
คานะบอกว่าอาเดลไฮลด์ตายแล้ว เมฟิสอยากตะโกนใส่เธอและเรียกเธอว่าคนโกหก แต่สำหรับตัวของเมฟิสแล้วมันก็เหมือนว่านั่นไม่ใช่เรื่องโกหก มันไม่มีเหตุผลที่คานะจะพูดเรื่องโกหกออกมาแบบไร้ความหมาย และเธอก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะโกหกแบบนั้นด้วย แม้ว่าตัวเองจะบาดเจ็บหนัก แต่คานะยังคงอยู่ที่ทางเข้าสถานโบราณเพื่อต่อสู้กับศัตรู เธอบอกว่าตัวเองจะสู้กับศัตรู แต่มันเหมือนกับว่าเธอวางแผนทำให้อีกฝ่ายช้าลงหรือซื้อเวลามากกว่า ถึงจะฟื้นตัวขึ้นมา เธอก็ยังคงอ่อนล้ามาก แม้ว่าจะเพิ่มคัลโคโระและอาจารย์ใหญ่เข้าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา กระทั่งเมฟิสยังเข้าใจเรื่องนั้น ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่จอมเวทคนสำคัญอย่างคานะจะไม่เข้าใจ
ลมหายใจของเธอมีเสียงหวีด เมฟิสแทบจะเดินออกไปไม่ไหว มันดูไม่เหมือนว่าเธอจะพึ่งพาเท็ตตี้หรือสโนไวท์ได้
…แม่งเอ๊ย! “พึ่งพาพวกเธอไม่ได้งั้นเหรอ” เรื่องบ้าอะไรวะ?!
เธอควรจะเป็นคนที่ถูกพึ่งพา เธอควรจะช่วยคนที่ดูเหมือนว่าไม่สามารถพึ่งพาได้สิ ถ้าคานะอยู่ที่นี่เธอจะพูดแบบนั้นแน่ พร้อมกับพูดคำพูดจากมังงะบางเรื่องออกมาด้วยท่าทางรอบรู้ น่าหงุดหงิดจริงๆ
“นี่ เท็ตตี้” เมฟิสพูด
เท็ตตี้มองมาที่เธออย่างกลัวๆ
เมฟิสสบตาเท็ตตี้ ใส่ความต้องการ ความโกรธ และความมั่นใจลงในท่าทางของตัวเอง —หรือตั้งใจที่จะทำแบบนั้น— และยื่นมือออกไป “นี่”
เธอจับถุงมือของเท็ตตี้ แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ดังนั้นเธอจึงเอามือสอดเข้าไปในถุงมือและจับมือของเท็ตตี้เอาไว้อย่างแน่นๆ ความกลัวหายไปจากท่าทางของเท็ตตี้ มีความประหลาดใจโผล่ออกมาแทน เมฟิสหันออกไปจากเท็ตตี้และมองไปด้านหน้า แม้ว่าภาพที่เต็มไปด้วยสีเขียวนี้มันจะดูน่าเบื่อ เธอก็คิดว่าการมองไปข้างหน้ามันมีความหมาย
ในสมัยประถม เธอจับมือกับเท็ตตี้ในระหว่างทางไปและกลับจากโรงเรียน เธอไม่รู้ว่าเท็ตตี้จะจำมันได้รึเปล่า แต่อย่างน้อยที่สุด เมฟิสก็จำมันได้ ครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเธอสามารถกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล ขนาดของมือและความแข็งแกร่งก็เปลี่ยนไป แต่มันก็น่าแปลกที่เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ในวันจันทร์ เท้าของเธอจะหนักอึ้งอยู่เสมอในตอนที่เดินไปโรงเรียน ในเรื่องความรู้สึกของเท้าที่หนักอึ้งแล้ว การหายใจออกมาแรงๆตามทางเดินแคบๆที่เต็มไปด้วยมอสนี้ บางทีมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรนัก
☆ คุมิคุมิ
ตัวของคุมิคุมิกำลังหดลงสู่ความว่างเปล่า เมื่อเมฟิส เท็ตตี้ และสโนไวท์เข้ามาด้านใน เรื่องนั้นมันได้นำไปสู่ปัญหามากมาย เธอเน้นย้ำการมีอยู่ของตัวเอง —แต่กระนั้น จิตใจของเธอหมุนกลับไปยังจุดเริ่มต้น จนความตั้งใจของเธอไม่เหลืออยู่
ในขณะเดียวกัน ตัวของลิเลี่ยนก็ถูกปนเปื้อน มันหมุนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ความพยายามร่วมกัน —ก็ได้แบ่งปันกัน มันดูเหมือนไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึ้นกับเมจิคัลเกิร์ลสามคน —คุมิคุมิรู้เรื่องนั้น แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดได้ เธอไม่สามารถห้ามตัวเองให้หยุดได้
