เมจิคัลเกิร์ลชุดดำและอัศวินสาว
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อนที่เกม เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค จะเริ่มต้นเป็นเวลาไม่นาน
☆ ลาพูเซล
“หือ? ตั้งแคมป์? ในฤดูนี้เหรอ?” สโนไวท์พูด
“การตั้งแคมป์ไม่ได้มีแค่ในฤดูร้อนนะ” ลาพูเซลตอบ
เมจิคัลเกิร์ลสองคนที่กำลังมองหน้ากันและกันอยู่ด้านบนของหอคอยเหล็กมีท่าทีที่แตกต่างกัน สโนไวท์ดูไม่สบายใจ ในขณะที่ลาพูเซลตอบสนองด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ เธอจงใจพยายามที่จะแสดงความมั่นใจออกมา ตั้งความหวังไว้กับทริปตั้งแคมป์ของชมรมฟุตบอล แต่ก็กังวลที่จะต้องทิ้งสโนไวท์ที่ต้องทำหน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ลคนเดียวเอาไว้เบื้องหลัง แต่ยังไงก็ตาม การแสดงความกังวลออกมามันจะทำให้สโนไวท์รู้สึกว่าโดนทอดทิ้งมากยิ่งขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกังวล” ลาพูเซลบอกเธอ
“…คิดแบบนั้นเหรอ?”
ลาพูเซลคิดว่าสโนไวท์คิดมากจนเกินไป เธอไม่ได้พยายามขอคำปรึกษาจากซิสเตอร์นานะเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากเธอทำแบบนั้น เธอก็อาจจะโดนหัวเราะหรือว่าถูกแกล้ง —แม้ว่าซิสเตอร์นานะอาจจะรับฟังอย่างตั้งใจก็ตาม แต่ลาพูเซลก็ยังคงรู้สึกอายอยู่ดี
“ฉันรู้ว่าเธอสามารถเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยตัวเองนะ สโนไวท์”
“หือ?”
“หืม?”
ในตอนนี้พวกเธอต่างจ้องมองกันด้วยความงุนงง
“หมายความว่ายังไงน่ะ?”
“หมายความว่ายังไงงั้นเหรอ? หือ?”
“ฉันกังวลว่าโซจังอาจจะเจอปัญหาอะไรบางอย่างตอนไปตั้งแคมป์น่ะสิ”
“หือ? จริงเหรอ? ฉันนึกว่าพวกเราคุยกันเรื่องของเธอว่าจะรู้สึกเหงาเมื่อต้องอยู่คนเดียว …”
ทั้งสองคนมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกันในทันที ลาพูเซลหัวเราะออกมามากจนลืมบอกสโนไวท์ไปว่าให้เลิกเรียกเธอว่าโซจังได้แล้ว แม้ว่าทั้งคู่จะรักเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอก็แตกต่างกันในหลายๆด้าน —แต่แบบนั้นเองมันก็น่าสนุก เพราะพวกเธอทั้งคู่ต่างก็กังวลในเรื่องเดียวกัน
☆ ฮาร์ดกอร์ อลิส
กลางดึกในคืนที่สามหลังจากที่เริ่มเล่นเกม อาโกะ ฮาโทดะก็ได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล
ตอนนั้นเธอแทบจะกระโดดโลดเต้นออกมา แต่ก่อนที่เธอจะทำ เธอก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในห้องของตัวเอง การกระโดดและสร้างเสียงดังมันจะเป็นการรบกวนคุณลุงคุณป้าที่อยู่ชั้นล่าง ตอนนี้อาโกะที่อยู่ในร่างของเมจิคัลเกิร์ลจึงเปิดประตูและแอบออกไปข้างนอก เดินไปตามถนนตรงหน้าบ้าน เธอยกแขนขวาขึ้นสูง และเมื่อกระโดดแบบแรงที่สุดเท่าที่ตัวเองทำได้ เธอก็กระโดดสูงขึ้นไปมากจนตัวเองตกใจ ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เธอก็กำลังมองลงมาจากหลังคาชั้นสอง เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ไม่ได้กระโดดตอนที่อยู่ในบ้าน แต่การอยู่ในท่าทางประหลาดมันก็ทำให้เธอเสียสมดุล ร่วงลงมาจนไหล่กระแทกเข้ากับยางมะตอย ทั่วทั้งร่างนั้นถูกกระแทกอย่างรุนแรง
แรงกระแทกมันมากพอที่จะฆ่ามนุษย์ธรรมดาได้ในทันที แต่เธอก็แทบไม่ได้รู้สึกอะไร ยิ่งไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกสนุกสนานและความสำเร็จ เธอไม่ได้แม้แต่จะฟังฟาฟ มาสค็อตที่ปรากฏตัวขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องต่างๆ และในชั่วโมงให้หลัง เมื่อความตื่นเต้นของเธอลดลงแล้ว เธอก็เรียกมาสค็อตขึ้นมาอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ฟัง” เธอบอกมาสค็อตไปและขอให้อธิบายอีกครั้ง มาสค็อตไม่ได้พยายามจะซ่อนท่าที่ขุ่นเคืองของตัวเอง แต่ก็อธิบายหลายๆเรื่องของเมจิคัลเกิร์ลออกมาไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
การช่วยเหลือคนที่ตกอยู่ในปัญหาโดยไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทน แก้ไขปัญหาเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน —อาโกะรู้สึกพอใจมากที่ได้ยินเรื่องที่เหมือนกับที่จินตนาการเอาไว้และหวังว่าเมจิคัลเกิร์ลจะเป็นแบบที่คิด
เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล —เมจิคัลเกิร์ลฮาร์ดกอร์ อลิส
การถูกเมจิคัลเกิร์ลชุดขาวช่วยเอาไว้มันนำไปสู่การที่ทำให้อาโกะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล แค่คิดว่าสามารถทำงานเคียงข้างกันในฐานะเพื่อนเมจิคัลเกิร์ลได้ มันก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงและริมฝีปากบานจนเป็นรอยยิ้ม หากเธอสามารถ “ขอบคุณ” และยิ้มในการสนับสนุนเมจิคัลเกิร์ลชุดขาวได้ แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้เธอมีความสุขมากแล้ว
“ยิ้มสยองอะไรน่ะ ปอน?”
“สยอง…?”
