ตอนที่ 8:
เมจิคัล ดันเจี้ยน บัสเตอร์
☆ แซลลี่ ราเว็น
ความมืดค่อยๆหายไป งูแห่งความมืดที่เคยพันรอบตัวแซลลี่ซึ่งได้คอยปกป้องเธอเอาไว้ ได้คลายตัวออกไป แซลลี่หันไปหาดาร์คคิวตี้เป็นอย่างแรก เมื่อแซลลี่พบว่าดาร์คคิวตี้ทรุดเข่าลง แซลลี่ก็พยายามวิ่งเข้าไปหา แต่เท้าของก็ไม่ขยับ เมื่อแซลลี่พยายามถามดาร์คคิวตี้ว่าโอเครึเปล่า แต่มันก็มีเพียงเลือดที่ออกมาจากปากของตัวเอง
ดาร์คคิวตี้ห้ามเธอเอาไว้ “อย่าฝืนตัวเอง เธอบาดเจ็บหนัก” ดาร์คคิวตี้พูด เสียงมันค่อนข้างเบาแต่ก็ยังคงสามารถได้ยินได้
แซลลี่ทรุดตัวลงตรงจุดนั้น เธอไม่สามารถยืนขึ้นมาได้ ไหล่ของเธอขยับขึ้นลงพร้อมกับลมหายใจที่ติดขัด แต่เธอก็สามารถหันศีรษะเพื่อมองไปรอบบริเวณได้
พื้นดินถูกขุดขึ้นมา อาคารพังทลาย และปรินเซสไลท์นิ่งจำนวนมากมายก็นอนอยู่ที่นั่น แซลลี่ไม่เคยเข้าใจจนถึงท้ายที่สุดว่าทำไมถึงมีไลท์นิ่งอยู่จำนวนมากขนาดนี้ ทำไมไลท์นิ่งถึงโจมตีแซลลี่และดาร์คคิวตี้ ไลท์นิ่งคือเมจิคัลเกิร์ลที่ทำความเข้าใจได้ยากอยู่เสมอ ตั้งแต่ที่เธอเป็นหัวหน้าของกลุ่มสาม แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเมื่อไลท์นิ่งโจมตีสมาชิกกลุ่มของตัวเองโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก
แซลลี่พยายามที่จะพูดกับไลท์นิ่ง แต่คำพูดมันก็ไม่ออกมา
ดาร์คคิวตี้ส่ายหน้า เธอคงสัมผัสได้ว่าแซลลี่กำลังคิดอะไร “ต้องขอบคุณสองคนตรงนั้น”
แซลลี่หันไปยังจุดที่ดาร์คคิวตี้มองไป
อีกาของแซลลี่ยังคงส่องสว่างแม้ว่าจะมีเพียงปีกเดียวและจงอยหายไป คนที่มองกลับมาที่แซลลี่คือเมจิคัลเกิร์ลสวมหน้ากากคิวตี้แพนด้าที่หักครึ่งและห้อยลงมาจากใบหน้า
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” เธอพูด “ฉันแค่ป้องกันตัวเอง”
“ผู้คนพูดกันว่า ศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน”
“ล้อฉันเล่นรึไง… ดาร์คคิวตี้?”
“นี่เธอรู้ด้วยว่าชั้นเป็นใคร?”
“แหงสิ เธอออกจะดัง”
เมจิคัลเกิร์ลสวมหน้ากากลุกขึ้น เธอขยับหางที่ดูเหมือนลิงอย่างช้าๆ เขี้ยวที่ยื่นออกมาจากริมฝีปากที่แยกออกจากกันมันดูเหมือนกับสัตว์ร้าย แซลลี่พยายามส่งเสียงบอกให้ดาร์คคิวตี้ระวัง แต่เสียงมันก็ไม่ออกมา จากนั้นเธอก็ไอออกมา
“ฉันจะฆ่าแก”
ในจังหวะที่เมจิคัลเกิร์ลสวมหน้ากากพยายามกระโดดเข้าหา มันก็มีลมที่พัดเข้ามา อีกฝ่ายหายตัวไป แซลลี่มองไปที่ดาร์คคิวตี้ คิดว่าจะปกป้องเธอ แต่ดาร์คคิวตี้ก็มองขึ้นไปบนฟ้า
เมจิคัลเกิร์ลในชุดเดรสสีแดงกำลังบินอยู่ในอากาศด้วยการขี่ไม้กวาด เธอจับตัวของเมจิคัลเกิร์ลสวมหน้ากากไว้ใต้แขนข้างหนึ่งและพูดอะไรบางอย่างกับอีกฝ่าย จากนั้นก็บินออกไปเหมือนกับสายลมเหมือนกับตอนที่เข้ามา
แซลลี่กำลังจะพูดอะไรอย่าง “นั่นมันอะไรล่ะนั่น?” จากนั้นก็มองตรงไปที่ดาร์คคิวตี้ ตัวของเมจิคัลเกิร์ลหายไปพร้อมกับทิ้งรอยเลือดเล็กๆเอาไว้
แซลลี่ไม่รู้จริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่เธอก็ดีใจ เธอสามารถต่อสู้ด้วยกันกับดาร์คคิวตี้ได้ แต่เธอเองก็เสียใจเช่นกันที่สุดท้ายแล้วตัวของเธอลงเอยด้วยการเป็นคนที่ถูกปกป้อง เธอเข้าใจว่าไม่ใช่แค่ดาร์คคิวตี้ แต่ไซคีเองก็บาดเจ็บหนัก —และกระทั่งถูกปกป้องด้วยศัตรูที่ใช้หน้ากากคิวตี้ฮีลเลอร์ทำอะไรผิดๆ
เธอยังคงรู้สึกมีความสุข เธอด่าตัวเองว่า อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ จากนั้นก็ให้กำลังใจตัวเอง เธอยังไหวนะ เพื่อนร่วมห้องอาจจะต่อสู้อยู่ พวกเธออาจจะรู้สึกกังวล คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับแซลลี่ ดังนั้นแซลลี่ต้องไปหาพวกเธอ
แซลลี่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าด้วยการตัดสินใจนั้น หัวใจของเธอบอกให้ไป แต่เท้าของเธอกลับไม่ขยับ ส่วนอีกาก็ส่งเสียงร้องออกมา
☆ ฮัลน่า มิดิ เมเร็น
สโนไวท์ยืนอยู่ด้านหน้า จากนั้นก็เมฟิส ตามด้วยเท็ตตี้ ฮัลน่าที่มองดูเมจิคัลเกิร์ลสามคนหายวับไปในความมืดได้ลืมเรื่องสถานการณ์ทั้งหมดของตัวเองและโอนอ่อนไปตามความรู้สึก จากนั้นเมื่อนึกขึ้นได้ เธอก็ใช้เท้าเหยียบเข้าไปที่หินในทันที
เธอใช้การผสานกับสโนไวท์ การผสานเมจิคัลเกิร์ลและโฮมุนครูสไม่ใช่เรื่องยาก พลังงานที่ได้มาจากสถานโบราณถูกตัดออกไป แต่ด้วยการช่วยเหลือมากมายจากคัลโคโระและคานะ มันจึงไม่มีปัญหา
นั่นคือการที่สโนไวท์สามารถได้ร่างกายของโฮมุนครูสมา ด้วยความต้านทานเวทมนตร์อันมหาศาลและความสามารถทางกายภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เธอจึงสามารถเข้าไปในสถานโบราณได้ เธอไม่สามารถกลับไปเป็นร่างเดิมของตัวเองได้ อายุขัยของเธอเองก็จะลดลงอย่างมาก —แต่นั่นคือปัญหาเล็กน้อย
นั่นคือสิ่งที่ฮัลน่าต้องการมาตั้งแต่แรก อีกอย่าง เธอได้ทำการผสานผสานเมจิคัลเกิร์ลสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวตามคำสั่งของเจ้าตัว แค่มองดูมันก็บอกได้ง่ายว่าใครคือคนที่ถูกคุมอยู่กันแน่
การใช้สโนไวท์ตัวจริงแทนที่จะเป็นบุคลิกประดิษฐ์ได้เปลี่ยนภาพการผสานไปเช่นกัน ภาพที่เหมือนกับสโนไวท์ เช่นเดียวกับเมฟิสและเท็ตตี้ เธอสามารถใช้เวทมนตร์ของตัวเองได้ สำหรับคนที่ไม่รู้ มันก็บอกไม่ได้ว่าร่างกายของสโนไวท์คือโฮมุนครูส
แต่ ณ ตอนนี้ผู้นำมันไม่ใช่ฮัลน่า เรื่องนี้มันทำลายทุกอย่าง เธอเองก็ไม่ถูกอนุญาตให้ใช้การควบคุมจิตใจ มันน่ารำคาญก็จริง แต่ว่าเธอก็ต้องทำตาม
