ตอนที่ 3:
เหล่าผู้บงการรวมตัว
☆ ธันเดอร์ เจเนรัล อาเดลไฮลด์
เธอชักริมฝีปากขึ้นจนเป็นเส้น ในตอนที่ควันค่อยๆจางลง สายตาของเธอก็ไม่เคยขยับออกไปจากตำแหน่งที่ศัตรูอยู่ เธอปรบมือทั้งสองเข้าหากันอย่างเบาๆ เอาแขนทั้งสองมาไขว้กันตรงหน้า และย่อตัวลงในท่าย่อต่ำ เธอเปลี่ยนพลังงานทั้งหมดของสายฟ้าที่โดนเป็นพลังงาน เตรียมตัวสำหรับการโจมตีครั้งต่อไปด้วยการใช้มัน
“เฟสตุง มาริเอ็นเบิร์ก”
เธอสะท้อนการโจมตีด้วยสายฟ้าสองครั้งออกไปอย่างต่อเนื่อง หากไม่ใช่เพราะ เฟสตุง มาริเอ็นเบิร์ก ที่ทำให้เวทมนตร์ของเธอเน้นไปที่การป้องกันเพียงอย่างเดียว เธอก็ไม่มีวันที่จะรับมือได้ เพดานพังลงมา พื้นแตกออก เศษซากไหม้ติดไฟ ส่องสว่างใบหน้าไลท์นิ่งที่อยู่ตรงหน้ากับตราเอซโพดำตรงต้นขาขึ้นมาจากด้านล่าง
อาเดลไฮลด์ตั้งใจยิ้มอย่างดูถูกตัวเองออกมาให้ศัตรู
“เดี่ยวก่อน”
“เพื่ออะไร?”
“ชั้นมีเพื่อนของเธอคนนึงอยู่ตรงนี้” เธอลดไหล่ลงเพื่อแสดงให้เห็นศีรษะของผู้บาดเจ็บที่อยู่ตรงแผ่นหลัง
ไลท์นิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้แม้แต่จะชำเลืองมอง เธอดูเหมือนไม่สนใจด้วยซ้ำ
“ถ้าทำอะไรไม่ระวังล่ะก็เธอได้บาดเจ็บแน่ แบบนั้นเป็นความคิดที่ไม่ดีนะ”
“ถ้าเธอพยายามใช้ตัวประกันล่ะก็ แบบนั้นก็ประเมินฉันต่ำเกินไปแล้วล่ะ”
ไลท์นิ่งเหวี่ยงดาบยาว แต่มันไม่ใช่ว่าอาเดลไฮลด์เคยเห็นการฟันแบบนี้มาก่อน เธอแค่นึกออกช้าเกินไปว่าตัวเองโดนโจมตีในตอนที่มองเห็นเสา ฝุ่น และแผ่นกระดานที่ถูกเฉือนในอากาศ และเธอก็เห็นเอซไลท์นิ่งถือดาบเอาไว้อย่างทันทีทันใด
นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อาเดลไฮลด์อยากที่จะสู้ด้วย เธอทิ้งความรู้สึกสนุกสนานในการที่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าไปแล้วก่อนที่จะอายุสิบขวบ เธอสู้กับคู่ต่อสู้ที่ตัวเองสามารถเอาชนะได้เพียงเท่านั้น
“เธอนี่แข็งแกร่งนะ แล้วฉันก็ต้องออมมือเพราะฆ่าเธอไม่ได้ด้วย”
มีการโจมตีที่มองไม่เห็นตามมา มันค่อยๆทรงพลังมากยิ่งขึ้น อาเดลไฮลด์ยังคงต้านทานเอาไว้ได้ ไม่เหมือนกับ ซิกฟริด ลินีเอ นี่ไม่สามารถแปรสภาพเป็นพลังงานที่กักเก็บเอาไว้เพื่อทำการโจมตีได้ เธอจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากป้องกัน ป้องกัน และป้องกันต่อไป โดยพื้นฐานแล้วนี่คือเทคนิคที่ไม่ควรจะนำมาใช้ เว้นแต่เธอตั้งความหวังว่าแรงของศัตรูจะหมดลงหรืออีกไม่นานพวกพ้องจะปรากฏตัวขึ้น
ไลท์นิ่งที่อาเดลไฮลด์รู้จักจะเหน็ดเหนื่อยจากการปล่อยสายฟ้าออกมามากเกินไป แต่เธอไม่สามารถคิดว่าจะสามารถหวังเรื่องเดียวกันจากไลท์นิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ หากกลุ่มของไลท์นิ่งปรากฏตัวอยู่ในไหนซักที่ แบบนั้นต่อให้เป็นรุ่นพี่จากโรงเรียนกวดวิชามาโอก็จะมีปัญหาต่อให้จะเป็นแค่การหนี มันไม่ต้องพูดถึงเพื่อนร่วมห้องของเธอ —เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังรอดชีวิตอยู่รึเปล่า ในอีกแง่หนึ่ง เธอไม่สามารถคาดหวังความช่วยเหลือใดๆได้เช่นกัน
โรงเรียนกวดวิชามาโอคือรากฐานชีวิตของอาเดลไฮลด์มาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก ที่นั่น เธอสามารถพึ่งพารุ่นพี่ของ รวมถึงแม่ได้ ในห้องเรียนเมจิคัลเกิร์ล มันกลายเป็นว่าคนอื่นพึ่งพาเธอแทนที่ มันรู้สึกน่ารำคาญเหมือนกับเป็นเรื่องวุ่นวายก็จริง แต่เธอเองก็รู้สึกภูมิใจ งั้นเหรอ เธอคิด โรงเรียนเป็นสถานที่แบบนี้นี่เอง
การโจมตีจากเอซไลท์นิ่งค่อยๆรุนแรงมากยิ่งขึ้น หมวกทหารของอาเดลไฮลด์ปลิวออกไป ผ้าคลุมเองก็ฉีกขาด พื้นดินลอยขึ้นมาและแตกออก อาเดลไฮลด์ทนมันเอาไว้
ท่าทางของเอซไลท์นิ่งดูใจเย็นลงซึ่งดูกลับกันกับการโจมตีของเธอที่รุนแรงขึ้น ในตอนที่กำลังโจมตีอยู่ เธอก็มองมาที่อาเดลไฮลด์และถามว่า “นี่เธอพยายามถ่วงเวลางั้นเหรอ? ฉันรู้นะ”
อาเดลไฮลด์ไม่ได้ตอบกลับไป นี่เอซไลท์นิ่งมองทะลุผ่านท่าทางของเธอที่เปลี่ยนแปลงไปงั้นเหรอ? เธอมาที่นี่เพราะตระหนักถึงเรื่องของคานะตั้งแต่แรก ดังนั้นการคิดว่าเธอเก่งเรื่องการอ่านผู้คนจึงมีเหตุผล ไม่เหมือนกับไลท์นิ่งที่อาเดลไฮลด์รู้จัก
“เธอป้องกันตัวเองด้วยการดูดซับการโจมตีของฉัน… ซึ่งมันหมายถึงว่าสามารถรับมือการแทง การฟัน และสายฟ้าได้”
อาเดลไฮลด์ไม่ได้ตอบสนองกับการหลอกล่อของศัตรู แต่บางทีอาเดลไฮลด์อาจจะตอบสนองกับคำพูดนั่นในทางอื่นที่ตัวของเธอเองก็ยังไม่รู้ หากเธอหลับตาลงและอุดหูเอาไว้ก็จะดีกว่า แต่แบบนั้นก็จะเข้าทางของศัตรู
“ฉันคิดว่าบีบคอ… เป็นตัวเลือกหนึ่ง แต่แบบนั้นมันก็ใช้เวลา การอยู่ในระยะประชิดเป็นเวลานานเองก็มีความเสี่ยงเล็กน้อย ฉันไม่อยากถูกโจมตีในตอนที่มือตัวเองอยู่รอบคอเธอหรอกนะ”
อาเดลไฮลด์ภาวนาว่าเอซไลท์นิ่งจะมีไม่คิดว่ามันหมายความว่ายังไง ดังนั้นเธอจึงกัดฟันเพื่อป้องกันไม่ให้โดนอ่านสีหน้า
“…ช่างเถอะ ฉันแค่ทำให้เธอหมดสภาพแล้วแบกไปก็พอ”