“การเคลื่อนไหวเองก็ประหลาด”
เธอคงแสดงความดีใจออกมา อลิสกระแอมอย่างเงียบๆและยืดหลัง เธออยู่ในจุดเริ่มต้นของการเป็นเมจิคัลเกิร์ล ไม่ใช่เส้นชัย เธอต้องเพ่งสมาธิ มิเช่นนั้นจะล้มเหลวจนตามไม่ทันและไม่มีวันอยู่เคียงข้างเมจิคัลเกิร์ลชุดขาวได้
“แต่มันแปลกนะ ปอน ถ้าเธอนับถือเมจิคัลเกิร์ลชุดขาว แบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าควรดีไซน์ตัวเองเป็นสีขาวเหรอ ปอน? สีขาวกับสีดำ มันตรงข้ามกันเลยนะ ปอน”
“ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกัน.. สีขาวดำที่ตรงข้ามกันก็จะสวย…”
“หือ? จริงเหรอ ปอน? แบบนั้นมันสวยงั้นเหรอ ปอน? หวา ถ้าชมฟาฟแบบนั้น ฟาฟเขินแย่เลย ปอน”
อลิสตัดสินใจว่าจะไม่คุยกับมาสค็อตตัวนี้ถ้าไม่จำเป็น
อลิสตรวจสอบเรื่องการพบเห็นเมจิคัลเกิร์ลในเว็บไซท์รวบรวมข้อมูลว่ามีอะไรเกี่ยวกับเมจิคัลเกิร์ลชุดขาวหรือไม่อย่างมุ่งมั่น บางอย่างมันก็เป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลหรือการพูดคุยที่ไม่มีเนื้อหาสาระ แต่อลิสก็ยังคงเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำเพียงคร่าวๆ สุดท้ายแล้วอลิส —หรือก็คือตัวของอาโกะเอง— ถูกเมจิคัลเกิร์ลชุดขาวช่วยเอาไว้ ดังนั้นแน่นอนว่า งานของเธอจะทำให้เธอเข้าใกล้เมจิคัลเกิร์ลชุดขาวมากขึ้น
ในอีกสี่วันต่อมา อลิสก็วิ่งไปทั่วเมืองโคบิกิตอนกลางคืนเพื่อช่วยเหลือผู้คน เมื่อเธอพยายามวิ่งไปตามสายไฟฟ้า เธอก็ถูกไฟดูด พลาดในตอนที่พยายามกระโดดจากดาดฟ้าของอาคารหนึ่งไปยังอีกอาคาร ตอนที่วิ่งอยู่ริมถนน เธอก็เหยียบตะแกรงระบายน้ำจนทะลุและร่วงลงไปด้านล่างท่อระบายน้ำ นั่นคือการที่เธอเรียนรู้ว่าร่างกายของตัวเองทำงานยังไง
แม้จะผิดพลาดหลายครั้ง เธอก็สามารถทำความเข้าใจเรื่องความสามารถทางกายภาพที่เหนือกว่าของเมจิคัลเกิร์ลได้ แต่เธอก็ขาดซึ่งสิ่งสำคัญ นั่นก็คือการช่วยเหลือผู้คน ในพื้นที่นี้ของเมือง N มันไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากตั้งแต่แรก การวิ่งไปรอบๆมันก็ไม่ใช่ว่าเธอจะพบกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือคนแล้วคนเล่า สำหรับเธอแล้วบางทีมันคงง่ายกว่าที่จะวิ่งออกไปนอกพื้นที่ที่ถูกมอบหมาย แต่ฟาฟก็ห้ามเอาไว้ “มันยังเป็นช่วงทดลองงานอยู่นะ ปอน ยังเร็วเกินไปที่เธอจะติดต่อกับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่น ปอน เธอจะออกไปนอกพื้นที่ของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อทำหน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ลได้อย่างถูกต้อง ปอน” ดังนั้นเธอจึงใช้ขาวิ่งไปรอบๆเพื่อค้นหาคนที่ตกอยู่ในปัญหา เรียนรู้ทักษะในการแก้ไขปัญหา เพื่อที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ควรค่าแก่การยืนอยู่เคียงข้างเมจิคัลเกิร์ลสีขาว แม้ว่าโอกาสของเธอจะมีน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีเลย
สามวันหลังจากนั้น เธอเดินไปทั่วโคบิกิยามค่ำคืนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และในที่สุดเธอก็เจอคนแรกของเธอที่ตกอยู่ในปัญหา คนสำคัญคนแรกที่ฮาร์ดกอร์ อลิสพบคือใครบางคนที่กำลังพยายามลากจักรยานไปที่ใต้แสงไฟถนน ยางมันรั่วหรือโซ่หลุดรึเปล่านะ? เรื่องราวเกี่ยวกับเมจิคัลเกิร์ลสีขาวที่เธอเห็นในเว็บบอร์ดคือเรื่องราวอันยอดเยี่ยมที่บอกว่าชุดสีขาวบริสุทธิ์ของเธอกลายเป็นสีดำและสกปรกเพราะซ่อมจักรยานของใครบางคน เรื่องนี้มันคือสถานการณ์ในอุดมคติ หัวใจของอลิสเต้นรัวอย่างไม่หยุดและวิ่งเข้าไปด้วยความเร็วเต็มที่ เธอไม่ได้คิดถึงความจริงว่าเธอไม่มีเครื่องมือ ความรู้ หรือเทคนิคในการซ่อมยางที่แบนหรือโซ่ที่หลุดเลย
เนื่องจากว่าเธอกำลังรีบและตื่นเต้นเกินไปจนลืมว่าตัวเองอยู่ในซอยตอนกลางคืนพร้อมกับทัศนวิศัยที่ไม่ดี ในตอนที่เธอไม่ได้เพ่งความสนใจว่าถนนมันแคบแค่ไหน ไหล่ของเธอก็ไปกระแทกเข้ากับกำแพงของโรงงานร้างจนมันทำให้เกิดฉากเปิดตัวที่มีผลรุนแรงเป็นพิเศษ เธอปรากฏตัวออกมาด้วยใช่ไหล่การทำลายกำแพง ทำให้คนที่ควรจะช่วยเบิกตากว้างพร้อมกับอ้าปากค้างก่อนที่จะล้มตัวลงและวิ่งหนีออกไป อลิสไม่สามารถไล่ตามไปได้ เธอได้แค่ยกมือขวาออกมาด้านหน้าครึ่งทางในตอนที่มองคนที่ควรจะช่วยวิ่งหนีไป
สำหรับคนที่สอง เธอเห็นหญิงชราเดินอยู่พร้อมกับแบกห่อขนาดใหญ่อยู่ที่หลัง เมื่ออลิสจับห่อเพื่อที่จะช่วยถือ หญิงชราก็ตะโกนออกมาว่า “ตำรวจ!” แล้วก็วิ่งหนีไป อลิสคิดอย่างถี่ถ้วนว่าทำไมหญิงชราถึงตะโกนออกมาแบบนั้นในเมื่ออลิสไม่ได้มีอะไรที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ตำรวจเลย และในเช้าวันต่อมา เธอก็ตระหนักได้ว่าหญิงชราตีความว่าการแตะต้องห่อของแบบเงียบๆของอลิสคือขโมยจนต้องเรียกหาตำรวจ
ส่วนเรื่องของคนที่สามก็คือ อลิสมองเห็นใครบางคนที่เดินอยู่รอบๆที่ดูเหมือนว่ามีปัญหาอะไรบางอย่าง แต่แม้ว่าจะมองดูอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็บอกไม่ได้ว่าปัญหามันคืออะไร อีกฝ่ายดูเหมือนว่ากำลังมีปัญหา แต่บางทีอาจจะไม่ได้มีปัญหาจริงๆก็ได้ แต่การที่จะเข้าไปหาแล้วพูดว่า “มีปัญหาอะไรรึเปล่า?” มันก็ดูไม่มีมารยาท แต่ถ้าเกิดว่ากำลังมีปัญหาอยู่จริงๆล่ะ? ในตอนที่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ตามอีกฝ่ายไป คิดว่า ควรจะทำยังไงดีนะ? ควรจะทำยังไงดี? ในขณะที่ชายที่อยู่ด้านหน้าหันกลับมามองและเดินเร็วขึ้น อลิสเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เข้ากับจังหวะของเขา จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นการวิ่ง และก่อนที่จะรู้ตัว เธอก็ไล่ตามอีกฝ่ายไปแล้ว ชายคนนั้นส่งเสียงร้องออกมาและวิ่งออกไปจากโคบิกิ