เธอมองไปยังเมจิคัลเกิร์ลสวมชุดเครื่องแบบที่ถูกย้อมด้วยเลือดจากมุมสายตา มันช่างเป็นเครื่องแบบที่ดูไร้สาระ เธอไม่อยากรู้ว่านี่คือร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์ด้วยซ้ำ แต่เธอก็ถูกบังคับให้ต้องรู้ เธอนั่งอยู่บนพื้นหิน เอานิ้วมือแตะที่ขมับราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง เธอไม่ใช่แค่ทำการคิด เธอบอกว่าตัวเองใช้เวทมนตร์เพื่อรวบรวมข้อมูล
ฮัลน่าได้ยินว่ารัทสึมุคานะ-โฮโนเมะ-โนะ-คามิ ร่างเกิดใหม่ของฝ่ายแคสปาร์ เชี่ยวชาญในการรวบรวมข้อมูล ว่ากันว่าเธอเต็มไปด้วความรู้จนถึงสุดขอบโลกในขณะที่นั่งอยู่บนบัลลังค์ในปราสาทตัวเอง และยังรู้ด้วยว่าในตอนนี้ปฐมจอมเวทอยู่ที่ไหน
ฮัลน่าปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงดินแดนเวทมนตร์ เธออยากทำการปฎิวัติระบบเมจิคัลเกิร์ล เธออยากทำให้เหตุการณ์อันน่าเศร้าอย่างนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่จะไม่มีวันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง และเธอก็ได้ทำเรื่องนั้นจนถึงท้ายที่สุด มันไม่ใช่เรื่องที่งดงามเลย เธอได้ทำเรื่องสกปรกที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้มากมาย
แต่เธอก็ยังคงเป็นจอมเวทที่ทำงานอยู่ในระบบ ไม่เหมือนกับหัวขโมยที่บุกเข้ามาหาพวกเธอในตอนนี้ เธอไม่อยากทำลายดินแดนเวทมนตร์ เธอเคารพทั้งปฐมจอมเวทและสามปราชญ์ ปฐมจอมเวทนั่นคือพระเจ้า และสามปราชญ์ก็คือลูกศิษย์ที่ได้รับการสั่งสอนมาโดยตรง ตัวตนของพวกเธอก็เทียบเท่ากับพระเจ้า หากพวกเธอเป็นเพียงผู้บุกเบิกที่โดดเด่นหรือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แบบนั้นก็สามารถเตะทิ้งออกไปได้มากเท่าที่อยากจะทำ แต่ในกรณีของพระเจ้ามันไม่ใช่แบบนั้น ฮัลน่าไม่เคยปรารถนาที่จะทำลายตัวระบบจากรากเหง้าเลย
บางทีมันก็อาจจะดีกว่านี้ถ้าเธอถือว่าเรื่องที่คานะพูดออกมาคือเรื่องโกหก แต่มันก็มีเหตุผลมากกว่าหนึ่งข้อที่ทำให้เรื่องนั้นมันสมเหตุสมผล ฮัลน่าคิดถึงมันแบบซ้ำๆ เธอลังเล และเพราะว่าเธอไม่สามารถลงมือได้ในทันที เธอจึงล้มเหลวในการที่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการมา ในตอนนี้เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ มันก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากต้องปฎิบัติกับคานะราวกับว่าเป็นร่างเกิดใหม่ของฝ่ายแคสปาร์ ฮัลน่าต้องมีท่าทีที่เคารพนับถือและน้อบรับคำสั่งของคานะ และในตอนนี้ฮัลน่าก็ถูกใช้งานเป็นลูกน้องของเธอ
เธอมองไปในอีกทาง คัลโคโระกำลังนั่งคุกเข่าและดีดลูกคิด
การที่คัลโคโระขาดซึ่งความสำนึกในบุญคุณมันทำให้ฮัลน่าอยากที่จะระเบิดความโกรธเข้าใส่ เนื่องจากว่าเธอเข้าไปยุ่งกับร่างเกิดใหม่ของแคสปาร์ไม่ได้ ความโกรธทุกอย่างของฮัลน่าจึงเบนเข้าหาคัลโคโระ คนที่หยุดสนใจว่าฮัลน่าคือหัวหน้าของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว พอใครบางคนที่มีความสำคัญปรากฏขึ้นมาแม้จะเพียงไม่นาน คัลโคโระก็เข้าไปเกาะพร้อมกับกระดิกหาง เธอเป็นทั้งหนูและสุนัข มันไม่มีอะไรน่าหงุดหงิดไปมากยิ่งกว่านี้เลย
แต่ฮัลน่าก็ไม่สามารถระบายความโกรธของตัวเองออกมาใส่คัลโคโระได้ในตอนนี้ ไม่ใช่แค่เธอไม่อยากทำในตอนที่คานะกำลังมองดูอยู่ แต่ในตอนนี้คัลโคโระคือบุคคลที่จำเป็น ไม่ว่าเธอจะล้างแค้นแบบไหนในภายหลัง แต่ในการที่จะทำให้มีภายหลังเกิดขึ้นมาได้ ในตอนนี้พวกเธอต้องร่วมมือกัน —โดยไม่ว่าเธอจะเป็นคนที่น่าหงุดหงิดแค่ไหนก็ตาม
ไม่ใช่ว่าฮัลน่าไม่มีโอกาสเหลืออยู่ มันยังคงมีความหวังที่จะพลิกสถานการณ์นี้ได้ หากหัวขโมยปรากฏตัวขึ้น แน่นอนว่าพื้นที่ตรงบริเวณทางเข้าจะเป็นไปด้วยความวุ่นวาย หากเธอใช้เวทมนตร์ที่มีผลในวงกว้าง อย่างเช่นหมอกกรดหรือพายุไฟ บางครั้งมันจะโดนเข้าที่พวกเดียวกันด้วยเช่นกัน เธอจะปรับระยะอย่างชำนาญเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายทางเข้า ฮัลน่ามีความสามารถในเรื่องนั้น
☆ คานะ
ฮัลน่าร่ายคาถา และคัลโคโระก็ทำการช่วยเธอ ในขณะที่มองดูพวกเธอ คานะก็ยังคงถามคำถามอยู่ในหัวและจัดการให้ได้ข้อมูลมาจำนวนหนึ่ง
คานะได้จัดการเพื่อให้เข้าใจว่าเฟรเดริก้าพยายามจะทำอะไร
เธอพยายามเตะระบบสามปราชญ์ในปัจจุบันออกไปและเอาตัวเองเข้าไปแทนที่ในพื้นที่เปิดโล่ง
ระบบปราชญ์ใช้พลังเวทมนตร์จำนวนมหาศาลเมื่อทำให้วิญญาณเข้าไปในร่างเกิดใหม่คนใหม่ เดิมทีแล้วระบบได้จัดเตรียมเอาไว้เพื่อหนึ่งคนเท่านั้น แต่เนื่องจากมีสามคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องเพราะอุบัติเหตุ มันจึงทำให้เกิดการขาดแคลนพลังงานอย่างไม่คาดคิด
ครั้งหนึ่ง รัทสึมุคานะ-โฮโนเมะ-โนะ-คามิ ได้เรียนรู้ความจริงข้อนี้ผ่านทางเวทมนตร์ การพูดความจริงข้อนี้ออกไปแบบปกติมันจะสร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นไม่ใช่ภายในฝ่ายแต่ละฝ่าย แต่เป็นทั่วทั้งดินแดนเวทมนตร์ รัทสึมุไม่สามารถบอกได้แม้กระทั่งผู้นำของฝ่ายแคสปาร์ เธอเก็บมันเอาไว้กับตัวเอง ทนทรมาณกับมัน จนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ เธอลงเอยด้วยการหลุดมันออกไปให้แค่เพียงไพตี้ เฟรเดริก้า ที่เป็นผู้รับใช้ส่วนตัวรู้ การได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบปราชญ์ เฟรเดริก้าจึงได้พยายามใช้มันเพื่อความต้องการของตัวเอง
แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าตลก หากเฟรเดริก้าพยายามทำการควบคุมระบบในตำแหน่งของสามปราชญ์ นั่นก็จะเท่ากับเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงาน แน่นอน —เพราะว่าระบบดั้งเดิมที่ถูกออกมาสำหรับคนเพียงคนเดียวได้กลับมาทำงานตามที่คาดคิดเอาไว้
