สโนไวท์ไรซิ่งโปรเจค
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค จบลงในทันที
เมจิคัลเกิร์ลสโนไวท์ทำให้ตัวเองเป็นคนนอกคอก หลังจากที่รอดชีวิตมาจากการทดสอบครั้งสุดท้ายของนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ เธอก็เป็นทั้งเหยื่อของเหตุการณ์และโจทก์ของอาชญากรรมในครั้งนั้น —การนองเลือดอันน่าสยดสยอง
เมื่อเรื่องราวของเหตุการณ์ถูกเปิดโปง เธอก็ถูกมองว่าเป็นฮีโร่ที่กล่าวหาแครนเบอร์รี่อยู่พักหนึ่ง เธอยังได้รับความเห็นอกเห็นใจในฐานะเหยื่อผู้น่าสงสารอีกด้วย แต่เธอก็มีท่าทีหัวรั้นเกี่ยวกับมันมาก ปัดความเห็นอกเห็นใจและความเคารพออกไปอยู่ตลอด จนสุดท้ายแล้ว มันจึงไม่มีใคร —แม้กระทั่งคนนอก— ที่พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอ
แต่ดินแดนเวทมนตร์จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสโนไวท์ พวกนั้นจำเป็นต้องมีความชัดเจนว่าจะรับมือกับเธอยังไง ต้องเน้นย้ำความจริงใจต่อเหยื่อของเหตุการณ์แครนเบอร์รี่ ป้องกันความไม่พอใจและไม่สบายไม่ให้แพร่กระจายไปยังเมจิคัลเกิร์ลคนอื่น… อย่างน้อยที่สุด นั่นก็คือความเชื่อของฉัน เพราะดินแดนเวทมนตร์มักจะปกปิดปัญหาใดๆเป็นการชั่วคราวอยู่บ่อยครั้ง
และไม่นาน สโนไวท์ก็ได้รับการปฎิบัติอย่างคาดไม่ถึง : เธอถูกแต่งตั้งเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของดินแดนเวทมนตร์ ซึ่งพิสูจน์ความเชื่อของฉันได้มากยิ่งขึ้นว่านี่เป็นเหยื่อล่ออย่างเห็นได้ชัด
มันทำให้ต้องเลือกระหว่างการเป็นเมจิคัลเกิร์ลต่อไปด้วยการยอมรับข้อเสนอนี้ หรือลบความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเมจิคัลเกิร์ลออกไป กลับคืนสู่สังคมในฐานะคนธรรมดา และสโนไวท์ก็เลือกอย่างแรก ถ้าเป็นไปได้ ทางดินแดนเวทมนตร์คงอยากให้เธอออกไปมากกว่า เพราะมันหมายถึงว่าจะไม่มีปัญหาหรือความวุ่นวายตามมาในอนาคต หากดูจากการแสดงออกของสโนไวท์ในการทดสอบแล้ว แน่นอนว่ามันมีความคาดหวังว่าเธอจะเลือกอย่างหลัง แต่สโนไวท์ก็ไม่ได้ทอดทิ้งการเป็นเมจิคัลเกิร์ลไป
ในวันที่ฉันได้ยินข่าวเรื่องนี้ ฉันก็อาสาที่จะเป็นพี่เลี้ยงของสโนไวท์
สโนไวท์ไม่เคยได้รับการทดสอบที่ถูกต้องหรือได้รับการสั่งสอนอย่างที่ควรจะเป็น และถ้าเธอจะกลายเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของดินแดนเวทมนตร์ แบบนั้นใครซักคนก็ต้องสอนเธอว่าจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่น่าเคารพได้ยังไง มันเหมือนกับการฝึกเจ้าสาวมือใหม่ให้เรียนรู้เรื่องงานบ้าน
ฉันไม่ใช่ผลผลิตจากระบบการทดสอบของแครนเบอร์รี่ ฉันถูกเลือกเป็นเมจิคัลเกิร์ลผ่านทางการทดสอบที่ถูกต้อง ที่อยู่ของฉันค่อนข้างที่จะอยู่ใกล้กับเขตที่สโนไวท์รับผิดชอบ ฉันเป็นผู้มีประสบการณ์ที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีและมีเวลาว่างมากพอสมควร ฉันเองก็มีประสบการณ์กับทางดินแดนเวทมนตร์พอสมควรด้วย มันเติมเต็มเงื่อนไขสำหรับการเป็นพี่เลี้ยง ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าถ้าตัวเองอาสา แบบนั้นฉันก็จะได้รับเลือก
และฉันก็ได้รับเลือกจริงๆ ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่อาสาจะเป็นพี่เลี้ยงของสโนไวท์ ฉันเป็นคนประหลาดเพียงคนเดียวที่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอ
ฉันสนใจในตัวของสโนไวท์ เธอเป็นเด็กสาวที่ประหลาด —แม้จะพบกับบางอย่างที่ไม่ใช่เพียงแค่ขจัดภาพลวงตาเกี่ยวกับเมจิคัลเกิร์ลออกไป แต่ยังทำให้รู้สึกสิ้นหวังกับมันด้วย เธอกลับยังคงเลือกที่จะเป็นต่อ แม้จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนการทดสอบครั้งสุดท้ายของแครนเบอร์รี่ ทุกสิ่งที่ฉันคิดได้ก็คือ —ทำไมถึงเป็นเธอกันล่ะ? ฉันเห็นริปเปิลที่เป็นผู้รอดชีวิตอีกคนหนึ่งทำหน้าที่ต่อไปเพราะปฎิเสธที่จะยอมแพ้ หรือเพราะจิตวิญญาณในการต่อสู้ หรือเพราะเรื่องบางอย่างของจิตใจ และริปเปิลเองก็ไม่ได้เลิกเป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่การตัดสินใจของสโนไวท์มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี
มันกวนใจฉัน เพราะแบบนั้นฉันถึงได้อาสามาทำหน้าที่ ถูกเลือกโดยที่ไม่ต้องทำการสัมภาษณ์ใดๆ ฉันติดต่อไปหาสโนไวท์ในทันที แนะนำตัวเอง พูดถึงเหตุผลที่ติดต่อมาแบบสั้นๆ —ว่าในตอนนี้ฉันคือพี่เลี้ยงของเธอ— และพูดว่า “การเจอกันซึ่งหน้าคงจะยากเพราะข้อจำกัดเรื่องเวลา เพราะแบบนั้นฉันจะติดต่อมาทางโทรศัพท์เป็นหลัก” จากนั้นก็จบด้วยการพูดอย่างไม่จริงใจตามมาตราฐาน “ถ้าหนักใจเรื่องอะไรติดต่อหาฉันได้ตลอดนะ”
การที่สโนไวท์ตอบกลับมาแบบไม่กระตือรือร้นเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าเธอไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับฉันจริงๆ แต่ฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ ดังนั้นฉันจึงพยายามมากขึ้นเล็กน้อย
“ได้ทุกเรื่องเลยนะ จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ได้ ตอนที่ฉันเป็นมือใหม่ ฉันก็ขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ในเรื่องเล็กๆน้อยๆเหมือนกัน”
“งั้นเหรอคะ”
“ดังนั้นอย่าลังเลที่จะถามคำถามอะไรกับฉันนะ ไม่ใช่แค่เรื่องของเมจิคัลเกิร์ล —จะเป็นเรื่องที่โรงเรียนหรือเรื่องที่บ้านก็ได้ ทุกเรื่องมันไม่ได้เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบใช่ไหมล่ะ?”
เธอไม่ได้ตอบสนองกับคำพูดของฉันตามธรรมเนียม
“คุณเฟรเดริก้า ช่วยบอกฉันเรื่องนึง ฉันต้องทำยังไงถึงจะแข็งแกร่งขึ้นได้?”
คำพูดนั้นดูเหมือนว่าง่ายและยังสามารถตีความได้ในหลายๆทาง ฉันเอียงศีรษะและยืดลำคอ อย่างที่ฉันหวังเอาไว้เลย เธอคือเด็กสาวที่น่าสนใจ
“ความแข็งแกร่งแบบไหนงั้นเหรอ? หมายถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจรึเปล่า?”
“ฉันหมายถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้”
“ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลจำเป็นต้องมีไม่ใช่ความแข็งแกร่งนะ ความเมตตา เสน่ห์ ความมีน้ำใจ มิตรภาพ ความจริงใจ —ฉันอยากจะบอกว่าบางทีเรื่องแบบนั้นคือสิ่งที่จำเป็นนะ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องการในตอนนี้”
มีการโต้แย้งตามมา และจากนั้นสโนไวท์ก็อ้างเหตุผลขึ้นแล้วก็วางสายไป
ฉันทำให้เธอโกรธซะแล้ว
ความจริงแล้ว ผู้ที่ออกมาจากการทดสอบของแครนเบอร์รี่อาจจะไม่มีเรื่องเหล่านั้นอยู่เลย การโต้เถียงด้วยอุดมการณ์ก็อาจดูเป็นการพยายามทำให้ตัวเองดูดี —มันไม่สามารถเปลี่ยนนรกที่เธออยู่ให้กลายเป็นยูโทเปียได้เลย
ดังนั้นแทนที่จะตำหนิเธอในเรื่องหยาบคาย ฉันส่งข้อความไปหาเธอ คิดที่จะเข้าไปใกล้ให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย
ทำไมเธอจำเป็นต้องแข็งแกร่งด้วยล่ะ?
เธอตอบมาว่า : ฉันจำเป็นต้องมีสำหรับเรื่องที่ตัวเองพยายามจะทำ
ดังนั้นฉันจึงถามไปว่า : เธอพยายามจะทำอะไรงั้นเหรอ?
คำตอบหยุดลงที่ตรงนี้
มันคงจะเป็นอะไรบางอย่างที่เธอไม่สามารถพูดกับพี่เลี้ยงได้ ฉันจึงตัดสินว่าจะขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก
เธออยู่ในการทดสอบของแครนเบอร์รี่นะ มันมีสายตาคอยจับจ้องเธออยู่ ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่ผิดกฏหมายในตอนนี้คือความคิดที่ไม่ดี แม้จะเป็นเรื่องที่เกือบจะผิดกฏหมายก็ด้วย ถ้าเธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรง แม้ว่าจะเป็นฝ่ายถูก ทุกคนก็จะพูดว่าเธอก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแครนเบอร์รี่—
ฉันลบข้อความส่วนใหญ่ออกไปและเขียนการตอบของตัวเองใหม่
เธออยู่ในการทดสอบของแครนเบอร์รี่นะ ในอีกด้านหนึ่ง ฉันสงสัยว่าจะมีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่อยากจะฝึกเธอเรื่องการต่อสู้อยู่รึเปล่า และคนที่จะทำแบบนั้นคือคนที่เห็นอกเห็นใจแครนเบอร์รี่ คนที่เป็นนักสู้ที่รักการต่อสู้ ตอนนี้เมจิคัลเกิร์ลพวกนั้นเองก็กำลังถูกดินแดนเวทมนตร์จัดการอยู่ด้วย
ฉันส่งข้อความนี้ออกไป
ทำไมฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้กันนะ ทั้งๆที่เรื่องที่ตัวเองทำก็คือการส่งข้อความเดียวออกไป? ฉันหยิบแฟ้มที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา นั่งลงไปที่เก้าอี้ในห้องครัวและค่อยๆพลิกหน้าอย่างช้าๆ ในแฟ้มเอกสารนี้ ฉันบันทึกรูปภาพของเมจิคัลเกิร์ลที่ตัวเองเคยเห็นก่อนหน้านี้เอาไว้ ทรงผมของพวกเธอแววาวราวกับนางฟ้า มีพลังงานอันแสนนุ่มนวล ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยและเหมาะสมจนดูเหมือนเป็นการกระทำที่ดูนอกลู่นอกทาง การมองดูเส้นผมของเมจิคัลเกิร์ลมันลบความเครียดของฉันออกไปได้แบบง่ายๆ หลังจากที่พักผ่อนจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นาน เมจิคัลโฟนของฉันก็ส่งเสียงดัง และฉันก็โยนแฟ้มไปที่ด้านบนโต๊ะ
“จัดการ” ที่ว่านี่ คุณหมายถึงคนพวกนั้นโดนจับกุมหมดแล้วเหรอ?
ฉันอ่านและก็อ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจออีกครั้ง จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า พวกคนที่มีประสบการณ์บางคนหลุดรอดเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่มาได้น่ะ
เมื่อพิมพ์ไปได้ครึ่งทาง ฉันก็แก้ไขใหม่
มีข่าวลือว่าพวกมีประสบการณ์บางคนรอดเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่ไปได้ แต่ยังไง ฉันก็เชื่อว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าข่าวลือ
เท่านี้คงจะมากพอ
สโนไวท์กระโดดเข้าหาหัวข้อนี้อย่างที่คิดเอาไว้ ข่าวลือพวกนั้นมีความจริงอะไรอยู่รึเปล่า?
โดยทั่วไปแล้วฉันมีความคิดในเรื่องที่เธอต้องการ เมจิคัลเกิร์ลที่ผ่านทดสอบของแครนเบอร์รี่มา —โดยทั่วไปแล้วจะถูกเรียกว่า “เด็กสาวของแครนเบอร์รี่”— ไม่ว่าจะยังไงก็ตามก็มักจะไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยม
ความสนใจของฉันในตัวของสโนไวท์อยู่ที่จุดนี้
ฉันส่งข้อความที่ไม่จริงใจออกไป ไม่มีหรอก แต่ฉันอยากจะเชื่อเพื่อนของฉัน จากนั้นก็ปิดมือถือไปและหยิบแฟ้มขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้คนพูดกันว่านักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่อยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลตลอดเวลา แต่ฉันไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นได้ ฉันต้องจ่ายค่าเช่า จ่ายภาษี และต่อให้จะไม่มีงานทำ ฉันก็จะรักษาชีวิตของตัวเองในฐานะมนุษย์เอาไว้ เมื่อเทียบกับเมจิคัลเกิร์ลแล้ว สิ่งต่างๆมันมีความสนุกสนานมากกว่าเมื่อได้พบเจอผ่านทางสัมผัสของมนุษย์ —อย่างน้อยที่สุดก็คือเรื่องงานอดิเรก ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ฉันไม่ได้มีหลักฐานอะไร สิ่งที่สำคัญมันก็คือความรู้สึกของฉันที่รู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้น
ในฐานะพี่เลี้ยงของสโนไวท์ ฉันเลยสามารถมองดูเอกสารที่มีรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับเธอได้ ชื่อจริงของเธอคือฮิเมคาวะ โคยูกิ เวทมนตร์ของเธอคือ “ได้ยินความคิดของคนที่ต้องการได้”
เอกสารพวกนี้ยังคงมีรายละเอียดของการทดสอบในเมือง N ที่เธอผ่านมาได้อยู่ด้วย
เกมมือถือ เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค ที่มีจุดขายในฐานะเกมที่เล่นฟรีถูกใช้เป็นเหยื่อล่อเพื่อค้นหาผู้เล่นที่มีศักยภาพด้านเวทมนตร์และทำให้พวกเธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล วิธีการคัดเลือกแบบนี้ถูกทำให้เป็นไปได้ผ่านทางฟาฟที่เป็นไซเบอร์แฟร์รี่ของแครนเบอร์รี่ ผู้ที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีที่ไม่ใช่เวทมนตร์และอาศัยอยู่ในมือถือของมาสเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเว็บไซต์ —เมื่อคิดถึงเรื่องความงุ่มง่ายที่ต้องทำงานกับเมจิคัลโฟนด้วยอุ้งมือแล้ว มันก็เป็นอะไรที่มาสค็อตประเภทสัตว์ตัวเล็กๆแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้เลย
เรื่องนี้มันทำให้ฉันนึกขึ้นได้ —ตั้งแต่ที่เหตุการณ์ของแครนเบอร์รี่ถูกเปิดโปง มันก็มีการยกความคิดเห็นที่ว่ามาสค็อตสัตว์ตัวเล็กๆดีกว่ามาสค็อตประเภทไซเบอร์แฟร์รี่ขึ้นมาใหม่ สมดุลระหว่างทั้งสองประเภทนั้นดีขึ้นมาก การที่ดินแดนเวทมนตร์จะจงใจข้ามไปเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แต่เรื่องราวก็กลับมาสู่หัวข้อที่อยู่ในมือตัวเอง
เมจิคัลเกิร์ลสิบห้าคนที่มีศักยภาพถูกค้นพบผ่านทาง เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค พร้อมกับนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ที่เป็นผู้คุมการทดสอบได้เข้าร่วมด้วย ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดรวมสิบหกคนได้เริ่มต้นการทดสอบ
เรื่องราวแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงเมื่อการทดสอบเริ่มมีการขโมยเมจิคัลแคนดี้ที่ใช้เป็นเงินในเกมจากคนอื่นเกิดขึ้น จำนวนของเมจิคัลแคนดี้จะตัดสินว่าใครที่จะเป็นคนหลุดออกไปจากเกม มันมีการทรยศ วางกับดัก เช่นเดียวกับที่ผู้เข้าแข่งขันฆ่ากันเอง ในตอนที่ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนำไปสู่เรื่องราวทุกอย่าง มันคร่าชีวิตนักดนตรีแห่งพงไพรที่เป็นผู้คุมการทดสอบไป
ด้วยการตายของแครนเบอร์รี่ การทดสอบจึงหยุดลง ฟาฟได้ประกาศว่าเกมจบลงแล้ว แต่หลังจากที่ท็อปสปีดที่เป็นเพื่อนของตัวเองถูกฆ่าตาย ความเดือดดาลของริปเปิลก็ไม่ได้ลดลงไป เธอเข้าไปท้าสู้กับสวิมสวิม —และฆ่าเธอ ตัวของริปเปิลเองก็บาดเจ็บสาหัส
แม้เรื่องราวจะเต็มไปด้วยการนองเลือด แต่เด็กสาวที่อยู่ในคำถาม —สโนไวท์— ก็เพียงแค่กลายเป็นเหยื่อ เธอถูกแก็งค์รูลเลอร์เข้าโจมตี จากนั้นก็ถูกเมจิคัลรอยด์44 โจมตี และกำลังจะถูกทามะโจมตีก่อนที่จะถูกช่วยเอาไว้ เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นแบบนั้น มันดูไม่เหมือนว่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลคนเดียวกันกับที่ฉันพูดด้วยทางโทรศัพท์และข้อความเลย
ถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ เพราะเธอไร้พลังจนต้องแสวงหาความแข็งแกร่งรึเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นเพราะเธอเหม็นเบื่อความไร้พลังของตัวเอง รู้สึกจริงจังกับวิกฤติ หรือหลงไหลในพลังก็ตาม ฉันก็ไม่สามารถบอกได้โดยที่ไม่ได้พยายามจะคุยกับตัวของเด็กสาวเอง และการคุยกันนั้นมันก็ไม่มากพอ —มันจำเป็นต้องมีการเฝ้าดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย
ฉันมองไปยังที่อยู่ปัจจุบันของสโนไวท์ —โคยูกิ ฮิเมคาวะในโลกมนุษย์— และเลือกจังหวะที่เธอไปโรงเรียนเพื่อบุกเข้าไปยังบ้านโคยูกิ ฉันเคยชินกับภารกิจเช่นนี้ มันเป็นวิธีการปกติที่จะได้เส้นผมมา
ฉันหยิบเส้นผมที่ร่วงอยู่บนพรมในห้องของโคยูกิขึ้นมา พร้อมกับมีเสียงของเครื่องดูดฝุ่นที่แม่ของโคยูกิใช้อยู่ที่ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งเป็นเพลงประกอบ
หนังกำพร้าของเส้นผม กลิ่นเองก็ดีด้วยเช่นกัน ฉันอยากจะเอาใส่ในปากไปทั้งๆแบบนี้
ฉันเอาเส้นผมใส่ไว้ในกระดาษชำระแบบเงียบๆ
เมื่อฉันกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล นอกเหนือจากความพิเศษของชุดตามมาตราฐานแล้ว ฉันก็มีคริสตัลบอลที่ขนาดใหญ่ประมาณศีรษะของเด็กอยู่ด้วย การพันเส้นผมของเป้าหมายเอาไว้ที่นิ้วจะเป็นการแสดงตำแหน่งในปัจจุบันออกมาที่คริสตัลบอล ฉันสามารถพันเส้นผมเอาไว้ที่นิ้วแต่ละนิ้วได้ ถึงแม้จะไม่สามารถดูได้พร้อมกัน แต่ฉันก็สามารถสับเปลี่ยนภาพได้
มันมีข้อเสียบางอย่างอยู่ ฉันไม่สามารถใช้เวทมนตร์กับคนที่ไม่มีเส้นผม หรือคนที่เส้นผมสั้นเกินไปจนไม่สามารถเอามาพันไว้รอบนิ้วได้ แต่มันก็ไม่เป็นไร ความไม่สะดวกสบายเล็กน้อยถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง
เมื่อฉันใช้เวทมนตร์ ภาพของเด็กสาวก็จะสะท้อนอยู่ตรงหน้าในระยะที่เอื้อมไปถึง และถ้ายื่นมือออกไป ฉันก็สามารถสัมผัสตัวของเธอได้จริงๆ การใช้เวทมนตร์เบื้องต้นของฉันคือการยื่นมือเข้าไปในคริสตัลบอลและดึงใครบางคนมาทางฝั่งที่ฉันอยู่ ซึ่งฉันไม่ได้ทำเพราะมันจะทำลายทุกอย่างพัง ฉันยับยั้งความต้องการของตัวเองที่จะยื่นมือเข้าไปหาเส้นผมสตอว์เบอร์รี่บลอนด์ที่พริ้วไหวไปกับลมเอาไว้ แค่ต้องมองสำรวจแบบธรรมดาและไม่มีอะไรอย่างอื่น
เวทมนตร์คือระบบที่ไม่ชัดเจน —ด้วยเส้นผมของโคยูกิ ฮิเมคาวะ ฉันก็สามารถเฝ้าดูเธอได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเธอจะแปลงร่างเป็นสโนไวท์ก็ตาม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตราบใดที่มีเวลา ฉันก็จะเฝ้าดูโคยูกิ ฮิเมคาวะหรือสโนไวท์
นอกจากการที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงบ่อยๆแล้ว เธอก็เป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้นที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ภายในห้องเรียนเธอค่อนข้างที่จะขยัน เธอมีเพื่อน เธอไม่ได้มีเสน่ห์ที่น่าเหลือเชื่อ เธอเรียนอยู่ในชั้นมัธยมต้นปีที่สองในช่วงเวลาที่การเรียนคืองานของตัวเอง สิ่งเล็กๆเกี่ยวกับเธอ จากกระเป๋านักเรียน ถุงเท้า ผ้าพันคอ จนถึงจีบกระโปรง มันทำให้ฉันนึกถึงความหลัง —ฉันคิดว่ามันทำให้ฉันแสดงอายุของตัวเองออกมาแล้วสิ
แม้ว่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ล เธอก็สวมชุดที่มีรูปแบบของเครื่องแบบนักเรียน ดอกไม้ประดับสีขาวขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเอวมีเสน่ห์ที่ต่างออกไปจากแครนเบอร์รี่ ถึงพวกเธอทั้งคู่จะมีดอกไม้ประดับอยู่เหมือนกันก็ตาม
โดยทั่วไปแล้วหน้าที่ของเธอถูกรับรองอย่างเป็นทางการจากดินแดนเวทมนตร์ เธอรีบเร่งไปที่นั่นที่นี่ ค้นหาคนที่เจอปัญหาอย่างแม่นยำ บางครั้งเธอจะมองดูเด็กนักเรียนที่เดินอย่างร้อนรนตามถนนในตอนกลางคืน บางครั้งเธอก็จะแบกคนเมาไว้ที่หลังเพื่อที่จะไปส่งที่บ้าน
บางทีเธออาจจะทำเรื่องนี้ด้วยเวทมนตร์ของเธอ “ได้ยินเสียงในหัวใจของคนที่มีปัญหา” ฉันคิดว่าเวทมนตร์ของเธอจะใช้กับคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ระยะของเสียงภายในหัวใจที่เธอสามารถรับรู้ได้มันกว้างกว่าที่ฉันจินตนาการไปมาก ฉันนับว่ามันอันตรายมากเพราะไม่มีเวทมนตร์ประเภทเทเลพาธีชนิดอื่นที่ครอบคลุมระยะกว้างขนาดนั้นอีกแล้ว
เธอจะเลือกเสียงของหัวใจแบบเฉพาะเจาะจงอย่างแม่นยำ และจากนั้นก็ทำให้แน่ใจว่าสามารถจัดการปัญหาของอีกฝ่ายได้ เมจิคัลเกิร์ลหน้าใหม่ที่เปิดตัวมาและทำสิ่งต่างๆได้ดีระดับนี้มันมีไม่มาก บางทีเธอสามารถรับมือในการใช้งานแบบวงกว้างได้เพราะสิ่งที่เธอสามารถอ่านได้มันมีจำกัด
ฉันรู้จักเมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งที่มีพลังเทเลพาธีแบบไม่มีขีดจำกัด และเมื่อเมจิคัลเกิร์ลที่มีทักษะในคิดอย่างรวดเร็วได้ส่งข้อมูลของตัวเองออกมาแบบรวดเดียว เธอก็ไม่สามารถทนต่อภาระนั้นได้จนจิตใจของตัวเองถูกทำลาย เรื่องแบบนั้นบางทีคงจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับสโนไวท์
หลังจากที่ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว สโนไวท์ก็จะไปพบกับเมจิคัลเกิร์ลอีกคนหนึ่งที่ทำงานในเมือง N เช่นเดียวกัน สถานที่ก็คือสวนสาธารณะสำหรับเด็กเล็ก และช่วงเวลาก็ใกล้กับตอนเช้ามืด
เธอสวมชุดสีดำที่พื้นฐานมาจากนินจา เส้นผมยาวดำมัดเอาไว้ที่ด้านข้างตัว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเธอก็คือคือดวงตาข้างซ้ายและแขนซ้าย บาดแผลขนาดใหญ่และลึกวิ่งผ่านด้านซ้ายของใบหน้าราวกับว่าถูกคว้านออกไปด้วยมีดที่ทื่อและหนักจนดวงตาซ้ายถูกทำลาย แขนเสื้อข้างซ้ายตั้งแต่ข้อศอกลงไปก็พริ้วไหวไปกับลม บ่งบอกว่าไม่มีอะไรอยู่ด้านใน
ชื่อของเธอปรากฏออกมาในเอกสารเช่นกัน เธอคือริปเปิล
นอกจากประวัติที่ไปเกินกว่าขอบเขตของการทดสอบและการฆ่าเมจิคัลเกิร์ลไปด้วยความแค้นส่วนตัวแล้ว การเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่มีตาและแขนเพียงอย่างละหนึ่งมันก็ทำให้เธอดูน่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ จากข้อมูลที่มีตอนก่อนหน้านี้ ฉันจินตนาการว่าเธอจะดูเหมือนยักษ์หรือปีศาจ แต่เมจิคัลเกิร์ลชุดดำในคริสตัลบอลกำลังยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
อ๊ะ ฉันคิด เธอยิ้มออกมาเหมือนกับคนที่รีไทร์จากวงการแล้ว
ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเพราะเธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนกับก่อนหน้านี้ในฐานะนักรบ ฉันได้ยินว่าริปเปิลร้องขอว่าไม่อยากให้บาดแผลของตัวเองจากการทดสอบถูกรักษา
นั่นคือการลงโทษตัวเองจากการฆ่าใครบางคนที่ไม่จำเป็น แม้ว่ามันจะเป็นการล้างแค้นให้เพื่อนงั้นเหรอ?
หรือว่ามันคือการมอบบทเรียนให้ตัวเองว่าเธอจะไม่มีวันลืมการทดสอบของแครนเบอร์รี่ และถ้าเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นเห็นริปเปิล พวกเธอก็จะถูกบังคับให้นึกถึงด้วยรึเปล่า?
หรือว่าจะมีเหตุผลอื่นอยู่นะ?
ฉันจะไม่รู้เลยจนกว่าจะถามริปเปิลด้วยตัวเอง และถึงฉันจะถามไป มันก็ไม่รู้ว่าเธอจะบอกรึเปล่า
คู่ของเมจิคัลเกิร์ลสีขาวดำนั่งลงข้างๆกันตรงขั้นบันได แลกเปลี่ยนคำพูดกันไม่กี่คำ ริปเปิลมองดูสโนไวท์ในแบบเดียวกันที่รุ่นพี่มองมาที่รุ่นน้อง พ่อแม่มองดูลูก หรืออาจารย์มองมาที่ลูกศิษย์ โน้มน้าวฉันให้คิดว่าจุดยืนของริปเปิลคือคนที่รีไทร์ไปแล้วจริงๆ เธอคงมีข้อสรุปบางอย่างอยู่ในตัวเอง ฉันไม่รู้ว่าข้อสรุปนั้นมันเกี่ยวข้องกับอะไร
สโนไวท์แตกต่างออกไป เธอดูเหมือนว่าพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับริปเปิลแต่ว่าไม่สามารถทำให้ตัวเองพูดออกมาได้ ท่าทางของเธอดูลังเลและพึมพำอะไรบางอย่าง มันเหมือนกับการมองดูเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงวัยรุ่นที่อยู่ด้วยกัน และมันก็ทำให้หัวใจฉันสงบ มันเป็นอะไรที่น่ารัก แต่เรื่องของสโนไวท์ไม่ใช่อะไรที่น่ารักเช่นนั้น
เธอพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น เธอต้องการอาจารย์ที่นำทางเธอไปสุ่จุดสูงสุดได้ ด้วยการเป็นหนึ่งในเด็กสาวของแครนเบอร์รี่ มันจึงไม่มีใครในดินแดนเวทมนตร์ที่จะสอนการต่อสู้ให้กับเธอ หากจะมี ก็คงจะเป็นใครบางคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน —ใช่แล้ว อย่างริปเปิลยังไงล่ะ
มันคงเป็นเรื่องยากที่จะถาม แค่จากการมองดูริปเปิลฉันก็สามารถบอกได้ ฉันคิดว่าริปเปิลมีความตั้งใจที่จะลงจากเวทีอยู่ เธอได้เติมเต็มสิ่งที่ตัวเองอยากเติมเต็มและทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ สโนไวท์คงรู้สึกไม่ดีที่ลากริปเปิลเข้ามาเรื่องที่ตัวเองอยากจะทำ เรื่องมันคงจะเป็นแบบนั้น
สโนไวท์ขาดความเย่อหยิ่ง เธอขาดความไร้ยางอายที่จะเพิกเฉยต่อความต้องการของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือเพื่อน และไม่แสดงความประหม่าออกมาสำหรับเรื่องที่ตัวเองอยากจะทำ แครนเบอร์รี่คือคนที่เก่งเรื่องนั้นที่สุด —เพิกเฉยทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ ในขณะที่สโนไวท์แน่นอนว่าจะไม่ทำแบบนั้น นั่นคือเรื่องเธอควรจะตั้งเป้าสำหรับตอนนี้
ริปเปิลและสโนไวท์แยกย้ายกัน สโนไวท์โบกมือเล็กน้อย และเมื่อริปเปิลออกไปจนมองไม่เห็นตัวแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมา
ฉันปิดภาพในคริสตัลบอล คลายการแปลงร่าง และดึงเครื่องบดกาแฟออกมา ฉันใช้เวลาในการบดเม็ดกาแฟพร้อมฟังเสียงกาน้ำที่ส่งเสียงร้อง ฉันคิดถึงเรื่องของสโนไวท์
ฉันได้ข้อสรุปออกมา ถ้าหากผลักดันเธอซักเล็กน้อย แบบนั้นเธอก็อาจจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ฉันตามหา
มีคนมากมายหลายต่อหลายคนก่อนหน้าฉันที่คิดว่าเมจิคัลเกิร์ลควรจะทำอะไรเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น ฉันอ่านเอกสารที่คนเหล่านั้นทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง —รวมถึงบันทึกการทดสอบของแครนเบอร์รี่— และเพิ่มมันเข้าไปในประสบการณ์ของตัวเอง
เมจิคัลเกิร์ลแต่ละคนต่างก็มีพลังเวทมนตร์แบบเฉพาะตัว ความสามารถทางกายภาพ และสุดท้ายก็คือเทคนิคการต่อสู้ของพวกเธอ
เมจิคัลเกิร์ลมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากในทุกขอบเขต ตั้งแต่ในตอนที่พวกเธอถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะเมจิคัลเกิร์ล เมจิคัลเกิร์ลบางคนอาจจะอธิบายเรื่องนี้ว่า “มีโลกที่แตกต่างกันไป” เมจิคัลเกิร์ลบางคนจะต่อสู้กับเทพเจ้าปีศาจในสเกลพลังระดับจักรวาล แต่เมจิคัลเกิร์ลบางคนจะแก้ไขปัญหาของเพื่อนบ้านในขณะที่ทำอะไรผิดพลาดอย่างซุ่มซ่ามในระหว่างทาง
ฉันไม่เชื่อว่าความแตกต่างมันจะมากจนถึงขั้นที่สิ้นหวัง ปัญหามันก็คือตอนที่ตัวเอง เชื่อ ว่าคือความแตกต่างในระดับที่สิ้นหวังต่างหาก
การที่มนุษย์จะแข็งแกร่งขึ้นได้ พวกนั้นจำเป็นต้องทำอะไรที่สมจริง —ในเรื่องของเวลาที่ต้องทุ่มเท หรือวิธีการที่ลงมือ แต่พวกเราคือเมจิคัลเกิร์ล พวกเราไม่จำเป็นต้องฝึกฝนโดยตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ผ่านตารางเวลาอันสมบูรณ์แบบ พวกเราไม่ติดอาวุธและชุดเกราะอันหยาบกระด้าง แต่จะตกแต่งตัวเองด้วยลูกไม้และริบบิ้นเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น พวกเราอยู่เหนือกว่าตรรกะและเหตุผล
มันคือเรื่องความทะเยอทะยานอันสูงส่งของพวกเรา การตระหนักได้ถึงเป้าหมายของพวกเรา ความรักที่มีต่อเมจิคัลเกิร์ลของพวกเรา และการไม่สงสัยในพฤติกรรมที่โง่เขลา พร้อมกับรักษาความปรารถนาอันแรงกล้าเอาไว้และพาไปจนสุดทาง แทนที่จะใช้สถานที่ฝึกและเลี่ยงการทำร้ายสุขภาพตัวเองในตอนที่ฝึกฝนอยู่ภายใต้การแนะนำของโค้ชที่ยอดเยี่ยม การกระทำอะไรอย่างไม่ระวังมันมีประสิทธิภาพมากยิ่งกว่า ใช้อุปกรณ์ในการฝึกฝนที่พ่อของตัวเองสร้างขึ้นและฝึกฝนราวกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตตามปกติ
มันมีความหมายมากกับคนที่ดื้อรั้นอย่างไร้เดียงสา ขอฉันพูดเรื่องนี้อีกครั้ง —พวกเราคือเมจิคัลเกิร์ล พวกเราแต่ละคนคือตัวเอก ตัวเอกไม่สามารถลืมว่าตัวเองนั้นคือตัวเอกได้ การที่มีน้ำตาไหลออกมา มีเหงื่อไหลท่วมกับพฤติกรรมที่คนอื่นเห็นได้ชัดว่างี่เง่า หากพวกเธอยังคงมีเป้าหมายที่อยู่เหนือความแข็งแกร่งของตัวเอง แบบนั้นก็จะสามารถก้าวออกไปยังขอบเขตใหม่ได้
แน่นอนว่าฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย มันมีปัญหาอะไรมากมาย และฉันก็ไม่ได้มีพลังอะไรด้วย หากคนอื่นจะทำมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยหรือมีภาระ หากสโนไวท์ปรารถนาที่อยากจะแข็งแกร่ง ฉันก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไร
ฉันใส่ตัวเลขลงไปบนเมจิคัลโฟน
“สวัสดี สโนไวท์ใช่ไหม? นี่เฟรเดริก้าเอง”
“…สวัสดีค่ะ”
“เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ปกติเหมือนเดิม”
ฉันบอกได้ว่าเธอกำลังคิดว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะวางสายได้
“ก่อนหน้านี้เธอพูดว่าอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น —เรื่องนั้นเปลี่ยนไปรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ”
“เธอไม่ได้คิดเรื่องที่ฉันพูดว่าเมจิคัลเกิร์ลไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งสินะ?”
“ไม่ได้คิดค่ะ”
“เธออยากจะแข็งแกร่ง แม้ว่าตัวเองจะต้องเสียสละงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วถ้ามันกลายเป็นคนอื่นที่ต้องเสียสละล่ะ?”
“…ที่พูดหมายความว่ายังไงคะ?”
“เพื่อนและครอบครัวของเธอ เธออยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าคนที่ใกล้ชิดจะต้องเป็นคนที่ต้องเสียสละอย่างนั้นเหรอ?”