“ผู้บุกรุก” จะถูก “รับเข้ามา” เป็นของ “ทั้งหมด” คุมิคุมิคือหนึ่งใน “ส่วน” นั้น —เธอกำลังถูกรับเข้ามา เช่นเดียวกับลิเลี่ยน พวกเธอไม่สามารถสู้มันได้
แต่การที่อยากช่วยคนอื่น —นั่นยังคงเป็นคุมิคุมิ ร่างกายของเธอไม่มีอยู่ จิตใจของเธอเป็นแค่ “ส่วน” ทุกอย่างที่เหลืออยู่หลอมรวมเข้าด้วยกัน พวกเธอจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน แต่อย่างแรก หนึ่งในเพื่อนร่วมห้อง พวกเธอยังคงต้องการ —แม้กระทั่งในตอนนี้
ความรู้สึกทำให้เมจิคัลเกิร์ลแข็งแกร่งขึ้น —เธอได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เธอจำมันได้ เธอลืมมันไป มันหายไป แต่ก็ยังคงเหลืออยู่ มันอยู่ตรงนี้ —คุมิคุมิ
คุมิคุมิเก่งเรื่องนี้ ส่วนลิเลี่ยนไม่ใช่ เมื่อพวกเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ล คุมิคุมิเคยเป็นคนที่ซุ่มซ่าม และลิเลี่ยนเป็นคนที่ฉลาด การถูกนำเข้าไปและตั้งค่า —บางทีอาจจะเกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้คุมิคุมิเคยเป็นคนที่ถูกเรียกว่าคุมิคุมิ ลิเลี่ยนพยายามคิด
เรื่องทุกอย่าง —คุมิคุมิคิดว่ามันไม่มีค่าพอที่ต้องคิด เธอควรจะผสม หลอมรวม กลายเป็นหนึ่งเดียว แต่นี่ —มันต่างออกไป ไม่—ไม่ใช่โชคร้าย ใช่—มันคือโชคดี แต่เธอยังหลอมรวมตอนนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนี้ เมฟิส เท็ตตี้ สโนไวท์ คุมิคุมิยังหลอมรวมไม่ได้ ด้วยกัน ตรงนั้น —ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น มันตรงกันข้าม —ตรงนั้น—ไม่—ช่วยพวกเธอ
ช่วยทั้งสามคน
เป้าหมายของคุมิคุมิ เป้าหมายนั่น
เสียงของคุมิคุมิ —มันออกไปที่ไหนซักแห่ง คุมิคุมิออกไปที่ไหนซักแห่ง ความหมายคือความหมาย ที่ไหนซักที่ สโนไวท์อ่อนแอ เวลาเล็กน้อย ไม่มีเหลือ มันยังเหลืออยู่เล็กน้อย
แรงจูงใจ เมฟิส กลุ่มสอง ยืดหยัดอย่างมั่นคง เท็ตตี้ หัวหน้าห้อง เมฟิส หัวหน้ากลุ่ม งี่เง่า
ปกป้อง คุมิคุมิพยายามอย่างที่สุด —กับกลุ่มสอง เมฟิสกำลังปกป้อง เธอกำลังปกป้องใครซักคน แข็งแกร่ง แข็งแกร่งมาก คุมิคุมิไม่ได้แข็งแกร่ง สีเขียว —นั่นหมายความว่าคุมิคุมิได้รับการปกป้องแล้ว
แรงจูงใจ อย่ามองข้ามมัน กลุ่มสอง
เพราะแบบนี้เมฟิสถึงจับมือ จับมือเท็ตตี้ ให้กำลังใจ เท็ตตี้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ดีขึ้น —แค่เล็กน้อย คุมิคุมิกัดฟัน มองดูลิเลี่ยน คนที่รู้สึกดีกว่า
มีเหตุผล จริง หนึ่งไม่มากพอ สองมากเกินไป คุมิคุมิคือหนึ่ง คุมิคุมิและลิเลี่ยนคือสอง
ตัวตนรวมเข้าด้วยกัน
แม้จะเป็น “ส่วน” ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นสองเท่า การรวมกันอาจจะเปลี่ยนแปลงตัวตนทั้งสอง แต่การยึดติดกับสิ่งที่ยังไงก็หายไปมันไม่มีประโยชน์ การที่ไม่สามารถรวมกันได้ —พวกเธอไม่เคยคิดถึงมันเลยแม้แต่วินาทีเดียว ตัวตนของเมจิคัลเกิร์ลคือการสร้างปาฎิหาริย์อย่างแท้จริง
☆ เท็ตตี้ กู๊ดกริป
เท็ตตี้มองขึ้นไป
เธอรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียง —เสียงของคุมิคุมิและลิเลี่ยน พวกเธอได้ยินมันมาโดยตลอดตั้งแต่ที่เข้ามา แต่นี่มันต่างออกไป มันเหมือนจะมีความหมายมาก ราวกับว่าเธออาจเข้าใจมัน หรืออาจจะไม่เข้าใจ —มันเป็นเสียงประเภทนั้น
เธอมองไปที่เมฟิส พวกเธอสบตากัน นี่เมฟิสเองก็ได้ยินเสียงรึเปล่านะ?