คานะได้เข้าร่วมในหน้าที่เดียวกันกับคัลโคโระและฮัลน่า พวกเธอวางกำแพงล่องหนเอาไว้ที่ทั้งสองฝั่งของทางเข้าพื้นที่ ทำให้ขนาดของห้องแตกต่างออกไป พวกเธอคิดที่จะทำลอบโจมตีจากภายในกำแพงจากการทำเรื่องนี้
คานะเองก็คิดอยู่โดยตลอดว่าจะปล่อยให้ระบบปราชญ์คงอยู่ต่อไปไม่ได้ และมันก็เป็นเพราะว่าเธอเอาแต่ลังเลว่าควรจะทำยังไง เรื่องราวมันก็เลยกลายเป็นแบบนี้
ในความจริงแล้ว การทำลายระบบมันจะกินเวลามากจนเหลือเชื่อ การเจรจาและปรับเปลี่ยนภายในฝ่าย พูดคุยและต่อรองระหว่างฝ่าย พร้อมกับมีความขัดแย้งภายในฝ่ายเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง —มันช้าเสียยิ่งกว่าตัวทากที่เคลื่อนไหวอ้อมไปมา หากว่าสามารถคืบหน้าไปตามเวลาได้ แบบนั้นก็คือด้านที่ดีกว่า— มันเป็นไปได้ที่เรื่องจะหยุดและถอยกลับไป จริงๆแล้วมันดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นมาก และในระหว่างนั้น เลือดก็จะหลั่งออกมาอย่างไม่จบสิ้น คนโง่งมที่คิดว่าตนฉลาดกว่าผู้วางแผนจะเข้าปะทะกันในการพยายามเพื่อให้ตัวเองเป็นคนที่ได้รับประโยชน์หลังจากสามปราชญ์ได้หายไป จอมเวทธรรมดาจะตกอยู่ในความสับสนครั้งใหญ่ ผู้คนจะลงเอยด้วยความตายมากยิ่งขึ้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เฟรเดริก้า คนที่พยายามทำให้สำเร็จด้วยความรุนแรง จัดการทุกคนที่เข้ามาขวางทางด้วยความรวดเร็วที่มากยิ่งกว่ากำลังเร่งรีบ ซึ่งมันก็ฟังดูถูกต้อง ในขณะคนที่ยึดติดอำนาจจะพยายามแก้ไขเรื่องต่างๆด้วยการพูดคุยจนดินแดนเวทมนตร์ย่ำแย่มากยิ่งขึ้นไปอีก
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทุกเรื่องของเฟรเดริก้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือความจริงที่ว่า มันอยู่หลังจากนั้น เฟรเดริก้าจะยืนอยู่ในตำแหน่งผู้นำของดินแดนเวทมนตร์ คานะรู้ว่าคนอย่างเฟรเดริก้านั้น —เลวร้ายมาก ทุกคนจะไม่มีวันร่วมมือกันได้
แต่คานะก็ล้มเหลวในการกำจัดเฟรเดริก้าด้วยพลังต่อสู้ของเธอ แผน B ที่เผื่อเอาไว้ในกรณีที่พวกเธอไม่สามารถกำจัดเฟรเดริก้าได้คือการขัดขวางเอาไว้และทำให้เป้าหมายไม่สามารถใช้การได้
เฟรเดริก้ายังไม่ปรากฏตัวออกมา พวกเธอจะเตรียมการให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พวกเธอจะวางกับดักเอาไว้ ที่เป็นเรื่องเฉพาะหน้า ดังนั้นพวกเธอจึงไม่สามารถคาดหวังอะไรมากได้ แม้มันจะดูไม่เหมือนว่าพวกเธอสามารถฆ่าเฟรเดริก้าได้ในทันที แต่ตราบใดที่หยุดเอาไว้ได้ ทำให้ช้าลงซักเล็กน้อย มันก็มากเพียงพอแล้ว
วัตถุโบราณ ซึ่งก็คือตัวของระบบได้ถูกสร้างให้อยู่ในรูปแบบของพืช วัตถุโบราณจะทำการดูดพลังเวทมนตร์ ทำให้ดอกไม้บาน และออกผล เมื่อมันร่วงหล่น พลังเวทมนตร์กักเก็บอยู่ในเมล็ดด้านในผลไม้ก็จะระเบิดออก และมันจะทำการส่งวิญญาณของสามปราชญ์ให้เข้าไปสู่แคนดิเดทของร่างเกิดใหม่คนใหม่ที่เตรียมการเอาไว้ในที่ซ่อนของฝ่ายตน เป้าหมายของเฟรเดริก้าคือการที่ต้องได้มาซึ่งผลไม้ของวัตถุโบราณและเมล็ดของมัน พวกเธอจะเข้าไปในสถานโบราณก่อนหน้าเฟรเดริก้าและทำการปกป้องเมล็ดเอาไว้ หากพวกเธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้ พวกเธอก็จะทำลายเมล็ดแทน
คานะเอามือวางลงไปที่พื้น เธอสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือน มันไม่ได้มาจากสถานโบราณ มันเบากว่าและอยู่ใกล้กว่า มันกำลังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แรงสั่นสะเทือนรุนแรงมากยิ่งขึ้น เธอเอามือออกจากพื้น หินปูพื้นกำลังสั่น ฮัลน่าและคัลโคโระหยุดสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ คานะใช้มือห้ามทั้งสองคนเอาไว้และหันไปในทิศทางที่แรงสั่นสะเทือนเข้ามาหา หันไปทางกำแพงด้านขวา
ตอนนี้ภายในสถานโบราณ ดอกไม้ของพัคพั๊คควรที่จะกำลังเบ่งบาน และผลไม้ของกริมฮาร์ทก็ควรกำลังเติบโต มันเป็นเพราะอิทธิพลของพวกเธอ สถานโบราณจึงได้เปิดใช้งาน
การที่ดอกไม้ที่จะเบ่งบานและออกผลที่วัตถุโบราณนั้นมีระยะเวลาตายตัว หากพวกเธอทำลายผลในตอนนี้ แบบนั้นเฟรเดริก้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง หากพวกเธอทำลายดอกไม้ไปด้วย มันก็จะซื้อเวลาให้พวกเธอได้นานมากยิ่งกว่าระยะเวลาหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเธอทำแบบนั้น วิญญาณของพัคและโอสก็จะถูกปล่อยออกจากระบบ และร่างเกิดใหม่ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
โดยพื้นฐานแล้วนี่คือเรื่องที่คานะควรทำ แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเธอจะไม่ได้ดีจนเธอสามารถเรียกได้ว่า “เพื่อนปราชญ์” กระนั้น พวกเธอก็มีความเกี่ยวข้องกันมาอย่างยาวนาน หากพัคและโอสอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเธอจะตอบสนองยังไงกันนะ? คานะเองก็ไม่รู้ พวกเธออาจจะพูดว่า “ฆ่าฉันเพื่อประโยชน์ของดินแดนเวทมนตร์” หรืออาจจะโกรธแล้วพูดว่า “นั่นมันเหมือนกับโดนฆ่าในตอนที่กำลังหลับ” เวทมนตร์ของคานะจะไม่มอบคำตอบให้เธอกับเรื่องอนาคตที่ไม่มั่นคงหรือสถานการณ์ที่สมมุติขึ้นมา
กำแพงของทางเข้าสถานโบราณถูกป้องกันเอาไว้ทั้งทางเวทมนตร์และทางกายภาพอย่างแข็งแกร่ง มันจะไม่มีรอยยุบไม่ว่าจะโดนแผ่นดินไหว การโจมตีทางอากาศ หรือถูกโจมตีด้วยกลุ่มเมจิคัลเกิร์ลที่ติดอาวุธ