ไม่ได้การ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแย่ เธอไม่สามารถพูดอะไรออกไป เพราะเธอเน้นไปที่การป้องกัน เธอจึงไม่สามารถเพ่งความสนใจไปที่เรื่องนั้นได้
เธอต้องทนเอาไว้ นั่นคือทุกสิ่งที่เธอต้องทำ ข้อมือเสื้อฉีกขาด เชือกผูกรองเท้ากลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่กระนั้น เธอก็ยังคงรักษาท่าทางและใช้พลังงานไปกับการป้องกัน จับพลังงานเอาไว้ให้มากขึ้นและทำกระบวนการเดิมซ้ำ
“การทำให้ใครบางคนหมดสภาพโดยไม่ฆ่าทิ้ง มันไม่ใช่ความถนัดของฉันหรอกนะ ฉันเก่งที่สุดเมื่อขั้นตอนมันชัดเจน การถูกบังคับให้ทำตามแผนการซื้อเวลาของเธอนี่มันเครียดเกินไปหน่อย”
ณ จุดใดจุดหนึ่ง เอซไลท์นิ่งก็สัมผัสกับอัญมณีที่ส่องประกายตรงหน้าผาก แย่ล่ะ อาเดลไฮลด์คิด แต่เนื่องจากทุ่มเทให้กับการป้องกัน เธอจึงไม่มีทางหยุดไลท์นิ่งได้ แต่ถึงเธอจะไม่ได้ทุ่มเทให้กับการป้องกัน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดเธอเช่นกัน
“ลักซูรี่โหมด : ออน”
แสงสว่างจ้าระเบิดออกมา แค่แสงที่สว่างมันก็ยากที่จะลืมตาได้ อาเดลไฮลด์กัดฟันเอาไว้ เมจิคัลเกิร์ลนั้นไร้ซึ่งเหตุผลและไม่มีความยุติธรรม นี่อาเดลไฮลด์จะสามารถหยุดไลท์นิ่งได้รึเปล่า? มันเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ได้ การหลบก็ยิ่งดูเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่—
“อะ… อั่ก!”
เสียงที่กลั้นเอาไว้หลุดออกมาจากด้านในลำคอ ใบหน้าของเอซไลท์นิ่งอยู่ตรงนี้ มองมาที่อาเดลไฮลด์อย่างดูเบื่อหน่าย
“เวทมนตร์ป้องกันของเธอหยุดการไหลของเลือดไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ยิ่งบาดแผลลึกเท่าไหร่เลือดมันก็จะไหลมากยิ่งขึ้น ถ้าเธอหยุดสร้างปัญหาก็จะช่วยได้มากเลยล่ะ”
มีดสั้นที่เอซไลท์นิ่งจับเอาไว้ในมือขวากดลงมาที่หลอดลมของอาเดลไฮลด์ ค่อยๆดันเข้ามาอย่างช้าๆเพื่อทำให้เลือดไหลออกมา
“มาทำให้มันเป็นการแข่งความอดทนกันดีกว่า ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอถ่วงเวลาไปมากกว่านี้แล้ว และฉันจะไม่ออมมือด้วย ถ้าเธอตาย ฉันก็จะใช้แผนอื่น ฉันจะจับตามองแบบใกล้ชิดเอง ดังนั้นไม่ต้องพยายามต่อต้านหรอกนะ รีบยอมแพ้ซะถ้ายังทำได้”
ใบมีดจมเข้ามาในตัวของเธอทีละนิดทีละนิด เลือดยังคงไหลออกมา รอยยิ้มของอาเดลไฮลด์อ่อนลง แต่กระนั้น เธอก็ยังคงยืนอยู่โดยที่ไม่ล้มลง เธอเกร็งมือขวาที่เอาไว้ที่แผ่นหลัง กำมันเอาไว้ เอซไลท์นิ่งนิ่วหน้าอย่าสับสน
“มีอะไรน่าตลกรึไง?”
อาเดลไฮลด์ส่งเสียงไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถตอบได้ เธอได้ยินเสียงของเส้นเลือดแดงที่กำลังถูกตัด เลือดของเธอกำลังไหลออกมา เธอไม่ได้คลายเวทมนตร์ของตัวเอง พลังงานทั้งหมดยังคงหมุนเวียน อุณหภูมิร่างกายลดลง ชีพจรเต้นช้าลง แต่เธอก็ยังคงไม่แน่ในว่าตัวเองจะแพ้ ในตอนนี้ อาเดลไฮลด์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคว้าเส้นด้ายที่บางมากๆนี้เอาไว้ มันคือวิธีการเดียวที่เธอจะรอดชีวิต —วิธีการที่เธออาจจะสามารถออกไปทั้งๆที่ยังคงมีชีวิตอยู่ เธอเค้นมือขวาของตัวเองเอาไว้
เธอวางมือซ้ายลงบนมือขวาของเอซไลท์นิ่งที่จับด้ามของมีดสั้นเอาไว้ คมมีดมันแทงลึกเข้ามายิ่งกว่าเดิม อาเดลไฮลด์ต้านทานพลังที่ดันเข้ามาด้วยเวทมนตร์ของเธอ แต่เธอก็แพ้อย่างหมดรูป
เลือดไหลออกมาไม่หยุด ภาพด้านขวาที่เธอมองเห็นกลายเป็นสีแดง สายฟ้าสีม่วงระเบิดออก เธอกัดฟันเอาไว้จนเกิดเสียง เรี่ยวแรงค่อยๆหายไปจากมือขวา
เธอไม่มีวันที่จะคลายเวทมนตร์ของตัวเอง เธอยังคงทำการป้องกันอย่างไม่รู้จบ แต่ร่างกายของอาเดลไฮลด์มาถึงขีดจำกัดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะพยายามทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง ขาของเธอทรุดลงไป ตัวของเธอเอนเข้าหาเอซไลท์นิ่ง
ปากของเอซไลท์นิ่งเปิดออก มุมปากเผยอขึ้น เธอกำลังเยาะเย้ยอาเดลไฮลด์ ในจุดนี้ อาเดลไฮลด์ไม่มีแรงที่จะคิดถึงเรื่องบ้าๆแล้ว เธอไม่ได้มีความภาคภูมิใจที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอ เรื่องของปาฎิหาริย์ที่เมจิคัลเกิร์ลจะสร้างขึ้นมา หรือกระทั่งแรงในการกำมือของตัวเอง
มือขวาของอาเดลไฮลด์แบออก ความร้อนและแรงหายไปทั้งหมดในคราวเดียว มันจบแล้ว ดวงตาของเธอสบเข้ากับเอซไลท์นิ่ง คนที่ยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจด้วยใบหน้าที่งดงาม จากนั้น หนึ่งในดวงตาที่อาเดลไฮลด์จ้องมองอยู่ก็ถูกมีดสั้นแทงเข้าไปจากด้านหลัง
โดยปกติแล้ว แน่นอนว่าไลท์นิ่งจะสามารถหลบได้ ความสามารถทางกายภาพรวมถึงการตอบสนองของศัตรูมันมากจนน่ากลัว —อาจจะก้าวข้ามได้แม้กระทั่งตัวของมาโอแพม คนที่มีความสามารถทางกายภาพที่แข็งแกร่งที่สุดที่อาเดลไฮลด์รู้จัก แต่ด้วยชัยชนะที่อยู่ตรงหน้า เอซไลท์นิ่งจึงลดความสนใจของตัวเองลงจนกระทั่งมีรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า เข้ามาใกล้ คิดว่าตราบใดที่จับตามองการเคลื่อนไหวของอาเดลไฮลด์เอาไว้ก็จะไม่มีปัญหา จนมองข้ามสิ่งที่อยู่บนหลังของเธอ คิดว่ามันเป็นเพียงแค่ภาระ เอซไลท์นิ่งมีความสามารถทางกายภาพ พลังในการตัดสินใจ และการมองเห็นอันยอดเยี่ยม แต่จากการประเมินของอาเดลไฮลด์แล้ว เอซไลท์นิ่งขาดซึ่งประสบการณ์ในการต่อสู้