อะไรบางอย่างร่วงลงมาบนมอสพร้อมกับทำให้เกิดเสียง เท็ตตี้ตื่นตระหนกและมองไปยังต้นเสียง ในขณะที่ช่วยพยุงสโนไวท์จากด้านข้าง เธอก็เดินออกไปอย่างรีบเร่ง จับสิ่งที่ร่วงลงมาเอาไว้และกำลังจะจมลงไปในมอสที่ถุงมือของเธอขึ้นมา มันคืออะไรบางอย่างที่คุ้นเคย เธอเห็นมันมามากมายหลายครั้งในตอนที่พวกเธอเตรียมงานเทศกาล มองดูมันอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งค่อยๆเสร็จสิ้น คนที่สร้างมันหมกมุ่นมากจนถึงขั้นที่ไม่รู้ตัวว่ามีคนมาพูดด้วย ด้วยเวลาที่ผ่านไป มันก็กลายเป็นรูปเป็นร่าง การได้เห็นมันในตอนนี้ได้ทำให้นึกถึงช่วงเวลาอันสนุกสานที่พวกเธอตั้งใจทำด้วยกัน
มันคือมังกรของคุมิคุมิ เธอเหวี่ยงมันไปรอบๆในตอนที่สู้กับไลท์นิ่ง ดังนั้นส่วนใหญ่มันจึงถูกทำลายไป แต่ชิ้นส่วนที่พังได้ถูกเย็บเข้าด้วยกันและซ่อมแซมด้วยด้ายของลิเลี่ยน
ตัวของสโนไวท์เบาลงอย่างกระทันหัน เมื่อเท็ตตี้มองไปที่เธอ เธอก็ยืนอยู่ด้วยแรงของตัวเอง
เธอมองขึ้นไปบนเพดานและพึมพำว่า “งั้นเหรอ ฉันได้ยินนะคะ”
“…ได้ยินอะไรน่ะ?” เมฟิสถาม
“เสียงของคุมิคุมิและลิเลี่ยน”
“เอ่อ พวกเราก็ได้ยินมันมาพักนึงแล้วนี่”
“คำพูดมันถูกต้อง ชัดเจนขึ้น และมีความหมายมากขึ้นนะ”
“เอ่อ… งั้นก็ …นี่หมายความว่าพวกเธอยังมีชีวิตอยู่เหรอ?” เท็ตตี้เอาใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ กดดันเพื่อหาคำตอบ
สโนไวท์ยิ้มออกมา แม้ว่าจะอ่อนแรงก็ตาม “พวกเธอกำลังพยายามช่วยพวกเราอยู่” เธอพูด
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า
แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ทางเข้า มันก็เต็มไปด้วยกลิ่นของความอันตรายอย่างรุนแรง แต่เมื่อเธอเข้าไปด้านใน มันก็มากยิ่งไปกว่านั้น —มันอันตรายมาก แค่การที่เดินผ่านพื้นที่สีเขียวมันก็ยากแล้ว และถึงแม้ว่ามันจะมีแค่ทางตรงเป็นเส้นเดียว มันก็ไม่แปลกเลยที่จะเจอเข้ากับภัยพิบัติที่นี่ เหมือนว่าสถานโบราณหรือวัตถุโบราณมีความต้องการบางอย่าง และมันก็เรียกหาเธอ แต่เธอบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร และแม้ว่าจะไม่เข้าใจ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองถูกมันพัดพาไป
เฟรเดริก้าผู้ใจเย็นพึมพำ : เธอรู้ว่ามันอันตราย ความจริงแล้ว เธอคงจะผิดหวังถ้าการเปิดใช้งานสถานโบราณมันปลอดภัย เธอจะไม่รู้สึกกังวลกับความอันตราย หากหัวใจของเธออ่อนแอเช่นนั้น แบบนั้นเธอก็ไม่คิดที่จะมาตั้งแต่แรก เธอเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายเพราะความกังวลหลากหลายรูปแบบ และเธอก็พยายามเบือนหน้าออกจากมัน
เฟรเดริก้าผู้กระตือรือร้นยิ้มออกมา : ทำไมเธอถึงต้องมองเรื่องรายละเอียดที่มันไร้สาระในจุดนี้ด้วยล่ะ? แทนที่จะคิดเรื่องอะไรเล็กๆน้อยๆ เธอก็ควรแค่ลงมือ ในชีวิตมันมีจังหวะเช่นนั้นหลายครั้ง แต่ในตอนนี้ มันคือช่วงเวลาที่เป็นแบบนั้นแน่ๆ
เฟรเดริก้าเอาภาพทั้งสองมาครุ่นคิด
เธอออกแบบร่างกายด้วยความระมัดระวังอย่างมาก เธอได้ประทับตรารับรองว่ามันมีความต้านทานมากเพียงพอและความทนทานในระดับที่พอใจ แต่เธอรู้สึกเป็นกังวลเรื่องภายใน แต่ความกังวลเช่นนั้น ความจริงแล้ว มันทำให้เฟรเดริก้ารู้สึกดีใจ นั่นหมายความว่ามันมีพลังมากพอที่จะทำให้เธอรู้สึกกังวล แม้ว่าจะเป็นร่างเกิดใหม่ก็ตาม
ในตอนนี้เธอกำลังเมินเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้อง —แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเหมือนกัน มันคงจะมีปัญหาหากอะไรบางอย่างทำให้เธอประมาท เธอจะรักษาความยืดหยุ่นที่บ่งบอกตัวตนของเมจิคัลเกิร์ลไพตี้ เฟรเดริก้าเอาไว้
นี่ร่างเกิดใหม่คนอื่น —อย่างเช่นกริมฮาร์ท— มีความสงสัยแบบนี้ไหม? นี่เมจิคัลเกิร์ลถูกออกแบบมาเพื่อให้หลุดพ้นจากความอ่อนแอทางจิตใจเช่นนั้นรึเปล่า? พัคพั๊คภูมิใจในเรื่องการปรับตัวเร็วอย่างยอดเยี่ยมของตัวเองก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่า เธอถูกบดด้วยอุปกรณ์ขนาดยักษ์ของปฐมจอมเวทที่สร้างขึ้นด้วยความพากเพียรไปอย่างง่ายๆ ดังนั้นมันคงสามารถทำการทะลวงเวทมนตร์ได้
มันช่างไร้สาระ แต่เรื่องแบบนั้นก็มีอยู่ทั่วโลก หากยอมแพ้เพราะเมจิคัลเกิร์ลนั้นไร้ซึ่งเหตุผล มันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เธอจะมาสะดุดเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องในตอนที่พยายามทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จไม่ได้
เธอเมินเสียงไป กลบมันด้วยการฮัมเพลงเปิดของอนิเมเมจิคัลเกิร์ล ด้วยร่างกายที่เบา การเหยียบลงไปที่มอสจึงไม่จมลงไป เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับว่ากำลังไถลตัว
หากเธอเคลื่อนไหวแบบนี้ แบบนั้นเธอก็สามารถตามทันได้อย่างรวดเร็ว —เธอคิดเช่นนั้น แต่เธอก็รีบหยุดตัวลง ที่ด้านล่างของทางเดิน มันมีด้ายบางอย่างที่ขึงเอาไว้ในจุดที่สามารถจับหน้าแข้งของเธอได้ เมื่อเธอเอาหน้าไปมองดูใกล้ๆ นี่ก็เหมือนว่าจะเป็นด้ายของลิเลี่ยน
คลาสสิคคัล ลิเลี่ยน?