และที่กำแพงนั้น จู่ๆมันก็มีรอยแตก และก่อนที่พวกเธอจะรู้สึกประหลาดใจ มันก็เปิดออกและถล่มลงมา เสียงแสบแก้วหูดังก้องไปทั่วห้อง คานะเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน นี่คือสว่านของโดรี่ สว่านที่หมุนด้วยความเร็วสูงค่อยๆลดความเร็วลง และโดรี่ที่เป็นเจ้าของ ก็มองไปรอบห้องด้วยท่าทางกังวล พี่น้องของเธออย่างอาร์ลี่เองก็โผล่หน้าออกมาจากด้านหลัง
“บาดเจ็บรึเปล่า?” คานะถาม
โดรี่ส่งเสียงบางอย่างออกมา อาร์ลี่พยักหน้า เมจิคัลเกิร์ลสไตล์นักเต้นที่โปร่งใสที่ลอยอยู่ด้านข้างอาร์ลี่เองก็พยักหน้าเช่นกัน
“รู้จักเด็กคนนี้เหรอ?” คานะถามอาร์ลี่และโดรี่
ทั้งคู่มองไปยังเมจิคัลเกิร์ลที่ลอยอยู่ โดรี่ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่เคยเจอ” ส่วนอาร์ลี่พยักหน้า หากอาร์ลี่รู้จักเด็กคนนี้ แบบนั้นก็หมายความว่าเธอคือพวกเดียวกัน
คานะถามคำถามหลายข้อภายในใจอย่างรวดเร็ว และยืนยันได้ว่าเมจิคัลเกิร์ลคนนี้คือใคร
ฮัลน่าดูสับสน คัลโคโระดูตื่นกลัว
“นี่คือเรื่องโชคดีนะ” คานะบอกพวกเธอ “พวกเรามีคนมากขึ้นแล้ว ตอนนี้มันอาจจะได้ผล บางทีนะ”
“อ่าหะ… บางที”
“บางที”
เธอไม่รู้ว่าพวกเธอจำเป็นต้องมีคนมากแค่ไหนในการที่จะสู้กับเฟรเดริก้า พวกเธอไม่รู้ว่าเฟรเดริก้าจะใช้ลูกไม้แบบไหน อย่างน้อยที่สุด แค่เธอ ฮัลน่า และคัลโคโระมันก็ไม่มากพอ
เดิมทีคานะคือคนที่ควรจะเข้าไปในสถานโบราณ แต่เธอไม่สามารถทำได้ ในตอนนี้เธอบาดเจ็บหนัก และเธอสงสัยว่าตัวเองจะทำหน้าที่ในสถานโบราณได้อย่างถูกต้องรึเปล่า แม้ว่าเธอจะเข้าไปด้านในได้ทั้งที่บาดเจ็บ หากเธอทำภารกิจล้มเหลวขึ้นมา แบบนั้นทุกอย่างก็จะเสียเปล่า แล้วแบบนั้นเธอควรจะทำอะไรกันล่ะ?
สโนไวท์ได้ยินเสียงของคานะและยื่นข้อเสนอของตัวเอง
คานะได้ตั้งคำถามกับเธอ เพื่อให้แน่ใจถึงความตั้งใจของเธอและแน่ใจว่าเธอได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว
และมันก็จบเพียงเท่านั้น มันไม่จำเป็นที่ต้องให้คนอื่นรู้เรื่องการสนทนาของพวกเธอ หากฮัลน่าได้ยินเนื้อหาของการสนทนา แบบนั้นเธอก็จะปฎิเสธการร่วมมือ แม้กระทั่งคัลโคโระก็อาจจะปฎิเสธการช่วยเหลือ
มันไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากต้องขอโทษและขอบคุณเธอ สโนไวท์เข้าใจถึงความอันตรายของเทคโนโลยีการผสานเป็นอย่างดี และด้วยความรู้นั้น เธอจึงยอมรับหน้าที่อันไม่พึงประสงค์ ต่อให้คานะจะยื่นชีวิตของตัวเองให้สโนไวท์เป็นร้อยครั้งมันก็ยังคงไม่มากพอ และสโนไวท์เองก็ไม่ต้องการแบบนั้นด้วย
มันมีงานอื่นที่คานะควรทำ เธอจะรับตำแหน่งตรงหน้าสถานโบราณ หากเฟรเดริก้าเข้ามา คานะก็จะฆ่าเธอ หากคานะทำแบบนั้นไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดคานะจะเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพันเพื่อทำให้เฟรเดริก้าช้าลง การทำให้เฟรเดริก้าช้าลงด้วยคนสามคนเป็นงานที่หนักมาก แต่เมื่อมีคนเพิ่มเข้ามาอีกสามคน โอกาสของพวกเธอมันก็มากขึ้นตามไปด้วย
โดรี่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ไม่มีใครที่เข้าใจเลยว่าเธอพูดอะไร
☆ คุมิคุมิ
เวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ? แม้ว่าพวกเธอจะกลับไป เส้นทางที่พวกเธอมาก็ถูกมอสปิดเอาไว้ เมื่อยื่นมือเข้าไปหามอสเพื่อที่จะพยายามแยกมันออกจากกัน น้ำเลี้ยงของมันก็พุ่งออกมา และเมื่อลิเลี่ยนโดนเข้าไปที่ใบหน้า เธอก็ไม่สามารถลืมตาได้อยู่พักหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปจนเธอสามารถลืมตาได้อีกครั้ง ใบหน้าซีกขวาของเธอก็กลายเป็นสีเขียว และหลังจากนั้นเธอก็พูดออกมาน้อยลง และคุมิคุมิเองก็หยุดพูดเช่นเดียวกัน แต่เมื่อต้องทำตามคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากต้องก้าวไปข้างหน้า จนทั้งสองคนเคลื่อนไหวอยู่ในสถานโบราณอย่างเงียบๆ
เส้นทางนั้นมีทางเดียวคือการลงไปตามเนินเล็กๆแบบเส้นตรง มันไม่มีเส้นทางอื่นให้หลง พื้น เพดาน และกำแพงล้วนเป็นสีเขียว แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังไปถูกทาง ไม่ว่าเธอจะก้าวออกไปกี่ก้าว เธอก็ไม่เคยรู้สึกชินกับสัมผัสของเท้าที่จมเข้าไปในมอส เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกลากเข้าไปด้านใน คุมิคุมิจินตนาการว่ามอสที่ด้านในคงทอดยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด เธอจะจมอยู่แบบนี้ไปตลอดกาล
การเดินมันไม่ได้ลำบาก เธอกลัวการที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากกว่า —เพราะเธอจะไม่สามารถเติมเต็มคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ได้
คุมิคุมิเอามือมาไว้ที่ปาก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกกลัวมาก
มันแปลก —จนถึงก้อนหน้านี้ไม่นาน เธอไม่ได้ตั้งคำถามกับความกลัวนี้เลย และในตอนนี้เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่เคยตั้งคำถามถึงมัน มันเหนือกว่าเรื่องแปลกประหลาด หากใครซักคนจะอยู่ในตำแหน่งที่มอบคำสั่งให้คุมิคุมิได้ คนๆนั้นก็ต้องเป็นคนระดับสูงจากฝ่ายแคสปาร์ คนใหญ่คนโตคนนั้นที่มาหาเธอต่อหน้าและมอบคำสั่งให้เธอ และนับตั้งแต่เกิดการโจมตีขึ้นที่โรงเรียน เธอก็ได้ทำตามคำสั่งอย่างสมบูรณ์
เมื่อคิดถึงจุดยืนของคุมิคุมิในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าจริงๆแล้วอาจารย์ใหญ่คือศัตรูหรอกเหรอ? คุมิคุมิไม่ได้กระตือรือร้นกับการเข้าโจมตีโรงเรียนเลย เธอไม่ได้มีความตั้งใจที่จะช่วยผู้บุกรุกและโจมตีเพื่อนร่วมห้องของตัวเอง แต่เธอก็คิดว่าตัวเองไม่ได้อยากที่จะทำตามคำสั่งอาจารย์ใหญ่เช่นกัน แล้วทำไมเธอถึงได้ทำตามคำสั่งอย่างไม่คิดและฟังในสิ่งที่ถูกบอกมาด้วยล่ะ?