ดวงตาของเอซไลท์นิ่งเบิกกว้าง ปากเองก็เปิดออก เธอไม่ได้พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แขนที่เข้ามาจากด้านหลังของอาเดลไฮลด์กดไปด้านหน้า ดันมีดสั้นให้ลึกเข้าไป เลือดทะลักออกมาจนย้อมภาพที่อาเดลไฮลด์มองเห็นเป็นสีแดง
เธอจำคืนที่โฮมุนครูสหลุดออกจากการควบคุมได้ เช่นเดียวกับตอนที่เธอแบกปรินเซสไลท์นิ่งเอาไว้บนหลังและใช้ความสามารถของตัวเอง ไลท์นิ่งดูดพลังงานจากเวทมนตร์ของอาเดลไฮลด์ ฟื้นพลังของตัวเองและปล่อยสายฟ้าเข้าใส่โฮมุนครูส
มือของเอซไลท์นิ่งหลุดออกจากมีดสั้นที่แทงเข้ามาที่อาเดลไฮลด์ จากนั้นก็เดินไปรอบๆ บิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด พยายามจับอะไรบางอย่าง แต่ก็คว้าได้เพียงแค่อากาศ ไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลย
ในขณะเดียวกัน สิ่งที่อาเดลไฮลด์ทำดูเหมือนว่าตัวเองไร้ซึ่งทางออก คอยป้องกันเอาไว้เพื่อใช้ประโยชน์ของการป้องกัน ซึ่งเบื้องหลังนั้น เธอได้ส่งพลังงานไปที่ผู้บาดเจ็บบนแผ่นหลังอย่างต่อเนื่อง เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นพยาบาล
เจ้าหญิงผู้แปลกประหลาดคนนี้จะช่วยอาเดลไฮลด์รึเปล่า? แม้เธอเกือบจะถูกฆ่าตายด้วยกลุ่มของไลท์นิ่ง มันก็คือการเดิมพัน แต่อาเดลไฮลด์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดิมพันกับเรื่องนี้
และต่อให้ไลท์นิ่งอยากจะช่วย เธอจะสามารถตื่นขึ้นมาจากสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายได้รึเปล่า? เธอจะสามารถทำการโจมตีถึงแก่ชีวิตในครั้งเดียวโดยที่เอซไลท์นิ่งไม่ได้รู้ตัวได้รึเปล่า?
อาเดลไฮลด์ชนะเดิมพันมามากมายหลายครั้ง และถ้าในตอนนี้เธอรอดชีวิต มันก็จะเป็นชัยชนะอันสมบูรณ์แบบของเธอ —หรือมันควรจะเป็นแบบนั้น แต่เรื่องต่างๆมันก็น่าสงสัย
ศัตรูและอาเดลไฮลด์ล้มตัวลงไปด้วยกัน หันหน้าเข้าหากัน ตัวพันกันในตอนที่กระแทกเข้ากับพื้น เธอไม่สามารถขยับนิ้วได้อีกแล้ว ภาพที่มองเห็นจากสีแดงก็กลายเป็นสีดำ
“เอ… คิดว่าแบบนี้… ก็นับว่าชนะ…”
การที่เธอมองไม่เห็นสีหน้าของไลท์นิ่งที่อยู่บนหลังคือเรื่องที่เธอรู้สึกเสียใจมากที่สุด
☆ สโนไวท์
เสียงภายในจิตใจของอาร์ลี่ โดรี่ คัลโคระ และมิส ริลดังห่างออกไป โดรี่ใช้เวทมนตร์ของตัวเองเพื่อขุดหลุมในห้องเรียน เมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งอย่างอาร์ลี่และมิส ริลก็ป้องกันการโจมตีของผู้ที่ไล่ล่าเอาไว้ในตอนที่ทั้งกลุ่มยังคงเคลื่อนไหว แต่สโนไวท์ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนั้นไปอีกนานแค่ไหน
การกระจายเสียงของโรงเรียนบอกว่าให้ไปรวมตัวกันที่สวน —เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวมันก็น่าสงสัยมาก เวทมนตร์ของสโนไวท์ไม่มีผลกับพื้นที่รอบบริเวณสวน มันบ่งบอกว่าอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยอยู่ที่นั่น สุดท้ายแล้ว เธอก็สามารถหาทางออกจากสถานการณ์นี้ได้โดยที่ไม่ได้ไปยังสวน
สโนไวท์จับอาวุธเอาไว้ —เป็นการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณโดยไม่รู้คัว
เฟรเดริก้าเข้ามาที่โรงเรียนแล้ว สโนไวท์ไม่สามารถได้ยินเสียงของเธอได้ในทันที เนื่องจากสวนมันคั่นกลางระหว่างพวกเธอเอาไว้ แต่เธอไม่มีวันได้ยินเสียงนั่นผิดแน่
เธอจะยอมให้เฟรเดริก้าแตะต้องสถานโบราณไม่ได้
สโนไวท์เคลื่อนไหวไปตามทางเดินโดยที่ไม่มีเวลาพอที่จะปัดใยแมงมุมที่ติดอยู่ตรงเส้นผมออกไป มันไม่ใช่แค่อาคารเรียนเก่าที่นี่ที่เดียว —อาคารส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สัมผัสกับพื้นดินโดยตรง ดังนั้นมันจึงมีพื้นที่ว่างระหว่างพื้นอาคารและพื้นดินอยู่ ช่องว่างที่อยู่ด้านล่างพื้นอาคารของอาคารเรียนเก่ามีขนาดประมาณห้าสิบเซ็นติเมตร ดังนั้นเธอจึงสามารถเคลื่อนผ่านไปได้
ในตอนนี้ พื้นของอาคารถูกทำลายจนมีหลุมอยู่ทั่วทุกที่ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะหลบซ่อน แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็หมายความว่าสามารถเข้าและออกได้
มันคือพื้นที่ที่โดยปกติแล้วจะไม่มีใครเข้าไป มันเต็มไปด้วยฝุ่นและขยะ ในตอนนี้เธอใช้มันให้เป็นประโยชน์ เธอทำให้ฝุ่นฟุ้งเพื่อบดบังการมองเห็น เปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้ไลท์นิ่งที่ไล่ตามมาสับสน ฟังเสียงในหัวใจของอีกฝ่าย เธอแทงอาวุธขึ้นไปจากด้านล่างของพื้นทางเดิน เล็งเข้าไปที่เท้าของไลท์นิ่ง และด้วยการแทงครั้งที่สาม เธอก็ขึ้นมาบนพื้นทางเดิน ขับไล่ไลท์นิ่งที่พุ่งเข้าใส่แรปปี้ คนที่กำลังป้องกันตัวเองเอาไว้ด้วยแรปเวทมนตร์ออกไป