เฟรเดริก้ารู้จักเมจิคัลเกิร์ลทุกคนของผู้คุ้มกันชั้นยอดที่ส่งเข้าไปในโรงเรียน ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ความชอบส่วนตัวของเธอเองก็เกี่ยวข้องด้วย ลิเลี่ยนเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่หาได้ยาก ความซับซ้อนในร่างมนุษย์และความรู้สึกเหนือกว่าในตอนที่แปลงร่างมีความสมดุลย์อันสมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าเส้นผมของเธอมันงดงาม หากเฟรเดริก้าจะขออะไรซักอย่าง มันก็คงจะเป็นอยากให้เธอดูแลเส้นผมของตัวเองในร่างมนุษย์ให้ดีกว่านี้ซักเล็กน้อย
หืมม
มันดูซุ่มซ่ามมากเกินไปที่จะเรียกว่าการโจมตี แต่มันก็หยุดเธอเอาไว้ได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าการเจอเรื่องนี้ในระหว่างทางมันคือปัญหา —เธอแค่งุนงงกับความแปลกประหลาดของสถานการณ์ และสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เฟรเดริก้าก้าวออกไปเหนือเส้นด้าย คอยระวังว่าจะมีหลุมกับดักหรือกับดักสัตว์ที่อาจจะอยู่ด้านหน้าในตอนที่เคลื่อนไหว และก็หยุดอย่างรวดเร็วอีกครั้งเพราะด้ายที่ขึงขึ้นมา
หืมม หืมม… น่าสนใจ
เรื่องนี้มันทั้งน่าสนใจและสร้างปัญหาในเวลาเดียวกัน
เฟรเดริก้าก้าวไปเหนือเส้นด้าย และจากนั้นเมื่อเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้ครู่หนึ่ง เธอก็เห็นเส้นด้ายอีกเส้นที่ถูกขึง
เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมันก็ดูเป็นเรื่องเด็กๆ ลิเลี่ยนสามารถสร้างกับดักที่ฉลาดกว่านี้ได้ แล้วทำไมเธอถึงสร้างกับดักขึงด้ายแบบง่ายๆ ที่มันเหมือนออกแบบมาให้เด็กสะดุดล้มกันล่ะ? เธอคิดไม่ออกว่าลิเลี่ยนต้องการอะไร
แต่เมื่อไม่สามารถอ่านความตั้งใจของใครซักคนได้ การที่ไม่อ่านมันเลยก็ดีกว่า เฟรเดริก้าเรียนรู้มันมาจากประสบการณ์
กระโดดออกไปอย่างเบาๆราวกับเป็นขนนก เธอบิดตัวกลางอากาศและวางสองเท้าเข้าหากำแพง วิ่งตรงออกไปราวกับว่ากำลังไถลตัว กับดักของลิเลี่ยนถูกวางเอาไว้เป็นระยะ และแน่นอนว่าเธอได้เมินมันไป ในตอนนี้คือเวลาที่ต้องลงมือมากกว่าที่จะต้องคิด
☆ สโนไวท์
เมื่อเธอก้าวออกไป มันก็จมลงไป เธอดึงมันขึ้นมา และก้าวไปข้างหน้า
มอสสั่นและส่งเสียงออกมา และเมื่อเธอยกเท้าขึ้น รอยเท้าก็กลับไปเหมือนก่อนที่จะถูกเหยียบในทันที ถ้าสถานโบราณพัคพั๊คยึดเอาไว้เหมือนกับที่นี่ บางทีเธออาจจะรู้สึกดีกว่าเพราะคิดว่าจะไม่มีใครที่ตามเธอมา แต่ถ้าเฟรเดริก้าเข้ามาในสถานโบราณ เธอก็จะมาตามเส้นทางที่มีเส้นเดียว ไม่ว่าจะมีรอยเท้าหรือไม่มันก็ไม่สำคัญ
สโนไวท์หันกลับไปมอง จากนั้นก็หันมาด้านหน้าอีกครั้งในทันที เธอไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรที่อยู่ภายนอกสถานโบราณ ภายในสถานโบราณ แม้ว่าจะเป็นสองคนที่อยู่ใกล้อย่างเมฟิสกับเท็ตตี้ มันก็ยากที่จะได้ยิน เสียงของคุมิคุมิ ลิเลี่ยน และส่วนใหญ่ของสถานโบราณล้วนผสมรวมกัน เธอแทบจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นหากไม่ได้รับฟังอย่างตั้งใจ แต่ยิ่งเธอรับฟังมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้น
แต่กระนั้น มันก็มีเสียงที่เธอต้องฟัง
“ฉันคิดว่า… ฉันได้ยิน… เสียงของเฟรเดริก้า” สโนไวท์พูด
“นี่มันเข้ามาแล้ว?” เมฟิสส่งเสียงออกมาอย่างแหบแห้ง
“บางทีนะ”
“แล้วคนด้านบนโอเครึเปล่า?”