คนที่สี่นั้นเป็นอะไรที่ดราม่า การได้เห็นรถบรรทุกที่ล้อติดอยู่ในท่อระบายน้ำ มันทำให้เธอตัวสั่นด้วยความดีใจ แต่จากนั้นเธอก็ดุตัวเอง แม้ว่าในตอนนี้มันคือโอกาสของเธอ การดีใจที่ใครบางคนโชคร้ายคือการที่ลำดับความสำคัญของเธอมันถอยหลังกลับ ในตอนนี้เธอแยกแยะได้มากพอว่าจะไม่รีบเข้าไปหา ไม่เหมือนกับเรื่องจักรยานเมื่อห้าวันก่อน
อลิสกระโดดขึ้นไปบนกำแพงพร้อมกับระวังไม่ให้ตัวไปกระแทก จากนั้นก็แอบเข้าไปหาจากจุดบอดของรถบรรทุกและจับเอาไว้จากด้านหลัง ล้อรถมันหมุนแรงที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ แต่ล้อมันก็ไม่ได้ไปโดนกับอะไรเลย หากเป็นแบบนี้ก็ไม่มีทางที่จะหลุดจากท่อระบายน้ำไปได้
อลิสยกด้านหลังของรถบรรทุกขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ด้วยความสามารถทางกายภาพของเมจิคัลเกิร์ลแล้วมันเป็นไปได้ แต่เธอก็ใส่แรงมากเกินไปเล็กน้อย รถบรรทุกยกตัวขึ้นเร็วเกินไป ลอยขึ้นไปในอากาศราวหนึ่งเมตรก่อนที่จะกระเด้งอย่างแรงบนถนน
ตัวอลิสเองก็ตกใจ แต่คนขับเองก็คงประหลาดใจเช่นเดียวกัน ไม่ว่าคนขับจะคิดยังไง เขาก็พุ่งไปด้านหน้าสามเมตร จากนั้นก็ถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว ชนเข้ากับอลิสที่งุนงงและบดเธออยู่ใต้ล้อรถ ล้อรถหมุนอยู่ที่ด้านบนตัวเธอ บดตัวของเธอจนมีเลือดไหลออกมา เธอรู้สึกตกใจมากกว่าที่จะเจ็บปวด จากนั้นเธอก็เตะเข้าไปที่ตัวรถจากด้านล่าง ในจังหวะที่รถบรรทุกลอยขึ้นไปในอากาศ เธอก็หนีออกมา
จากที่นั่งของคนขับรถคงต้องรู้สึกว่ากำลังขับอยู่บนอะไรบางอย่าง คนขับเปิดหน้าต่างออก ชะโงกหน้าออกมาและมองไปที่ด้านหลังรถ ที่ตรงนั้น คนขับคงมองเห็นภาพที่พร่ามัวของอลิสที่อยู่ใต้แสงไฟถนนเก่าๆที่ถูกรถบรรทุกชน ร่างกายและเสื้อผ้าฉีกขาดด้วยล้อรถ มีเลือดไหลหยดออกมาในตอนที่พยายามยืนขึ้น
รถบรรทุกแล่นออกไปพร้อมกับเสียงร้องของคนขับ ชนเข้ากับกำแพงซีเมนต์ตรงด้านในโค้งจนพังในตอนที่พยายามเลี้ยว แต่คนขับก็ขับออกไปโดยไม่ได้หยุด
เมื่อประสบกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็ทำให้อลิสคิดอะไรบางอย่างในแบบของเธอ เธอสงสัยว่าบางทีเธออาจจะถูกตัดออกจากการเป็นเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่า แต่เธอก็ทิ้งความคิดนั้นไปทันที เธอไม่ควรยอมแพ้เพราะว่าตัวเองทำพลาดหลายต่อหลายครั้ง และมันก็คงแปลกหากเธอสามารถทำงานในฐานะเมจิคัลเกิร์ลได้ดีในทันทีตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งๆที่เธอเพิ่งจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล
“ตอนนี้มันคือช่วงเวลาอะไรที่เหมือนกับการฝึกซ้อมหรือทดลองงาน ดังนั้นถึงจะทำผิดพลาดเล็กน้อยก็ไม่เป็นอะไร… แต่เด็กคนอื่นคิดออกว่าควรจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลยังไงได้เร็วมากเลยนะ ปอน เมจิคัลเกิร์ลที่ซุ่มซ่ามแบบเธอที่ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากทำพลาดมีไม่มากหรอกนะ ปอน เดี๋ยวก่อนสิ นี่เธอไม่ได้พยายามทำตัวเป็นคนซุ่มซ่ามหรืออะไรแบบนั้นใช่ไหม ปอน? คนอื่นจะไม่ชอบหากเธอจงใจทำนะ ปอน”
เธอตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไม่คุยกับมาสค็อตตัวนี้
บางทีอาจจะไม่ใช่เพราะว่าอลิสไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพราะเมจิคัลเกิร์ลชุดขาวยอดเยี่ยมเกินไป เธอเป็นคนที่ถูกพบเห็นมากที่สุดในเว็บไซท์รวบรวมข่าวสาร และในโพลสำรวจความนิยม เธอก็ชนะหลายต่อหลายครั้ง เธอคือเมจิคัลเกิร์ลตัวจริงในหมู่ของเมจิคัลเกิร์ล เป็นคนที่เรียกได้ว่าอยู่บนจุดสูงสุด คนธรรมดาอย่างอลิสที่พยายามจะไปให้ถึงระดับนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่จะทำอะไรไม่ได้นอกจากความล้มเหลว แต่กระนั้น ถ้าเธอยึดความจริงข้อนั้นและไม่ได้ทำอะไรเลย แบบนั้นความฝันของเธอก็จะไม่มีวันเป็นจริง เธอจะไม่สามารถยืนอยู่เคียงข้างเมจิคัลเกิร์ลชุดขาว ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขในตอนที่ทำงานไปด้วยกันได้
เรื่องที่เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนที่สุดจากความผิดพลาดหลายครั้งก็คือตัวของเธอสื่อสารได้แย่เอามากๆ เธอไม่ได้มีการสนทนาแบบที่ควรจะเป็นก่อนที่จะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลเช่นกัน สมองไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ลิ้นของเธอเองก็เช่นกัน ในตอนที่เธอคิดว่าจะพูดอะไรต่อไป เธอก็พลาดจังหวะที่จะพูดไปแล้ว เมจิคัลเกิร์ลช่วยเหลือคนจากเงามืด แต่เมื่อการช่วยเหลือผู้คนมันต้องมีส่วนร่วมบางอย่างกับคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน หากเธอไม่สามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้อง มันก็จะขัดขวางการทำหน้าที่เมจิคัลเกิร์ลของเธอ