พวกเธอไม่ได้มีความสามารถเหมือนกับไลท์นิ่งที่สโนไวท์รู้จัก พวกเธอยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้อีกด้วย เสียงภายในจิตใจจำนวนมากที่เข้ามาหาสโนไวท์แบบไม่หยุดหย่อนมันทำให้เธอมีปัญหากับการจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่สโนไวท์ก็ยังคงบอกได้ว่าใครกำลังเข้ามาหา
แต่กระนั้น จำนวนมันก็มีมาก พริบตาให้หลัง สายฟ้าก็ถูกปล่อยออกมาจากสี่ทิศทาง เธอหลบมันด้วยการเข้าไปในแรปของแรปปี้ ใบมีดพายุเข้ามาจากด้านขวามาซ้ายเพื่อจัดการไลท์นิ่ง
เสียงมันเข้ามาใกล้ สโนไวท์ยังคงเคลื่อนไหวต่อไป
เธอทำลายหน้าต่างของห้องเรียนและกระโดดออกไป เมื่อไลท์นิ่งตามเธอมา แรปปี้ก็ป้องกันเอาไว้ด้วยการใช้แรปกับเศษหน้าต่างที่แตก เท็ปเซเคเมย์ลอดผ่านขาของไลท์นิ่ง และเมื่อสายตาของศัตรูมองลงมาที่เธอ สโนไวท์ก็ต่อยและเตะเข้าไป คนที่เมินเท็ปเซเคเมย์และเข้ามาหาสโนไวท์ก็ลอยขึ้นไปด้วยลมหมุน และร่วงลงมาในตอนที่เธอวิ่งตัดผ่านทางเดิน
สายฟ้าที่แรปไม่สามารถป้องกันเอาไว้ได้โดนเข้าที่หลังของสโนไวท์ เธอกัดฟันเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองหมดสติไป ขาของเธอเหมือนว่าจะทรุดลงไปได้ตลอดเวลา แต่เธอก็ขยับมันไปด้านหน้า จับความคิดที่ได้ยินจากตรงสุดทางเดินเอาไว้
มันคือกลุ่มของไลท์นิ่งกำลังมองหาศัตรู เป็นกลุ่มที่นำโดยไพ่ดอกจิก และมันก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าไลท์นิ่งที่เธอกำลังสู้ในตอนนี้
“ไปทางซ้าย”
เธอเปลี่ยนทิศทางเพื่อหลบกลุ่มไลท์นิ่ง ศัตรูแข็งแกร่งแถมยังมีเป็นจำนวนมาก แต่เธอก็ได้เปรียบจากการรู้ตำแหน่งของอีกฝ่าย วิธีการนี้ยังคงใช้การได้ —แต่ก็เพียงไม่มาก
เธอเตะหน้าต่างที่อยู่ตรงพื้นทางเดินออกด้วยการไถลตัวเหมือนกับนักเบสบอล มันทำให้ฝุ่นฝุ้งขึ้นมา เข้าไปในห้องเรียนที่ว่างเปล่าและดึงมือของแรปปี้ สโนไวท์นำแรปไปไว้ที่ด้านบนหน้าต่างเพื่อที่จะหยุดศัตรูที่ตามมา —แต่ผู้ไล่ตามก็ทำลายแพงลงมาในแทบจะทันที เธอและแรปปี้ยังคงวิ่งต่อไปโดยแทบจะไม่มีเวลาให้พักหายใจ
พวกเธอไม่สามารถต่อสู้กับไลท์นิ่งพวกนี้แบบตรงๆได้ ในตอนนี้ พวกเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งต่อไปเท่านั้น
ไลท์นิ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากจนยากที่จะจับเสียงภายในหัวใจแบบรายบุคคลได้ แต่เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งในตอนที่กำลังเคลื่อนไหว ตอนที่กำลังเปลี่ยนทิศทางเพื่อไปยังสวน เสียงของอาร์ลี่และคนอื่นๆไกลออกไป แต่สโนไวท์ก็ตึงมือเกินกว่าที่จะเพ่งสมาธิไปที่พวกเธอ สโนไวท์จึงได้แต่ภาวนาให้พวกเธอปลอดภัย
เธอได้ยินเสียงภายในหัวใจเสียงหนึ่ง —คนที่เธอที่เคยเพ่งความสนใจไปมาก่อน มันไม่ได้ดังขึ้นมาอย่างทันทีทันใด ในตอนต่อสู้ มันเงียบสงบจนเธอแทบจะพลาดที่จะได้ยิน คนๆนี้กำลังยับยั้งเสียงภายในใจของตัวเองเอาไว้ มันไม่เคยมีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่ทำแบบนี้มาก่อน
สโนไวท์ประหลาดใจเช่นเดียวกับรู้สึกสับสนในคุณภาพของเสียงที่ได้ยินและสิ่งที่กำลังคิด แต่เธอก็ยังคงไม่ประมาท ยกอาวุธขึ้น และเผชิญหน้ากับเสียงนั้น
“เธอต่อสู้ได้ดีเลยนะ”
กลุ่มของไลท์นิ่งแยกตัวออกจากกัน มือที่ชี้เข้ามาหาเธอกำลังค่อยๆเข้ามา สโนไวท์ยื่นมือออกไปตรงหน้าของแรปปี้เพื่อยั้งตัวเอาไว้ แรปปี้กำลังสับสนเหมือนกับสโนไวท์ เธอไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ในด้านความรู้สึกแล้ว สโนไวท์รู้สึกสับสนมากยิ่งกว่าแรปปี้ สิ่งที่เธอได้ยินจากเสียงนี้และคุณภาพของเสียง —มันอบอุ่นจนทำให้เธออยากเอนเข้าไปหา
“เธอกับฉันควรจะร่วมมือกัน เห็นด้วยรึเปล่า?”
เธอได้ยินเสียงภายในหัวใจอีกเสียงหนึ่ง คนๆนี้คือคนที่ร่วมมือกับริปเปิล
สโนไวท์จับอาวุธของตัวเองไว้
ริปเปิล… ริปเปิล… ริปเปิล!
ไลท์นิ่งชี้ดาบเข้ามาหาเธอ โอลด์ บลูที่ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเธอมองมาที่สโนไวท์ เมจิคัลเกิร์ลสีฟ้าดูเหมือนว่ากำลังสนุกสนาน
☆ โอลด์ บลู
โอลด์ บลูได้รายละเอียดเรื่องข้อมูลของสโนไวท์มาตั้งแต่จบการทดสอบของแครนเบอร์รี่ หากริปเปิลรู้เรื่องนี้เข้า แน่นอนว่าโอลด์ บลูคงโดนริปเปิลต่อยซักหมัดสองหมัด
โอลด์ บลูแค่สนใจในตัวสโนไวท์ มันมากกว่าอยากรู้เล็กๆน้อยๆ แน่นอน เธอไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายอะไรกับเธอ
แต่ไลท์นิ่งแต่ละคนชอบทำตามอำเภอใจ แถมยังทำตามอำเภอใจกันเป็นกลุ่มอีก แม้ว่าโอลด์ บลูจะเป็นผู้บัญชาการพวกเธอ มันก็ยากที่จะมอบคำสั่งให้ตลอดเวลา การจัดการอย่างเบามือด้วยการให้ลงมือภายใต้คำสั่งแบบวงกว้างคือเรื่องดีที่สุด การสั่งการพวกเธอไม่ให้โจมตีแค่สโนไวท์คนเดียวในตอนที่บุกเข้ามามันจะเป็นการทำให้พวกเธอเคลื่อนไหวช้าลง ในขณะที่ตัวของสโนไวท์ก็จะลงมือปกป้องพวกพ้องของตัวเอง
เธอจำเป็นต้องให้ไลท์นิ่งสู้กับสโนไวท์ —และภาวนาว่าไม่ให้เกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นในระหว่างนั้น