การสนทนาหยุดชะงัด สโนไวท์ไม่ได้พูดแต่ก็ไม่ได้วางสายไปเช่นกัน
ฉันพูดต่ออย่างง่ายๆโดยไม่ได้การตอบกลับ “ช่วยคิดเรื่องนี้ด้วยนะ” จากนั้นก็วางสายไป
การพูดว่าการทดสอบของแครนเบอร์รี่คือแรงกระตุ้นให้สโนไวท์แสวงหาความแข็งแกร่งในตอนนี้มันก็สมเหตุสมผล ในเหตุการณ์นั้นมีเมจิคัลเกิร์ลที่ตายไป เพื่อนและพรรคพวกของสโนไวท์เองก็ต้องอยู่ในนั้นด้วย เมจิคัลเกิร์ลคนหนึ่งชื่อลาพูเซล และอีกคนหนึ่งชื่อว่าฮาร์ดกอร์ อลิส ได้ตายไปเพราะปกป้องสโนไวท์
สโนไวท์คงต้องคิดเรื่องความไร้พลังของตัวเอง แทนที่จะถูกเติมเต็มด้วยการมีอำนาจเหลือล้นและมัวเมาในพลังของเมจิคัลเกิร์ล การที่รู้ตัวว่าตัวเองไร้พลังนั้นย่อมดีกว่า ในการที่จะขึ้นไปยังเป้าหมายที่สูงขึ้นไป ก่อนอื่น มันก็ควรจะตระหนักว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดที่ต่ำแค่ไหน
นอกจากหน้าที่ในฐานะเมจิคัลเกิร์ลตามปกติ ฉันเองก็มีประสบการณ์การทำงานในฐานะผู้คุมการทดสอบที่มองหาผู้มีความสามารถ ฉันพบสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็น “วัตถุดิบที่ดี” ได้ยากมากพอจนสามารถนับโอกาสพวกนั้นได้ในมือหนึ่งข้าง แต่ถึงกระนั้นฉันก็คือหนึ่งในเมจิคัลเกิร์ลอาชีพที่ถูกเลือก เป็นคนที่ได้รับเงินรายวันจากดินแดนเวทมนตร์ ฉันภาคภูมิใจกับมัน ฉันมีทริคส่วนตัวในการค้นหา ไม่ได้ใช้วิธีการที่ทางดินแดนเวทมนตร์แนะนำมา แต่ใช้เงื่อนไขของตัวเอง
เงื่อนไขแรกของฉันคือต้องเป็นคนที่มองสูงขึ้นไปจากจุดที่อยู่ต่ำ ฉันมีเส้นผมของครูโรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก และโรงเรียน เพื่อค้นหาเด็กที่เหมือนว่าจะมีความสามารถ หรือไม่ก็จะใช้เส้นผมของตัวเด็กเอง
ฉันค้นหาคนที่หลุดออกจากกลุ่ม คนที่เห็นได้ชัดว่าแยกตัวออกมา คนที่ยิ้มอย่างเขินอายแม้จะโดนปาหินเข้าใส่ คนที่มีข่าวลือซุบซิบเกี่ยวกับตัวเองและแสร้งว่าไม่ได้ยินในตอนที่ผ่านไปแม้จะรู้สึกกวนใจก็ตาม คนที่มาโรงเรียนในตอนเช้าแล้วพบว่าโต๊ะของตัวเองมีแจกันที่ใส่ดอกคิคุ*ไว้เพียงดอกเดียววางเอาไว้
*คิคุหรือดอกเบญจมาศเป็นดอกไม้ที่ใช้เป็นตราประจำราชวงศ์ญี่ปุ่น ถ้าสีของดอกไม้เป็นสีขาวจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายและมักจะใช้ในงานศพhttps://nicjapanese.com/column/kiku/
ไม่ใช่แค่เรื่องภายในรั้วโรงเรียน มันยังมีคนที่มีชีวิตสนุกสนานและร่าเริงที่โรงเรียน ในขณะที่ซ่อนรอยฟกช้ำและรอยบุหรี่ตรงหน้าท้องเอาไว้ คนที่หวาดกลัวเสียงฝีเท้าของพ่อเลี้ยงที่มาเยี่ยมในตอนกลางคืน คนที่ไม่สามารถทนได้เมื่อต้องกลับไปที่บ้าน และคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ในป่าพร้อมกับกองสิ่งของที่ใช้ในครัวที่ทิ้งอย่างผิดกฏหมาย
พวกเธอล้วนแต่หดหู่และต้องอดกลั้นเอาไว้ พลังงานที่อยู่ภายในตัวไม่มีที่ให้ระบายออกมา แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เลวร้ายแค่ไหน พวกเธอก็ไม่สามารถหนีออกมาหรือหนีไปได้ พวกเธออยากจะมีทางที่ทำให้ออกจากเรื่องนี้ได้ จะทรมาณก็ไม่เป็นไร จะเป็นปวดก็ไม่เป็นไร พวกเธอหวัง ภาวนา ปรารถนาให้ทางออกมันมีอยู่จริง
ความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวนี้จะส่องประกายออกมาและนำทางพวกเธอไปสู่จุดที่สูงกว่าในฐานะเมจิคัลเกิร์ล ต่อให้มันจะบิดเบี้ยวหรือไม่หนักแน่นยังไง สิ่งนั้นมันก็จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น บางทีโรงพยาบาลบ้าเองอาจจะมีวัตถุดิบขั้นสุดยอดอยู่ก็ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่ว่ามันเป็นไปโดยที่ไม่มีปัญหา ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวตนตามธรรมชาติของแต่ละคน แต่สิ่งที่พึงพอใจมากที่สุดคือการได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลและแก้ไขปัญหาของตัวเอง
พวกเธอไม่ได้ตั้งเป้าอะไรไปมากกว่านั้น —มันเป็นแค่ “อ่า โล่งอกดีจังเลย” แล้วก็จบ จินตนาการของพวกเธอไม่ได้พยายามจะเดินหน้าไปจากเรื่องนั้น
ฉันพยายามขยายขอบเขตช่วงอายุให้รวมถึงผู้ใหญ่มาก่อน ฉันคิดว่าลึกลงไปในความปรารถนาของคนเหล่านั้น แน่นอนว่ามันจะแรงกล้ากว่าเด็กๆ ฉันปฎิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นการเหมารวมแบบที่ไม่รอบคอบ
อดีตนักธุรกิจชั้นยอดที่ถูกลดตำแหน่งภายใต้ข้ออ้างของการฝึกฝนทางเทคนิค อดีตผู้จัดการโรงงานที่หนีจากแก๊งค์เงินกู้แบบไม่จบไม่สิ้นและอาศัยอยู่ในบ้านที่สร้างขึ้นมาจากกล่องกระดาษและพลาสติก อดีตเพลย์เกิร์ลที่สิ้นหวังจากการที่ถูกรักอีกครั้งเพราะอายุของตัวเองและจมอยู่กับแอลกอฮอล์ ทั้งหมดล้วนใกล้เคียงกัน แต่ก็ขาดซึ่งสิ่งสุดท้ายซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ทุกคนจะมีความรู้สึกประหลาดเมื่อกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล
สำหรับเรื่องนั้น อัตราความเข้ากันได้สูงสุดจะอยู่ในช่วงวัยเด็ก หรือมากที่สุดคือหญิงสาวในช่วงอายุยี่สิบปี แม้ว่าการที่ผู้ใหญ่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลจะเป็นเรื่องที่หาได้ยาก แต่บ่อยครั้งพวกเธอก็จะความสามารถอันยอดเยี่ยมอยู่ การหาตัวของพวกเธอมันทำได้ยากพราะมีจำนวนอยู่น้อย —ดังนั้นการรวบรวมแคนดิเดทที่เป็นเด็กและทำการคัดกรอง มันจะทำให้สามารถรวบรวมคนที่มีความสามารถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่พวกเด็กๆเองจะรู้สึกพอใจก็ต่อเมื่อความปรารถนาของตัวเองจะถูกเติมเต็ม
แล้วก็ สโนไวท์
เธอเข้าร่วมในการทดสอบของแครนเบอร์รี่และได้รับผลกระทบจากมันเป็นอย่างมาก เธออยากที่จะได้พลัง เธอแสวงหาทักษะการต่อสู้เพื่อที่จะหยุดยั้งเมจิคัลเกิร์ลที่ทำอะไรคล้ายกับเรื่องที่แครนเบอร์รี่ทำ ความปรารถนานั้นไม่มีวันที่จะจบสิ้น มันเหมือนกับ โชเน็นมังงะ ที่ไม่ว่าตัวเองจะแข็งแกร่งแค่ไหน ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าจะปรากฏตัวออกมา —เธอต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ไร้เทียมทานที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะต่อกรกับใครก็ตาม
และเธอจะแบกรับมันเอาไว้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า นี่ไม่ใช่เรื่องการปรารถนาความแข็งแกร่งแบบคลุมเครือ เธอคือคนที่ตัดสินใจเลือกตัวเลือกนี้ ซึ่งนี่มันหมายความว่าพลังที่จำเป็นสำหรับวิธีที่เธอเลือกมันไม่ได้จำกัด เธอจะแสวงหาพลังไปตลอดกาล เช่นเดียวกับที่แครนเบอร์รี่ทำจนกระทั่งตัวตาย
ฉันคิดว่าการเรียกพวกเธอว่าเด็กสาวของแครนเบอร์รี่มันเข้ากันเป็นอย่างดี วิธีการที่นักดนตรีแห่งพงไพรใช้ชีวิตมันดึงดูดคนที่อิจฉาเธอแและคนที่เกลียดเธอเข้ามาอย่างเท่าเทียมกัน
ถ้าแบบนั้น แล้วคนที่ “ก้าวออกมา” ล่ะ?
หนึ่งชั่วโมงก่อนที่สโนไวท์จะเสร็จสิ้นงานประจำวันในการช่วยเหลือผู้คน ฉันก็ไปหาริปเปิล ในการที่จะติดต่อกับเธอ ฉันต้องได้รับอนุญาตจากเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นพี่เลี้ยงของเธอก่อน การที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมันค่อนข้างจะเป็นการบังคับเธอทำหน้าที่ แต่ดูเหมือนกับว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องบทบาทการให้คำปรึกษาซักเท่าไหร่ ในตอนที่เธอหงุดหงิดกับความกระตือรือร้นของฉัน เธอก็มอบการอนุญาตมาอย่างง่ายๆ และพูดว่า “จะทำอะไรก็ตามใจ”
ริปเปิลเองก็ใช้เวลาเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ไม่ใช่ว่าเธอวิ่งไปทั่วโดยไม่พักเพื่อทำให้ตัวเองยุ่งและไม่หยุดอยู่ในที่ไหนซักที่ เธอใช้วิธีการแบบดั้งเดิมด้วยการลาดตระเวณไปตามเส้นทางประจำ หยุดตัวชั่วคราวที่ด้านบนของอาคารสูง จากนั้นก็ลาดตระเวณอีกครั้ง แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จากการที่ไม่สามารถได้ยินเสียงจากคนที่ต้องการได้เหมือนกับสโนไวท์ นี่คงเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดแล้วสำหรับเธอที่จะทำเรื่องต่างๆ
ด้วยการใช้เส้นผมของเธอที่ได้มาจากการแอบเข้าไปในอพาร์ทเมนท์ของคาโนะ ซาซานามิก่อนหน้านี้ ฉันก็คอยมองดูเธอ และจากนั้น เมื่อเธอหยุดตัวชั่วคราวที่ดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้า ฉันก็ส่งเสียงเรียกเธอออกไป
เธอสัมผัสเรื่องของฉันได้ด้วยเสียงหรือด้วยตัวตนก่อนที่ฉันจะพูดอะไรออกมาซะอีก เธอจับด้ามดาบเอาไว้และหันไปรอบๆมาเผชิญหน้ากับฉัน เธอเคลื่อนไหวราวกับเป็นพี่น้องคนสุดท้องของแครนเบอร์รี่ การเคลื่อนไหวของเธอมันยอดเยี่ยม ดวงตาเองก็แหลมคม ยิ่งไปกว่านั้นคือ เธอรวดเร็ว แค่กระพริบตาได้ครึ่งเดียว เธอก็พร้อมที่จะสู้ อยู่ในท่าย่อต่ำจนแขนและขาแทบจะสัมผัสกับพื้นหิน
ดูเหมือนว่าชุดสไตล์นินจาของเธอจะไม่ใช่แค่เอาไว้โชว์ แม้จะเทียบกับเมจิคัลเกิร์ลทั้งหมด ความเร็วเองก็อยู่ในระดับสูง และด้วยชูริเคนเวทมนตร์ที่จะโดนเป้าหมายอย่างแน่นอน มันจึงทำให้เธอแข็งแกร่งมาก มันสมเหตุสมผลที่เธอสามารถผ่านการทดสอบมาได้
และในตอนที่เคลื่อนไหว เส้นผมสีดำยาวของเธอก็จะพริ้วไหวราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันหาได้ยากมากสำหรับเส้นผมสีดำที่จะส่องประกายในความมืด เป็นเส้นผมที่ยอดเยี่ยม มันทำให้ฉันอยากที่จะหวีมันด้วยนิ้วของตัวเอง แค่จินตนาการถึงความนุ่มลื่นที่ลอดผ่านระหว่างนิ้วมันก็ต้านทานไม่ได้แล้ว แต่ฉันจะหักห้ามเอาไว้ก่อนในตอนนี้
ฉันยกฝ่ามือขึ้นเข้าหาเธอและยิ้มออกมา แสดงให้เห็นว่าฉันไม่ได้มีความเป็นศัตรูหรือเจตนาร้าย ริปเปิลขยับมือออกจากด้ามดาบและยืดตัวขึ้น ท่าทางของเธอยังคงแข็งกระด้าง
ฉันก้มศีรษะลงไปและยื่นนามบัตรไปให้เธอ การมีนามบัตรอยู่เพียงแค่ใบเดียวจะสร้างความแตกต่างขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อตัวเองคือเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ
“ฉันเองก็เป็นพี่เลี้ยงของสโนไวท์ ฉันแน่ใจเธอคงจะรู้อยู่แล้ว” ฉันพูด
“สโนไวท์?”
ฉันคิดว่าตัวเองเห็นท่าทางของเธออ่อนโยนลงเล็กน้อย แม้ว่าจะมีร่องรอยอันน่าสยดสยองอยู่บนใบหน้า แต่เธอก็ยังคงดูน่ารักอยู่ดี —แน่นอน เธอคือเมจิคัลเกิร์ลนี่นะ รอยแผลบนใบหน้ามีผิวหนังที่บางและสีที่ต่างออกไป เมื่อเธอแสดงความเป็นศัตรูออกมา มันก็จะเต็มไปด้วยความรุนแรงและการข่มขู่ แต่ในตอนนี้ ฉันรู้สึกราวกับว่ามันมีบรรยากาศความเสียใจของทหารบาดเจ็บที่ถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพังหลังจากเพื่อนร่วมรบตายจากไป
แต่ฉันก็ไม่ได้ปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองแสดงออกมาบนใบหน้า
“เธอมาขอคำแนะนำบางอย่างจากฉัน” ฉันพูด
“คำแนะนำ”
“เรื่องเกี่ยวกับว่าเธอควรจะทำยังไงถึงจะแข็งแกร่งขึ้นได้”
ท่าทางของริปเปิลหม่นหมองลงจนมองเห็นได้ รอยย่นรวมตัวกันตรงคิ้ว รอยแผลเองก็ดูเหมือนว่าตึงขึ้น
“เธอรู้เหตุผลรึเปล่าว่าทำไมสโนไวท์ถึงพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น?”
ริปเปิลไม่ได้ตอบ เธอแค่ก้มหน้าลง ดวงตามองไปที่นิ้วเท้าตรงเท้าของตัวเองที่สวมเกี๊ยะไม้แบบซี่เดียว แม้ว่ามันจะเป็นรองเท้าที่ไม่ได้มีความมั่นคง แต่ตราบใดที่มันคือชุดดั้งเดิมของเธอ เมจิคัลเกิร์ลก็จะสามารถเคลื่อนไหวไปรอบๆได้อย่างไม่มีปัญหา
ฉันตั้งสมาธิและพูดต่อ “สโนไวท์คือผู้เข้าร่วมการทดสอบครั้งสุดท้ายของแครนเบอร์รี่เช่นเดียวกันกับเธอ คนอื่นเองก็จะจับตามองดูอย่างใกล้ชิด ถ้าเธอแค่พยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น แบบนั้นก็คือเรื่องหนึ่ง แต่ถ้ามีเป้าหมายบางอย่างอยู่… ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะออกมาดี”
ริปเปิลไม่ได้เปิดปากหรือไม่ได้สบตาฉัน
“ฉันไม่ได้มีความตั้งใจที่จะรายงานเรื่องของเธอไปยังดินแดนเวทมนตร์” ฉันบอกเธอ
ริปเปิลเงยหน้าขึ้น เธอดูเหมือนว่าจะแปลกใจเล็กน้อย
ฉันพยักหน้าให้เธอ “ถ้าฉันตั้งใจที่จะรายงาน แบบนั้นฉันก็ไม่ต้องมาคุยกับเธอหรอก”
ฉันยิ้มให้เธอตามปกติเพื่อที่จะลบความระมัดระวังออกไปมากที่สุดเท่าที่ทำได้ นอกจากเรื่องผลลัพธ์ที่จะเกิดแล้ว มันก็ค่อยๆกลายเป็นนิสัยของฉันไป
“แต่ยังไงก็เถอะ ถ้าดินแดนเวทมนตร์รู้เข้าว่าสโนไวท์แสวงหาความแข็งแกร่ง และฉันก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลเรื่องนั้นได้มากพอ ฉันก็คงจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และถ้ามันเกิดขึ้น ใครล่ะจะรู้ว่าเมจิคัลเกิร์ลคนต่อไปที่ถูกมอบหมายมาจะเป็นยังไง? ถ้าคนที่เป็นศัตรูกับแครนเบอร์รี่อย่างรุนแรงกลายมาเป็นพี่เลี้ยงของสโนไวท์ ฉันเชื่อว่ามันคงแย่กับเธอมากแน่”
ริปเปิลมองฉันด้วยท่าทีเฉียบแหลมดวงตาข้างที่เหลืออยู่ มันเป็นท่าทางที่จริงจังเป็นอย่างมาก
เมื่อรู้สึกพอใจแล้ว ฉันก็พ่นลมหายใจออกมาและมองไปรอบๆบริเวณ
“นานแล้วที่ฉันไม่ได้มาอยู่บนดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้า” ฉันพูด “อ่า แบบนี้ทำให้นึกถึงความหลังดีจังเลย”
ดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าที่ฉันไปสัปดาห์ละครั้งในตอนที่เป็นเด็กเหมือนว่าจะกว้างกว่านี้ มันมีรั้วสูงตั้งอยู่รอบๆตรงขอบ มีแผงขายของและเครื่องเล่นที่ดูแฟนซีติดตั้งเอาไว้ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าฉันมองมันด้วยสายตาของเด็ก หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ร้านป๊อปคอร์น พื้นหิน และส่วนของรั้วเหล็กยังใหม่ ดังนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถูกทิ้งร้างไปเสียทั้งหมด
ฉันหันกลับมาหาริปเปิลอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะสับสนเล็กน้อย การแกล้งเธอด้วยอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้มันทำให้การเจรจาง่ายขึ้น
“เธอช่วยถามสโนไวท์เรื่องแรงจูงใจให้ฉันได้รึเปล่า? ฉันลองถามแล้ว แต่สโนไวท์ก็บ่ายเบี่ยงและไม่ตอบคำถาม ถ้าเธอเป็นคนถามล่ะก็ แบบนั้นสโนไวท์อาจจะบอกก็ได้” ฉันมองเธออย่างจริงจัง “ถ้ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แบบนั้นฉันก็จะช่วยด้วยเหมือนกัน สโนไวท์กำลังต้องการความช่วยเหลือใช่ไหมล่ะ?”
ริปเปิลมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ไม่สั่นไหว เธอกำลังประเมินตัวฉันอยู่ การมีชีวิตอยู่กับการต่อสู้ มันดูไม่เหมือนว่าเธอจะมีประสบการณ์ในการเจรจา —จากที่ฉันเห็นปูมหลังของเธอ เธอก็มีมากกว่าที่เห็น— แต่ริปเปิลก็แข็งแกร่งในเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน นั่นคือการที่บ่งบอกว่าเธอเป็นหนึ่งในเด็กสาวของแครนเบอร์รี่นั่นเอง
ฉันแลกอีเมลและเบอร์มือถือกับริปเปิล ในตอนนี้ฉันสามารถติดต่อเธอได้ตลอดเวลาแล้ว หลังจากนั้น ฉันก็จับมือเธอเบาๆ ปล่อยมือ แล้วก็โบกมือพร้อมกับรอยยิ้มและกระโดดลงมาจากดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้า เมื่อฉันหลังให้เธอ ฉันก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของริปเปิลที่ฉันเปิดช่องว่างให้แบบง่ายๆ มันเป็นออร่าสังหารที่อ่อนโยนมาก แม้จะดูเหมือนว่าเธอออกจากสนามรบมาแล้ว เธอก็ยังคงเป็นนักสู้ ฉันรู้สึกว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องที่ดี
วันต่อมา ฉันติดต่อไปหาสโนไวท์
“คุณพูดอะไรกับริปเปิลรึเปล่า?” คืออย่างแรกที่เธอพูดกับฉัน แบบนี้เองก็ดีมากเหมือนกัน
“ในฐานะที่เป็นพี่เลี้ยงของเธอ ฉันก็อยากรู้เรื่องเพื่อนของเธอด้วย” ฉันตอบกลับไป “ฉันโล่งอกนะที่รู้ว่าเธอเป็นคนที่ดี”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น”
น้ำเสียงของเธอสูงและดังขึ้น ฉันต้องแน่ใจว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้น้ำเสียงของตัวเองสูงขึ้นไปตาม
“ไม่หรอก จากจุดที่ฉันอยู่มันบอกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอันตรายมากพอแล้ว สำหรับฉันเธอต้องระวังตัวให้มาก” ฉันหยุดพูด “สุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่ได้บอกฉันเลยว่าทำไมถึงอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น”
“เรื่องนั้นฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
น้ำเสียงของเธอลดลงเล็งน้อย สโนไวท์ชะงัก —แค่เพียงเล็กน้อย
นี่คือโอกาสของฉันแล้ว ฉันกระตุ้นเธอมากขึ้น “ถ้าเธอบอกฉัน แบบนั้นฉันก็จะช่วยเธอได้ ถ้าเธอไม่บอก แบบนั้นฉันก็ไม่สามารถช่วยได้นะ ไม่ว่าเรื่องที่เธออยากทำจะเป็นอาชญากรรมตามความหมายหรือต่อต้านความต้องการของดินแดนเวทมนตร์ ฉันก็จะไม่หลุดปากให้ใครได้ยิน ฉันขอสาบานกับตัวฉันเองในฐานะเมจิคัลเกิร์ล”
ฉันสงสัยว่าตัวเองมีค่ามากพอที่จะสาบานในฐานะเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่า แต่ฉันไม่รู้ว่าสโนไวท์จะรู้สึกกับมันยังไง
“เธอจำเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ได้รึเปล่า?” ฉันพูดต่อ “เรื่องที่เต็มใจที่จะเสียสละเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นน่ะ ถ้าคำว่า เสียสละ มันรุนแรงเกินไป แบบนั้นขอฉันพูดอีกแบบแล้วกันนะ เธอจะใช้อะไรกันล่ะ? ใช่แล้ว เท่านั้นเอง เธอจะใช้ฉันก็ได้นะ เพราะว่าตอนนี้เธอกำลังพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองเพราะไม่มีที่พึ่ง”
เธอเงียบ แต่ว่ากำลังฟังอยู่ ฉันสามารถสัมผัสได้ว่าเธออยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของเมจิคัลโฟน
“ถ้าเธอไม่มีคนที่จะฝึกซ้อมด้วย แบบนั้นก็ควรจะไปถามริปเปิล หากพี่เลี้ยงคือคนประเภทที่ชอบเข้าไปยุ่ง แบบนั้นก็แค่ประจบแล้วเธอก็จะปล่อยให้ทำอะไรตามใจอยาก —รู้ไหม แค่ทำให้เธอกลายเป็นเครื่องมือสำหรับการฝึกฝนของตัวเอง— ถ้าเทียบกับคนอย่างแครนเบอร์รี่แล้ว มันก็ยากที่จะเรียกฉันว่าเก่งเรื่องการต่อสู้ แต่ฉันก็ดูแลเมจิคัลเกิร์ลมาหลายคน ฉันมั่นใจว่าเมื่อเป็นเรื่องของการดูแลเมจิคัลเกิร์ล ฉันก็เก่งเหมือนกับแครนเบอร์รี่ ฉันน่ะคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่เธอจะใช้เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”
ฉันหยุดเพื่อหายใจตรงนี้
“ใช้ฉันสิ สโนไวท์ และเพื่อเรื่องนี้ ช่วยเปิดใจกับฉันด้วย เธออยากจะทำอะไรกันล่ะ? ทำไมเธอถึงอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น? ถ้าฉันรู้เหตุผล แบบนั้นฉันก็จะมอบคำแนะนำให้อย่างถูกต้องได้”
“…คุณ…”
น้ำเสียงของเธอฟังดูแล้วมันไม่ใช่ว่าสงบนิ่ง มันฟังดูอ่อนลงมากกว่า การมีใครซักคนที่อาจเข้าใจตัวเอง มันเป็นการเอาจุดอ่อนของตัวเองออกมา แบบนี้เป็นแนวโน้มที่ดี
“การถูกฉันใช้งานมันมีค่าอะไรสำหรับคุณงั้นเหรอ?” เธอถาม
“พี่เลี้ยงมีไว้เพื่อการนี้แหละ โรงเรียนในโลกมนุษย์เองก็เหมือนกัน นักเรียนใช้อาจารย์และออกไปเข้าสังคม หากเธอสามารถกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ตัวเองใฝ่ฝันได้มากยิ่งขึ้นด้วยการใช้ฉัน แบบนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันดีใจไปกว่านี้แล้ว ฉันทำงานนี้พร้อมกับเตรียมตัวที่จะถูกใช้อยู่แล้ว”
ความเงียบกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันพูดต่อโดยที่ไม่รอคำตอบของเธอ “ฉันจะรอคำตอบที่ดีนะ” แล้วก็วางสายไป
ในวันนั้น สโนไวท์ก็ทะเลาะกับริปเปิลอย่างผิดปกติ
เวทมนตร์ของฉันจับเสียงไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเธอพูดเรื่องอะไรกัน แต่อย่างน้อยฉันก็สามารถบอกได้จากท่าทางว่าพวกเธอแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างรุนแรง และการที่ทั้งคู่ต่างก็ไม่พอใจ ฉันก็จินตนาการได้ง่ายๆว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
สโนไวท์พยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น เธอพยายามเอาตัวเองไปสู่จุดที่ตัวเองสามารถต่อสู้ได้
ริปเปิลไม่ยอมรับเรื่องนั้น ในใจของเธอ การต่อสู้มันจบลงไปแล้ว
ริปเปิลคิดเพียงแค่เรื่องของสโนไวท์ ถ้าสโนไวท์คิดเรื่องของริปเปิลด้วย แบบนั้นทั้งสองคนก็คงจะไม่ต้องมาทะเลาะกัน แต่สโนไวท์กำลังหวั่นไหว ฉันเป็นคนทำให้เธอหวั่นไหว เธอแตกต่างจากที่ตัวเองเคยเป็นก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ ถ้าริปเปิลคือคนเดียวที่เธอหวังพึ่งได้ แบบนั้นเธอก็จะพึ่งพาริปเปิล
ด้วยน้ำตาที่บางครั้งก็เอ่อขึ้นมาในดวงตาของพวกเธอ ทั้งสองคนยังคงโต้เถียงกันก่อนที่จะแยกย้ายโดยไม่ได้ข้อสรุป สโนไวท์หันหลังให้ริปเปิลในตอนที่ริปเปิลออกไปและไม่ได้โบกมือเหมือนกับที่เธอเคยทำ
ฉันเปิดเมจิคัลโฟนของตัวเองในทันทีและติดต่อไปหาริปเปิล “สวัสดี นี่เฟรเดริก้านะ”
“อื้อ… ไง”
“เรื่องสโนไวท์เป็นยังไงบ้าง? เธอบอกเป้าหมายของตัวเองรึเปล่า?”
ริปเปิลไม่ได้ตอบ เธอคงคิดว่าการที่ฉันติดต่อมาหาในทันทีหลังจากที่พวกเธอแยกตัวกันหมายความว่าฉันคงต้องจับตามองพวกเธออยู่ การที่ฉันจับตามองอยู่มันคือความจริง ฉันรู้ว่าริปเปิลจะคิดว่ามันน่าสงสัย ถ้าริปเปิลจะเห็นฉันเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเธอคิดว่าฉันคือคนที่สามารถพึ่งพาได้นั่นแหละจะคือปัญหาของจริง
แน่นอนว่าสโนไวท์บอกเรื่องเป้าหมายของตัวเองกับริปเปิล ฉันจึงพูดกระตุ้นต่อ “ฉันกังวลน่ะ”
“กังวล?”
“ใช่ กังวล หากเป็นแบบนี้ สโนไวท์ก็อาจจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่ยั้งคิด ความปรารถนาของเธอที่จะแข็งแกร่งขึ้นอาจจะเพิ่มมากขึ้น เธออาจจะเอาตัวเองเข้าไปสถานที่อันตรายที่ไหนซักที่โดยไม่ได้เข้าใจความสามารถของตัวเอง”
ฉันมีเมจิคัลโฟนอยู่ที่มือขวา ในขณะที่ควบคุมคริสตัลบอลด้วยมือซ้าย ฉันมองเห็นริปเปิลที่กำลังถือเมจิคัลโฟนของตัวเองได้ เธอดูเหมือนว่าเพิ่งจะกลืนยาขมลงไป การที่ใครบางคนแสดงออกอารมณ์ความรู้สึกออกมาแทนที่จะปิดบังเอาไว้คือเรื่องที่ดี
“ถึงฉันจะพยายามห้ามเธอเอาไว้ ฉันก็สงสัยว่าเธอจะฟังรึเปล่า” ฉันพูดต่อ “แต่ถ้าเป็นเธอล่ะ ริปเปิล? เธอหยุดสโนไวท์การจากทำอะไรไม่ยั้งคิดได้รึเปล่า?”
ฉันรู้คำตอบ มันไม่มีคำพูดอะไรที่จะหยุดสโนไวท์ได้เลย
“ฉันอยากจะทำอะไรซักอย่างก่อนที่เรื่องราวมันจะแย่” เน้นย้ำถึงความกังวลเรื่องสโนไวท์ของฉันและก็วางสายไป
ริปเปิลที่อยู่ในคริสตัลบอลยังคงไม่ขยับเขยื้อน เธอยังคงจับเมจิคัลโฟนเอาไว้ เมื่อรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์กับเรื่องที่พูดกับเธอไปแล้ว ฉันก็ลบภาพที่ปรากฏอยู่ในคริสตัลบอล
หากสโนไวท์ถูกปล่อยให้อยู่ตัวคนเดียว แบบนั้นเธอก็จะลงมือของเธอเอง เธอจะมุ่งหน้าออกไปยังสถานที่อันตรายโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวและได้รับบาดเจ็บ อย่างดีที่สุด เธอก็จะแค่บาดเจ็บ —เพราะเธอมีโอกาสที่จะตายสูง
แทนที่จะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น การแน่ใจว่าเธอได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วคือเรื่องที่ดีกว่า ริปเปิลควรจะสอนสโนไวท์ว่าควรจะต่อสู้ยังไง และการทำแบบนั้นก็เป็นการเพิ่มโอกาสรอดของสโนไวท์ให้สูงขึ้นด้วย
ฉันพูดเป็นนัยออกมาค่อนข้างมาก แต่ฉันก็คิดว่าริปเปิลจะเข้าใจได้อย่างถูกต้อง
ต่อมา ฉันก็ติดต่อไปหาสโนไวท์ “สวัสดี? นี่เฟรเดริก้านะ”
“…สวัสดีค่ะ”
เสียงของเธอสั่นเทา อ๊ะ เธอคงต้องร้องไห้สินะ ฉันไม่จำเป็นต้องใช้คริสตัลบอลก็สามารถรู้เรื่องนี้ได้
ฉันจงใจที่จะพูดคุยเรื่องทั่วๆไป ถามเธอถึงเรื่องที่ไม่สำคัญ อย่างเช่นที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ทำข้อสอบได้ไหม มอบคำแนะนำที่ดูเหมือนว่าสำคัญมากให้แต่ความจริงแล้วใครๆก็สามารถให้คำแนะนำแบบนี้ได้ จากนั้นเมื่อฉันพยายามวางสายและพูดบอกลา สโนไวท์ก็เปิดปาก
“เอ่อ”
มันฟังดูเหมือนว่าเธอหลุดปากออกมาจนทำให้กระทั่งตัวเองยังรู้สึกตกใจ
“มีอะไรรึเปล่า?” ฉันพูดกระตุ้นเธออย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เด็กที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูอยากจะเปิดประตูออกมา สำหรับฉันแล้วมันไม่จำเป็นที่จะต้องฝืนเปิดออกจากด้านที่ตัวเองอยู่ ฉันเตรียมการไว้มากพอที่จะทำให้เธอควรจะเปิดออกมาได้จากฝั่งนั้น ฉันแค่ควรจะรออย่างใจเย็นจนกระทั่งผลลัพธ์มันแสดงออกมา แน่นอนว่ามันจะมีผลในวันนี้ หรือไม่ก็วันพรุ่งนี้… ไม่สิ มันคือตอนนี้เลย
หลังจากที่รออย่างเงียบๆมากกว่าสองนาที สโนไวท์ก็เริ่มพูดออกมาแบบหยุดเป็นครั้งคราว
ทุกอย่างที่เธอพูดออกมาฉันคาดคิดเอาไว้แล้ว ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ตกใจอะไร แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ทำให้ตัวเองดูเหมือนว่าตกใจไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น เช่นเดียวกับพูดแทรกออกมาเพื่อให้เธอพูดต่อ ล้วงทุกอย่างออกจากเธอมาให้หมด
ถ้ามีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่เหมือนกับแครนเบอร์รี่ เธอก็จะไปหยุดคนเหล่านั้น เธออยากจะป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง เธอยังอยากที่จะเข้าไปแทรกแทรงในเชิงรุกกับความขัดแย้งที่สำคัญของโลกมนุษย์ด้วย สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเธอก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น
เรื่องอุดมคติเช่นนี้สมกับเป็นสโนไวท์มาก สำหรับเรื่องที่เธอจะทำได้หรือไม่ได้นั้น —ฉันเชื่อว่าเธอสามารถทำได้
ระบบเฝ้าระวังของดินแดนเวทมนตร์มีแต่ความหย่อนยาน แม้ว่าจะเป็นเรื่องของเด็กมีปัญหาที่ต้องสนใจเป็นพิเศษอย่างสโนไวท์ก็ตาม หากจะพูดแบบแล้งน้ำใจ มันก็การที่ปล่อยให้อยากทำอะไรก็ทำไปโดยขาดความระมัดระวัง เรื่องแบบนี้มันไม่เคยที่จะเปลี่ยนแปลง ในไม่ใช่ในร้อยปี ไม่ใช่ในพันปี ถ้า “เด็กสาวของแครนเบอร์รี่” จะก้าวออกไปสู่สาธารณะ ฉันแน่ใจว่ามันต้องคนที่มองพวกเธอด้วยอคติ แต่ถ้าฉันช่วยเธอ ช่วยดูแลเธอภายใต้ข้ออ้างของการเป็นพี่เลี้ยงที่คอยตรวจสอบ แบบนั้นพวกเราก็ควรจะปกปิดมันได้ตามที่ต้องการ
สโนไวท์รังเกียจพฤติกรรมบางประเภท คนประเภทนี้จะคงอยู่ได้นาน
ริปเปิลเกลียดบุคคลเฉพาะราย คนประเภทนี้จะมอดดับไปอย่างรวดเร็ว
แต่จากที่ฉันเห็น เธอไม่ได้เผาผลาญตัวเองไปอย่างสมบูรณ์ ลึกลงไปในหัวใจมันก็ยังคงคุกรุ่น หากฉันพยายามที่จะเป่าเข้าไปที่ถ่านหินเหล่านั้น คอยดูแลมันให้กลายเป็นเปลวเพลิง หากเป็นแบบนั้น อย่างน้อยเธอก็จะช่วยเหลือสโนไวท์
ฉันทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองตกใจจากสิ่งที่เธอพูด บอกเธอไปว่าขอคิดก่อนเล็กน้อยก่อนที่ฉันจะวางสาย อย่างน้อยฉันก็ต้องตอบสนองให้ดูจริงจัง มิเช่นนั้นเธอก็จะคิดว่าฉันเป็นแค่เมจิคัลเกิร์ลที่ไร้หัวคิดหรือเป็นคนที่น่าสงสัย
แน่นอนว่าฉันมีข้อสรุปของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉันจะทำให้สโนไวท์กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่ง ด้วยบุคลิกของเธอ ด้วยจิตใจของเธอ ฉันอาจจะสามารถเข้าใกล้เมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติที่มีอยู่ภายในใจ ฉันอาจจะสามารถปรับปรุงวิถีเก่าแก่และเปลี่ยนแปลงดินแดนเวทมนตร์ที่เก่าจนขึ้นราได้ ฉันสัมผัสได้ถึงความสามารถที่ไม่ได้พบเจอมาเป็นเวลานาน อยากที่จะใช้ทักษะของตัวเองในฐานะพี่เลี้ยงจนรู้สึกคันไปทั่วทั้งตัว
มันดีที่สุดสำหรับเธอที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่จนทางการยังทราบถึงพฤติกรรมของเธอ พวกนั้นไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ง่ายๆ เธอควรที่จะเปิดโปงเมจิคัลเกิร์ลที่ทำเรื่องเลวร้าย —และนั่นจะเป็นการโจมตีนโยบายปล่อยให้ทำตามใจของดินแดนเวทมนตร์โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ได้รับฉายา ทำให้เหล่าร้ายหวาดกลัวเธอ ในทางกลับกัน ดินแดนเวทมนตร์จะใช้เธอเป็นสัญลักษณ์ในการกำจัดเหล่าร้าย
ฉันต้องคิดอะไรบางอย่างที่น่ากลัวขึ้นมาสำหรับเรื่องฉายา ปีศาจสีขาว เทพเจ้าสีขาวแห่งขาวตาย ไม่สิ มันต้องเป็นอะไรที่… ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ของเธอ แต่เป็นการอธิบายเรื่องการกระทำ… ฉันจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นการบ้าน
ฉันปิดเมจิคัลโฟนและวางมันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ออกจากห้องครัว วางมือลงบนประตูเลื่อนของห้องทาทามิ เสียงหวือที่สามารถได้ยินอย่างต่อเนื่องดังออกมาจากภายใน พัดลมสำหรับการอากาศหมุนเวียนมันยังคงหมุนไปเรื่อยๆ
ฉันเลื่อนประตูออก และเมื่อก้าวเข้าไปด้านใน เท้าของฉันก็จมลงไปเล็กน้อย ฉันรู้สึกถึงฝ่าเท้าที่สัมผัสกับทาทามิ มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากพื้นบ้าน จนกระทั่งปีก่อนหน้านี้ ทาทามิยังคงมีกลิ่นที่สดชื่นและสดใหม่ แต่กลิ่นมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว —บางทีอาจจะเป็นเพราะพัดลมที่พัดแบบไม่ได้หยุดทำงาน
เมื่อฉันเข้ามาภายในห้องนี้ ความสุขมันก็พุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง
ทั้งสองด้านของห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือเหล็กแทนที่จะเป็นกำแพง และที่ฝั่งตรงข้ามเองก็มีชั้นหนังสือแบบเดียวกันตั้งเอาไว้ ฉันใช้เครื่องค้ำยันที่ซื้่อมาจากร้านขายวัสดุช่างเพื่อทำให้มันต้านทานแผ่นดินไหวได้โดยเผื่อเอาไว้ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์แค่ไหนถ้ามีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้น
ที่ชั้นหนังสือเต็มไปด้วยแฟ้มที่วางเรียงราย ตามด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ติดเอาไว้ ฉันหยิบแฟ้มที่ตามหาขึ้นมาและเปิดมันออก มันคือเส้นผมหนึ่งเส้นที่ใส่เอาไว้ในกระดาษชำระ เส้นผมสีบลอนด์เข้มและเป็นลอนเล็กน้อย
นี่คือไอเท็มในคอลเลคชั่นที่ฉันรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษ แค่มองดูเส้นผมเส้นนี้ ความทรงจำมากมายก็โผล่ขึ้นมาในใจอย่างชัดเจน แต่ฉันก็ยังคงรู้สึกว่ามันทำให้ฉันหมกมุ่นอยู่กับมัน ปฎิเสธที่จะปล่อยมันไปและไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ แต่ในตอนนี้ ฉันมีสิ่งที่ตัวเองสนใจ สโนไวท์—
ฉันเอาเส้นผมออกมา สอดแฟ้มกลับเข้าไปในชั้นและกลับไปยังห้องทาทามิ วางเท้าลงไปบนที่เหยียบเพื่อเปิดถังขยะของห้องครัวออก ปล่อยเส้นผมที่หนีบเอาไว้ระหว่างนิ้วร่วงลงไป เส้นผมที่ร่วงลงไปบนเปลือกอะโวคาโดดูเศร้าเล็กน้อย… อ่า ช่างสะเทือนใจจริงๆ ฉันรู้สึกอายตัวเองเหลือเกิน
ฉันพลาดเรื่องที่ทั้งสองคนพูดคุยกันไปอย่างที่ไม่ควรจะพลาด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันสงสัยในตอนนี้ ตราบใดที่ริปเปิลยังคอยดูแลการฝึกซ้อมต่อสู้ให้สโนไวท์ แบบนั้นฉันก็ไม่คิดอะไร
แม้จะเรียกว่าการฝึกซ้อมต่อสู้ พวกเธอก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างการวิ่งหรือกระโดด หลักๆแล้วพวกเธอจับคู่ฝึกซ้อม —ริปเปิลแนะนำการเตะและต่อยอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากเห็นเธอล็อคข้อต่อและเหวี่ยงตัวของอีกฝ่ายที่เป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่บางทีริปเปิลอาจะจะไม่ได้มีเทคนิคแบบนั้น เธอพึ่งพาอาวุธระยะไกลเป็นหลัก
ริปเปิลดูเหมือนว่าจะโล่งอก
สโนไวท์นั้นอ่อนแอกว่า เชื่องช้ากว่า และซุ่มซ่ามกว่าในเรื่องเทคนิคมากกว่าริปเปิล —พูดอีกแบบหนึ่งคือ สโนไวท์ด้อยกว่าในทุกด้าน
หากเป็นแบบนี้เธอก็ไม่มีวันที่จะสามารถออกไปต่อสู้จริงได้ ความจริงแล้ว บางทีเธอควรจะล้มเลิกไปตั้งแต่ตอนนี้ ฉันจินตนาการได้ว่ามันคือเรื่องที่ริปเปิลรู้สึกโล่งอก
ฉันเองก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน ความแตกต่างเรื่องความสามารถและประสบการณ์ในการฝึกซ้อมต่อสู้มันเสียดแทงอยู่ตรงหน้า ต่อให้จะไม่ได้จริงจังและล้มลงไปกองกับพื้นของสวนสาธารณะอยู่บ่อยครั้งจนชุดสีขาวของตัวเองเปรอะเปื้อน สโนไวท์ก็ไม่ได้สูญเสียความตั้งใจที่จะสู้ นี่เป็นเรื่องที่ดีและยังน่ารักด้วย
การที่ริปเปิลแข็งแกร่งกว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา ริปเปิลต่อสู้ด้วยวิธีการของตัวเองในการต่อสู้อันรุนแรงที่แม้กระทั่งแครนเบอร์รี่ยังเสียชีวิตและสามารถรอดมาได้ บาดแผลที่เธอมีคือเครื่องยืนยันถึงประสบการณ์ในการต่อสู้ มันจึงแน่นอนว่าเธอจะแข็งแกร่งกว่าสโนไวท์ คนที่แทบจะไม่เคยคิดเรื่องการต่อสู้เลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องดีกว่าสำหรับสโนไวท์ที่จะไม่สิ้นหวังในเรื่องความสามารถที่แตกต่าง ไม่เสียกำลังใจ และรักษาความต้องการที่จะสู้เอาไว้ได้
ฉันเฝ้ามองสโนไวท์และริปเปิลฝึกซ้อมกันเป็นเวลาสามวันหลังจากนั้น แม้ว่าวิธีการที่เคลื่อนไหวจะเริ่มดูดีขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องความสามารถที่แตกต่างกันได้เลย สโนไวท์ไม่สามารถผ่านการถูกผลักไปรอบๆโดยริปเปิลได้เลย
ฉันเพ่งความสนใจไปที่ท่าทางของสโนไวท์ แม้ว่าจะไม่สามารถตามเพื่อนของตัวเองทันได้ วันแล้ววันเล่า เธอก็ยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ฉันก็มองเห็นความใจร้อนของเธอ เธอกำลังกระวนกระวาย สงสัยว่าตัวเองจะแข็งแกร่งมากขึ้นแค่ไหนจากการฝึกฝนเช่นนี้ต่อไป และเธอก็มีสิทธิ์ที่จะใจร้อน แม้ว่าริปเปิลคือคนที่ฝึกฝนด้วยกันกับเธอ เธอก็ไม่ได้อยากให้สโนไวท์แข็งแกร่งขึ้น
หลังจากที่การฝึกซ้อมในวันนี้ของสโนไวท์จบลง ฉันก็ติดต่อไปหาเธอ “ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะช่วยเธอเอง”
ฉันได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าจากอีกฝั่งของเมจิคัลโฟน เธอหยุดในจังหวะที่ดีก่อนที่จะตอบกลับมาว่า “ขอบคุณค่ะ”
“ไม่ ไม่ อย่างกังวลนักเลย ก่อนหน้านี้ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมล่ะ? เธอควรจะใช้ฉัน เพราะฉันไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าพี่เลี้ยงของเธอ”
ฉันมองดูสโนไวท์ผ่านคริสตัลบอล นอกเหนือจากใบหน้าที่ดูเหมือนว่าอยากจะขอโทษแล้ว ฉันก็มองเห็นมหาสมุทร แสงไฟจากเรือประมงกำลังส่องสว่างอยู่ที่สุดขอบฟ้า เหมือนว่าเธอกำลังพูดอยู่ที่ด้านบนหอคอยเหล็กที่ใกล้กับมหาสมุทร
“ฉันจะบอกทริคให้นะ ดังนั้นช่วยจำเรื่องนี้เอาไว้ด้วย อย่างแรกเลยก็คือต้องใช้เวลาในฐานะเมจิคัลเกิร์ลให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ใช้เวลาของตัวเองในฐานะมนุษย์ให้น้อยที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ คอยอยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลเมื่ออยู่ตัวคนเดียว”
มนุษย์และเมจิคัลเกิร์ลแตกต่างกันเรื่องสัมผัสด้านเวลา เมื่อพยายามที่จะเรียนรู้อะไรบางอย่าง การเป็นเมจิคัลเกิร์ลมันมีความสะดวกมากกว่า ตราบใดที่ตัวเองไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ อย่างเช่นอยากจะสัมผัสประสบการณ์สำหรับงานอดิเรกแบบฉัน แบบนั้นก็ควรที่จะอยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ล
สโนไวท์ในคริสตัลบอลกำลังจดโน๊ตเอาไว้อย่างแข็งขัน การที่ได้เห็นการเชื่อฟังเสริมเข้าไปอยู่เหนือความอดทนของเธอ มันทำให้เป็นอะไรที่มีเสน่ห์มาก
“ขอให้เชื่อว่าชีวิตของเธอในฐานะมนุษย์มีเอาไว้สำหรับโชว์ มันไม่ใช่เรื่องที่มีค่าพอจนต้องคิดถึง และเป้าหมายที่แท้จริงก็คือการเป็นเมจิคัลเกิร์ล เธอต้องเชื่อเรื่องนี้เอาไว้ และยิ่งกว่านั้น ในตอนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลและในตอนที่เป็นมนุษย์ ช่วยจำลองการต่อสู้ภายในหัวแบบสม่ำเสมอด้วย ไม่ใช่แค่คิดถึงแบบง่ายๆ ให้จินตนาการว่าตัวเองอยู่ในวังวนของการฆ่าและถูกฆ่า ไม่ใช่ปรารถนา —แต่จง เชื่อ ว่ามันเป็นจริง”
เรื่องนี้บางทีอาจจะเป็นไปไม่ได้สำหรับใครบางคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสุ้เลย แต่ด้วยการจำลองการต่อสู้กับริปเปิล แบบนั้นมันก็ไม่ควรที่จะมีปัญหา แม้ว่ามันจะยังคงยาก แต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
ฉันเชื่อว่าพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับความแข็งแกร่งของเมจิคัลเกิร์ลคือจินตนาการ มันเขียนเอาไว้ในข้อมูลของสโนไวท์จากการทดสอบครั้งสุดท้ายของแครนเบอร์รี่ว่าเธอมีนิสัยที่ชอบฝันกลางวัน แครนเบอร์รี่คือตัวตนอันชั่วร้ายแต่ก็มีเสน่ห์ในเรื่องของหญิงสาวที่คลั่งการต่อสู้ คนที่มีความสุขตราบใดที่ตัวเองได้ต่อสู้ และฟาฟก็เศษสวะและตัวตนที่น่ารังเกียจ แต่พวกนั้นก็ไม่เคยผิดเมื่อเป็นเรื่องการประเมินลักษณะนิสัยของผู้เข้าร่วมการทดสอบ ฝันกลางวันและจินตนาการคืออย่างเดียวกัน ความรู้สึก ความคิด การภาวนา และความเชื่อมันก่อให้เกิดความตั้งใจอันแรงกล้าและมิอาจทำลายได้ของเมจิคัลเกิร์ล
มันเป็นเก่าแก่โบราณ แต่มันก็ไม่เป็นไร วิธีการส่วนตัวของฉันในการเลี้ยงดูเมจิคัลเกิร์ลมันเหมาะสมกับสโนไวท์อย่างสมบูรณ์แบบ
“อย่าได้ยอมแพ้ อย่าได้สงสัย และจริงจังอยู่เสมอ ต้องมีสามสิ่งนี้เอาไว้ พวกเราคือเมจิคัลเกิร์ล ตามมาตราฐานทั่วไปของสังคมแล้ว การมีตัวตนอยู่ของพวกเราคือเรื่องที่ไม่มีเหตุผล นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงต้องจริงจังกับเรื่องนี้”
การทำอะไรงี่เง่าอย่างจริงจังมันจะทำให้เมจิคัลเกิร์ลแข็งแกร่งขึ้น แครนเบอร์รี่ผู้น่ารักคือตัวอย่างที่ดี
“ชีวิตของพวกเราในสังคมมนุษย์คือเรื่องรอง เธออาจจะเป็นนักเรียนที่ศึกษาเล่าเรียนเพื่อสอบเข้า แต่เธอจะไม่เรียนรู้สำหรับการสอบนั้นอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการโกงเพื่อให้สอบผ่าน หรือเลือกโรงเรียนมัธยมปลายที่สามารถผ่านได้โดยที่ไม่ต้องเรียน หรือออกจากระบบการศึกษาหลังจากจบมัธยมต้น —ต้องเลือกมาหนึ่งอย่าง”
หากพยายามลงมือโดยประมาท มันก็จะประสบผลสำเร็จมากกว่าที่คิดเอาไว้
ฉันคุยกับสโนไวท์เรื่องที่ทำยังไงถึงจะแข็งแกร่งขึ้น และจนถึงท้ายที่สุดเธอก็จดทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพูดเอาไว้ทั้งหมดโดยไม่ได้สงสัยในสิ่งที่ฉันพูดเลย เมื่อฉันขอโทษว่าไม่สามารถไปดูการฝึกซ้อมของเธอได้ด้วยตัวเอง เธอก็บอกฉันว่าริปเปิลนั้นฝึกอยู่ด้วยกันกับเธอ ใช่ ฉันคิด ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ
“ขอบคุณมากเลยค่ะ” เธอพูด
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องคิดมาก ฉันทำแบบนี้เพราะชอบนี่นะ”
“อ๊ะ ไม่ค่ะ ให้ฉันได้พูดขอบคุณเถอะค่ะ คุณช่วยฉันไว้ตั้งเยอะ” เธอพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง เอามือมากุมไว้ที่ด้านหน้าของหน้าอก
การได้เห็นเธอทำแบบนี้มันทำให้หัวใจของฉันเกิดบีบรัด ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างของเด็กคนนี้ถึงได้น่ารักขนาดนี้กันนะ? บันทึกจากการทดสอบของแครนเบอร์รี่บันทึกเอาไว้ว่ามีคนที่ปกป้องเธอหลายต่อหลายครั้งด้วย —เรื่องนี้เองก็เป็นเหตุผลหนึ่งรึเปล่า?
การทรงเสน่ห์ราวกับปีศาจมันไม่สมกับเป็นเมจิคัลเกิร์ลเลย
มันต้องใช้เวลา แต่สโนไวท์ก็สามารถตามริปเปิลทันได้ แทนที่จะแค่ถูกหยอกล้อ สถานการณ์ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเปลี่ยนเป็นแบบอาจารย์และลูกศิษย์ แม้ว่าทักษะของริปเปิลยังคงเหนือกว่า พื้นฐานของสโนไวท์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น เธอตระหนักถึงเป้าหมายของตัวเองและตรงไปในทิศทางเดียวอย่างชัดเจน
สโนไวท์ยึดมั่นในคำแนะนำของฉันอย่างซื่อสัตย์และเรียบง่าย เธอจินตนาการ คิด และเชื่อ ไม่ใช่แค่สองหรือสามชั่วโมงต่อวัน เธอใช้เวลาที่โดยปกติแล้วจะใช้ในการนอนหลับ ลดเวลาที่อยู่ในร่างของมนุษย์เพื่อ สู้ ในฐานะเมจิคัลเกิร์ล เธอกลับบ้านไปและตั้งสมาธิ หลังจากเสร็จสิ้นงานของเมจิคัลเกิร์ลแล้ว เธอก็ตั้งสมาธิ หลังจากที่ทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว เธอก็ตั้งสมาธิ เธอทำการต่อสู้อยู่ภายในจิตใจตลอดเวลา
ความรู้สึกที่แท้จริงของการที่จะแข็งแกร่งขึ้นมันจะสนุกที่สุดในตอนที่ตัวเองอยู่ระหว่างทาง ตัวฉันมีประสบการณ์เรื่องนีด้วยตัวเอง ดังนั้นฉันจึงเข้าใจ ดูเหมือนว่าสโนไวท์กำลังสนุกอยู่จริงๆ
ดูเหมือนว่าริปเปิลกำลังสับสน เธอมองสโนไวท์ในฐานะคนที่ต้องปกป้อง ไม่ใช่สหายร่วมรบที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เรื่องนี้มันคือความหยิ่ง แต่มันก็ไม่ได้ผิด ถ้าสโนไวท์ไม่ได้มีแรงจูงใจ แบบนั้นความสัมพันธ์ของพวกเธอก็จะดำเนินต่อไปในรูปแบบนั้น
ในตอนที่ริปเปิลยังคงสับสน วิธีการที่เธอสอนสโนไวท์ก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอกลายเป็นเหมือนกับอาจารย์ที่นำทางลูกศิษย์มากกว่าที่จะหลบเลี่ยงด้วยการเล่นแบบเด็กๆ แต่สโนไวท์ก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับของเด็กประถม —นี่เป็นระดับสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กหรือไม่ก็อนุบาล ทุกอย่างที่ริปเปิลสอนคือพื้นฐาน และนั่นก็มากเพียงพอสำหรับสโนไวท์
เรื่องเช่นนั้นสำหรับตอนนี้แล้วมันก็ไม่เป็นไร เมจิคัลเกิร์ลแตกต่างจากมนุษย์ สำหรับมนุษย์ มันจำเป็นต้องใช้การฝึกซ้อมพอสมควรเพื่อที่จะเชี่ยวชาญ “การเตะต่ำแบบถูกต้อง” แต่สำหรับเมจิคัลเกิร์ลแล้วมันแค่จำเป็นต้องใช้สิ่งกระตุ้นและอารมณ์
ฉันคิดว่าริปเปิลไม่ได้อยากให้สโนไวท์แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลย หรือบางทีการพูดว่าเธอดีใจที่ได้เห็นสโนไวท์สนุกสนานคือเรื่องที่ถูกต้อง
ฉันกางแฟ้มออก เพิ่มโน๊ตว่า “ถ้าเด็กคนนี้ใส่ใจเรื่องความชุ่นชื้นของเส้นผมมากกว่านี้ก็คงดี” ลงไปที่รูปภาพที่ใส่เข้าไปใหม่ในคอลเลคชั่นในตอนที่ฉันจินตนาการถึงสโนไวท์ในเวอร์ชั่นสมบูรณ์แบบตัวเอง ถ้าจะขาดอะไรไป แบบนั้นมันคืออะไรกันนะ? แต่จากนั้นผมเปียที่ถักยาวอย่างซับซ้อน นุ่มนวล และมีสีทองสดใส เตะเข้ามาที่ภาพที่ฉันจินตนาการไว้อย่างรุนแรง จากนั้นจู่ๆฉันก็นึกอะไรบางอย่างได้
ระยะและพลังโจมตี —จุดที่เธอยังคงขาดแม้ว่าจะยังคงทำการฝึกฝนต่อไป สโนไวท์ไม่ได้นึกภาพของตัวเองที่มีทักษะเหล่านั้น มันพูดได้ว่า การบังคับเธอให้ไปในทิศทางนั้นและทำให้การเติบโตของเธอผิดรูปไปมันจะเป็นการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ฉันวางแฟ้มลงบนโต๊ะและดึงเอกสารขึ้นมาบนเมจิคัลโฟน มันมีอะไรบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในการทดสอบของแครนเบอร์รี่ แต่ที่อยู่ของมันไม่ได้ระบุเอาไว้ในบันทึก
หลังจากที่แน่ใจว่าการฝึกฝนของพวกเธอจบลงแล้วและทั้งสองคนก็แยกย้ายกัน ฉันก็ติดต่อไปหาริปเปิล
“สวัสดี ริปเปิลใช่ไหม? นี่เฟรเดริก้านะ ฉันโทรมาเพราะมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะคุยกับเธอ ขอคุยด้วยหน่อยได้รึเปล่า?”
“…ได้”
“ในการทดสอบของแครนเบอร์รี่ มันควรจะมีไอเท็มของดินแดนเวทมนตร์จำนวนหนึ่ง… อย่างเช่นกระเป๋าและอาวุธ เธอรู้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับของพวกนั้น?”
“เก็บเอาไว้… สโนไวท์กับฉัน…”
เสียงของเธอดูเบาลง —เหมือนกับว่าเธอไม่อยากจะพูดออกมา เธอถูกทำให้พูดในเรื่องที่ตัวเองไม่อยากจะจำ
“แบบนั้นพวกเธอสองคนก็มีมันอยู่งั้นสิ?”
“ใช่”
“มันควรจะมีห้าอย่าง —กระเป๋าสี่มิติ ผ้าคลุมล่องหน เม็ดยาเพิ่มพลัง อุ้งเท้ากระต่าย แล้วก็อาวุธ”
“ใช่”
“เธอบอกได้รึเปล่าว่าใครเก็บอันไหนอยู่?”
“กระเป๋า อาวุธ แล้วก็ผ้าคลุม… อยู่กับชั้น… สโนไวท์เก็บอุ้งเท้ากระต่ายเอาไว้ เม็ดยา… ชั้นคิดว่าตอนการทดสอบมันคงถูกใช้ไปจนหมดแล้ว เพราะไม่มีเหลืออยู่”
งั้นเหรอ อย่างนี้นี่เอง ริปเปิลมองว่าเป็นการแค่เก็บเอาไว้สินะ?
“เหมือนว่าเจ้าของไอเท็มจะไม่ชัดเจนนะ” ฉันพูด
“ใช่”
“แบบนั้นพวกเธอก็ให้ยืมไอเท็มระหว่างกันได้สินะ”
“…ทำไมถึงถามชั้นเรื่องนั้น?”
“ถ้าเวลาที่สโนไวท์ตั้งใจจะสู้มาถึง การให้เธอมีอุปกรณ์ให้ใช้มากขึ้นก็จะดีกว่า”
“ไม่ใช่ว่าคุณค้านเรื่องที่สโนไวท์จะสู้หรอกเหรอ?”