เธอล้มเหลวเพราะว่าทำในสิ่งที่ปกติแล้วตัวเองไม่คุ้นเคย ด้วยความคิดนี้ อลิสจึงตัดสินใจที่จะเริ่มฝึกซ้อม ความผิดพลาดแรกของเธออยู่ที่จุดนี้ที่เป็นภารกิจที่ยากมาก ซึ่งก็คือการคุยกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันโดยที่ไม่มีการฝึกซ้อมมาก่อน หากเธอได้ทำการฝึกซ้อมมาก่อนที่จะเจอของจริง แบบนั้นมันต้องไปได้ดีแน่ ในตอนที่เธอจินตนาการถึงอนาคตของตัวเองที่อยู่เคียงข้างเมจิคัลเกิร์ลชุดขาว ท่าทางของเธอก็ผ่อนคลายจนกลายเป็นรอยยิ้ม เธอใช้นิ้วชี้ดึงริมฝีปากตึงให้เป็นท่าทางจริงจัง มันเร็วเกินไปที่จะยิ้มออกมา เรื่องนั้นจะตามมาหลังจากที่สิ่งต่างๆเป็นไปได้ด้วยดี
“การคิดว่าเรื่องต่างๆจะเป็นไปได้ด้วยดีด้วยการฝึกซ้อม มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ ปอน? ประสบการณ์อย่างยาวนานและลักษณะนิสัยตั้งแต่กำเนิดคือส่วนสำคัญของเรื่องแบบนี้ ปอน ถ้าเธอสามารถแก้ไขความวิตกกังวลเรื่องการเข้าสังคมได้ด้วยการฝึกซ้อมเล็กๆน้อยๆล่ะก็ แบบนั้นเธอก็ไม่ต้องไปหาจิตแพทย์หรือคนให้คำปรึกษาแล้วล่ะ ปอน”
เธอเอาเมจิคัลโฟนใส่ไว้ที่ด้านในลิ้นชักของโต๊ะเรียน หลังจากล็อคลิ้นชักแล้ว เธอก็ออกไปข้างนอก เธอผ่านหลายๆเส้นทางของเมืองยามค่ำคืนจากการปกปิดตัวตนในความมืดด้วยชุดสีดำของตัวเอง ทำกิจวัตรประจำวันในการค้นหาคนที่ตกอยู่ปัญหาพร้อมกับฝึกซ้อมการพูดไปด้วยในเวลาเดียวกัน เธอใช้ตุ๊กตากระต่ายเป็นคนที่ตกอยู่ในปัญหา พูดด้วยอย่างลื่นไหล หลีกเลี่ยงการพูดติดขัด ตะกุกตะกัก ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
มันไม่มีคนผ่านไปผ่านมาในตอนที่เสียงพึมพำของอลิสดังขึ้นในยามค่ำคืนในโคบิกิ
“วันนี้วันดี… ไม่สิ แบบนี้ไม่ถูก… สวัสดีตอนเย็น… ใช่แล้ว เพราะเป็นตอนกลางคืน ตอนกลางคืน ดังนั้นสวัสดีตอนเย็น… ไม่สิ… บางทีการไม่คุยกับเธอคงดีกว่า… แต่ฉันไม่อยากให้เธอตกใจ… ดังนั้นสวัสดีตอนเย็น… สวัสดีตอนเย็น… สวัสดีตอนเย็น… สวัสดีตอนเย็น… สวัสดีตอนเย็น แล้วก็… วันนี้… วันนี้อากาศดีนะ หือ…? มีเมฆ… วันนี้ท้องฟ้ามีเมฆ… มันคงจะดีถ้าพรุ่งนี้พวกเรามองเห็นดวงจันทร์… มาเริ่มแบบนั้น…”
“เฮ้ มีใครอยู่ที่นี่รึเปล่า?”
จู่ๆใครบางคนก็พูดกับเธอจากจุดที่เธอคิดว่าไม่มีใครอยู่ จนทำให้เธอต้องกระโดดหลบ มันมีแสงส่องเข้ามาหาเธอ ซึ่งเธอหลบมันด้วยการกระโดดไปด้านข้างจนกลืนเข้าไปกับความมืด แต่แสงก็ยังคงตามเธอมา เธอมองออกไปและก็เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายกำลังส่องไฟฉายไปรอบๆ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจคือการปกป้องความสงบสุข ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่จะออกมาเดินอยู่ในตอนกลางคืน
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ใช่คนที่ตกอยู่ในปัญหา ความจริงแล้ว การได้พบกันมันก็ทำให้ เธอ กลายเป็นคนที่ตกอยู่ในปัญหา หากพวกเขาถามเธอว่า “ออกมาข้างนอกตอนกลางคืนในชุดแบบนี้ทำไม?” เธอก็สามารถตอบได้แค่ว่า “เพราะฉันเป็นเมจิคัลเกิร์ล” ถ้าจากนั้นพวกเขาพูดว่า “โอเค แบบนั้นก็ต้องคุยกับพ่อแม่ของเธอหน่อย” อลิสก็จะตกอยู่ในปัญหาจริงๆ
โชคดีที่พวกเขายังหาตัวของเธอไม่พบ เธอสามารถหลบแสงของไฟฉายได้ เธอวิ่งเหยาะๆไปที่ด้านหลังกำแพงซีเมนต์และออกมายังถนนฝั่งตรงข้าม แต่แสงก็ยังคงตามเธอมา เสียงฝีเท้าเองก็เข้ามาหาเช่นกัน
เธอแน่ใจว่ารถบรรทุกนั้นจอดอยู่ก่อนที่จะไปซ่อนตัวที่ด้านหลัง แสงไฟฉายยังคงตามเธอมา อลิสวนรอบด้านหลังรถบรรทุก และการที่เห็นว่ารถบรรทุกเปิดอยู่ เธอก็ไถลตัวเข้าไปด้านในแล้วปิดมันอย่าเงียบๆจากด้านใน เธอได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านนอก
“สาบานได้เลยว่าได้ยินเสียง”
“พวกเราได้ยินจริงๆนั่นแหละ เฮ้ นายกับรถบรรทุกน่ะ —จอดที่นี่ไม่ได้”
“อ๊ะ โทษที พอดีวิทยุมันใช้งานไม่ได้ก็เลยพยายามซ่อมอยู่น่ะ”
“เอารถบรรทุกใหญ่มาจอดในย่านที่พักอาศัยตอนกลางคืนนี่ ทุกคนคงสงสัยแน่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เอาล่ะ เดี๋ยวจะออกไปแล้ว”
ด้วยเสียง แกร๊ก ประตูก็ปิดจากด้านนอก ดูเหมือนว่าในตอนนี้กำลังล็อคอยู่ รถบรรทุกเริ่มแล่นออกไป อลิสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอหนีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แล้ว ในตอนนี้เธอแค่ต้องรอจนกว่ารถบรรทุกจะหยุด จากนั้นก็ค่อยหนีออกมา
☆ ลาพูเซล
ช่วงเวลาตอนกลางคืนคือส่วนที่สนุกที่สุดของการทัศนศึกษาในตอนชั้นประถม การไปวัดและศาลเจ้าในตอนกลางวัน สำหรับโซตะ คิชิเบะและเพื่อนในเวลานั้นแล้ว มันขาดซึ่งการผจญภัย แถมมันยังน่าเบื่อเล็กน้อยด้วย ในช่วงเย็นมันสนุกกว่า มันเต็มไปด้วยเรื่องที่น่าตื่นเต้น —การขว้างหมอนใส่กันและกัน กระตุ้นให้พูดถึงคนที่ตัวเองชอบ และผู้กล้าก็จะแข่งขันกันด้วยวีดีโอเกมที่ตัวเองเอามา