เมื่อโอลด์ บลูก้าวออกมาตรงหน้าสโนไวท์จากข้อมูลที่เธอได้มาจากไลท์นิ่ง เธอก็ร้องออกมาด้วยความดีใจเป็นการส่วนตัวว่าเรื่องต่างๆเป็นไปได้ด้วยดี สโนไวท์นั้นมีค่าในการใช้งานมากมายหลายวิธี ความสัมพันธ์ในการร่วมมือกับริปเปิลของเธอก็จะยืดยาวออกไปด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้ สโนไวท์ทำงานอยู่ในดินแดนเวทมนตร์ แต่โดยส่วนตัวแล้ว เธอปรารถนาอยากที่จะเปลี่ยนแปลงดินแดนเวทมนตร์เพื่อปกป้องเมจิคัลเกิร์ล เธอคือส่วนหนึ่งของระบบ และโอลด์ บลูคือผู้นำขององค์กรที่ตั้งเป้าจะล้มล้างระบบ —แม้ว่าการร่วมมือกันอย่างเต็มที่ไม่จำเป็นที่ต้องพูดถึง การร่วมมือกันแบบจำกัดมันเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น การร่วมมือกันที่นี่ตอนนี้เพื่อจัดการไพตี้ เฟรเดริก้า
สโนไวท์บาดเจ็บ มันคือเรื่องที่คาดคิดได้จากการต่อสู้กับไลท์นิ่ง ยิ่งเธออ่อนแอมากแค่ไหน ตัวเลือกที่เธอมีก็จะน้อยลงไปตาม
เธอมองมาที่โอลด์ บลูราวกับเป็นสัตว์ตัวเล็กๆที่จนมุมพร้อมกับพูดความต้องการของตัวเองออกมา “สัญญาว่าคุณคัลโคโระและเพื่อนร่วมห้องของฉันจะปลอดภัย”
แน่นอน ถ้าสโนไวท์จะร่วมมือด้วย แบบนั้นมันก็ต้องมาพร้อมเงื่อนไข เป็นข้อเรียกร้องที่ทำให้เธอต้องประนีประนอม เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาเพราะสโนไวท์อ่านความคิดของเธอได้ —ซึ่งหมายถึง โอลด์ บลูจะไม่ปฎิเสธมันไป โอลด์ บลูพยักหน้าและมอบคำสั่งผ่านชุดหูฟังของเธอ
“ชั้นขอห้ามใครก็ตามทำการโจมตีสมาชิกของห้อง 2-F นอกจากดริล โดรี่ หากพวกเธอหนีก็ให้ปล่อยไป หากพวกเธอโจมตีก็ให้ตอบสนองตามสมควร”
เธออยากที่จะลดภาระที่ไลท์นิ่งต้องทำด้วยการลดคำสั่งมากเท่าที่เป็นไปได้ แต่แบบนี้มันดีกว่าการที่สโนไวท์จะบ่นใส่เธอ
“ทำไมต้องยกเว้นดริล โดรี่ด้วย?” สโนไวท์ถาม
“เธอเกี่ยวข้องกับห้องทดลองน่ะ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอยังคงเป็นเพื่อนร่วมห้องอยู่”
โอลด์ บลูมอบคำสั่งโดยที่ไม่ได้ตอบสโนไวท์ตรงๆ “ชั้นขอให้ยกเว้นการโจมตีใส่ดริล โดรี่ด้วย”
“ขอบคุณมากเลย”
“ไม่ต้องขอบคุณชั้นหรอก เอาล่ะ เท่านี้พวกเราก็ตกลงกันได้แล้ว”
สโนไวท์ลดอาวุธลงและยกมือขึ้น
ไลท์นิ่งคิงโพดำพ่นลมหายใจออกมาอย่างดูน่ารัก “พวกเราต้องโจมตีไหม?”
“ไม่โจมตีคนที่ไม่สู้” โอลด์ บลูพูดตัดเข้ามา ชี้ไปที่สโนไวท์และแรปปี้เช่นเดียวกับไลท์นิ่งที่เธอตั้งใจให้ยอมรับเงื่อนไข
การได้มองสโนไวท์ตรงๆด้วยตาของตัวเองในตอนนี้ มันทำให้เธอต้องปรับเปลี่ยนเรื่องที่เธอรู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้สองสามเรื่อง สโนไวท์อ่อนแอกว่าข่าวลือที่พูดกันมาก ร่างกายของเธอไม่ได้เหมาะกับการต่อสู้ แต่เธอก็นำตัวเองเข้าสู่สนามรบผ่านทางการฝึกฝนและความตั้งใจ หัวใจของเธอแข็งแกร่งอย่างไม่หวั่นไหวงั้นเหรอ? ไม่ใช่เลย —เธอยังคงลังเลและเป็นกังวลอยู่ตลอด
แต่ไม่ว่าความจริงเหล่านั้นจะลดทอนความคิดของเธอเกี่ยวกับสโนไวท์แค่ไหน —มันก็ไม่ใช่สำหรับทุกเรื่อง
สโนไวท์นั้นอ่อนแอ บาดเจ็บ และจิตใจอ่อนล้า แต่ดวงตาของเธอยังคงไม่สูญเสียความเป็นประกายไป นั่นคือดวงตาของคนที่ยังไม่ยอมแพ้ แม้ว่าสโนไวท์จะรู้ถึงการประเมินของโอลด์ บลูจากการอ่านใจ รู้ว่าโอลด์ บลูตัดสินว่าสโนไวท์อ่อนแอกว่าที่ได้ยินมา มันก็ไม่ได้ทำให้ไฟในดวงตาของเธอลดน้อยลงไป เป็นคนดื้อรั้นและไม่ท้อถอย
เหมือนกันมากเลย
เมจิคัลเกิร์ลที่ไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือน แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้านักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ ต่อหน้าความรุนแรงที่เกิดขึ้น หัวใจของเธอแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าร่างกาย ย้อนกลับไปในตอนนั้น โอลด์ บลู—ลาพิส ลาซูไลน์มีหลานสาวผู้เป็นที่รัก และหลานสาวเองก็นับถือเธอด้วย
“ตราบใดที่พวกเราอยู่ด้วยกัน คุณยาย พวกเราไม่มีวันแพ้หรอกนะ”
ผู้เป็นยายยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และนักดนตรีแห่งพงไพรก็เยาะเย้ยมัน
การได้ยินจากใครซักคนกับการได้พบหน้ากันมันแตกต่างกันจริงๆ เมื่อคิดว่าเวทมนตร์ของโอลด์ บลูทำงานยังไง แน่นอนว่าการได้เห็นด้วยตาตัวเองย่อมดีกว่าได้รับฟังมาจากหลายคน
ในความเป็นจริง ตอนนี้เธอรู้สึกพึงพอใจ
“แล้วเธอจะเอายังไง?” เธอถามเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ด้านข้างสโนไวท์
แรปปี้ ทิปพยักหน้าหลายครั้งและตอบว่า “ฉันไม่ต่อต้านหรอก” เธอปล่อยแรปเวทมนตร์ที่อยู่ในมือออกราวกับว่ามันเป็นสิ่งสกปรก
“ชั้นได้ยินว่ามีอีกคนนึงอยู่กับพวกเธอด้วย” โอลด์ บลูพูด
สโนไวท์ส่ายหน้า “พวกเราอยู่ด้วยกันจนถึงเมื่อครู่ก็จริง แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอออกไปที่ไหนแล้ว”
มันคือเรื่องจริงที่ไม่มีเวลาจะมาคุยกัน คนๆนั้นอาจจะตัดสินใจไปซ่อนตัวด้วยตัวเอง เวทมนตร์ของโอลด์ บลูบอกเธอว่าสโนไวท์ไม่ใช่คนที่จะมาโกหกในสถานการณ์แบบนี้
“แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าเด็กคนนั้นจะไม่โจมตีพวกเราล่ะ สโนไวท์?”