และยิ่งกว่านั้น เธอไม่เข้าใจเลยว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร เส้นทางมันซับซ้อนมาก เต็มไปด้วยมอสจนยากที่จะรู้เส้นทาง แค่การเดินมันก็ทำให้เธออ่อนล้า เธอรู้สึกว่าตัวเองถูกบอกมาว่าที่นี่คือสถานที่ที่อันตรายมาก ไม่ใช่ว่าการเดินลึกเข้าไปด้านในเท่ากับเดินเข้าไปหาความตายเหรอ? มอสสีน้ำตาลอมเขียวดูเหมือนสถานที่ธรรมดา มันเหมือนกับที่พบได้ในสุสาน หรือที่ด้านหลังโรงเรียน แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันลึกลับและน่ากลัว
จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่า จริงสิ เธอคิด พวกเธอผูกด้ายเอาไว้กับตัว หากพวกเธอดึงมันก็จะสามารถสื่อสารว่าพวกเธอกำลังเจอปัญหาได้ เธอพักเรื่องที่คิดว่าทั้งหมดนี้มันไม่มีเหตุผลเอาไว้ก่อน เธอคิดว่าพวกเธอควรจะขอความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก และเมื่อเธอดึงด้าย มันกลับไม่มีแรงต้านอยู่เลย และปลายด้ายที่ขาดก็เข้ามาหาเธอ
คุมิคุมิส่งเสียงคราง ด้ายของลิเลี่ยนคือด้ายเวทมนตร์ มันไม่ควรจะถูกตัดขาดง่ายๆ แล้วทำไมมันถึงขาดออกจากกันแบบนี้ล่ะ?
“…ลิ…เลี่ยน”
เธอพูดกับเมจิคัลเกิร์ลที่เดินอยู่ด้านหน้า แต่มันก็ไม่มีคำตอบกลับมา ลิเลี่ยนแค่เดินไปด้านหน้า
“ลิเลี่ยน”
เธอส่งเสียงออกไปอย่างชัดๆและจับไหล่ลิเลี่ยนเอาไว้ แต่ลิเลี่ยนก็ยังคงไม่หยุด คุมิคุมิจึงเอาสองมือไว้บนไหล่และหันตัวของลิเลี่ยนเข้าหาตัวเอง
เธออ้าปากค้าง ลิเลี่ยนที่มีรอยยิ้มราวกับพระโพธิสัตว์ ในตอนนี้ทั่วใบหน้าของเธอถูกปกคลุมไปด้วยมอส ปากและจมูกของเธอถูกอุดเอาไว้ เธอไม่ควรจะสามารถหายใจได้ แต่เธอก็ดูไม่เหมือนว่ากับลังทรมาณอยู่เลย
คุมิคุมิผลักลิเลี่ยนออกไปอย่างอัติโนมัติ ตัวของลิเลี่ยนโอนเอนและศีรษะก็กระแทกเข้ากับกำแพง จากนั้นเมื่อตัวของลิเลี่ยนเริ่มจมเข้าไปในมอสโดยที่ไม่ได้มีแรงต้าน คุมิคุมิก็ตื่นตระหนก จับมือของลิเลี่ยนเอาไว้และพยายามดึงกลับมา แต่เธอก็รู้สึกอ่อนแรงเกินไป คุมิคุมิยังคงพยายามดึงตัวลิเลี่ยน แต่เท้าของเธอก็ลื่น จนเธอกระแทกเข้ากับกำแพงด้วยกันกับลิเลี่ยนและจมเข้าไป
เธอไม่สามารถตะโกนออกมาได้เลยว่าเรื่องนี้มันงี่เง่าขนาดไหน ภาพทั้งหมดที่เธอมองเห็นคือสีเขียว คุมิคุมิสอดมือเข้าไปในกระเป๋าและจับเข้ากับเศษเล็กๆ มันพังเกินไปกว่าระดับที่จะจำได้ว่าคืออะไร แต่นั่นคือเศษของมังกรที่เธอวางแผนจะทำการประดับตกแต่งเอาไว้ในห้องเรียน
เธอจับมันเอาไว้อย่างแนบแน่น แน่นมากพอจนที่จะรู้สึกเจ็บ แน่นอน ในตอนนี้มันสิ้นหวัง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอก็จำช่วงเวลาในตอนที่เธอสร้างของประดับได้ ช่วงเวลาที่เธอใช้ในเตรียมมันกับทุกคน เพราะแบบนั้นเธอจึงจับเอาไว้อย่างแนบแน่น
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า
“ตอนนี้เกือบจะได้เวลาแล้วรึเปล่านะ?”