“ฉันบอกไม่ได้”
หากพวกเธอไม่เป็นอะไร แบบนั้นเฟรเดริก้าก็ไม่ควรที่จะเข้ามาด้านในได้ เมฟิสเข้าใจเรื่องนั้นดี เธอถึงได้ทำหน้าบึ้งตึงเพราะแบบนั้น
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว” เธอพูด
“แน่นอน”
“เอ่อ… เธอเร็วเหรอคะ?” เท็ตตี้ถาม เสียงของเธอกำลังสั่น
“ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ห่างแค่ไหน…” เธอกระซิบ
เธอได้ยินเสียงภายในจิตใจของเฟรเดริก้า ในคราวนี้ มันไม่ใช่เธอ “คิด” ว่าได้ยิน เธอได้ยินมัน นั่นคือเฟรเดริก้า มันหายไปและเธอไม่สามารถได้ยินอีก แต่มันไม่มีวันที่เธอจะฟังผิด
“เธอเร็ว” สโนไวท์พูด
“ไม่นะ…” เท็ตตี้ส่งเสียงคราง
“และกำลังเข้ามาใกล้”
หากพวกเธอจะเผชิญหน้ากันที่ทางแคบนี้ สโนไวท์สงสัยพวกเธอจะสามารถชนะได้รึเปล่า
พวกเธอควรจะวางแนวป้องกันเฟรเดริก้าไว้ที่ทางเข้าสถานโบราณ คานะ คัลโคโระ และฮัลน่าอยู่ที่นั่น แต่กระนั้น พวกเธอก็ไม่สามารถหยุดเฟรเดริก้าได้ เมื่อคิดจากเรื่องความเร็วของเฟรเดริก้าแล้ว เธอก็ไม่ได้บาดเจ็บมากพอที่จะทำให้เคลื่อนไหวช้าลง ทุกสิ่งที่สโนไวท์ทำได้คือการภาวนาว่าอย่างน้อยเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ด้านหลังจะยังมีชีวิตอยู่
สโนไวท์กัดปลายลิ้น มันทำให้เธอได้สติคืนมาเล็กน้อย
พวกเธอต้องไปถึงที่หมายก่อนหน้าเฟรเดริก้า แต่เมื่อคิดถึงความเร็วของเฟรเดริก้าแล้ว เฟรเดริก้าก็จะตามพวกเธอทัน การสู้กลับคงยาก และการเคลื่อนไหวแบบรวดเร็วยิ่งกว่าเฟรเดริก้าเองก็ยาก
ภาพของสโนไวท์สีดำที่ทำการต่อสู้กับไลท์นิ่งลอยขึ้นมาในใจของเธอ อาจารย์ใหญ่บอกว่าในตอนนี้สโนไวท์ควรที่จะแข็งแกร่ง เธอแข็งแกร่งและรวดเร็ว หรือเธอควรจะเป็นแบบนั้น แต่ในตอนนี้เธอกำลังฉุดรั้งคนอื่นและเป็นภาระแก่เท็ตตี้และเมฟิส
สโนไวท์เป็นภาระคนอื่นมาโดยตลอด เมจิคัลเกิร์ลทุกคนที่พยายามปกป้องเธอก็ตายจากไป หรือไม่ก็พบกับโชคชะตาอันแสนโหดร้ายซึ่งย่ำแย่เหมือนกับความตาย เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากลังเล จนสุดท้ายแล้วเธอก็ทำอะไรไม่ได้ เธอพูดเรื่องที่ฟังดูดีออกมามากมาย แต่เธอก็รอให้ใครบางคนเข้ามาช่วยอยู่ตลอด
ไม่!
สโนไวท์กัดริมฝีปาก รสชาติของเลือดมันทำให้เธอได้สติคืนมา
☆ 0 ลูลู
ลูลูควรที่จะมองหาสโนไวท์ แต่คนที่เธอพบเป็นคนแรกคือปรินเซสไลท์นิ่งจำนวนหนึ่ง ไลท์นิ่งอยู่กันเป็นกลุ่ม แน่นอนว่าพวกเธอคงรู้ตัว และก็ยังมีท่าทีประหลาด ไลท์นิ่งที่ควรจะทำอะไรบางอย่างภายใต้คำสั่งของอาจารย์ ได้สุมหัวกันและเหมือนว่ากำลังคุยอะไรบางอย่าง
ลูลูไม่สามารถส่งเสียงเรียกได้ และในตอนที่ลังเลอยู่นั้น อีกฝ่ายก็หายไปแล้ว
“นั่น… อะไรคะ?” มิส ริลถาม
“ฉันไม่แน่ใจนะ” คือสิ่งที่มากที่สุดเท่าที่ลูลูพูดได้ เธอไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันน่าหัวเราะ แต่เธอก็หัวเราะไม่ออก
เธอได้ตรวจสอบข้อมูลมา นี่ไลท์นิ่งกำลังเคลื่อนไหวด้วยตัวเองเหรอ? โอลด์ บลูอาจจะอยู่ในจุดที่ไม่สามารถสั่งการได้ หรืออาจจะ —คงจะเป็นแบบนั้น หากยังสามารถทำอะไรได้ตามปกติ แบบนั้นไลท์นิ่งก็จะไม่จับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนานแบบนี้
โอลด์ บลูทั้งแข็งแกร่งและหนังเหนียว —และยิ่งไปกว่านั้นคือการเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ช่างสังเกตุ เธอจะไม่พาคนไปมากกว่าที่ตัวเองสามารถสั่งการได้ และโอลด์ บลูจะไม่ใช้เมจิคัลเกิร์ลประเภทที่จะตื่นตระหนกเมื่อต้องอยู่ใต้การสั่งการเวลาลงสนามจริง อีกแง่หนึ่ง การที่พวกขี้เกียจยืนจับกลุ่มคุยกันและไม่ทำหน้าที่ของตัวเองมันมีอะไรผิดปกติ
บาดเจ็บ หรือบางที… ไม่นะ…
แบบนี้แย่แล้ว กลุ่มของไลท์นิ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างสับสน แถมการที่โอลด์ บลูไม่ได้อยู่ที่นี่คือภัยพิบัติของแท้ แน่นอนว่ามันแย่สำหรับทีม และมันยังคงแย่สำหรับลูลูเป็นการส่วนตัวด้วย
การบอกว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งของ “แคนดิเดทลาซูไลน์ผู้ยอดเยี่ยม” มันได้ผลเพราะว่าเธอต้องรับมือกับไลท์นิ่ง หากศัตรูของโอลด์ บลูคือฝ่ายที่ได้เปรียบ แบบนั้นมันก็จะไม่ได้ผลอีกต่อไป
หรือว่า… อาจารย์ถูกจัดการไปแล้ว?