ริปเปิลกำลังโทษตัวเอง เหมือนว่าสุดท้ายแล้วริปเปิลก็ไม่ได้อยากให้สโนไวท์ต่อสู้ บางทีเธออาจจะดีใจเล็กน้อยที่ได้เห็นสโนไวท์สนุกกับการฝึกฝน การมีความสุขเมื่อเพื่อนของตัวเองมีความสุขมันก็มีเหตุผล แต่ลึกลงไปแล้ว เธอก็ไม่ได้เปลี่ยนใจ
ในตอนที่การทดสอบกำลังจะจบลง ริปเปิลต่อสู้เพื่อเพื่อนของเธอและล้างแค้นด้วยการฆ่าศัตรูได้สำเร็จ นั่นเป็นการระบายความโกรธแค้นของตัวเองต่อคนที่ฆ่าเพื่อนของตัวเอง? ไม่ใช่เป็นการบรรเทาความรู้สึกผิดบาปของตัวเองที่ปล่อยให้เพื่อนของตัวเองต้องตาย?
แม้ว่าความผิดบาปของเธอจะลงน้อยลง มันก็ไม่มีวันที่จะหายไป เธอจะแบกมันเอาไว้ไปตลอด เธอยังคงแบกมันอยู่แม้กระทั่งในตอนนี้
ริปเปิลไม่สามารถทนการเห็นเพื่อนของตัวเองตกอยู่ในอันตรายได้
“เรื่องที่ฉันคัดค้าน” ฉันเริ่มพูดต่อ “คือการที่สโนไวท์รู้สิ่งต่างๆเพียงเล็กน้อย มีความเชื่ออย่างผิดๆว่าตัวเองแข็งแกร่งและเข้าไปสู่เรื่องอันตราย ตราบใดที่ความปรารถนาของสโนไวท์ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แบบนั้นฉันก็จะช่วยเหลือเธอเท่าที่ตัวเองทำได้”
“คุณปล่อยให้สโนไวท์ทำเรื่องแบบนั้น ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องอันตรายงั้นเหรอ?”
“ในกรณีของเธอ มันอาจจะไม่ได้อันตรายก็ได้”
ริปเปิลเดาะลิ้น
“เมจิคัลเกิร์ลแบบเธอไม่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้”
“นั่นคือเรื่องที่สโนไวท์จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมาตัดสินใจแทนนะ”
เธอเดาะลิ้นอีกครั้งและดังกว่าครั้งก่อน จากนั้นก็วางสายไป
ริปเปิลกำลังไม่พอใจและไม่ได้พยายามปกปิดเอาไว้ —บางทีอาจจะเป็นเพราะความผิดพลาดของตัวเองที่จับมือของสโนไวท์และนำทางเธอไปสู่การต่อสู้ ริปเปิลอ่อนแอต่อแรงผลักดันเรื่องดังกล่าว… อ่อนแอต่อการดึงดันของสโนไวท์ แม้ก่อนหน้านี้พวกเธอจะทะเลาะกันก่อนที่จะแยกตัวออกไป สุดท้ายแล้วริปเปิลก็เริ่มช่วยสโนไวท์ในการฝึกฝนอย่างที่สโนไวท์ต้องการอยู่ดี ส่วนหนึ่งมันคงเป็นเพราะริปเปิลรับคำแนะนำของฉันว่าเรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือการปล่อยให้สโนไวท์ทำอะไรบางอย่างที่อันตรายในตอนที่เธอยังคงอ่อนแอ แต่ฉันเชื่อว่าเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดในการที่เธอรับคำแนะนำของฉันอาจจะเป็นเพราะน้ำตาของสโนไวท์ในตอนที่ทะเลาะกันก็ได้
เธอให้ความสำคัญกับเพื่อนของตัวเอง และนั่นก็คือสิ่งที่ผูดมัดเธอเอาไว้ ห้ามไม่ให้ตัวเองลงมือทำอะไร —นั่นคือริปเปิลในตอนนี้
ฉันหยิบแฟ้มขึ้นมาและพลิกดูหน้าต่างๆเพื่อทำให้จิตใจของตัวเองทำงานได้อย่างแหลมคม ฉันจินตนาการถึงสโนไวท์ในเวอร์ชั่นสมบูรณ์แบบ ปรับปรุงแก้ไขกับสิ่งที่ตัวเองเห็น
นอกจากความคล่องแคล่วและเวทมนตร์อันทรงพลังแล้ว ความแข็งแกร่งของแครนเบอร์รี่ก็ถูกค้ำจุนจากประสบการณ์อันมากมายและความรู้ที่มาจากเรื่องนั้น การรู้ถึงจุดอ่อนและความแข็งแกร่งของเวทมนตร์ได้รับมาคือกุญแจสู่ชัยชนะในการต่อสู้ระหว่างเมจิคัลเกิร์ล
สโนไวท์ขาดซึ่งความรู้และประสบการณ์ต่างจากแครนเบอร์รี่ แต่เวทมนตร์ของเธอคือการได้ยินความคิดของคนที่ต้องการ เห็นได้ชัดว่าในการทดสอบ เธอได้ยินเสียงในจิตใจของศัตรูที่ไม่อยากถูกเจอตัวและถูกรู้ตำแหน่ง เธอยังได้ยินเสียงภายในของฟาฟที่คิดว่าตัวเองจะมีปัญหาแน่ถ้าถูกโจมตีด้วยอาวุธของดินแดนเวทมนตร์ เพราะแบบนั้นเองได้จึงถูกริปเปิลโจมตี
ใช่แล้ว เธอรู้ในสิ่งที่ศัตรูไม่ได้อยากให้รู้ แม้จะไม่ได้รู้เรื่องเวทมนตร์ของอีกฝ่ายมาก่อน เธอก็สามารถสู้ในจุดเดียวกันกับแครนเบอร์รี่ได้ในทุกสถานการณ์ เธอควรใช้ไอเท็มทั้งสี่ชิ้นให้เกิดประโยชน์และสร้างตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ขึ้นมา
เมื่อเวลาผ่านไปฉันก็อ่านแฟ้มข้อมูลเสร็จสิ้น ภายในหัวของฉัน สโนไวท์ได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่งที่สุดและไร้เทียมทานขั้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ ฉันวางแฟ้มลงบนโต๊ะด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ยืดหลัง
ริปเปิลไม่ได้ยอมแพ้เรื่องการฝึกฝนสโนไวท์อย่างที่ฉันคาดคิดเอาไว้ เธอยกความสำคัญเรื่องการร่วมมือกับสโนไวท์ไว้สูงกว่าความเห็นแก่ตัวของตัวเอง
แน่นอน การเอาดาบออกไปจากคนที่บอกว่าตัวเองจะสู้มันคือความเห็นแก่ตัวอันหยิ่งยโส บอกอีกฝ่ายไปว่าให้ยืนอยู่ด้านหลังและตัวสั่นเทา ริปเปิลเข้าใจเรื่องนั้นเช่นกัน มันเป็นเพราะว่าเธอเข้าใจ เธอจึงโกรธฉันนั่นเอง
สโนไวท์ปล่อยหมัดเบาออกไป จากนั้นก็ทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองกำลังจะเตะสูงจากทางขวา —แต่เมื่อริปเปิลเตะกวาดขาอีกข้างที่อยู่ที่พื้นจากด้านล่าง สโนไวท์ก็ล้มลงไป ริปเปิลบิดแขนของเธอไปรอบๆและบังคับตัวของเธอให้ลงไปที่พื้น ทั้งสองคนแยกตัวออกจากกันในทันที และในคราวนี้ สโนไวท์ก็กระโดดและปล่อยหมัดออกมาอย่างเต็มแรง ซึ่งริปเปิลก็ปัดออกไปด้านข้างอย่างเบาๆ
ในเวลาแค่เดือนเดียว สโนไวท์ก็๋ซึมซับและจดจำเรื่องการเคลื่อนไหวร่างกายตัวเองราวกับเป็นฟองน้ำที่ดูดซับน้ำ ไม่สิ —เธอได้เรียนรู้มากกว่ามากกว่าที่ถูกสอนซะอีก
เธอเตะสูงออกมาหลังการต่อยเบา เทคนิคนี้ถูกกันเอาไว้ด้านหนึ่งด้วยหมัด สร้างจุดบอดขึ้นมาก่อนที่จะทำการเตะ เธอใช้ความบกพร่องทางร่างกายของริปเปิลที่มีตาเพียงข้างเดียวให้เป็นประโยชน์ มันเป็นเรื่องสกปรกและไม่ได้เอาเรื่องที่ถูกสอนมาใช้งานอย่างถูกต้อง
ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าการใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าให้เวลาอีกซักหนึ่งเดือน เรื่องนี้มันก็จะเปลี่ยนไป แต่อย่างไร การกระโดดต่อยของเธอมันดูไม่น่าพอใจเล็กน้อย การนึกเอาความคิดที่เป็นของตัวเองออกมาเป็นเรื่องที่ดี และริปเปิลก็จะแก้ไขเรื่องการกระทำที่ไม่จำเป็นให้เอง
ฉันปิดภาพในคริสตัลบอล สโนไวท์กำลังเติบโตขึ้นอย่างงดงาม ฉันไม่สามารถใช้เวลาทั้งหมดที่ตัวเองมีเพ่งความสนใจไปที่เรื่องนี้ได้ เรื่องที่ฉันต้องทำให้เสร็จสิ้นมีมากเป็นภูเขา งานปกติเองก็เชื่องช้าด้วยเช่นกัน ฉันมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจและมีสิ่งที่ต้องคิด
ทั้งมนุษย์และเมจิคัลเกิร์ลจะส่องประกายมากที่สุดเมื่อตัวเองเป็นที่ต้องการ งานส่วนใหญ่จำเป็นต้องมาจากฉัน งานอันดับหนึ่งบนรายชื่อความสำคัญคือการทดสอบคัดเลือกหน้าใหม่ครั้งต่อไป ในฐานะผู้สังเกตุการณ์และพี่เลี้ยง ฉันอยากที่ส่งคนที่มีความสามารถสูงที่สุดในอุดมคติตัวเอง ฉันจะรวบรวมแคนดิเดทมา ให้พวกเธอสู้และแข่งขันกันเพื่อเลือกเมจิคัลเกิร์ล สำหรับเรื่องอุดมคติของฉัน ฉันจะทำการเลือก —ตัวเอกที่ควรค่า ผู้กำจัดปีศาจร้ายและผดุงความยุติธรรม
ท้ายที่สุดแล้ว ฉันจำเป็นต้องเตรียมการ และแผนสำหรับการทดสอบครั้งต่อไปก็คือ…
ในตอนที่ตรวจสอบเมจิคัลโฟนอยู่นั้น ฉันก็สังเกตเห็นว่าใกล้ที่จะถึงกำหนดแล้ว ฉันอยากเพิ่มอะไรลงไปซักเล็กน้อย ฉันมองภาพใบหน้าของผู้เข้าร่วมในเมจิคัลโฟนแบบผ่านๆ มันไม่ได้มีความสามารถของใครที่ทำให้ฉันรู้สึกติดใจเลย ไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่มีเส้นผมที่ทำให้ฉันอยากที่จะสัมผัส ในการที่จะพ้นจากเรื่องนี้ไป ฉันก็อยากที่จะใส่เรื่องบิดเบี้ยวของตัวเองลงไป อะไรบางอย่างที่เล็กๆ เท่านั้นมันก็มากพอแล้ว
ฉันรู้
ฉันนึกบางอย่างออกมาได้ การทำให้สวนสนุกเป็นเวทีสำหรับการทดสอบจะเป็นยังไงนะ? หรืออาจจะเป็นดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าที่สโนไวท์ได้พบกับริปเปิลเป็นครั้งแรก พื้นที่ในตอนกลางคืนที่ถูกรายล้อมไปด้วยเครื่องเล่นและแผงขายสินค้าเองก็มีบรรยากาศเฉพาะตัว
ฉันดึงแฟ้มออกมาเพื่อทำให้ความคิดใหม่ของตัวเองกลายเป็นจริง
สำหรับเรื่องในเดือนถัดไป การพูดว่าเรื่องต่างๆเป็นไปตามปกติ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เป็นไปอย่างไหลลื่น มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนัก
การจับคู่ของสโนไวท์และริปเปิลมีความเข้มข้นมากขึ้น พวกเธอย้ายการฝึกฝนจากสวนสาธารณะไปยังภายในภูเขา พวกเธอกังวลว่าอาจจะคว้านพื้นดินขึ้นมาหรือทำลายเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นได้ ซึ่งเรื่องนั้นมันจะทำให้เด็กๆรู้สึกเศร้า นี่เป็นความกังวลที่เหมาะกับเมจิคัลเกิร์ลมาก มันทั้งอบอุ่นหัวใจและมีเหตุผล
การอยู่ภายในป่ามันพวกเธอเคลื่อนไหวในแนวตั้งได้มากยิ่งขึ้น พวกเธอไล่ล่ากันราวกับว่าอยู่ในการต่อสู้จริง กระโดดออกจากกำแพงหินเพื่อเข้าหาอีกฝ่าย ใช้แรงในการเคลื่อนที่เพื่อจับแขนและเหวี่ยงคู่ต่อสู้ หมุนตัวสามรอบในอากาศลงมาที่พื้นและทำการโจมตีอีกครั้งในทันที
ในตอนนี้พลังแห่งจินตนาการของสโนไวท์กำลังทำงานอย่างยอดเยี่ยม เธอเข้าใกล้ตัวตนในอุดมคติของตัวเองภายในใจมากยิ่งขึ้น เธอยังคงห่างไกลจากริปเปิลแต่ก็ยังเป็นคู่ต่อสู้ที่ดี เมื่อคิดว่าเมื่อสองเดือนที่แล้วเธอเป็นยังไง มันก็น่าประหลาดใจมาก พลังแห่งจินตนาการของเธอมันยอดเยี่ยมมากยิ่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เสียอีก
ริปเปิลเองก็เคลื่อนไหวได้ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ เธอคงต้องถูกกระตุ้นจากสโนไวท์ เพราะเธอเองก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน ในตอนนี้สโนไวท์และริปเปิลต่างก็ช่วยให้อีกฝ่ายเติบโตขึ้น ทั้งสองคนนั้นมีเสน่ห์ การนั่งอยู่ข้างๆกันบนก้อนหินและเช็ดเหงื่อ พูดคุยกันเรื่องที่จะเข้าใกล้บางสิ่งบางอย่างได้ยังไงพร้อมกับยิ้มออกมาในบางครั้ง
ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะอธิบายมันออกมายังไง —บางทีฉันควรจะบอกว่าตัวเองมองดูพวกเธอราวกับเป็นแม่ การมองดูพวกเธอสองคนมันทำให้รู้สึกสะเทือนอารมณ์ คิดว่าทั้งสองคนจะเติบโตเป็นเด็กสาวที่ดีและแข็งแกร่ง บางครั้ง ฉันก็รู้สึกราวกับว่าน้ำตามันจะไหลออกมา ตายแล้ว ฉันนี่ล่ะก็…
ในตอนนี้เธอแค่ต้องยืมไอเท็มพวกนั้นมาจากริปเปิล —แต่ถึงฉันจะโทรไปหาริปเปิล เธอก็ไม่ได้รับสาย เธอปฎิเสธที่จะรับสายจากฉัน บางทีเธอเองก็เป็นคนหัวรั้นเหมือนกัน
ฉันจำเป็นต้องไปเจอริปเปิลและคุยกับเธอต่อหน้า ริปเปิลคือหัวใจหลักสำหรับการเติบโตของสโนไวท์ และการสื่อสารกับริปเปิลเองก็คือเรื่องสำคัญเช่นกัน
การสื่อสารของฉันกับสโนไวท์ยังคงเป็นไปโดยที่ไม่ถูกรบกวน ฉันยังคงทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่ดี คอยมอบคำแนะนำให้โดยอ้างอิงจากสิ่งที่ฉันเห็นจากการฝึกฝนของพวกเธอในคริสตัลบอล
“งั้นเหรอ เธอสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของริปเปิลได้สินะ”
“ใช่ค่ะ ปกติแล้วริปเปิลจะจับฉันได้ตลอดไม่ว่าฉันจะทำอะไร เอ่อ… ถ้าคุณไม่ว่าอะไร พวกเรามาเจอกันได้รึเปล่าคะ? แบบนั้นคุณก็จะได้เห็นด้วยตาตัวเองด้วย”
“ฉันขอโทษนะ —ฉันเองก็อยากทำแบบนั้น แต่ตารางงานมันยุ่งสุดๆเลย”
“อ่า…”
เธอพูดเป็นนัยออกมาหลายครั้งแล้วว่าอยากจะเจอหน้า วันนี้คือวันที่เธอพูดออกมาแบบตรงๆมากที่สุด แม้เธอจะทำให้ฉันรู้สึกมีความสุข แต่ฉันก็อยากจะหลีกเลี่ยงการเจอกันซึ่งหน้า
“ในตอนนี้… เธอพูดได้ว่าตัวเองมีนิสัยอะไรบางอย่างรึเปล่า?”
“นิสัยเหรอคะ…?”