การเปิดใช้งานกำลังดำเนินไป เฟรเดริก้ามอบความใส่ใจให้โอลด์ บลู คานะ และริปเปิลมากพอแล้ว เธอคิดว่าตัวเองให้ความใส่ใจพวกเธอ มาก เกินไป แต่เธอทำแบบนั้นเพราะว่าตัวเองชอบ ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุอะไรที่ต้องโกรธเคือง ในตอนนี้มันไม่มีใครขวางทางเฟรเดริก้าที่จะยังสวนแล้ว จนถึงตอนนี้ เหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นมาทุกครั้งในตอนที่เธอพยายามจะไปที่นั่น แต่เหมือนว่าสุดท้ายมันก็ได้จบลงแล้ว ไลท์นิ่งไม่กี่คนอาจจะยังคงมีชีวิตอยู่ แต่พวกเธอไม่สามารถเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มได้อีก
สุดท้าย มันก็ไม่ได้เรื่องยากอะไรอยู่อีก มันรู้สึกสดชื่น แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเปลี่ยวเหงา สุดท้ายแล้ว เวลาที่งานเลี้ยงจบลงก็มาถึง เวลาแห่งความสนุกเหลืออยู่ไม่มากนัก
เธอก้าวขาขึ้นไปเหนือประตูที่ตอนนี้พังลงมาจนไร้ประโยชน์และเข้าไปภายในสวน ต้นไม้ที่คนสวนดูแลเอาใจใส่ ในตอนนี้มันกลายเป็นหลุมลึก และการที่มีเลือดและศพอยู่ทั่วบริเวณ มันจึงไม่มีที่เหลือให้เดิน หากอยากที่จะวาดภาพนรกบนดิน การแค่ร่างฉากนี้ออกมาอย่างง่ายๆมันก็น่าพึงพอใจมากพอแล้ว
เฟรเดริก้าก้าวออกไปสองก้าว จากนั้นก็หยุดลง
เธอสัมผัสได้ถึงตัวตน มันเหมือนว่าจะมาจากบันไดที่ไปยังทางใต้ดินที่เปิดอยู่ใกล้กับใจกลางสวน มันมากจากเมจิคัลเกิร์ล หรือว่าสถานโบราณสร้างมันขึ้นมากันนะ? เธอได้เตรียมวิธีที่จะเปิดประตูไปยังสถานโบราณเอาไว้ แต่มันอาจจะไม่มีประโยชน์ ใครบางคนได้ทำการเปิดประตูโดยไม่ได้รับอนุญาต
เธอรู้สึกอะไรบางอย่างเหมือนกับการถูกลูบแผ่นหลังด้วยมือที่เย็นเฉียบ เธอมีความรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าอะไรบางอย่างจะรอเธออยู่ที่ทางเข้าสถานโบราณ แต่ความรู้สึกนี้มันไม่ได้มาจากเรื่องนั้น เฟรเดริก้าเอานิ้วกลางของมือขวามาที่ขอบริมฝีปาก เธอสัมผัสได้ว่าอะไรบางอย่าที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น
เธอบอกตัวเองว่าอย่าคิดมากจนเกินไป ในตอนนี้ เธอควรจะแค่เคลื่อนไหว
เธอยืดขาขวา จากนั้นก็ยืดขาซ้าย บิดตัวไปทางขวาแล้วก็มาทางซ้าย ขยับหัวไหล่ไปรอบๆเพื่อหมุนแขน เธอบาดเจ็บก็จริง แต่เธอก็ยังคงเคลื่อนไหวได้ดีพอ ความจริงแล้ว ในตอนนี้อาจพูดได้ว่าเธออยู่ในสภาพที่ดีที่สุดของตัวเอง ในตอนที่เธอเพิ่งจะได้รับร่างกายใหม่มา เธอก็รู้สึกตกตะลึง คิดว่ามันยอดเยี่ยมขนาดไหน แต่เมื่อคิดดูในตอนนี้ เธอก็ยังไม่คุ้นชินกับมัน
การต่อสู้ถึงชีวิตกับโอลด์ บลู การแลกหมัดกับคานะ และการลอบโจมตีของริปเปิลล้วนแต่อันตราย แต่สถานการณ์พวกนั้นได้ทำให้เธอเคลื่อนไหวร่างกายได้เร็วยิ่งขึ้น และยังมีพลังมากขึ้นอีกด้วย
เฟรเดริก้ากางมือขวาออกและกำอยู่สองสามครั้งแล้วก็พยักหน้า
☆ สโนไวท์
เสียงของคุมิคุมิเบาลง ได้ยินอย่างไม่ชัดเจน จากนั้นก็ไม่สามารถได้ยินอีก เสียงของลิเลี่ยนดังห่างออกไป จากนั้นทั้งสองเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้งเหมือนกับเสียงก้องที่เกิดอย่างต่อเนื่อง
สโนไวท์จะหยุดไม่ได้ ไม่ว่าเธอจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวไปข้างหน้า ริปเปิลจะไม่หยุดแค่ที่นี่ เธอบอกตัวเอง ต้องลงมืออย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อที่จะสร้างกำลังใจให้ตัวเอง หากริปเปิลอยู่ที่นี่ล่ะก็ บางทีเธออาจจะยืนอยู่พร้อมกับหันหน้ากลับไปอีกทาง แบบนั้นมันเหมือนเรื่องที่ริปเปิลจะทำเลย รอยยิ้มจึงหลุดออกมาบนใบหน้าสโนไวท์
“เฮ้… โอเคไหมเนี่ย?” เมฟิสถาม เธออยู่ทางด้านขวาสโนไวท์ เอนตัวเข้ามาหาและมองมาอย่างเป็นกังวล
“ไม่เลย” มันคือคำตอบอย่างซื่อตรงของสโนไวท์
ตัวของเมฟิสดูเหมือนว่าอยู่ในสภาพที่แย่ เท็ตตี้เองก็หายใจออกมาอย่างรุนแรง แต่พวกเธอก็ยังคงกังวลเรื่องของสโนไวท์ สโนไวท์มองลงไปที่มือของตัวเอง กำแน่นและแบบออก มันคือมือของเธอ คือมือที่อยู่ในการสั่งการของเธอ
“ถ้าไม่โอเค… แบบนั้นก็พักหน่อยไหม?” เมฟิสถาม
“ไม่มีเวลา”
พวกเธอต้องไปเอาเมล็ดมาให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ พวกเธอก็จะทำลายมัน
สิ่งที่เฟรเดริก้าต้องการคือผลไม้ที่สร้างขึ้นโดยวัตถุโบราณ และเมล็ดที่อยู่ด้านใน หากพวกเธอทำลายเมล็ด เฟรเดริก้าก็ไม่สามารถเติมเต็มเป้าหมายของตัวเองได้ คานะใช้เวทมนตร์เพื่อยืนยันเรื่องนั้น มันคือเรื่องที่แน่นอน
คานะบอกว่าด้วยการใช้กำลังที่มากพอสมควร พวกเธอก็จะทำลายมันได้ พวกเธอจะทำลายมันด้วยถุงมือของเท็ตตี้ หากพวกเธอทำลายเมล็ดได้ แบบนั้นสถานการณ์การเปิดใช้งานในปัจจุบันก็จะหยุดลงไป เสียงดังก้องและแผ่นดินไหวก็จะหยุดลง รากที่งอกออกมาจากใต้พื้นดินก็จะช้าลง มอสที่แพร่กระจายในการพยายามกลืนกินผู้บุกรุกก็จะกลับไปเป็นแค่มอสธรรมดา จนในที่สุดมันก็จะแห้งเหี่ยวไป
สโนไวท์จะปล่อยให้ตัวเองเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังไม่ได้ ด้วยการก้าวออกไปในแต่ละก้าว เท้าของเธอก็จมลงไปในมอสและความชุ่มชื้นก็เอ่อล้นออกมา และจากนั้นก่อนที่จะถูกดูดเข้าไป เธอก็จะทำการก้าวออกไป กระทั่งสุสานในฤดูฝนมันยังไม่แย่ขนาดนี้เลย
ภาพที่เธอมองเห็นบิดเบี้ยวเป็นครั้งคราว แต่มันไม่ใช่เพราะความวิงเวียน มอสมันเคลื่อนไหวเหมือนกับลำไส้ที่บีบตัว ในขณะที่หักห้ามความต้องการที่จะกระโจนเข้าไปเอาไว้ เธอก็เพ่งสมาธิไปที่ขาและหู และก้าวเดินต่อไป เสียงสั่นไหวอย่างผิดปกติดังก้องอยู่ภายในหัวของเธอ ในขณะเดียวกันมันก็ดังอย่างชัดเจนมากยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า
เธอไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรก็ตามจากด้านนอกสถานโบราณไปเรียบร้อยแล้ว เธอสงสัยว่าคนอื่นตายแล้วรึเปล่า หรือบางทีเธอถูกตัดออกจากคนอื่นกันแน่ สถานที่แห่งนี้ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นโลกที่มีชีวิตเลย
เธอมีความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังพยายามเข้ามาในตัวของเธอ แต่มันไม่ได้รู้สึกไม่ดี ซึางเธอปฎิเสธไป คิดว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ และเธอก็ยืนยันว่าเธอยังคงเป็นตัวของตัวเองอยู่
เธอต้องยึดมั่นในตัวเองเอาไว้ ตราบใดที่ริปเปิลยืนอยู่เคียงข้างเธอภายในจิตใจ เธอก็จะยังคงยึดมั่นต่อไปได้
“ที่ที่พวกเรากำลังไป… มันอยู่ใกล้รึเปล่า?” เมฟิสถาม
“ฉันไม่รู้” สโนไวท์ตอบ
“เธอไม่รู้งั้นเหรอ?”