ที่ตั้งแคมป์ในช่วงเวลานี้มันไม่จำเป็นว่าต้องสนุกในตอนกลางคืน อาจารย์และครูฝึกเข้มงวดมาก ถ้ามีใครที่ส่งเสียงดังขึ้น พวกอาจารย์ก็จะรีบเข้ามาและดุด่า ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืน มันก็ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรอย่างอื่นนอกจากการอาบน้ำและรับประทานอาหาร เรื่องที่มากที่สุดที่สามารถทำได้คือการทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน และอธิบายถึงเรื่องจะเกิดเป็นลำดับถัดไป หลังจากที่ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการวิ่ง เตะ และตะโกน มันก็ไม่มีใครเลยที่มีแรงเหลือไปทำอย่างอื่นนอกจากทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า การสนุกสนานกับมุขใต้สะดือในตอนอาบน้ำอย่าง “ของไอ้นี่มันใหญ่ว่ะ” และ “หยั่งกับของผู้ใหญ่เลย” คือเรื่องที่ใกล้เคียงกับการทัศนศึกษามากที่สุด แต่เนื่องจากว่านี่คือแคมป์ฟุตบอล ทั้งวันจึงมีแต่เรื่องของฟุตบอล
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติ โซตะเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน
แต่พวกเขาก็มากันแล้ว นั่งสั่นไปมาในรถบัสเพื่อไปยังอีกเมือง ดังนั้นการถามหา… อะไรอย่าง “ความรู้สึกของการทัศนศึกษา” มันคือเรื่องที่มากเกินไปงั้นเหรอ? โซตะแค่รู้สึกเหนื่อยเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีม แต่เขาก็ซ่อนไพ่ที่คนอื่นไม่มีเอาไว้ —นั่นคือการแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล
การแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลลาพูเซลทำให้การออกไปโดยไม่นอนมันเป็นไปได้ แน่นอนว่าการออกไปจากสถานที่ตั้งแคมป์ตอนกลางคืนคือเรื่องต้องห้าม แต่ทุกคนกำลังหลับเป็นตาย ดังนั้นโอกาสที่โซตะจะโดนเจอตัวมันจึงต่ำมาก
ตอนเที่ยงคืนหลังจากที่แน่ใจว่าทุกคนหลับกันหมดแล้ว โซตะก็แปลงร่างเป็นลาพูเซล เดินผ่านฝูกที่ปูอยู่เป็นแถวอย่างเงียบๆและค่อยๆเปิดหน้าต่าง ระวังไม่ให้มีใครรู้ในตอนที่แอบออกไปตรงระเบียง จากนั้นก็ปิดหน้าต่าง เมื่อมองขึ้นไปก็พบว่ามันสูงที่จะไปถึงดาดฟ้า และเมื่อมองลงมา มันก็มีทางลงไปด้านล่างเช่นกัน เธออยู่ตรงจุดกึ่งกลางที่ชั้นห้าของอาคารสิบชั้น เธอกระโดดออกไปจากราวระเบียง ขึ้นไปด้านบน จากนั้นก็จับราวระเบียงของชั้นบนเพื่อขึ้นไปต่อ และหลังจากที่ทำซ้ำแบบนี้สามครั้ง เธอก็มาถึงดาดฟ้า เมื่ออยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ล เธอก็รู้สึกไม่สบายใจเว้นแต่ว่าอยู่ที่ไหนซักที่ที่ไม่มีใครมอง
เธอเดินไปตามรั้วของดาดฟ้าพร้อมกับการกระโดด หลังจากที่เดินจนครบหนึ่งรอบ เธอก็กลับมายังที่จุดเดิม โรงแรมเก่าๆที่มีอายุสี่สิบปีถูกรายล้อมไปด้วยอาคารที่เก่ายิ่งกว่า และอาคารเหล่านั้นก็ถูกภูเขาล้อมเอาไว้ทั้งสี่ด้าน และทุกอย่างก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยหิมะ สีขาวบริสุทธ์ที่มีประกาย แม้ว่าจะใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งด้วยรถบัสจากเมือง N หากเป็นฤดูหนาวแล้ว มันก็จะเต็มไปด้วยหิมะ และไม่มีใครที่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย แม้ว่านี่คือฤดูที่ภูเขาหิมะจะเริ่มมีความหมอง แต่ที่ด้านบนของภูเขาก็ยังคงเป็นสีขาวอยู่ดี เมื่อเข้าใกล้ฤดูหนาวมันก็จะไม่สามารถใช้พื้นที่บริเวณเมืองได้ การตั้งแคมป์ใดๆเองก็จะไม่มีด้วยเช่นกัน
ลาพูเซลหายใจเข้าลึกๆ ความเย็นมันทำให้เธอรู้สึกดีและตื่นตัว ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่สูดลมหายใจก็รู้สึกราวกับโดนทิ่มแทง มันเย็นมากพอที่จะตัวแข็งหากเธอเป็นมนุษย์ แต่ในฐานะเมจิคัลเกิร์ลแล้ว มันก็เป็นแค่ความเย็นที่มากพอจะทำให้ความตื่นเต้นที่มีลดลง
“เอาล่ะ…”
มันมีสิ่งหนึ่งที่เธอตั้งหน้าตั้งตาที่จะทำ นี่เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมโดยเฉพาะในเมจิเมจิ คัลคัล เมจิคัลเกิร์ลแฟนไซท์ที่เธอเคยไปออฟไลน์มีทติ้งมาก่อน มันคือการเอาฟิกเกอร์ของเมจิคัลเกิร์ล ตุ๊กตาสัตว์ หรืออะไรบางอย่างไปด้วย จากนั้นก็ถ่ายรูปพร้อมกับมีภาพทิวทัศน์ของท้องถิ่นเป็นฉากหลังสำหรับ “ทริปเล็กน้อยกับเมจิคัลเกิร์ล” ในตอนแรก พวกเธอแค่โพสอะไรตลกๆเล็กน้อยบนบอร์ด แต่ในทุกวันนี้ มันกลายเป็นหัวข้ออย่างอิสระ ขาประจำจะโพสรูปภาพของเมจิคัลเกิร์ลคนโปรดของตัวเองทุกวัน เรื่องต่างๆหลังจากวันหยุดราวจะมีมากเป็นพิเศษ —มันจะมีรูปที่โพสกันเป็นจำนวนมาก กระทู้เยอะจนยากที่จะเลื่อนดู
พวกฮาร์ดคอร์จะมีความกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ ขาประจำของบอร์ดข้อความเองก็เต็มไปด้วยพวกฮาร์ดคอร์จนถึงขั้นที่เหมือนจะทำให้แฟนทั่วไปลดลงไปบ้างเล็กน้อย สำหรับลาพูเซลแล้ว ถ้าจะมีอะไรล่ะก็ เธอคือคนประเภทที่มองอยู่ห่างๆและคิดว่า “พวกนั้นทำกันขนาดนั้นเลยเหรอ?” แต่เธอเองก็รู้สึกนับถือในสิ่งที่พวกนั้นทำด้วย
เธออยากที่จะทำมันด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเตรียมการสำหรับทริปถ่ายรูปอะไรไม่ได้มากนัก นี่เป็นแค่การเลียนแบบเล็กๆน้อยๆ โบนัสแถมของการตั้งแคมป์ —ซึ่งมันก็ไม่เป็นอะไร อุปกรณ์เพียงอย่างเดียวในการถ่ายรูปก็คือสมาร์ทโฟนของเธอ และสิ่งที่จะถ่ายก็คือพวงกุญแจเล็กๆ —เท่านี้ก็มากพอแล้ว การพยายามทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้จะเป็นการทำให้เพื่อนร่วมทีมของโซตะรู้เอาได้ในตอนตั้งแคมป์และทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ แค่จินตนาการว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นก็ทำให้เธอตัวสั่นแล้ว