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะโจมตีด้วยตัวเองหรอก”
“ชั้นจะเชื่อเธอนะ ข้าวหลามตัดสามคน —ดูแลแรปปี้ให้ปลอดภัยด้วย”
ความหมายมันไม่ได้ต่างจากการลักพาตัวมากเท่าไหร่ โอลด์ บลูสั่งให้ไลท์นิ่งล้อมแรปปี้เอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอต่อต้าน โอลด์ บลูวางแผนที่จะพาแรปปี้ไปยังสำนักงานใหญ่และใช้เธอเจรจากับฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ล จูเบอาจจะแสร้งว่าเป็นพวกไร้หัวใจ แต่เธอก็ไม่ใช่คนประเภทที่ละทิ้งความเป็นมนุษย์
“เอ่อ… แค่ฉันเหรอ?” แรปปี้ถามออกมาอย่างอายๆ
“ใช่ แค่เธอ” สโนไวท์ตอบ
แรปปี้มองไปที่สโนไวท์พร้อมดวงตาเบิกกว้างและพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
“ฉันจะอยู่ที่นี่ คนพวกนี้ต้องการฉัน” สโนไวท์บอกแรปปี้
แรปปี้กลืนสิ่งที่เธอจะพูดออกมาลงไปและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ไม่ใช่ว่าเธออยู่ห้องเดียวกับฉันเหรอ?” หนึ่งในไลท์นิ่งพูด
“เอ่อ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฉันคิดว่าเคยอยู่ห้องเดียวกับปรินเซสไลท์นิ่งนะ”
“คิดยังไงกับฉันเหรอ? ชอบไหม? หรือว่าเกลียด?”
“ไม่ได้เกลียดหรอก ตราบใดที่ไม่ไปกินของหวานที่เหลืออยู่ตอนมื้อเที่ยงน่ะนะ”
โอลด์ บลูหันมาหาสโนไวท์โดยไม่ได้สนใจไลท์นิ่งที่หัวเราะเพราะมุขตลกของแรปปี้ “เอาล่ะ”
เธอใช้งานสโนไวท์ได้ อย่างน้อยโอลด์ บลูก็เข้าใจว่าสโนไวท์ไม่มีความตั้งใจที่จะทรยศเธอในตอนนี้ สโนไวท์และเวทมนตร์ของเธอคือเครื่องมือที่มีประโยชน์ หากใครบางคนวางกับดักเอาไว้ การที่สามารถอ่านความคิดอีกฝ่ายได้ สโนไวท์ก็จะสามารถมอบคำแนะนำที่เหมาะสมได้ หากริปเปิลโกรธเธอที่ใช้งานสโนไวท์ในสนามรบ โอลด์ บลูก็จะพูดว่า “ชั้นคิดว่าสโนไวท์จะปลอดภัยที่สุดเมื่ออยู่กับชั้นนะ” และไม่ว่ามันจะได้หรือไม่ ตราบใดที่เธอคืนตัวสโนไวท์กลับไปอย่างปลอดภัยก็ไม่มีปัญหา หากสโนไวท์ไม่ปลอดภัย แบบนั้นตัวของโอลด์ บลูก็มีแนวโน้มว่าจะไม่ปลอดภัยเช่นเดียวกัน มันจึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
สโนไวท์คงรับรู้เรื่องเหล่านี้จากความคิดของโอลด์ บลู รวมถึงการคิดคำนวนเรื่องริปเปิล แต่ท่าทางและการแสดงออกของสโนไวท์ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป ในขณะที่รู้ตัวเองถูกรับฟังอยู่ โอลด์ บลูก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าทางหรือการแสดงออกของตัวเองเช่นกัน
“เธอยังไหวรึเปล่า?” โอลด์ บลูถาม
“ไหว”
โอลด์ บลูพยักหน้า บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าสโนไวท์สามารถอ่านใจเธอได้ เรื่องต่างๆเลยดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
☆ สโนไวท์
ดวงตาของเธอดูเหมือนว่าจะมองทะลุได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยท่าทีที่ดูอ่อนโยน แค่พูดคุยกับเธอก็เหมือนกับถูกโอบกอด การเคลื่อนไหวเองก็งดงาม แม้ว่าจะอยู่ในโรงเรียนที่เปลี่ยนไปเป็นสนามรบอันนองเลือด หากมองแค่เรื่องที่สามารถเห็นได้จากภายนอก มันก็อาจจะไม่มีวันรู้ว่าแรงขับเคลื่อนของเธอคือความโกรธและความเศร้า
เสียงภายในหัวใจของเธอเอ่อล้นไปด้วยเลือด และมันไม่ใช่แค่ในตอนนี้ เลือดจากหัวใจยังคงไหลออกมานานกว่าสิบปี และมันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
สโนไวท์เมินไลท์นิ่งที่คุยกันอยู่ด้านหลัง —ดูเหมือนว่าพวกเธอกำลังสื่อสารกันและกันอยู่ เธอทำลมหายใจของตัวเองให้สงบนิ่ง แค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวมันก็ยากสำหรับเธอในตอนนี้แล้ว
โอลด์ บลูซ่อนความโกรธแค้นที่มีต่อนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่เอาไว้ เธอเข้าใจว่าถ้านึกถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็อาจจะโดนความโกรธครอบงำเอาได้ ความทรงจำบางอย่างเองก็สำคัญมากเช่นกัน แต่ถ้าจำเป็นเธอก็จะปิดมันเอาไว้ โอลด์ บลูสามารถทำแบบนั้นได้ เธอยังคงเว้นระยะห่างที่มากพอในการพูดคุยกับสโนไวท์ เพราะแบบนั้นสโนไวท์จึงไม่สามารถยินเสียงความคิดของเธอได้
สโนไวท์คือเมจิคัลเกิร์ลที่น่ากลัว แต่ถ้าในตอนนี้เธอพยายามจะสู้กับเฟรเดริก้า เธอก็คือมิตรที่สามารถพึ่งพาได้ เธอรายงานข้อมูลที่ได้รับมาผ่านทางการได้ยินเสียงจากภายในใจ
“ลูกน้องของเฟรเดริก้าพยายามรวมตัวกันในสวน แต่คนของคุณทำให้มันยากขึ้นสำหรับอีกฝ่าย” สโนไวท์บอกโอลด์ บลู
“แบบนั้นดีแล้ว”
“พวกนักเรียนเองก็รวมตัวกันในสวน แต่…”
“แต่?”
“ปกติแล้วมันยากที่จะได้ยินเสียงมาจากทิศทางนั้น”
“หืมม”
“จากเสียงในหัวใจของไซคีในตอนที่มุ่งหน้าไปที่นั่น เธอกำลังถูกควบคุมจิตใจอยู่”
“นั่นก็เพราะอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน”
อาจารย์ใหญ่ป้องกันตัวเองมากจนเกินไปด้วยเวทมนตร์ที่ป้องกันไม่ให้สโนไวท์รับฟังความตั้งใจจริงของเธอได้ มันมีอะไรบางอย่างถูกซ่อนเอาไว้ภายในสวน คนที่จัดการห้องเรียนคืออาจารย์ใหญ่ เมื่อเอาความจริงพวกนี้มารวมเข้าด้วยกัน อาจารย์ใหญ่จึงดูน่าสงสัย มันสมเหตุสมผลสำหรับเธอ มันมีเหตุผล แต่ก็ยังคงทำให้เธอโกรธ
โอลด์ บลูสามารถอ่านความโกรธของใครบางคนเช่นสโนไวท์ได้ในทันที แต่สโนไวท์ยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง มองดูใบหน้าและยังคงรายงานต่อไป
“ฉันสามารถยืนยันเรื่องทุกอย่างก่อนที่เฟรเดริก้าจะปรากฏตัวขึ้นมาได้ แต่ฉันก็มีปัญหาเรื่องการได้ยินความคิดมาตั้งแต่ตอนนั้น”
“โฮะโฮ่”
จากการโดนสายฟ้าเข้าไปเมื่อไม่นานมานี้มันทำให้แผ่นหลังของเธอเกิดอาการกระตุก เธอรู้สึกจะหมดสติไปเพราะความเจ็บปวด ตัวอย่างคือเวทมนตร์ของเธอทำงานได้ไม่ดีในบริเวณสวน แต่เธอก็รู้สึกว่ามันยุ่งเหยิงมากกว่าปกติ นี่เธอสับสนเพราะบาดแผลของตัวเอง หรือมีอะไรบางอย่างในสวนที่ผิดเพื้ยนไปกันนะ?