“คานะบอกฉันเรื่องระยะทางโดยประมาณเพียงคร่าวๆ… แต่ระยะทางที่พวกเราเดินมาจนถึงตอนนี้ …มันยากที่จะเข้าใจได้ สัมผัสเรื่องเวลาของฉันตั้งแต่ที่เข้ามาในสถานโบราณเองก็ไม่ชัดเจน มันรู้สึกว่าควรที่จะไกลแต่มันก็รู้สึกว่าอยู่ใกล้ตลอดเวลา”
“แต่ว่า… เสียงพวกนี้”
พวกเธอสามารถได้ยินเสียงของลิเลี่ยน เสียงของคุมิคุมิเองก็ดังตามมา พวกเธอสามารถบอกได้แค่ว่ามันเป็นเสียงของทั้งสองคน พวกเธอไม่สามารถเข้าใจว่ากำลังพูดอะไร มันไม่ใช่คำพูด
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย?” เมฟิสพูด
“ฉันไม่รู้” สโนไวท์ตอบเธอ
“พวกเธอปลอดภัยรึเปล่า?”
“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้”
เสียงของสโนไวท์อู้อี้ ราวกับว่ามันไม่ใส่เสียงของเธอเอง แต่สำหรับเธอแล้วมันไม่ได้รู้สึกแปลก ความจริงแล้ว มันรู้สึกเป็นธรรมชาติด้วยซ้ำ
สถานโบราณมันเป็นเส้นตรงที่ลาดลงไปด้านล่าง มันไม่เหมือนกับสถานโบราณที่พัคพั๊คยึดครองเอาไว้ พวกเธอจึงไม่สามารถหลงทางได้ พวกเธอแค่ต้องขยับขาของตัวเอง ต้องเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง จนไปถึงที่หมายของพวกเธอ —เธอคิดเช่นนั้น อย่างน้อยที่สุดก็จนกระทั่งเข้ามาด้านใน
เธอสามารถได้ยินเสียงของคุมิคุมิ เสียงของลิเลี่ยนก็เช่นกัน
เมฟิสตะโกนอะไรบางอย่าง เท็ตตี้พยายามที่จะหยุดสโนไวท์ สโนไวท์ตระหนักว่าเท้าของเธอกำลังขยับไปเอง —และไม่ได้เดินไปตามทาง มันพยายามตรงเข้าไปภายในกำแพง เธอรู้สึกกลัว —แต่จากนั้นก็รู้สึกโล่งอกที่ตัวเองยังสามารถรู้สึกกลัวได้
☆ คานะ
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบนบันได ในตอนนี้มันมีแค่คนหนึ่งคนที่ลงมา
พวกเธอได้วางกับดักเอาไว้ตรงบริเวณปลายบันได หากอีกฝ่ายถูกจับเอาไว้ตรงนั้น มันก็จะทำให้เรื่องราวรวดเร็วยิ่งขึ้น เฟรเดริก้ามีอาชีพในฐานะเมจิคัลเกิร์ลมาอย่างยาวนาน แต่เธอไม่ใช่จอมเวท เธอจึงไม่ควรที่จะสามารถมองผ่านกับดักเวทมนตร์ได้ในการมองครั้งเดียว มันจะทำงานด้วยการสัมผัส คานะเองก็คิดว่าไม่สามารถหลบมันด้วยคริสตัลบอลได้
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ คานะไม่ได้รู้ถึงลูกเล่นของเธอที่ใช้ออกมา เธอจึงล้มเหลว แต่ในตอนนี้ ด้วยการถามคำถามมากมายเกี่ยวกับเฟรเดริก้า เธอจึงเข้าใจเวทมนตร์ของเฟรเดริก้าได้เป็นอย่างดีในระดับเดียวกับเฟรเดริก้าเข้าใจ การป้องกันมันเป็นแบบอัติโนมัติ ดังนั้นอาวุธระยะไกลจึงไม่สามารถใช้การได้อย่างแน่นอน เธอต้องระวังไม่ให้พลาด
อีกฝ่ายกำลังลงมาตามบันได จากนั้นแสงสีเหลืองพร้อมกับเสียงก็เกิดขึ้น มันคือกับดักไฟฟ้าที่จะทำงานด้วยการเหยียบลงไปบนพื้นไม้ จากนั้นการร่ายของคัลโคโระและฮัลน่าเริ่มต้นขึ้น
คานะกระโจนเข้าไป เธอใช้ศอกฟาดเข้าหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อการโจมตีจะเข้าไปที่ขากรรไกร เธอก็หยุดลง
“แหม เกือบไปแล้วสิ เกือบไปแล้ว”
คริสตัลบอลสีดำกลิ้งอยู่ตรงมุมบันได เฟรเดริก้าป้องกันไม่ได้ตัวเองสัมผัสพื้นด้วยการยืนด้วยปลายเท้าอยู่บนคริสตัลบอล
เฟรเดริก้าเข้าหาคานะด้วยการเคลื่อนไหวในแนวนอนผ่านอากาศ เธอเข้ามาใกล้คานะ มันใกล้มากจนเรียกได้ว่าตัวติดกัน ด้วยการที่เคยเห็นแผนการนี้มาเรียบร้อยแล้ว คานะจึงคิดแผนการตอบโต้ขึ้นมา คานะได้สอดกาวที่สร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์เอาไว้ใต้เสื้อผ้า หากเฟรเดริก้าเข้ามาใกล้เหมือนกับก่อนหน้านี้ คานะก็จะไม่ปล่อยเธอไปอีกครั้ง หลังจากที่เธอเริ่มร่ายคาถาเพื่อทำการใช้ เฟรเดริก้าถอยกลับไปแบบเดียวกันกับในตอนที่เข้ามา
“ความคิดของเธอค่อนข้างดี แต่มันเห็นชัดไป”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นผ่านต้นขาขวาของเธอ จากนั้นก็ทางซ้าย
ดาบของไลท์นิ่งจำนวนหนึ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้บนพื้นที่ด้านบนได้แทงเข้ามาที่ต้นขาขวาและซ้าย ในตอนที่ความสนใจของเธอหันเหไปที่เรื่องนั้น พริบตาให้หลัง มันมีก็ใบดาบแทงเข้ามาที่ลำคอและเลือดก็เอ่อขึ้นภายในปาก การร่ายคาถาของเธอจึงถูกบังคับให้หยุด
เฟรเดริก้าเคลื่อนไหวในแนวนอนเพื่อเข้ามาหาเธออีกครั้ง เธอจับไหล่ของคานะเอาไว้แล้วพุ่งลึกเข้าไปในทางเข้า การร่ายคาถาของคัลโคโระหยุดลง เธอลังเล กังวลว่าอาจจะโดนตัวของคานะไปด้วย การร่ายของฮัลน่าไม่ได้หยุด แต่ก็ทำได้ไม่ทันเวลา
คานะไม่สามารถต้านเอาไว้ได้และถูกดันเข้าไปด้านใน เธอนั้นบาดเจ็บเจียนตายมาตั้งแต่เริ่ม ฮัลน่าและคัลโคโระได้ทำการรักษาด้วยเวทมนตร์ของเธอ แต่มันก็มากในระดับแค่ทำให้เธอสามารถกระโดดได้เพียงเล็กน้อย