“อย่างเช่นการลากเท้ากลับเล็กน้อยเมื่อกำลังจะเคลื่อนไหวไปด้านหน้า ความเคยชินเล็กๆน้อยๆแบบนั้นอาจจะทำให้คู่ต่อสู้อ่านการเคลื่อนไหวของเธอออกได้นะ”
สโนไวท์ทำแบบนั้นจริงๆ
“เธอต้องเปลี่ยนความเคยชินพวกนั้นและใช้มันให้เป็นประโยชน์แทน ตัวอย่างก็เช่น ถ้าเธอเคลื่อนไหวมาด้านหน้าโดยที่ไม่ได้ลากเท้ากลับ เธอก็จะทำให้ศัตรูประหลาดใจได้”
สโนไวท์ฟังฉันอย่างตั้งใจ และจากนั้นก็จงใจเผยความเคยชินที่ริปเปิลรู้อยู่แล้วออกมาเพื่อทำให้ริปเปิลเคลื่อนไหว จากการก็โจมตีสวนกลับไปด้วยการเคลื่อนไหวขั้นต้น และเธอก็สามารถเตะเข้าไปที่ต้นขาของริปเปิลได้สำเร็จ ริปเปิลประหลาดใจ แต่สโนไวท์เองก็ประหลาดใจเช่นกัน
ตอนที่พูดคุยกันหลังจากการฝึกซ้อมในวันนั้น ฉันสามารถบอกได้อย่างง่ายๆว่าสโนไวท์ตื่นเต้นแค่ไหนโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้คริสตัลบอล ฉันยกย่องสโนไวท์อยู่ตลอด ความดีใจทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะทำให้เมจิคัลเกิร์ลแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความสุขของสโนไวท์ก็คือความสุขของฉัน
เรื่องต่างๆของสโนไวท์เองก็เป็นไปได้ด้วยดี จากการที่ฉันเสริมว่า “เรื่องต่างๆของสโนไวท์” มันก็สามารถบอกได้ว่าเรื่องต่างๆในอาชีพหลักของฉันมันเป็นไปได้ไม่ดีนัก
ฉันจัดการทดสอบที่ดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าเพราะฉันรู้สึกประทับใจกับมันค่อนข้างมาก แต่มันก็กลายเป็นความวุ่นวาย ของเล่นและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆได้รับความเสียหาย มันเป็นการพิสูจน์ว่าสโนไวท์และริปเปิลนั้นฉลาดที่จะย้ายออกจากสวนสาธารณะไปยังภูเขา และยิ่งไปกว่านั้น ผู้เข้าร่วมการทดสอบสิบคนไม่มีคนที่ผ่านเลยแม้แต่คนเดียว ฉันที่รู้สึกเหนื่อยล้ากับความสูญเปล่ามองที่แฟ้มของตัวเองและเปิดดูเนื้อหาด้านในเพื่อปลอบประโลมใจ ผู้เข้ารับการทดสอบได้กลายเป็นวัตถุดิบชิ้นใหม่ที่จะใส่เอาไว้ในแฟ้ม ถึงแม้จะไม่ได้เสียเปล่าไปทั้งหมด แต่มันก็ยังไม่มากพอที่ทำให้จิตใจของฉันรู้สึกดีขึ้น ฉันถอนหายใจออกมาในตอนที่เขียนโน๊ตลงไปที่ด้านข้างของภาพว่าใช้เส้นผมไปแล้ว รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำเรื่องนี้อย่างเฉื่อยชาและไม่มีภาระผูกพัน
ก็นะ มันยังคงมีสโนไวท์อยู่ ฉันไม่ได้แค่พูดเรื่องนี้เพื่อปลอบโยนตัวเองเพราะความเหนื่อยล้า สโนไวท์คือเมจิคัลเกิร์ลที่น่าสนใจมาก เธอคือประเภทที่ฉันชอบ นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริง เลี้ยงดูสโนไวท์ให้กลายเป็นผู้ใหญ่คงจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันในฐานะเมจิคัลเกิร์ล ดังนั้นความผิดพลาดเล็กน้อยจากเรื่องการทดสอบจึงไม่ใช่ปัญหา
ฉันเปิดทีวีโดยที่ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ฉันเห็นข่าวของเด็กสาวสิบคนที่ตายในอุบัติเหตุรถบัส เมื่อมองไปที่ท่าทางโศกเศร้าของนักข่าวก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเศร้า ฉันปิดทีวีและทำเอกสารเพื่อส่งไปยังคนระดับสูงว่า : สโนไวท์เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ดีมาก เธอไม่มีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงเลย ใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับการใช้เวทมนตร์ของตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้คน ฉันจบเอกสารลงเพียงเท่านี้
ในตอนนี้ฉันจัดการกับหน้าที่ตามปกติเป็นครั้งคราว ในที่สุดฉันก็สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดของตัวเองไปให้สโนไวท์ แม้ว่าปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไขของฉันจะไม่ใช่สโนไวท์ แต่เป็นริปเปิลก็ตามที
ในตอนนี้ ฉันสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับสโนไวท์ได้แล้ว แต่การพูดว่าฉันเชื้อเชิญให้เธอทำมันถูกต้องกว่า
เมื่อเทียบกันแล้วริปเปิลนั้นยุ่งยาก การเดาะลิ้นผ่านโทรศัพท์ของเธอมันแหลมคมยิ่งกว่าใบมีด ระหว่างเรื่องราวของเธอในฐานะเมจิคัลเกิร์ลและสิ่งที่เธอทำ มันก็เห็นได้ชัดว่าเธอให้ความสำคัญกับเพื่อนของตัวเองอย่างไม่ผิดเพี้ยน ฉันต้องโน้มน้าวเธอในหลายๆแบบและเอาสโนไวท์มาใช้เป็นความได้เปรียบ
ฉันต้องแน่ใจว่าสโนไวท์กับริปเปิลแยกตัวกันและสโนไวท์ลงมาจากภูเขาแล้ว จากนั้นฉันก็เข้าไปหาริปเปิล
ภูเขาที่ว่างเปล่า ยิ่งมันลึกลับมากเท่าไหร่ คืนที่พระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้จะยิ่งเพิ่มเรื่องนั้นให้มากยิ่งขึ้น มันทำให้แม้แต่แมลงยังมารวมตัวกันที่ก้อนหินที่เต็มไปด้วยมอส เปลือกไม้เองก็ส่งเสียงออกมา น้ำของฤดูใบไม้ผลิที่ไหลหยดออกมาจากก้อนหินและต้นไม้ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำ ฉันเดินทวนกระแสน้ำขึ้นไป เดินไปตามแม่น้ำที่ก้นหุบเขาที่มีกำแพงหินตั้งอยู่ในแต่ละด้าน กระโดดออกจากก้อนหินอย่างเป็นจังหวะ เมจิคัลเกิร์ลจะไม่ลืนล้มโดยบังเอิญอยู่แล้ว
แม้ว่าหลังจากที่แยกตัวกับสโนไวท์ ริปเปิลก็ยังไม่ได้ออกไปไหน เธอนั่งไขว้ขาอยู่ที่ด้านบนก้อนหิน ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังเหม่อลอย ทำสมาธิ คิด หรือฟังเสียงการไหลของแม่น้ำอยู่ เธอเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ที่การฝึกฝนของสโนไวท์ย้ายเข้ามาที่ภูเขา ถ้ามีจังหวะไหนที่พวกเราจะพูดคุยกันได้ มันก็คือตอนนี้
ฉันกระโดดขึ้นมายังพื้นที่หินที่ที่ริปเปิลนั่งอยู่และก้มศีรษะลงไป “สวัสดี ไม่ได้เจอกันพักนึงเลยนะ ริปเปิล”
ไม่นานหลังจากที่ฉันเผยตัวออกมา เธอก็มองฉันด้วยท่าทีที่ขยะแขยง อ่า เธอเกลียดฉันนี่นะ
“เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเราคุยกันก่อนหน้านี้ —เธอได้คิดบ้างรึเปล่า?” ฉันถาม
ริปเปิลหันหน้าออกไป เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ตั้งใจฟัง ภายในใจของเธอ แน่นอนว่าฉันคือคนทรยศที่รักษาความเชื่อใจของเธอเอาไว้ไม่ได้
“ฉันดีใจนะที่เธอฝึกสโนไวท์ได้ แถมสโนไวท์เองก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วย”
ริปเปิลจ้องมาที่ฉัน แม้ว่าจะไม่มีแสงอย่างอื่นนอกจากแสงจากดวงจันทร์ ตาขวาของริปเปิลก็ส่องแสงออกมาราวกับทะลุทะลวง มันดูไม่เหมือนมนุษย์หรือเมจิคัลเกิร์ล แต่เป็นอะไรอย่างผีสางหรือสัตว์ประหลาดมากกว่า ใช่ว่าฉันเคยเห็นผีสางหรือสัตว์ประหลาดมาก่อน แต่ฉันแน่ใจว่าพวกนั้นจะมีดวงตาที่ดูทรงพลัง
“สุดท้ายก็จับตาดูพวกเราอยู่งั้นสินะ”
“หือ?”
“รู้ได้ยังไงว่าสโนไวท์แข็งแกร่งขึ้น?”
แย่ล่ะ ฉันพูดมากเกินไป
“จะเรียกว่า จับตาดู ก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นะ ฉันเชื่อว่าการเรียกว่า มองดู มันถูกต้องกว่า ฉันมีหน้าที่ที่ต้องมองดูและต้องเห็นว่าเธอเดินไปในทางที่ถูกต้องรึเปล่า”
เดาะลิ้น ริปเปิลกำลังโกรธ แต่ถ้าเธอไม่ได้จะตรงกลับไปที่บ้านในตอนนี้ มันก็ยังมีจุดที่ยังสามารถเจรจาได้อยู่ ฉันแค่ต้องดึงความจริงใจออกมาให้มากเพื่อเอาชนะ ฉันเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุยจากเรื่องเล็กน้อยไปเป็นเรื่องงาน การทำงานอย่างเฉยเมยกับเมจิคัลเกิร์ลที่เหมือนกับลูกศิษย์ที่ต้องทำงานในหลายๆที่ หลังจากที่ออกห่างจากฉันไปแล้ว เพื่อแสดงว่าฉันเป็นพี่เลี้ยงที่มีความสามารถ จากนั้นก็เสริมเข้าไปว่าลูกศิษย์บางคนแม้แต่ในตอนนี้ก็ยังทำให้ฉันรู้สึกกังวล ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีที่ดูเจ็บปวดพร้อมกับเช็ดน้ำตาเล็กน้อยด้วยปลายนิ้ว
ฉันมองสำรวจใบหน้าของริปเปิลในจุดนี้ ริมฝีปากด้านล่างนั้นยื่นออกมา มันดูน่ารัก แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอยังคงโกรธอยู่ ต้องพูดต่อ
ฉันบอกเธอไปว่าฉันดีใจที่สามารถได้พบกับเมจิคัลเกิร์ลที่มีความสามารถอย่างสโนไวท์ ฉันยกย่องความเป็นมนุษย์และความทะเยอทะยานของเธอ ฉันพูดเรื่องของเธอด้วยศักยภาพที่ไม่สามารถวัดค่าได้ และการที่เธออาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงดินแดนเวทมนตร์ ที่ที่คิดถึงเรื่องเมจิคัลเกิร์ลเพียงแค่เล็กน้อยและแทบจะไม่ได้เพ่งความสนใจมาได้อีกด้วย การสร้างองค์กรเช่นนี้ขึ้นมาจะทำให้สโนไวท์มีความสุขมากด้วยเช่นกัน ฉันตั้งใจที่จะพูดอย่างสงบนิ่ง ดังนั้นน้ำเสียงของฉันจึงไม่ได้ฟังดูไม่จริงจังมากจนเกินไป แต่ฉันไม่แน่ใจว่าริปเปิลจะคิดยังไง
ฉันสำรวจท่าทางของริปเปิล ดวงตาของริปเปิลมาไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำ เธอมีท่าทีเหมือนกับมีคำว่า “หือ?” อยู่บนใบหน้า ความสนใจของฉันถูกดึงไปในทิศทางเดียวกับ และฉันก็พบว่าทุกอย่างมันพังทลายลงแล้ว
สโนไวท์อยู่ที่นี่ตรงริมธารน้ำบนภูเขา ในมือขวาของเธอ เธอกำลังถือก้อนสีขาวที่มีขน —นั่นคงจะเป็นอุ้งเท้ากระต่าย สโนไวท์ไม่ได้ออกไป เธอกลับไปที่บ้านและกลับมาพร้อมกับอุ้งเท้ากระต่าย บางทีพวกเธออาจจะพูดคุยกันเรื่องการแบ่งไอเท็มของพวกเธอใหม่ หากเป็นเรื่องนั้น มันก็หมายความว่าจริงๆแล้วริปเปิลรับฟังความเห็นของฉัน
อุ้งเท้ากระต่าย ไอเท็มเวทมนตร์ที่จะนำพาโชคดีมาให้ บางทีสำหรับสโนไวท์ นี่อาจจะเป็นโชคดี —เพราะว่าโอกาสที่เธอจะพบกับพี่เลี้ยงที่เธอเคารพมันหาได้ยาก
สำหรับฉันแล้ว นี่คือเรื่องโชคร้ายที่เลวร้ายที่สุด เมื่อได้เห็นท่าทางของสโนไวท์ที่เต็มไปด้วยความช็อคค่อยๆที่จะบิดเบี้ยว ฉันก็เหวี่ยงขาขวาขึ้นสูง กระโปรงของฉันพริ้วไปมา เตะลงมาด้วยหน้าแข้ง เล็งเข้าไปที่ด้านหลังศีรษะของริปเปิลในตอนที่เธอยืนอยู่ข้างๆ กระแทกตัวของเธอลงไปจากพื้นที่หิน
ฉันไม่ได้เตะถูกแบบเต็มๆ แม้ว่าริปเปิลจะไม่สามารถหลบได้ ก่อนที่จะถูกกระแทก เธอก็เอาแขนมาไว้ที่ด้านหลังศีรษะเพื่อป้องกันเอาไว้ ฉันประทับใจที่เธอสามารถตอบสนองกับการลอบโจมตีจากคนที่เพิ่งพูดด้วยได้เป็นอย่างดี —แต่กระนั้น ฉันก็สัมผัสได้ว่าแขนของเธอมันหัก
ริปเปิลร่วงลงไปในแม่น้ำ และไกลออกไปจากละอองน้ำที่ลอยขึ้นมา ฉันก็มองเห็นสโนไวท์ เธอกำลังวิ่งตรงมาหาฉัน ตะโกนอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้พร้อมกับท่าทางที่บิดเบี้ยว
แบบนี้มันหมายความว่าจบสิ้นแล้วจริงๆ
เหตุผลที่ฉันหลีกเลี่ยงการพบกับสโนไวท์ซึ่งหน้าอย่างหัวชนฝา มันเป็นเพราะว่าเวทมนตร์ของเธอสามารถได้ยินความคิดของคนที่ต้องการ ถ้าฉันพบกับเธอแล้วคิดว่า ฉันคงมีปัญหาแน่ถ้าเธอรู้เรื่องนั้น เธอก็สามารถอ่านใจของฉันได้จากเรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียว และฉันคิดว่าถ้าเธอได้ยินเข้าจริงๆ เธอก็จะตอบสนองเหมือนกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นก่อนที่ฉันเตะริปเปิลลงไปซะอีก
เนื่องจากฉันรู้ว่าเวทมนตร์ของเธอคืออะไร ฉันก็ไม่มีทางที่จะหยุดสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ได้ นี่คือเรื่องผิดปกติสำหรับการที่รู้เวทมนตร์ของใครบางคนอยู่แล้วก็ยังทำให้ตัวเองเสียเปรียบ สโนไวท์คือเมจิคัลเกิร์ลที่พิเศษมากจริงๆ
ฉันอยากที่จะสร้างเมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติของตัวเองขึ้นมา เมจิคัลเกิร์ลที่แข็งแกร่ง อ่อนโยน ใจเย็น เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อความยุติธรรม ร้องไห้เพื่อคนอื่น —เมจิคัลเกิร์ลแบบนั้นไม่สามารถเมินเฉยต่อดินแดนเวทมนตร์ ฉันจะเป็นที่ปรึกษาให้เธอในการยึดอำนาจ และถ้าเธออนุญาต แบบนั้นพวกเราก็จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ฉันจะเอาศีรษะของเธอมาวางให้บนตักแล้วก้ลูบไล้เส้นผม เพราะฉันรักเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นแบบนั้น
ในตอนนี้ฉันรักสโนไวท์ ก่อนหน้าสโนไวท์ ฉันรักนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ รักเธอ แอบมองดูชีวิตของเธอและสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ด้วยความอยากรู้ สงสัยว่าการทดสอบของเธอมีความหมายยังไง ฉันพยายามเลียนแบบอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็ได้ผลลัพธ์ที่ดี บางครั้งมันก็ล้มเหลว —เหมือนกับการทดสอบที่ฉันจัดขึ้นที่สวนสนุกเมื่อวันก่อน
เรื่องเดียวที่ไปได้ดีก็คือการทำให้มันดูเหมือนกับเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งต้องขอบคุณเรื่องนี้
ฉันสงสัยว่าสโนไวท์จะยกโทษให้กับสิ่งที่ฉันทำลงไปรึเปล่า ฉันไม่ได้คาดหวังเรื่องการยกโทษให้ และฉันก็ไม่ได้แม้แต่อยากให้เธอยกโทษให้ด้วย มันแย่จนเกินไป ฉันจะรู้ผิดหวังเป็นอย่างมากที่จะต้องจบชีวิตของสโนไวท์และริปเปิลลงที่นี่และกลับไปสู่วันคืนที่ตัวเองตามหาเมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติ เพราะพวกเธอคือวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการทำให้ความฝันของฉันเป็นจริง
สโนไวท์ควรที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นไปกว่านี้ ในตอนที่เธอไม่ควรจะจัดการฉันได้ มันช่างน่าเศร้าใจ ช่างเสียเปล่าเหลือเกิน —เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ฉันสนใจตั้งแต่ที่แครนเบอร์รี่ตายไป การที่เธอต้องมาจบชีวิตที่นี่ด้วยความไม่ตั้งใจของฉันนี่มัน…
ฉันจะเอาเส้นผมของคนตายไปด้วยเพื่อปลอบโยนตัวเอง ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องอ่อนไหว แต่มันก็รู้สึกเศร้าใจมากอยู่ดี ฉันจะเอามันไปทั้งหมดพร้อมกับหนังศีรษะ ฉันจะลงมือทำอย่างถูกต้อง เพราะแบบนั้นมันจึงจะไม่เน่า ทำมันให้เป็นสิ่งสำหรับฉันเพียงคนเดียว ฉันจะเก็บมันแยกเอาไว้จากแฟ้มข้อมูลของเธอ
ฉันจะสามารถจดจำสโนไวท์ได้ทุกครั้งในตอนที่มองมัน ในตอนที่บดเม็ดกาแฟ ฉันก็จะสามารถดื่มด่ำไปกับความทรงจำและภาวนาอย่างช้าๆสำหรับการที่จะได้พบกันอีกในครั้งหน้า
สโนไวท์กระโดดพร้อมกับเกิดรอยแตกขึ้นที่หินในตอนที่เคลื่อนไหว ฉันไม่ได้กระโดดเตะออกไปเพราะการขยับไปด้านข้างเพียงเล็กน้อยจะเป็นการป้องกันเรื่องแบบนั้นไม่ให้โดนตัวอย่างง่ายๆ เธอเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเกินไป แม้ว่าฉันจะบอกเธอไปมากขนาดนั้นแล้วก็ตาม —แต่เธอก็ใช้อารมณ์มากเกินไปและแค่เอาตัวเองพุ่งเข้ามาหาฉัน
การหักกระดูกคอมันจะทำให้คนทุกคนปิดปากเงียบได้ แม้ว่าจะเป็นคนที่ลงมือด้วยความโกรธก็ตาม ฉันหลบการโจมตีของสโนไวท์ และจากนั้นก็หมุนตัวเตะเข้าไปที่ลำคอของเธอ —ฟุ่บ อะไรบางอย่างที่เป็นเหล็กพุ่งเข้ามาหาฉันจากด้านล่างของพื้นที่หิน วิถีของมันเพิกเฉยต่อกฎฟิสิกส์… สิ่งที่ฉันทุบลงด้วยขาขวาที่ยกขึ้นมาก็คือคุไน