ลาพูเซลยืดตัวพร้อมส่งเสียงออกมา จากนั้นก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ท้องฟ้าดูเหมือนว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี สีของมันเป็นสีดำล้วนราวกับว่าฝนหรือหิมะพร้อมจะตกลงมาได้ตลอดเวลา เมื่อเธองอตัวลงไปมากกว่าเดิมจนเกือบเป็นท่าสะพานโค้ง เธอก็หันใบหน้าออกไปอีกทาง เมื่อเขาของเธอสัมผัสพื้นจนเกิดเสียง เธอก็งอตัวกลับมาสู่ท่าเดิม
การเดินเข้าไปในเมืองอาจจะเป็นความคิดที่ดี เธอสามารถเดินเล่นอย่างสบายๆ เดินไปทั่วเมืองเพื่อตรวจตรา ถ้าเธอพบอะไรที่น่าสนใจ เธอก็จะถ่ายรูปเอาไว้ เธอคิดว่าคงจะโดนแกล้งถ้าฟาฟเห็นเธอเข้า ดังนั้นเธอจึงทิ้งเมจิคัลโฟนเอาไว้ในกระเป๋าที่โรงแรม เธอจะใช้สมาร์ทโฟนของตัวเองถ่ายรูปอะไรที่น่ารักๆ ถ่ายภาพสวยๆของพวงกุญแจคิวตี้ฮีลเลอร์รุ่นแรก ตั้งแต่ที่ได้พวงกุญแจนี้มาสองชิ้น เธอก็เอาหนึ่งชิ้นให้กับเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่นชอบเมจิคัลเกิร์ลเช่นกัน แต่กระนั้น เธอก็พลาดโอกาสที่จะถามเพื่อนสมัยเด็ก —โคยูกิ ฮิเมคาวะ— ว่ายังคงเก็บไว้อยู่รึเปล่า บางทีโคยูกิอาจจะลืมไปแล้ว แต่สำหรับโซตะ คิชิเบะ ของเหล่านี้มันมีความทรงจำ มันไม่ได้ถูกผลิตออกมาแล้ว ด้วยการที่ในปัจจุบันเป็นของหายาก มันจึงเหมาะมากสำหรับการที่จะเอามาถ่ายรูปที่ระลึก
ลาพูเซลวิ่งไปตามกำแพงของโรงแรมและลงมาที่ลานจอดรถ วิ่งผ่านไปในไม่กี่ก้าวและยกตัวขึ้นจากกำแพงซีเมนต์ไปยังหลังคาของบ้านพักอาศัย จากจุดนั้นเธอก็วิ่งไปตามหลังคาบ้าน
เธอพบกับสิ่งที่น่าสนใจในทันที มันคือป้ายเก่าๆที่ชำรุดและขึ้นสนิมที่ติดเอาไว้ตรงทางเข้าโรงงาน ดูจากการที่มันชำรุดแล้ว บางทีคงอาจจะมาจากยุคโชวะ —ราวๆกลางยุคโชวะ ที่ป้ายนั้นเป็นรูปของชายวัยกลางคนสวมแว่นที่กำลังถือเครื่องดื่มวิตามิน คนที่ดูเหมือนกับเป็นพิธีกรรายการทีวีที่โซตะ คิชิเบะไม่รู้จัก มันดูไม่เข้าหรือตรงกันข้ามกับคิวตี้ฮีลเลอร์ที่ออกมาในยุคเฮเซเป็นอย่างดี เธอจะถ่ายภาพที่นี่เก็บไว้
ถัดจากนั้นก็เป็นร้านอาหารที่อาจจะตั้งชื่อตามเจ้าของหรือผู้ก่อตั้งที่ดูเก่าแก่ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่สภาพเองก็ด้วย มันดูธรรมดามาก ไม่ว่าธุรกิจยังเปิดทำการอยู่หรือปิดตัวไปแล้ว มันก็ยากที่จะบอกได้ เธอจะถ่ายภาพที่นี่เช่นเดียวกัน
มันมีร้านเสริมสวยที่อยู่ข้างๆร้านเสริมสวยอีกร้าน เมื่อมองไปที่โปสเตอร์ มันก็ดูเหมือนว่ายังคงใหม่ ป้ายตกแต่งของร้านข้างๆเองก็ดูสะอาด ซึ่งมันหมายถึง ทั้งสองร้านยังคงเปิดทำการอยู่ ทั้งสองร้านคงจะแข่งขันกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทั้งคู่ก็ตั้งอยู่ที่นี่ ร้านใดร้านหนึ่งคงเปิดตามหลังอีกร้าน —แล้วแบบนี้มันจะไม่เกิดปัญหาอะไรเอาเหรอ? มันน่าสนใจที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ลึกๆ เธอจึงถ่ายรูปของที่นี่เอาไว้ด้วย
เธอสามารถเจออะไรที่น่าสนใจด้วยการเดินไปรอบๆเมืองแบบปกติ แม้ว่าจะไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ด้วยความรู้สึกที่พึงพอใจกับภาพที่ไม่ได้ดูแย่ที่อยู่ในมือแล้ว ลาพูเซลก็ยังคงเดินต่อไป ที่นี่ไม่เหมือนกับเมือง N เธอไม่จำเป็นต้องยั้งมือเอาไว้เพราะว่าเป็นพื้นที่รับผิดชอบของใครซักคนหรืออะไรแบบนั้น และมันก็ยากที่จะมีคนออกมาเดินในตอนกลางคืนด้วย เธอก็สามารถเดินไปตามถนนได้อย่างอิสระ
เมื่อเดินไกลออกมาอีกเล็กน้อย เธอก็มองเห็นร้านสะดวกซื้อ มันมีลานจอดรถขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อของเมือง N บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามีความชนบทมากกว่า รถที่จอดอยู่ในลานจอดรถขนาดใหญ่มีเพียงรถบรรทุกขนาดใหญ่หนึ่งคัน ตัวรถเกือบจะไปชนเข้ากับกำแพงซีเมนต์ รถจอดอยู่ในแนวทแยงมุมของลานจอดอย่างไม่ระวัง ลาพูเซลจึงแอบชำเลืองมองภายในตัวรถด้วยความสงสัย
คนขับเลื่อนเบาะลงไปและมีนิตยสารรายสัปดาห์ชื่อดังวางอยู่บนในหน้าในตอนที่หลับ เขาดูไม่เหมือนว่ากำลังทรมาณหรือกำลังบิดตัวไปมารอบๆ เขากำลังกรนอยู่ ซึ่งเธอยืนยันเรื่องนี้ได้จากหน้าอกที่พองและยุบลงไปอย่างเป็นจังหวะ ลาซูเซลกำลังจะเดินออกไปจากรถบรรทุก แต่เท้าของเธอก็ไม่ขยับ ประตูด้านหลังของรถบรรทุกมันเปิดอยู่เล็กน้อย ลาพูเซลมองไปที่ร้านสะดวกซื้อ พนักงานกำลังหาวออกมาโดยไม่ได้พยายามจะปิดบัง พนักงานดูเหมือนไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่
หากรถบรรทุกขับออกไป แบบนั้นสิ่งของก็อาจจะร่วงลงมาได้ คนขับก็จะมีปัญหา รถที่ขับตามมาด้านหลังก็ต้องพยายามหักเลี้ยวเพื่อหลบสิ่งของ เรื่องนี้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ขึ้นมาได้
ลาพูเซลเดินเข้าไปหากำแพงซีเมนต์สูงหนึ่งเมตร ยื่นมือออกไปแล้วก็ปิดประตูด้านหลังของรถบรรทุก ในตอนที่คิดว่าล็อคเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ประตูมันก็เปิดออกอีกครั้ง
คิ้วของลาพูเซลย่นเข้าหากัน เธอปิดประตูเอาไว้อย่างแน่นๆ แต่ในตอนนี้มันกลับเปิดออก มันเปิดออกอย่างรุนแรง กระแทกเข้ากับกำแพงซีเมนต์จนเกิดเสียงดัง ทั้งคนขับหรือพนักงานร้านสะดวกซื้อต่างก็ยังไม่รู้ตัว
เธอพยายามปิดประตูอีกครั้งแล้วก็ตระหนักได้ว่า มันมีอะไรบางอย่างกดประตูเอาไว้จากด้านในรถบรรทุก คิ้วของเธอที่ขมวดเข้าหากันค่อยๆคลายลงอย่างช้าๆ มีใครบางคนพยายามที่จะเปิดประตู นี่มีคนติดอยู่ข้างในงั้นเหรอ?