เธอได้ยินเสียงในหัวใจของคานะที่กรีดร้องออกมา
รันยุยเสียชีวิตแล้ว สโนไวท์รู้เรื่องนี้จากการรับฟังความคิดของโอลด์ บลูมาเรียบร้อย
สโนไวท์รู้ว่าพวกนักเรียนได้ทำการป้องกันสวน แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองควรจะเข้าไปช่วย เธอรู้เรื่องสิ่งที่อาจารย์ใหญ่ฮัลน่าทำลงไปจากความคิดของโอลด์ บลู การคิดว่านักเรียนทุกคนที่อยู่ในสวนถูกควบคุมจิตใจคือเรื่องที่มีเหตุผล
เธอยกหูขึ้นและได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่ง คนๆนี้คงเจอเข้ากับปัญหามากมาย ซึ่งมันทำให้เสียงของเธอมาถึงสโนไวท์ได้ง่ายมาก
“หนึ่งในลูกศิษย์ของคุณ… เมจิคัลเกิร์ลที่ใกล้ชิดกับริปเปิลกำลังพยายามซ่อนตัวอยู่ เธอกำลังหวาดกลัว”
จุดประสงค์ของสโนไวท์คือการบอกว่าลูกศิษย์ของโอลด์ บลูกำลังเจอปัญหา แต่โอลด์ บลูก็ตอบสนองออกมาด้วยท่าทางที่ไม่ได้เปลี่ยนไป
“โชคไม่ดีที่พวกเราไม่มีเวลาไปช่วยเธอ ชั้นแน่ใจว่าเธอจะอดทนได้”
โอลด์ บลูไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องโชคไม่ดี แต่เธอก็ไม่ลังเล เธอจะไม่เสียเวลากับเรื่องที่ต้องทำการตัดสินใจ ซึ่งในสนามรบมันมีมากยิ่งกว่านั้น
สโนไวท์เองก็ไม่มีเวลา เพราะเธอไม่ได้มีนิสัยชอบทำแบบนี้ มันจึงเหตุผลว่าทำไมเธอถึงกังวลและทรมาณใจ 0 ลูลูคือเพื่อนของริปเปิล คิดถึงเรื่องของริปเปิล หากเป็นไปได้สโนไวท์ก็อยากจะช่วยเธอ แต่สโนไวท์ก็ไม่สามารถทำขนาดนั้นได้
หากสโนไวท์ไม่ได้ยินเสียงของความคิด บางทีเธอก็คงจะมีชีวิตด้วยการพึ่งพาคนอย่างโอลด์ บลู แต่เธอสามารถได้ยินความคิดจากผู้คนได้
“เรื่องริปเปิล…”
“ไว้ทุกอย่างจบแล้วพวกเราค่อยคุยกันนะ”
ภาพของริปเปิลลอยขึ้นมาใจของเธอและไม่ได้หายไป ริปเปิลดูกังวลและโกรธอยู่เสมอ แต่บางครั้งเธอก็ยิ้มออกมา
☆ คัลโคโระ
ดาบหนึ่ง สอง และสามเล่มเหวี่ยงขึ้น ส่งเสียงดังก้องออกมาในตอนที่ส่องประกายพร้อมลางร้าย ในตอนนี้เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ การคิดคำนวนของเธอก็ไม่มีความหมาย เธอไม่มีเวลาที่จะร่ายคาถาอะไรเช่นเดียวกัน ลูกคิดของเธอถูกเตะจนลอยขึ้นไปในอากาศและกลิ้งเข้าไปที่มุมห้องเรียน เธอเอื้อมมือออกไปตามสัญชาตญาณ แต่ถึงเธอจะคิดว่า ต้องทำให้อีกฝ่ายปล่อยตัวเองไปให้ได้ เธอก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ในตอนนี้
“ลาก่อน”
เธอกำลังจะตาย เธอกำลังจะถูกฆ่าตาย ทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้นะ? ทำไมถึงมีปรินเซสไลท์นิ่งอยู่มากขนาดนี้? ไม่มีใครที่จะตอบคำถามเธอ ปากของเธอเปลี่ยนรูปร่างเป็นคำว่า “หยุดนะ” แต่เสียงของเธอก็สั่นจนฟังไม่เป็นคำพูด
“เดี๋ยวก่อน”
หนึ่งในไลท์นิ่งยกมือขึ้น เธอมีอุปกรณ์รูปทรงแบนที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ บางทีอาจจะเป็นอุปกรณ์สื่อสาร เธอใส่เข้าไปในหูและก็พยักหน้าตาม
“มาสเตอร์บอกว่าอย่าฆ่าเธอ”
หลังจากนั้นไม่นาน ดาบแต่ละเล่มก็ลดลงตามกันไป คัลโคโระถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทรุดตัวลงไปกับพื้น และเงยหน้ามองขึ้นมามองพวกเธอ
พวกเธอจะไม่ฆ่างั้นเหรอ…?
เธอไม่เข้าใจจริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวที่เธอสามารถเข้าใจได้บางทีอาจจะมีเพียงแค่เล็กน้อย เธอยกตัวขึ้นมา เมื่อสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นเธอก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้ ก่อนที่จะคิดถึงเรื่องเหตุผลว่าทำไม เธอก็กระโดดไปด้านขวา ไปที่มุมห้องตรงจุดที่ลูกคิดของเธออยู่
ไฟสีแดงดำที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์พุ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน ไลท์นิ่งสามคนตอบสนองช้ากว่าคัลโคโระเพียงแค่เสี้ยววิ แต่พวกเธอก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีแบบเต็มๆได้ ในตอนที่เส้นผมและชุดถูกเผาไหม้ พวกเธอจับดาบพร้อม มุ่งหน้าตรงไปยังต้นเพลิง ไปยังเมจิคัลเกิร์ลสวมหน้ากากที่เป็นผู้โจมตี
คัลโคโระคว้าลูกคิดขึ้นมา ยังคงรักษาความเร็วเอาไว้ในตอนที่ทำลายหน้าต่างของห้องเรียน ผู้โจมตีสวมหน้ากากนั้นมาจากซีรี่ย์ สตาร์ควีน แตกต่างจากเมจิคัลเกิร์ลที่คัลโคโระเคยสู้ด้วย บนชุดของอีกฝ่ายไม่มีรอยหรือการเปื้อน ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าได้ทำการต่อสู้มา คัลโคโระเองก็จำเวทมนตร์นั้นไม่ได้เช่นเดียวกัน
ซ่อนตัวอยู่งั้นเหรอ? หรือบางที…
อีกฝ่ายคือกองกำลังใหม่ พื้นสั่นสะเทือนด้วยสายฟ้า เสียงของดาบที่ปะทะเข้าหากันดังขึ้นอย่างรุนแรง จำนวนมันเพิ่มมากขึ้น กองกำลังใหม่ถูกส่งเข้ามา นี่คือกองกำลังที่แตกต่างจากไลท์นิ่ง คัลโคโระกระโดดลงไปที่ด้านล่างของไม้กระดานที่หัก เข้าไปที่ด้านล่างพื้นทางเดิน การคลานไปรอบๆเหมือนกับหนูอยู่ในความมืดคือความตั้งใจของเธอ เธอยังคงเคลื่อนไหวไปยังที่ที่เงียบที่สุด
ใครบางคนคงมาที่นี่ก่อนหน้าเธอ มันมีร่องรอยอยู่บนพื้น มีร่องรอยนอกจากมือและเท้าอยู่ด้วย —นี่เธอลากอาวุธยาวงั้นเหรอ?
ควรทำยังไงดี?