ต่อให้แขนจะหัก เธอก็ยังสามารถขว้างคุไนได้งั้นเหรอ? ริปเปิลที่คาบดาบเอาไว้ในปากยกตัวขึ้นมาจากแม่น้ำพร้อมกับมีน้ำไหลหยดลงมา เธอเหวี่ยงขาขึ้น —อีกครั้ง คุไนที่บินออกมามันตัดผ่านละอองน้ำ
อาวุธระยะไกลมันอ่านทางได้ยาก แต่มันช้ากว่าในตอนที่เธอขว้างด้วยแขน ฉันสะบัดกระโปรงเพื่อปัดมันลงมา
ริปเปิลใช้นิ้วเท้าจับคุไนเอาไว้และขว้างมันออกมา โยนเกี๊ยะไม้ที่เป็นจุดขายของตัวเองออกไป ยืนอยู่ในท่าย่อต่ำ งอเข่าขวาลงไปจนถึงระดับข้อเท้า ใช้เท้าเอื้อมเข้าไปที่แขนเสื้อหรือปกเสื้อเพื่อเอาคุไนใส่เอาไว้ที่ระหว่างนิ้วเท้า
จากการที่คาบดาบเอาไว้ที่ปากและมีคุไนอยู่ที่เท้า มันจึงทำให้ภาพของเธอที่มองเห็นดูรุนแรง รูปลักษณ์ของเธอเต็มไปด้วยความงี่เง่า —แต่ประกายแสงในดวงตามันดูรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก หากฉันจะพูดแบบเปรียบเปรยให้เห็นภาพแล้ว การจ้องมองของสโนไวท์เหมือนกับการต่อย ในขณะที่การจ้องมองของริปเปิลคือการแทงจนถึงชีวิต
ริปเปิลไม่ได้เข้าใจว่าทำไมฉันถึงโจมตี ไม่เหมือนกับสโนไวท์ แต่ความจริงที่ฉันทำแบบนั้นคือการพัดเข้าใส่ไฟแห่งความโกรธของเธอ ดาบ หยดน้ำ สะท้อนกับแสงจากดวงจันทร์เต็มดวงอย่างน่าสะพรึงกลัว
สโนไวท์โจมตี ริปเปิลขว้างคุไน และฉันก็รับมือกับทั้งคู่พร้อมกับการโจมตีสวนกลับ —แต่ก่อนที่ฉันจะปล่อยหมัดออกไป ฉันก็สลับเป็นการป้องกันจากคุไนอีกอันหนึ่ง ทั้งคู่ร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าพวกเธอไม่ได้ต่อสู้กันและกันเป็นเวลาสองเดือนไปโดยไม่เกิดประโยชน์
ในระหว่างที่ตอบโต้นั้น สโนไวท์ก็ลากเท้ากลับมาด้านหลัง… แต่ไม่ได้เคลื่อนไหว ในตอนที่ฉันคิดว่าจะมีการโจมตีตามเข้ามา ริปเปิลก็ขว้างคุไนออกมาอย่างรุนแรง และฉันก็ไม่สามารถหลบได้อันหนึ่ง จนทำให้มีเลือดไหลพุ่งออกมาจากแขนขวา
ฉันกระโดดออกจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อน พวกเธอกำลังไล่ตามฉันมา ด้วยการที่สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่พวกเธอฝึกฝน ฉันจึงคิดว่าพวกเธอได้เปรียบเรื่องพื้นที่
แต่นั่นก็ยังไม่มากพอ พวกเธอไม่สามารถเอาชนะฉันด้วยการมีจำนวนมากกว่าหรือรู้จักพื้นที่ ฉันไม่ได้อ่อนแอหรือใจดีมากพอที่จะมาแพ้ให้กับเด็กไร้ประสบการณ์
ริปเปิลไม่ได้ขว้างแค่คุไนออกมา เธอยังขว้างดาบสั้นออกมาด้วย มันวนเหมือนกับบูมเมอแรง ซึ่งฉันสามารถหลบได้ง่ายๆ นั่นไม่ได้มากพอที่จะเป็นการโจมตีหลอกด้วยซ้ำ
สำหรับการโจมตีถัดมา ฉันก็ทุบมันลงไป จากนั้นก็แสร้งทำเป็นเตะในขณะที่สะบัดชายกระโปรงเพื่อปิดบังการมองเห็น —มันจะปล่อยให้ฉันอยู่ในสถานะไร้การป้องกันต่อสโนไวท์อยู่ครู่หนึ่ง แต่ฉันรู้ระยะที่เธออยู่ เธอแทบจะเข้ามาถึงตัวฉันไม่ได้ ต่อให้จะใส่แรงเข้าไป เธอก็ไม่สามารถโจมตีได้อย่างรุนแรง —แผนการของฉันที่จะเข้าไปยังจุดบอดของริปเปิลและโจมตีใส่ลำคอของเธอด้วยนิ้วเท้าถูกขัดขวางเอาไว้ด้วยการโจมตีของสโนไวท์ ฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างเฉียบพลัน จากนั้นก็หมุนตัวไปรอบๆและวิ่งทวนกระแสน้ำขึ้นไปยังพื้นที่หิน
สโนไวท์ไม่ได้มือเปล่า เธอกำลังถือดาบสั้นที่ริปเปิลขว้างออกมา
อะฮ้า ฉันรู้ได้ในทันที ดาบสั้นที่ริปเปิลขว้างออกมาไม่ได้จะโจมตีใส่ฉัน มันคือการส่งให้สโนไวท์ ริปเปิลรู้ว่าฉันไม่ได้กังวลกับการโจมตีที่จะเข้ามาจากสโนไวท์มากนัก
ฉันปัดดาบสั้นจากสโนไวท์ออกไปในตอนที่เธอไล่ตามมา และยังแทบจะหลบคุไนของริปเปิลไม่ได้ จังหวะการโจมตีของทั้งคู่ใกล้เคียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่สโนไวท์ฟังเสียงในหัวใจของริปเปิลรึเปล่า? มันทำให้ฉันคิดว่าส่วนใหญ่แล้วเธอทำแบบนั้น การร่วมมือกันของพวกเธอมันรวดเร็วเกินไป
ฉันสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังถูกคู่ต่อสู้สองคนกดดัน
ฮะฮะ แบบนี้มันแปลกเกินไปแล้ว
ฉันรู้เรื่องที่พวกเธอสามารถทำได้ ไม่ใช่แค่เพราะเลือดที่ออกมาจากตรงไหล่ของฉัน การเคลื่อนไหวของพวกเธอดีขึ้นมากเรื่อยๆ พวกเธอเริ่มที่จะหายใจเป็นจังหวะเดียวกัน พวกเธอต่างเลี้ยงดูอีกฝ่ายขึ้นมา พวกเธอได้สัมผัสกับบรรยากาศเฉพาะของการต่อสู้จริง มันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถได้มาในการฝึกฝน เสริมด้วยความคิดและความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนั้นอย่างรุนแรง ฉันจึงได้รูปแบบสูงสุดเรื่องกลยุทธ์ในการใช้เลี้ยงดูเมจิคัลเกิร์ลมา มันคือความรู้สึกอันแข็งแกร่งนั่นเอง บางทีฉันไม่ควรที่จะพูดเรื่องนี้ในตอนที่กำลังจะถูกฆ่า แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีใจ
คุไนเฉี่ยวคริสตัลบอลที่อยู่ในมือซ้ายไป ฉันจะทำอะไรพลาดไม่ได้อีกแล้ว
ในขณะที่รู้สึกดีใจ ฉันก็รู้สึกผิดหวังที่เรื่องมันเสียเปล่าอีกครั้ง แน่นอนว่าสโนไวท์นั้นยอดเยี่ยม —แต่ริปเปิลเองก็เช่นกัน ความรู้สึกที่เพิ่มมากขึ้นจากการต่อสู้มันทำให้ความปรารถนาของพวกเธอแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองผูกกันแน่นในตอนที่โจมตีเข้ามาที่ฉันราวกับเป็นสัตว์ร้ายเพียงหนึ่งเดียว
ฉันเตะกำแพงหินเพื่อกระโดดขึ้นไปยังกำแพงที่สูงกว่า ปะทะเข้ากับสโนไวท์ในตอนที่เธอกระโดดจากกำแพงฝั่งตรงข้าม —ฉันป้องกันการเตะของเธอเอาไว้ด้วยหน้าแข้ง จากนั้นก็หมุนตัวในแนวตั้งเพื่อปัดคุไนออกไปด้วยกระโปรง ฉันกระโดดออกจากกำแพงในด้านตรงข้าม และสโนไวท์ก็วนเข้ามาในแบบเดียวกัน พวกเราปะทะเข้าหากันอีกครั้ง สโนไวท์ฟันขึ้นมาด้วยดาบสั้น มันโดนเข้าไปที่แก้มในตอนที่ฉันเตะคุไนลงไปด้วยส้นรองเท้า ฉันปัดดาบของริปเปิลออกไปด้านข้างด้วยหลังมือในตอนที่ริปเปิลกระโดดขึ้นมาเหนือแผ่นหลังสโนไวท์ และกำแพงหินที่อยู่ด้านหลังฉันก็แหวกออกราวกับเป็นเต้าหู้
มันน่าเสียใจเป็นอย่างมากที่เมจิคัลเกิร์ลสองคนที่มีความสามารถขนาดนี้ต้องมาถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของคนอย่างฉัน อ่า ใช่แล้ว ฉันจะสร้างของประดับขึ้นมาแบบเป็นเซ็ทจากการใช้เส้นผมของทั้งคู่ ฉันจะให้พวกเธอได้อยู่ใกล้ชิดกันแม้กระทั่งในความตาย ฉันจะคิดถึงเรื่องการทดสอบครั้งต่อไปพร้อมกับเส้นผมของพวกเธอที่จ้องมองมาที่ฉัน ช่างเป็นภาพในอนาคตที่สวยงามอะไรขนาดนี้
ฉันจับคริสตัลบอลเอาไว้แน่น ทั้งสองมือมีเส้นผมพันเอาไว้รอบนิ้วแต่ละนิ้ว ในคริสตัลบอล ฉันสะท้อนภาพของหนึ่งในเด็กสาวที่เป็นเจ้าของเส้นผมเหล่านั้น เธอไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล เธอเป็นแค่เด็กสาวที่เป็นมนุษย์ เธอไม่ได้มีศักยภาพหรือความสามารถพิเศษอะไร เป็นแค่เด็กสาวชั้นประถมปีที่หนึ่งธรรมดาๆที่กำลังนอนหลับอย่างสงบอยู่บนเตียงของตัวเอง
แก่นสำคัญเรื่องเวทมนตร์ของฉันไม่ใช่แค่ใช้คริสตัลบอลเพื่อแอบมอง —แต่มันสามารถดึงวัตถุที่สะท้อนอยู่บนคริสตัลบอลเข้ามาหาฉันได้ด้วย มันไม่สำคัญว่าวัตถุจะเป็นแบบไหน ระยะห่างหรือโลกที่อีกฝ่ายอยู่ก็เช่นกัน —ก่อนหน้านี้ฉันยังเคยดึงใครบางคนที่หนีเข้าไปในโลกไซเบอร์ออกมาด้วย
ฉันวิ่งขึ้นไปบนกำแพงหิน เมื่อฉันใกล้จะไปถึงด้านบนของภูเขา ฉันก็หันหลังกลับและสอดมือเข้าไปในคริสตัลบอล จับคอเสื้อของเด็กสาวเอาไว้ แล้วก็ดึงตัวของเธอออกมา เธอคงต้องครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ เพราะกำลังลูบดวงตาด้วยท่าทางง่วงซึม
ท่าทางของสโนไวท์กับริปเปิลคือ… ก็นะ นั่นแหละที่ฉันอยากเห็น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความช็อคในตอนที่มองมาที่ฉันและเด็กสาวที่ฉันจับเอาไว้
สโนไวท์และริปเปิล ทั้งคู่ต่างก็เป็นเด็กสาวที่ซื่อตรง พวกเธอคงไม่มีทางจินตนาการว่าจะมีคนสารเลวอย่างฉันอยู่ในโลกใบนี้ด้วย คนสารเลวที่ไร้ค่าเสียยิ่งกว่ากองอ้วก —คนไร้ยางอายที่เอาคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง
ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีที่คอยทิ่มแทง หลังจากที่ขอโทษอยู่ภายในใจ อ่า ขอโทษนะ ด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก ฉันก็ลงมือ
ฉันโยนเด็กสาวลงไปจากด้านบนภูเขาอย่างเบามือ ริปเปิลและสโนไวท์ คนที่ไล่ตามฉันมา ก็ทิ้งตัวลงไปยังด้านล่างหน้าผาเพื่อตามเด็กสาวไป มันคงจะไม่เป็นอะไร พวกเธอคงทำได้แน่ ฉันโยนออกไปในแบบที่พวกเธอสามารถทำได้อยู่แล้ว พวกเธอสองคนจะช่วยเด็กสาวเอาไว้ได้ก่อนที่ตัวจะตกลงไปถึงพื้น
นี่คงจะเป็นโอกาสของฉัน หากพวกเธออยากจะช่วยเด็กสาว แบบนั้นมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างช่องว่างขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองได้โอกาสนั้น ฉันจะโยนเด็กสาวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ลงไปด้านบนของหน้าผา ฉันทำได้อยู่แล้วเพราะฉันมันเป็นพวกเศษสวะ และเพราะฉันคือเศษสวะ ฉันจึงสามารถชนะได้ ในการที่จะชนะ ฉันจะเหยียบย่ำลงไปที่ผู้อ่อนแอที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเพื่อให้ได้นับชัยชนะ หากฉันต่อสู้กับมิตรแห่งความยุติธรรม แบบนั้นฉันก็แค่ต้องเล่นบทวายร้ายให้สอดคล้องกัน
ฉันเปลี่ยนภาพในคริสตัลบอล สโนไวท์กำลังอุ้มเด็กสาวเอาไว้ในอ้อมแขน สำหรับริปเปิลนั้น เมื่อฉันเปลี่ยนภาพ เธอก็วิ่งขึ้นมาตามหน้าผาเรียบร้อยแล้ว เมจิคัลเกิร์ลแห่งความยุติธรรมสองคน พวกเธอทั้งคู่อยู่ที่นี่ อารมณ์ที่อ่อนไหวของฉันพุ่งขึ้นไปถึงขีดสุด ลาก่อน สโนไวท์ เมจิคัลเกิร์ลที่รักของฉัน ฉันจะแทนที่เธอเอง
ฉันสามารถดึงวัตถุที่สะท้อนอยู่ในคริสตัลบอลออกมาได้ การที่จะสามารถดึงออกมาได้หรือไม่มันขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวฉันเอง ฉันยังสามารถจับลำคอของพวกเธออย่างรวดเร็วเพื่อทำลายได้ มันไม่มีเมจิคัลเกิร์ลคนไหนที่สามารถขยับตัวได้ถ้าลำคอของตัวเองหัก
ฉันเล็งและสอดมือขวาเข้าไปอย่างเงียบๆ —แต่ในตอนที่ฉันจะสัมผัสกับลำคอของสโนไวท์ สโนไวท์ก็หมุนตัวและยื่นแขนออกมา แทนที่จะจับลำคอเอาไว้ มันกลายเป็นว่าฉันจับแขนของเธอแทน ยิ่งไปกว่านั้น ดาบสั้นของเธอแทงทะลุด้านหลังมือจนออกมาที่ฝ่ามือ —ในระหว่างนั้นเธอก็แทงโดนแขนของตัวเองด้วย
ในเวลาเดียวกันน่องของฉันก็ถูกเฉือน ฉันส่งเสียงครางออกมาด้วยความช็อค ล้มตัวลงไปอย่างงุ่มง่าม ชูริเค็นขนาดใหญ่แทงลึกเข้าไปในน่องขวา มันคือกิ๊บหนีบผมของริปเปิล ต่อให้ฉันอยากจะดึงมันออกมา มือขวาของฉันก็ถูกตรึงเอาไว้ มือซ้ายของฉันก็ปล่อยคริสตัลบอลไปไม่ได้ ฉันขยับตัวไม่ได้แล้ว
ฉันทรุดตัวลงไป ความเหน็บหนาวจากพื้นที่ชื้นแฉะซึมเข้ามายังร่างกายส่วนล่าง บาดแผลที่น่องขวามันลึกจนถึงกระดูก หากไม่มีมือฉันก็แทบคลานไม่ได้ด้วยซ้ำ
ฉันหายใจออกมาอย่างหนักอึ้ง ส่งออกซิเจนไปตามกระแสเลือด ความเหน็บหนาวของภูเขามันทำร้ายปอดของฉัน
นี่สโนไวท์เห็นการโจมตีของฉันได้ยังไงนะ? ฉันปิดบังตัวตนของตัวเองเอาไว้ และมันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะอ่านใจ มือ ของฉัน แต่จากการที่เธอเคลื่อนไหว ฉันก็เอาคิดได้แค่ว่าเธออ่านใจฉัน… อ่า อย่างนี้นี่เอง
ฉันปิดบังตัวตนเอาไว้เพื่อค่อยๆเคลื่อนไหวไปที่ด้านหลังของสโนไวท์อย่างช้าๆ มือขวาของฉันอยู่ในจุดบอดของเธอ แต่ใครบางคนก็เห็นมือข้างนั้น —เด็กสาวที่อยู่อ้อมแขนของสโนไวท์ แม้ว่าจะอยู่ในวังวนแห่งความสับสน เธอก็มองออกไป แม้ว่าจะมีแค่แสงจากดวงจันทร์เพียงอย่างเดียว ในระยะที่ใกล้แค่นี้ อย่างน้อยเธอก็จะเห็นว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามา เธอคงต้องรู้สึกว่าอะไรบางอย่างนั้นมันจะสร้างปัญหาให้เธอ
ต่อให้เธอจะร้องออกมาหรือแสดงให้สโนไวท์เห็นด้วยท่าทาง มันก็จะไม่ทันการ สโนไวท์ได้ยินเสียงจากหัวใจของเธอและตอบสนองกับมันโดยตรง จับแขนของฉันเอาไว้ และริปเปิลก็ลงมือพร้อมกันกับสโนไวท์ด้วยการถอดกิ๊บหนีบผมออกและขว้างมาใส่ฉัน
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งขึ้นมาตามกำแพงหิน สำหรับฉันแล้ว มันดูไม่เหมือนว่าจะสามารถลุกขึ้นได้เลย
ริปเปิลและสโนไวท์ใช้กระทั่งเศษสวะอย่างฉันให้เกิดประโยชน์ ยิ่งเรื่องราวต่างๆในอนาคตจะรุนแรงและเจ็บปวดมากขึ้นแค่ไหน พวกเธอก็จะยิ่งแข็งแกร่งและขัดเกลามากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
การได้คิดถึงอนาคตของพวกเธอมันจะสนุกแค่ไหนกันนะ
การที่ไม่ได้เห็นอนาคตของพวกเธอมันจะน่าเศร้าแค่ไหนกัน
หากชะตาของฉันจะจบลงที่จุดนี้ แบบนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่โหดร้ายมากไปกว่านี้แล้ว แม้ว่าจะเติมเต็มเป้าหมายในการสร้างเมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติได้ครึ่งทาง ฉันก็ต้องออกไปกลางคันโดยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมจนถึงท้ายที่สุด มันคือโศกนาฏกรรม
ฉันไม่สามารถเป็นเมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติของตัวเองได้ ตัวฉันมันเน่าเฟะไปจนถึงแก่น ไม่มีวันที่จะร้องไห้ สำนึกผิด หรือค้นพบความยุติธรรมที่อยู่ในตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน ฉันพูดเรื่องพวกนี้ได้อย่างมั่นใจ แต่ถึงกระนั้น ฉันก็แสวงหาเมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติของตัวเองมาโดยตลอด เธอคือสุดยอดเมจิคัลเกิร์ลที่จะทำลายดินแดนเวทมนตร์ที่มีความคิดว่าเมจิคัลเกิร์ลคือสัตว์ทดลองเพียงอย่างเดียวจากภายใน เธอคือเมจิคัลเกิร์ลที่มีสามารถทำในสิ่งที่ฉันไม่สามารถทำได้ ฉันรับหน้าที่เป็นอาจารย์ คอยให้คำปรึกษา และพยายามสร้างเมจิคัลเกิร์ลในอุดมคติของตัวเองขึ้นมา คนที่จะยืนเคียงข้างฉันและกลายเป็นสุดยอดคู่หูในการเผชิญหน้ากับดินแดนเวทมนตร์ หากฉันมีเวลามากกว่านี้เล็กน้อย —แค่เพียงเล็กน้อย
ริปเปิลที่วิ่งเข้ามาหาฉันดูเหมือนกับสัตว์ร้าย ตัวของเธอเปื้อนไปด้วยเลือด แต่เธอก็ไม่สนใจบาดแผลของตัวเอง ไฟแห่งความโกรธแค้นลุกโชนอย่างเจิดจ้า เส้นผมยุ่งเหยิงที่พริ้วไหว เธอล่าเมจิคัลเกิร์ลที่ชื่อว่าไพตี้ เฟรเดริก้า บางครั้ง เส้นผมที่ยุ่งเหยิงก็งดงามกว่าเส้นผมที่เป็นทรงสวย ความงดงามนั้นมันมอบแรงบันดาลใจให้ฉัน
ฉันนึกความคิดหนึ่งขึ้นมาได้ นักล่าเมจิคัลเกิร์ล มันเข้ากันดีกับริปเปิล แต่ก็เหมือนว่าเหมาะสมกับสโนไวท์ด้วยเช่นกัน ฉันคิดว่ามันเป็นชื่อที่ค่อนข้างดีสำหรับฉายา ฉันไม่รู้ว่าเธอจะฟังรึเปล่า แต่ฉันก็จะพยายามแนะนำดู
MANGA DISCUSSION