ลาพูเซลเตรียมตัวเองพร้อมในท่าย่อต่ำ เอื้อมมือไปจับด้ามดาบที่อยู่ที่หลัง และไม่นานก็เสียงดังออกมา ประตูเปิดออกจนโดนเข้ากับกำแพงซีเมนต์ มีใครบางคนอยู่ด้านใน —ใครบางคนที่แข็งแกร่งราวกับเมจิคัลเกิร์ล ลาพูเซลได้ยินเสียงประหลาด เสียงอะไรบางอย่างที่ลากตัวเองตามไป จากนั้นก็มีการกระแทก ตามด้วยอะไรบางอย่างพุ่งออกมา —และเสียงครวญคราง
ร่างกายของลาพูเซลตอบสนองกับเสียงที่เกิดขึ้น เธอกำมือขวาที่จับด้ามดาบเอาไว้แน่น
มันไม่ได้มีแค่เสียง เมื่อเธอดมกลิ่น จมูกของเธอก็ได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จนมันทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงจนอยากขย้อนเอาอวัยวะภายในออกมา เสียงหยุดผสมเข้ากับเสียงคราง เธอมองลงมาและเห็นเลือดจำนวนมากไหลออกมาแบบไม่หยุดจากท้ายรถบรรทุก มันทำให้เธอกลืนน้ำลาย อะไรบางอย่างเลื้อยออกมาและกระจายเป็นบ่อเลือด
ลาพูเซลลังเลมากที่จะแอบมองไปยังอีกด้านของกำแพงเพื่อดูว่าสิ่งที่ร่วงลงมาคืออะไร ในจังหวะที่เธอเข้าใจว่ามันคืออะไรนั้น เธอก็ตีลังกากลับหลังสามรอบ ชักดาบออกมา และเตรียมตัวเองอยู่ในท่าพร้อมสู้
มันคือแขน แขนของมนุษย์ที่ถูกตัดออกตรงไหล่อย่างหยาบๆ —บางทีอาจจะเป็นแขนของเด็กผู้หญิงที่อายุราวๆมัธยมต้น ถึงจะเทียบไม่ได้กับเลือดสีแดงสด แต่สีผิวนั้นก็ขาวราวกับหิมะ ลาพูเซลเอามือกดหน้าอกตัวเองเอาไว้ หัวใจของเธอกำลังเต้นรัวและยังหายใจออกมาเร็วเกินไป
อะไรบางอย่างมันร่วงลงมา ในคราวนี้มันคือขา ความคลื่นไส้มันเอ่อขึ้นมาจนเธอเอามือปิดปากเอาไว้ เสียงของดาบที่กระแทกกับพื้นมันทำให้ตระหนักได้ว่าเธอทิ้งดาบลงไป เธอจึงรีบหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างกระทบกับบ่อเลือด ลาพูเซลก็เงยหน้าขึ้น เตรียมใจ แล้วก็มองออกไป
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เธอไม่ได้อยากมอง แต่ก็หันออกไปไม่ได้ สิ่งที่อยู่ตรงนั้นมันคือขาอีกข้าง —ก่อนหน้านี้คือขาขวา และในตอนนี้ก็คือขาซ้าย— จากนั้นก็เป็นลำตัวที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กสาวที่สวมชุดเดรสสีดำ ส่วนลำตัวมีแค่แขนขวาที่เหลืออยู่ แขนซ้าย ขาทั้งสองข้าง และศีรษะนั้นหายไป เลือดไหลทะลักออกมาจากรอยตัดแบบหยาบๆ
เธออยากจะวิ่งหนีไป แต่เธอก็ทำไม่ได้ ลาพูเซลย้อมความกลัวของตัวเองด้วยความโกรธ เด็กสาวนั้นถูกฆ่า และคนที่มีโอกาสทำเรื่องอะไรแบบนี้มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในรถบรรทุก เขาแยกชิ้นส่วนของเหยื่อผู้น่าสงสารภายในรถบรรทุก จากนั้นก็ทิ้งเอาไว้ด้านนอกราวกับว่าเป็นขยะ แบบนี้มันยกโทษให้ไม่ได้
ลาพูเซลกระโดดขึ้นไปด้านบนกำแพงซีเมนต์ ลดระยะห่างอย่างระมัดระวัง —หนึ่งก้าว สองก้าว ด้วยพลังของเมจิคัลเกิร์ลแล้วการพังประตูของรถบรรทุกคงจะง่าย ลาพูเซลเหวี่ยงดาบขึ้นและเล็งไปที่ประตู จากนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆที่ข้อเท้า เธอจึงมองลงมาและตัวแข็งทื่อ
ลำตัวของเด็กสาวคลานเข้ามาหาเท้าของลาพูเซลจากบ่อเลือด ทิ้งร่องรอยในการคลานเอาไว้เหมือนตัวทาก แขนขวายืดออกมาและจับข้อเท้าเอาไว้ มันจับเอาไว้ด้วยแรงของสิ่งมีชีวิต แต่เธอก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนที่ออกมาจากร่างกายเลย
ลาพูเซลตะโกนออกมาและเหวี่ยงขาขึ้น แต่ศพเด็กสาวก็จับข้อเท้าเอาไว้แน่นจนไม่หลุดออกไป ลาพูเซลเหวี่ยงไปด้านหน้าและด้านหลัง แต่มันก็ไม่ยอมหลุดออกจนลาพูเซลกรีดร้องออกมา
ลาพูเซลย่อตัวลง แกะลำตัวออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี เหวี่ยงมันลงไปในบ่อเลือด แล้วก็วิ่งหนีไป
เธอไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอแค่รู้สึกกลัว ร่างกายของเธอบอกให้วิ่ง ดังนั้นเธอจึงทำ และเมื่อหันกลับไปด้วยความสงสัยว่าหนีพ้นแล้วรึยัง ก้อนเนื้อสีแดงสดกำลังกลิ้งตามเธอมาด้วยความที่น่าสะพรึงกลัว ทิ้งรอยเลือดเอาไว้เป็นทางในตอนที่ไล่ตามมา เสียงร้องที่หลุดออกมาจากส่วนลึกในลำคอมันรู้สึกประหลาดใจ เธอย่อขนาดดาบให้เล็กลงและใส่เข้าไปในฝัก เหวี่ยงมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วในตอนที่วิ่งไปตามถนนหลักพร้อมกับเสียงร้องดังที่ผสมระหว่างการกรีดร้องและตะโกน วิ่งขึ้นไปบนกำแพงของอาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมืองถัดจากโรงแรม และลงมาที่ดาดฟ้าด้วยสองเท้า