มันดูไม่เหมือนว่าเธอจะตาย —หรือลูลูไม่สามารถจินตนาการภาพการตายของเธอได้ การหนีอาจจะเป็นไปได้ หลังจากที่กลุ่มของเธอหลบหนี โอลด์ บลูคงจะป้องกันด้านหลังเอาไว้ทันที เธอจะปล่อยลูกน้องที่เชื่องช้าคนที่ตามไม่ทันทิ้งเอาไว้ แม้โดยปกติแล้วโอลด์ บลูจะเป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ เธอก็จะไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวข้อง
แบบนั้นมันก็มีเหตุผลว่าทำไมไลท์นิ่งถึงสับสน เมื่อไม่มีคนสั่งการ ไม่มีทางหนี การที่พวกเธอต่างคุยกันว่า “พวกเราจะทำยังไงดี พวกเราจะทำยังไงดี?” ก็ไม่ได้นำพาความคิดอะไรดีๆขึ้นมา เมื่อทุกคนที่เป็นคนๆเดียวกันได้พูดคุยกัน มันก็จะไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาที่ยอดเยี่ยมโผล่ออกมา
นี่เธอควรจะทำยังไงดี? ลูลูลังเล แต่เธอก็ยังคงไม่พบตัวสโนไวท์ แบบนี้มันหมายความว่าเธอผิดสัญญาที่ให้เอาไว้กับริปเปิล ลูลูส่งเสียงคราง เธอเดาะลิ้นอย่างรุนแรงเหมือนกับริปเปิลพร้อมสบถออกมาสั้นๆ
อะไรบางอย่างมันแปลก มันยากที่จะจินตนาการว่าอาจารย์ของพวกเธอเสียชีวิต การที่เธอหนีไปดูเหมือนจะมีเหตุผลมากกว่าในแวบแรก แต่สุดท้ายมันก็ยังคงแปลกอยู่ดี ถ้าเป็นเรื่องง่ายๆอย่างการที่ตาย หรือว่าหนีไป แบบนั้นก็หมายความว่าศัตรูกำลังได้เปรียบ หากศัตรูกำลังได้เปรียบ ลูลูก็ควรจะเห็นใครซักคน แต่ในจุดนี้ ลูลูไม่เห็นเมจิคัลเกิร์ลสวมหน้ากากเลยแม้แต่คนเดียว
นี่ทุกคนหนีไปหลังจากที่รู้ว่าอีกไม่นานบาเรียก็จะคลาย? มันเป็นแบบนั้นรึเปล่า? และไลท์นิ่งบางคนก็ถูกทิ้งเอาไว้?
ในหมู่คนที่ทอดทิ้งไลท์นิ่งก็มีลูลูอยู่ด้วย กรณีที่แย่ที่สุด เธอจะให้มิส ริลปกป้องเธอเผื่อเอาไว้ได้รึเปล่า? เธอไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันมีเป้าหมายยังไง แต่อย่างน้อยที่สุด ลูลูต้องรู้ให้ได้ว่าสโนไวท์ปลอดภัยรึเปล่า ไม่งั้นภารกิจของเธอก็จะไม่เสร็จสิ้น
เธอรู้สึกว่าเธอมีหน้าที่ของตัวเองที่ไม่อยากยัดเยียดให้มิส ริล แต่หน้าที่ที่เธอไม่ได้รู้สึกอยากนี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ที่เธอต้องทำ เธอต้องรับผิดชอบจนถึงท้ายที่สุด ลูลูดึงเอาบอลที่อยู่ภายในกระเป๋าออกมา
“มิส ริล รับนี่ไป” เธอโยนบอลสีน้ำตาลแดงไปให้มิส ริล
“นี่คืออะไรคะ?”
“โกลด์สโตน มันจะแสดงเส้นทางที่ไปยังเป้าหมายออกมา… หรือมันควรจะเป็นแบบนั้น ใช้เจ้านี่เพื่อหาเพื่อนร่วมห้องของเธอกัน”
ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ของมิส ริลดูสดใสขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าบางทีมันอาจจะเป็นจินตนาการของลูลูเอง ตัวของมิส ริลกลายเป็นโกลด์สโตนในชั่วพริบตา และลูลูก็ใช้เวทมนตร์ของตัวเองกับเธอ นี่มันควรจะสร้างผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมที่ไม่สามารถหาได้จากหินก้อนเล็กๆราคาถูกออกมาได้
“เอาล่ะ ทางนี้”
พวกเธอวิ่งออกไปแบบส่งเดช และที่ปลายทางนั้น มันก็มีบาเรียรออยู่ ริปเปิลกำลังนอนหงายอยู่บนหลังคาของโรงยิม
“นี่… ใครคะเนี่ย?” มิส ริลถาม
“เฮ้! นี่เธอมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?!” ลูลูร้องออกมา
เธอเข้าไปหาริปเปิล มองลงไปที่เธอ และก็มีเสียงครางหลุดออกมา ริปเปิลมีสภาพที่แย่มาก ขาสองข้างมีรูปร่างประหลาด แถมยังบิดอยู่ในองศาที่เป็นไปไม่ได้ และมันก็ยังมีมากกว่านั้นอีก เธอถูกทรมาณจบเกือบจะถึงแก่ความตาย และถูกปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนั้น
ลูลูโกรธมาก เธอสงสัยว่าใครกันที่เป็นคนทำเรื่องแบบนี้ และยังรู้สึกช็อคที่ริปเปิลอยู่ในสภาพที่แย่ขนาดนี้ด้วย ลูลูยังคงรู้สึกกลัวว่า ใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้อาจจะยังคงอยู่ในพื้นที่ —แต่ถึงหัวใจของเธอจะรู้สึกสับสนเพราะความรู้สึกทั้งหมดนี้ ลูลูในฐานะแคนดิเดทลาซูไลน์ก็เลือกที่จะเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมที่สุด