เธอแยกตัวกับพวกนักเรียน หากมิส ริลและอาร์ลี่ไม่ได้ป้องกันสายฟ้าเอาไว้ คัลโคโระก็คงจะตายไปแล้ว นี่โดรี่ปลอดภัยรึเปล่า? คัลโคโระกำลังสับสนในตอนที่หันตัวกลับ
เธอจำได้ว่ามีการประกาศที่บอกว่าให้ไปรวมตัวกันในสวน การคิดว่านั่นคือเป้าหมายของการประกาศก็ไม่แปลก อย่างน้อยอาจารย์ใหญ่ก็ยังคงปลอดภัย หากโฮมุนครูสรักษาความปลอดภัยยังคงมีอยู่ หรือต่อให้ไม่มีแล้ว มันก็ควรจะมีระบบรักษาความปลอดภัยบางอย่างที่ดีกว่ามาก หากพวกเธอเน้นไปที่การป้องกันตัวเอง ในขณะที่ปล่อยให้กองกำลังอีกสองฝ่ายทำลายกันเอง แล้วในที่สุดหน่วยสืบสวน ฝ่ายข่าวกรอง หรือใครก็ตามจะเข้ามาช่วยพวกเธอแน่
นอกเหนือจากเรื่องนี้ คัลโคโระก็ไม่ได้เรื่องอื่นที่สามารถคาดหวังได้ หากนักเรียนจำการประกาศได้ พวกเธอก็ควรจะมุ่งหน้าไปทางนั้น เธอเองก็ควรจะมุ่งหน้าไปที่สวนด้วย แม้ว่าจะอยู่ใต้พื้นทางเดิน ที่ที่ยากที่จะบอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เธอก็จะคิดเรื่องทิศทางและตำแหน่งให้ออกด้วยการคำนวน
คัลโคโระเคลื่อนไหวไปข้างด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าหนู
☆ มานา
ไม่ว่าเธอจะจ้องมองมากแค่ไหน จากภายนอกของบาเรียก็มองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนได้แค่ลางๆ บางครั้งเธอก็เห็นแสงจ้าหรือการระเบิดเกิดขึ้น แต่เธอไม่สามารถแม้กระทั่งสำรวจมันได้อย่างที่ควรจะทำ ทุกสิ่งที่เธอทำได้คือยืนนิ่งๆอยู่ที่ด้านนอกพร้อมกับกัดฟัน
ภายในบาเรีย เธอมองไม่เห็นว่าเกิดเรื่องแปลกๆขึ้นตรงพื้นที่โรงเรียนหลักของมัธยมต้นอุเมะมิซากิ ในขณะที่อาคารเรียนเก่ามีภาพของเมจิคัลเกิร์ลจำนวนหนึ่งที่กำลังวิ่งไปรอบๆและกำลังต่อสู้ มานาได้ยินว่าพวกนักเรียนเป็นหัวแถวของยอดฝีมือ แต่เธอก็สงสัยว่าพวกนักเรียนทั้งหมดจะปลอดภัยดีเมื่อถูกโยนเข้าไปใส่ท่ามกลางสนามรบรึเปล่า
การวิเคราะห์บาเรียเป็นไปอย่างช้าๆ พวกเธอได้ส่งผู้ร่ายเวททั้งหมดที่มีจากฐานบัญชาการหน่วยสืบสวนออกไปและเรียกทุกคนที่เตรียมพร้อมอยู่มา แต่รายงานที่ได้กลับมาไม่ได้บ่งบอกอะไรแบบเจาะจง ไม่ได้มีอะไรที่มีประโยชน์เพิ่มมากขึ้นเลย
ผู้ร่ายเวททำการล้อมบาเรียเผื่อเอาไว้ แต่เรื่องส่วนใหญ่ที่พวกเธอสามารถทำได้คือป้องกันไม่ให้คนธรรมดาเข้าไปใกล้
มานาไม่สามารถติดต่อหาสโนไวท์ได้ การสื่อสารทุกอย่างถูกตัดขาด
มานากัดฟันแน่น การตอบสนองในขั้นต้นมันเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่มันก็ยังคงไม่มากพอ ดาดฟ้าของอาคารเรียนเก่าถูกระเบิดออก มานาป้องกันใบหน้าเอาไว้ตามสัญชาตญาณ ดาดฟ้าพังลงมา ทำให้ฝุ่นควันฟุ้งขึ้น มันทำให้ภาพที่เบลออยู่แล้วพร่ามัวขึ้นไปอีก
“นี่ ฟังนะ”
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เธอยังรู้สึกรำคาญเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ข้างๆด้วย คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องมันไม่ได้มีเหตุผลดีๆที่จะอยู่ที่นี่เลย แต่อูรูรุอยู่ที่นี่เพราะเธอบอกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในพวกเดียวกันกับสโนไวท์ มานาเดินไปตามเส้นรอบวงด้านนอกของบาเรียโดยไม่ได้สนใจอูรูรุ พวกเธอขาดซึ่งระบบการรักษาความปลอดภัยจริงๆ
“ฟังนะ ฟังนะ”
“เงียบหน่อย”
“ฟังนะ —อูรูรุมีความคิดดีๆล่ะ”
“ชั้นบอกเธออยู่นะว่าให้เงียบ”
“เธอแค่ต้องไปพาคนมาช่วยนะ”
มานาหยุดเดินและหันกลับมา อูรูรุพยักหน้า ใบหน้าของเธอดูพอใจอย่างน่ารำคาญ
“พวกนักเรียนมากันจากหลายๆที่ใช่ไหมล่ะ? ถ้าไปบอกทางนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น ทางนั้นก็จะส่งคนเข้ามามากขึ้น อูรูรุรู้จักคนรู้จักของสโนไวท์ที่สามารถช่วยได้ อูรูรุเองก็มีเส้นสายในฝ่ายพัคด้วยนะ ดังนั้นถ้าตอนนี้มีคนไม่พอ เธอก็แค่ควรจะหามาจากที่อื่นสิ!”
หลายคนในหน่วยสืบสวนไม่ชอบให้คนนอกยื่นหน้าเข้ามาในการสืบสวน ในคราวนี้มันมีผู้ที่ได้ส่วนได้ส่วนเสียอยู่มาก และมานาก็ถูกหัวหน้าบอกมาโดยตรงว่าหากมีคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านโผล่ออกมา เธอก็ควรที่จะไล่ออกไป
มานาเห็นด้วยกับเรื่องนั้น ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะความภาคภูมิใจของ พวกนั้น —หน่วยสืบสวน— ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของจริง แต่ในตอนนี้ เธอไม่ได้ความรู้สึกที่จะปฎิเสธข้อเสนอของอูรูรุว่ามันงี่เง่า ความจริงแล้ว แม้ทางหน่วยสืบสวนตั้งใจคลายเวทมนตร์อย่างเต็มที่ มันก็ไม่มีใครที่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่บาเรียจะคลายลง
“…ขอชั้นถามอะไรเธออย่างนึง” มานาพูดกับอูรูรุ
“อะไรล่ะ?”
“นี่เธอคิดแผนถามหาความช่วยเหลือจากที่อื่นขึ้นมาเองงั้นเหรอ?”
“แน่นอน อูรูรุคิดเองสิ”
ในตอนนี้มานารู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าอูรูรุเป็นคนที่คิดแผนการนี้ และนั่นคือการเธอที่รู้ว่าเวทมนตร์ของอูรูรุกำลังทำงาน —ซึ่งมันหมายถึง อูรูรุกำลังโกหก
แผนของสโนไวท์สินะ
“แบบนั้นควรที่จะมีรายชื่อของคนที่พวกเราควรติดต่อ” มานาพูด “บอกชั้นมา!”
“หวา ชอบสั่งจัง! ก็ได้ เอ้านี่!”
รายชื่อมันยาวเป็นหางว่าว มานากวาดตาดู มันมีชื่อของผู้ร่ายเวทชื่อดังที่แม้กระทั่งมานายังอยู่จักอยู่ด้วย หากหน่วยสืบสวนสามารถเรียกทั้งหมดมาได้ แบบนั้นการคลายบาเรียก็ไม่ใช่แค่เรื่องเกินจริงแล้ว
การทำให้หัวหน้าไม่พอใจเองก็เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ผู้ตรวจการณ์ เธอบอกตัวเอง เธอได้ยินเรื่องตลกแบบนี้มาจาฮานะ เกโคคุโจ
มานาเดาะลิ้นและพยักหน้า
MANGA DISCUSSION