การซ่อมแซมร่างกายของร่างเกิดใหม่จำเป็นต้องใช้ผู้ร่ายเวทที่มีความเชี่ยวชาญและสิ่งอำนวยความสะดวก
แต่ถ้าเธอไม่ทำอะไรเลย แบบนั้นการที่เธออยู่เบื้องหลังมันก็ไม่มีความหมาย สโนไวท์ทำแม้กระทั่งทิ้งร่างกายตัวเองในการอาสาทำเรื่องนี้
คานะเค้นหมัดขวา เหมือนกับที่เท็ตตี้ กู๊ดกริปทำตอนที่สวมถุงมือ จากนั้นเธอก็จับคอเสื้อของเฟรเดริก้า แค่การโจมตีอีกเพียงครั้งเดียว —หากร่างกายของเธอยังเคลื่อนไหวได้มากขนาดนั้น มันก็เพียงพอ หากเธอเหวี่ยงหมัดลงมาเข้าหาศีรษะเฟรเดริก้า แบบนั้นมันก็จะจบ
“ไม่พอหรอก”
เฟรเดริก้ายกคางขึ้น เธอมีคริสตัลบอลลูกเล็กๆอยู่ระหว่างนิ้วของทั้งสองมือ เธอขว้างมันออกมา
มันเป็นการขว้างที่มาจากร่างเกิดใหม่ มันจึงมีแต่คานะเพียงคนเดียวที่ตอบสนองได้ เธอจับมันเอาไว้กลางอากาศก่อนที่จะมาถึงใบหน้าตัวเองได้ แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดการโจมตีที่ตรงไปหาคนอื่นได้
คัลโคโระกระโดดออกมาจากกำแพงล่องหนที่พวกเธอสร้างขึ้นเพื่อซ่อนตัว และพุ่งเข้าไปที่กำแพงฝั่งตรงข้าม กำแพงล่องหนหายไปราวกับควัน ในตอนที่หลบคริสตัลบอลที่พุ่งเข้ามาหาตัวเอง คัลโคโระก็กระแทกตัวเข้าใส่ฮัลน่า ปกป้องฮัลน่าจากการโจมตีระยะไกลที่เล็งเป้าเข้ามาใส่
แต่คริสตัลบอลมันรวดเร็วและรุนแรงยิ่งกว่ากระสุนเวทมนตร์ มันพุ่งเข้าไปในไหล่ของคัลโคโระ และยิงเข้าไปในลำคอของฮัลน่า ทำให้แว่นตาของเธอลอยขึ้นจนไปถึงเพดาน
“อาจารย์ใหญ่ทำการดูหมิ่นเมจิคัลเกิร์ล ฉันต้องแน่ใจได้ฆ่าเธอจนตายสนิทอย่างแน่นอน”
อีกสี่นัดถูกยิงตามมา สามนัดโจมตีเข้าไปหาฮัลน่า และหนึ่งนัดทะลุผ่านตัวของคัลโคโระเข้าไปหาฮัลน่า ร่างของฮัลน่าที่อยู่ด้านล่างคัลโคโระเกิดกระตุกอย่างรุนแรง
เฟรเดริก้าหายไปในตอนที่กำแพงถล่มลงมา นี่ไม่ใช่กำแพงล่องหน มันคือกำแพงหินของจริง โดรี่และอาร์ลี่กระโจนออกมาตามแผน พวกเธอพุ่งเข้าใส่พร้อมกับยกสว่านขึ้น แต่แผนการก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดี การป้องกันของเฟรเดริก้านั้นแข็งแกร่ง เธอหลบสว่านได้อย่างไม่ยากเย็น และเหวี่ยงมือขึ้นไป
คานะพยายามก้าวออกไปเพื่อหยุดเอาไว้ แต่ขาของเธอก็ไม่ขยับอย่างที่ควรจะเป็น จนตัวเธอของล้มลงไป
มือของเฟรเดริก้าเหวี่ยงลงมา มันโดนเข้าไปที่หมวกของอาร์ลี่จนบิดรูปไปอย่างไร้ปรานี อาร์ลี่และโดรี่ถูกเตะออกไปด้วยกันจนกลิ้งเข้าไปหามุมห้อง ในตอนที่ทั้งสองคนกลิ้งออกไป เฟรเดริก้าก็ขว้างคริสตัลบอลเข้าไปหาในเวลาเดียวกัน เมื่อพวกเธอหยุด มันก็ทำให้หมวกของอาร์ลี่ลอยออกไป ส่วนโดรี่ก็ร้องออกมาพร้อมกับคว่ำหน้าลง
มีสายลมสัมผัสกับผิวของคานะ บางอย่างที่มองไม่เห็นพุ่งขึ้นมา กระชากกลุ่มควันออกจากกันในตอนที่ผ่าน เข้าหาเฟรเดริก้าจากพื้นดิน เฟรเดริก้าหยิบสว่านของโดรี่ขึ้นมาด้วยท่าทางธรรมดาอย่างเป็นธรรมชาติ
“เหมือนว่า… ฉันจะไม่ถูกผูกมัดด้วยเวทมนตร์ของเว็ดดิ้นอีกแล้วสินะ”
เธอยกสว่านที่หมุนขึ้นไปบนอากาศ บางสิ่งที่มองไม่เห็นที่พุ่งเข้าหาเฟรเดริก้าพยายามหลบสว่านนั้น แต่เมื่อสัมผัสเข้ากับจุดที่หมุน มันก็กระเด็นออกไปและกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ฉันคงต้องตัดสินว่าตัวเองไม่ใช่ไพคี้ เฟรเดริก้าอีกต่อไปแล้ว น่าเสียดายจริงๆ —แต่ในตอนนี้ฉันจะยอมรับเอาไว้ด้วยความยินดี”
อะไรบางอย่างที่กระจายออกไปกำลังพยายามรวมตัวเข้าด้วยกันอีกครั้ง นั่นคือเมจิคัลเกิร์ลที่มีรูปร่างของยักษ์ในตะเกียง เท็ปเซเคเมย์
ก่อนที่เธอจะกลับมามีรูปร่าง เฟรเดริก้าก็แทงสว่านออกไปอีกครั้ง และตัวของเท็ปเซเคเมย์ก็กระจายออกไปทั้งหมด
คานะกระโจนเข้าไปพร้อมกับเลือดที่ทะลักออกมาจากต้นขาและต่อยเข้าไปหา แต่เฟรเดริก้าก็ถอยกลับไปอย่างไร้ซุ่มเสียง หลบการต่อยของคานะที่คิดจะตายไปพร้อมกันอย่างสบายๆ คานะพยายามไล่ตามไปอย่างหมดรูป แต่ขาของเธอก็ไม่ขยับ และเฟรเดริก้าก็เตะเธอออกไปจนกลิ้งไปตามพื้น
คานะดึงมีดที่ติดอยู่ที่ลำคอออกมา เลือดมันไม่ได้หยุดในทันที แต่เธอควรจะสามารถเผาชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อร่ายคาถาได้เป็นอย่างน้อย ในคราวนี้เธอจะไม่ปล่อยให้หนีไปอย่างแน่นอน
ในตอนที่คานะเตรียมตัวพร้อม คิดว่า เข้ามาเลย เฟรเดริก้าก็ยักไหล่ให้เธอ
“เธอน่ะคือเครื่องรับประกันสำหรับเกิดกรณีที่แย่ที่สุดขึ้น หากดอกไม้หรือเมล็ดถูกทำลายไปก่อน แบบนั้นฉันก็ต้องการเธอ”
เฟรเดริก้าถอยกลับด้วยการขยับแค่เท้า ที่ด้านหน้าของเธอคือสถานโบราณ คานะได้ยินเสียงของเฟรเดริก้าที่ดังออกมาจากความมืด เสียงมันค่อยๆดังห่างออกไป
“หากเธอรักษาคนที่บาดเจ็บ พวกเธอก็อาจจะรอด ฉันฝากเธอด้วยแล้วกันนะ”
เสียงนั้นหายไปแล้ว
MANGA DISCUSSION