ลูลูเลือกรายชื่ออัญมณีทางจิตใจที่ตัวเองควรจะใช้อย่างรวดเร็ว มิส ริลจะตอบสนองกับเหล็กและเปลี่ยนร่าง มันต้องเป็นอะไรบางอย่างที่มีความหมายในฐานะหิน และต้องมีเหล็กรวมอยู่ด้วย หรือว่าตัวของมันเป็นเหล็ก
“นี่ มิส ริล รับนี่ไป มาลาไคต์” ลูลูพูด
“เข้าใจแล้วค่ะ”
มันคือหินที่งดงาม มีสีเขียวเข้มพร้อมกับลวดลาย มันมีพลังในการขับไล่ปีศาจและรักษา ลูลูคุกเข่าลงไปและนั่งลงข้างตัวริปเปิล ริปเปิลไม่ได้ขอบคุณเธอ —ริปเปิลไม่ได้แม้แต่จะขยับ เธอกำลังเซื่องซึม
โดยปกติแล้วมาลาไคต์จะทำการรักษาอย่างช้าๆ มันไม่ได้แตกต่างอะไรจากการปฐมพยาบาล แต่ด้วยขนาดของมิส ริลแล้ว ผลลัพธ์ของมันจะแสดงออกมามากกว่ายาเวทมนตร์หรือหินเวทมนตร์ ร่างกายของริปเปิลถูกรักษาด้วยความรวดเร็วในระดับที่ลูลูยังรู้สึกช็อค และเธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
นั่นคือตอนที่เธอตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ท่าทางของริปเปิลดูประหลาด
ภาพบนใบหน้ามันไม่ใช่ริปเปิลที่เธอรู้จัก เมื่อเธอสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง หรือบาดเจ็บสาหัส ริปเปิลก็จะไม่กลัวหรือหนีไป ริปเปิลโกรธอยู่ตลอดเวลา เธอเผาพลาญหัวใจตัวเองเป็นเชื้อเพลิง และยื่งศัตรูแข็งแกร่งมากแค่ไหน ท่าทางของเธอก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นในตอนที่เผชิญหน้า แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ในตอนนี้ริปเปิลก็แค่มองขึ้นไปบนฟ้าอย่างว่างเปล่า แม้ลูลูจะโผล่หน้าออกมา ดวงตาของริปเปิลก็ขยับแค่เล็กน้อย มันแทบจะไม่มีการตอบสนองอะไรเลย
มันไม่ใช่แค่ร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น มันดูเหมือนว่าจิตใจของเธอเองก็มีบาดแผลด้วย
“นี่ มีอะไรรึเปล่า?” ลูลูถาม
มันไม่มีการตอบกลับ
“มีอะไรรึไง?!”
ตะโกนออกไปก็เหมือนเดิม ริปเปิลยังคงไม่ตอบกลับมา
“ทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย มาเหม่อในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ?! เธอยังไม่ได้เจอสโนไวท์เลยไม่ใช่รึไง!”
ริปเปิลพยายามลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ส่งเสียงครางออกมา และลูลูก็รีบเข้าไปช่วยพยุงเอาไว้
“หืม มีแรงแล้วรึไง? แล้วนี่ ใครมันทำแบบนี้กับเธอเนี่ย?”
“เฟรเดริก้า…” ริปเปิลพึมพำ —กับตัวเอง ไม่ใช่ลูลู
“เอาจริงดิ? ไพตี้ เฟรเดริก้า? อยู่ทีนี่? หืมม ใช่… พวกเราต้องให้มันชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป”
“ไม่…”
“พูดบ้าอะไรเนี่ย! นี่เธอยังเป็นริปเปิลอยู่รึเปล่า?!”
ไม่มีการตอบสนอง มิส ริล คนที่ส่องประกายออกมาอย่างรุนแรงจนดูน่าตลก มองดูพวกเธอด้วยความกังวล แต่เธอก็ไม่ได้เข้ามาแทรก ในงานที่ต้องพบกับคนมากมายที่จะยื่นหน้าเข้ามาโดยไม่รู้ถึงสถานการณ์ ลูลูรู้สึกยินดีกับท่าทีเช่นนี้ แต่นั่นมันก็หมายถึง ลูลูต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของเธอเอง
“ยอมแพ้เพราะโดนเฟรเดริก้าเล่นซะเละเนี่ยนะ?”
“ไม่… ไม่ใช่เรื่องนั้น”
“แล้วมันมีปัญหายังไง?”
“เธอ… ชั้น… สโนไวท์”
“อะไร?”
“ชั้นไม่เข้าใจ…”
“เข้าใจอะไร…?”
“…เรื่องอะไร …เกี่ยวกับสโนไวท์”
“อ่า…”
“มันไม่มีอะไรเลย… แต่… โธ่เว้ย มัน—”
ลูลูเค้นหมัดขวาและต่อยเข้าไปที่จมูกของริปเปิล มิส ริลรีบตัดเข้ามาระหว่างพวกเธอ ริปเปิลนั่งตัวตรง กดเลือดที่ไหลออกมาจากจมูก และคว้าคอเสื้อของลูลูเอาไว้
“ทำอะไร?!”
“ก็ไม่เห็นเธอจะสนใจอะไรแล้วนี่ ดังนั้นฉันก็เลยต่อยเข้าซักทีไงล่ะ! ถ้ามีปัญหาล่ะก็ต่อยฉันสิ! ต่อยเข้ามาเลย!”
นิ้วที่จับคอเสื้อเอาไว้อ่อนแรงลง และแขนของริปเปิลก็ห้อยลงมาด้านล่าง จมูกที่เธอต่อยจนเลือดไหลออกมาถูกรักษาในทันที มันเป็นจังหวะที่น่าตลกจนรู้สึกประทับใจที่เกิดขึ้นหลังจากใช้มาลาไคต์ก้อนใหญ่ แต่มันก็ไม่มีอะไรให้น่าหัวเราะ
ลูลูเอานิ้วควานหาในกระเป๋าใบเล็กที่ห้อยอยู่ข้างตัว นี่เธอควรจะทำยังไงต่อไปนะ? เมื่อรักษาแผลทางกายแล้ว เธอควรจะรักษาแผลทางใจรึเปล่า? มันมีอะไรที่จะฟื้นจิตวิญญาณในการต่อสู้รึเปล่า?
จิตวิญญาณในการต่อสู้ที่กลับมา จากนั้นเธอก็จะกลับเป็นริปเปิลตามปกติ เดี๋ยวสิ เธอคิด จิตใจของเธอหยุดคิด ไม่ใช่ว่าเธอควรจะเอาริปเปิลที่หมดสภาพออกไปจากโรงเรียนเหรอ? เธอมีความรู้สึกว่ามันจะทำให้เรื่องต่างๆเป็นไปได้ด้วยดี
“ไม่!” เธอตะโกนออกมา ริปเปิลและมิส ริลต่างก็มองมาที่เธอ
การหยุดเอาตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะ? การที่ลูลูอยู่ที่นี่ในตอนนี้ได้มันเป็นเพราะว่าเธอทำลายการหยุดของตัวเองทิ้ง หากเธออยู่ที่นี่แล้วจะรู้สึกเสียใจมันก็ไม่เป็นอะไร แต่เธอจะทำให้การที่ตัวเองอยู่ที่นี่ไม่มีความหมายไม่ได้
ลูลูเอาใบหน้าเข้าไปใกล้ริปเปิล ริปเปิลพยายามหันออกไปด้านข้าง แต่ลูลูจับใบหน้าของริปเปิลเอาไว้ด้วยสองมือและหันตรงเข้ามาหาตัวเอง
“นี่ เธอรู้จักอาจารย์ของฉันรึเปล่า?” ลูลูถาม
“อะไร?”
“รู้จักใช่ไหม?”
“…อือ”
“อาจารย์เข้าใจฉัน บางทีอาจจะมากกว่าที่ฉันรู้จักตัวเองด้วยซ้ำ และไม่ใช่แค่ฉัน —อาจารย์เข้าใจเธอ เข้าใจลูกศิษย์คนอื่นๆ และไลท์นิ่งที่นอนอยู่เป็นกองที่นี่ อาจารย์รู้จักเธอดีจนน่าตกใจ เพราะเวทมนตร์ของอาจารย์เป็นแบบนั้น แค่มองดูเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจ”
ลูลูหันหน้าออกไปจากริปเปิล สูดลมหายใจเข้าและก็มองลงมา ริปเปิลกำลังมองกลับมาที่ลูลู เมจิคัลเกิร์ลนินจากำลังมึนงง แต่ที่ใบหน้ายังคงไร้ซึ่งท่าทางใดๆ
“แล้วมันยังไงล่ะ?” ลูลูพูดออกมาด้วยท่าทางโกรธที่ยังคงเห็นได้ชัด
“นี่เธอ… พูดเรื่องอะไร?”
“อาจารย์บอกว่าตัวเองเข้าใจผู้คน แล้วเรื่องนั้นมันทำให้คนอื่นมีความสุขยังไงล่ะ? แค่เข้าใจผู้คนเลยสามารถใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายได้ ไม่ได้มีความปรารถนาที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขด้วยซ้ำ นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมไลท์นิ่งถึงนอนกองกันอยู่ที่นี่ นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ถึงใช้งานหน้าใหม่พวกนั้น ฉันน่ะต้องดิ้นรนอยู่ที่นี่ทั้งวัน แล้วตอนนี้มันก็ดูเหมือนว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับอาจารย์ มันก็เหมือนกับว่า แล้วอาจารย์เข้าใจอะไรของฉันล่ะ? แค่เพราะอาจารย์สามารถเข้าใจได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าดี นี่ดันมาหมดรูปเพราะโดนไอ้พวกบ้าอย่างเฟรเดริก้าอัดเข้า แล้วก็โดนพูดเรื่องไร้สาระให้ฟังเนี่ย —ทำไมเธอถึงไม่ได้เรื่องขนาดนี้นะ? ริปเปิล ฉันคิดว่าเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่เท่กว่านี้ซะอีก”
ลูลูปล่อยหมัดออกไป เธอคิดว่าจะต่อยไปที่จมูกนั่นอีกซักครั้ง แต่เธอก็หยุดลง ใบหน้าของริปเปิลถูกบังเอาไว้ด้วยแขนของลูลูและแขนของริปเปิล จนลูลูมองไม่เห็นท่าทางของริปเปิล
ริปเปิลยืนขึ้น บาดแผลของเธอถูกรักษาแล้ว เธอกำลังกัดฟัน คิ้วชี้ลงไปด้านล่าง ใช้ทุกส่วนบนใบหน้าเพื่อระบายความโกรธออกมา นี่คือท่าทางที่ลูลูรู้จักดี
ลูลูลุกขึ้นยืน “…พวกเราจะไปกันรึยัง?” เธอถามริปเปิล
ริปเปิลพยักหน้าพร้อมกับท่าทางที่น่ากลัวที่ยังคงอยู่บนใบหน้า ก้มศีรษะของตัวเองลงและพึมพำอย่างแหบแห้ง “ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณฉันเรื่องอะไรเนี่ย?” ลูลูพึมพำด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่า เธอสับสนอย่างเห็นได้ชัด
มิส ริลพยักหน้าตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง มิส ริลดูมีความสุขที่สุดในหมู่ของพวกเธอ
MANGA DISCUSSION