มันไม่ใช่ว่าเธอวิ่งออกมาได้ไกล แต่ไหล่ของเธอรู้สึกหนักอึ้ง เธอมองออกไปจากด้านบนของอาคารอย่างกล้าๆกลัวๆ และเมื่อมองลงไปด้านล่าง… มันก็ไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นเลย เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกจากก้นบึ้งของหัวใจ จากนั้นก็นั่งลงไปตรงจุดนั้น หายใจเข้าและออกหลายครั้ง เมื่อเธอเพิ่งจะรู้สึกใจเย็น มันก็มีเสียงประหลาดอะไรบางอย่างเข้ามาที่หู
เธอเงยหน้าขึ้น เธอเคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน มันเป็นเสียงที่น่าสะอิดสะเอียน เหมือนกับอะไรกำลังคลานหรือบิดตัว ทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินรู้สึกไม่สบายใจ เธอลุกขึ้นและหันกลับไปมอง
มันมีอะไรบางอย่างอยู่ที่รั้วของฝั่งตรงข้ามจากจุดที่ลาพูเซลอยู่ มือที่อยู่ตรงรั้วกำลังปีนขึ้นมา ใช่แล้ว มันคือมือ ลำตัวกับขาตามมาทีหลัง ในตอนที่เห็นมันตรงหน้าร้านสะดวกซื้อ ชิ้นส่วนต่างๆมันขาดจากกัน แต่ในตอนนี้ลำตัวกำลังงอกแขนขาออกมา แต่การเคลื่อนไหวก็แข็งกระด้างราวกับว่าไม่ใช่มนุษย์ ที่สำคัญเลยก็คือ ส่วนศีรษะมันหายไป
จากนั้นก็มีเสียงหยดเลือด ติ๋ง ติ๋ง ดังตามมา ย้อมคอนกรีตให้เป็นสีแดง
ศพของเด็กสาวไร้หัวที่กำลังจะข้ามรั้วเหล็กเหวี่ยงไปทางขวาจากนั้นก็มาทางซ้ายเหมือนกับว่ากำลังพยายามจับสมดุล คอยรักษามันเอาไว้ในตอนที่ลงยังดาดฟ้า อะไรบางอย่างที่เหน็บหนาวแล่นขึ้นมาที่แผ่นหลังของลาพูเซล เธอตื่นตระหนกและชักดาบออกมา
ลาพูเซลชักดาบออกมาตรงหน้าในตอนที่ศพเข้ามาหา การเคลื่อนไหวที่ควรจะก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อย่นระยะห่างกลับก้าวเข้ามาสามก้าวในรวดเดียว การเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดทำให้ลาพูเซลตกใจ จนเธอเหวี่ยงดาบออกไปโดยไม่คิด แต่เมื่อมันดูเหมือนว่าจะเหวี่ยงดาบไปโดนศพ มันก็ทำให้เธอตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น เธอฝืนการเหวี่ยงของตัวเองให้เปลี่ยนไปอีกทาง แทนที่จะเป็นการเหวี่ยงแบบตรงๆ วิถีของดาบเบนออกเป็นมุมแหลม เฉี่ยวรั้วเหล็กและกระแทกเข้ากับดาดฟ้า ทำให้เศษคอนกรีตลอยออกไป การฝืนการเหวี่ยงออกไปในอีกทิศทางมันทำให้มือของเธอเกิดลื่นจนดาบนั้นหลุดมือ ดาบกลิ้งออกไป กระแทก และหยุดลงตรงเท้าของศพ
“อ๊ะ เฮ้…”
ศพก้าวออกมาด้านหน้าอย่างหนักแน่นหนึ่งก้าว ดาบของลาพูเซลที่สัมผัสกับเท้าของศพอยู่ก็ไหลออกไปด้านหลังตรงมุมของรั้วเหล็ก
“อ๊ะ เอ่อ เดี๋ยวก่อน ดาบของฉัน—”
ศพก้าวมาข้างหน้า ส่วนลาพูเซลกระโดดถอยหลัง ปลายหางของเธอสัมผัสกับรั้วเหล็ก ศพก้าวมาข้างหน้าอีกสองก้าว ลาพูเซลกระโดดลงไปจากดาดฟ้า ลงมายังพื้นที่สำหรับเอาไว้เดินเล่นแล้วก็วิ่งออกไป
เมื่อได้ยินเสียงอะไรบางตามมาอย่างรวดเร็ว ลาพูเซลก็เร่งความเร็วขึ้นโดยที่ไม่หันกลับไปมอง ไม่มีใครที่สามารถตามความเร็วของเมจิคัลเกิร์ลทัน —แต่เสียงฝีเท้าก็ยังคงตามมา เธอกัดฟันและเร่งความเร็วขึ้นอีก เสียงมันยังคงไม่หายไป เธอขยับขาด้วยทุกสิ่งที่ตัวเองมีที่ความเร็วสูงสุด แต่เสียงฝีเท้าก็ยังคงตามเธอมา เมื่อเธอมองกลับไปด้านหลัง คิดว่า เป็นไปไม่ได้ เธอก็เห็นศพไร้หัวกำลังวิ่งตามมาพร้อมกับเหวี่ยงแขน จนเสียงที่เธอไม่เคยได้ยินจากตัวเองก็ออกมาจากส่วนลึกภายในลำคอ ในตอนนี้ศพกำลังวิ่งอยู่ราวกับว่าการเคลื่อนไหวที่กระตุกก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน —เหวี่ยงแขนอย่างถูกต้องราวกับว่าเป็นนักวิ่ง
เธอคงประสาทหลอนไปเองแน่ๆ ในตอนที่กำลังวิ่งอยู่ ลาพูเซลก็หันกลับไปมองอีกครั้ง และในคราวนี้เธอก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาแทนที่จะกลั้นเอาไว้ กรามมันงอกขึ้นมาเหนือลำคอ มีลิ้นยืดที่ยืดออกมา และฟันล่างกำลังแทงขึ้นมาจากเนื้อในการที่พยายามงอกขึ้นมา
อะไรน่ะอะไรอะไรอะไรอะไรอะไรนั่นมันอะไร?! อะไรกัน?!
เธอเบือนหน้าออกจากภาพอันแปลกประหลาดขั้นสุดที่ตัวเองเห็น กระโดดออกจากเสาโทรศัพท์ ข้ามเหนือตาข่าย เพื่อเข้าไปยังสวนของโรงเรียน วิ่งตัดผ่านสวนโรงเรียน เตะฝุ่นขึ้นมาในทางที่ตัวเองไป รักษาความเร็วพร้อมกับวิ่งขึ้นไปบนอาคารเรียน ศพนั้นไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเมื่อต้องเจอกับการเคลื่อนไหวในแนวดิ่งเช่นนี้ และยังคงไล่ตามมา ลาพูเซลวิ่งขึ้นไปบนรั้วเหล็กอย่างสิ้นหวัง จากจุดนั้นเธอก็กระโดดออกไปยังดาดฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อเธอกระโดด เธอก็สิ้นหวังจนไม่ได้รู้สึกตัว แต่ในตอนที่กำลังกระโดด มันก็ทำให้คิดว่า —นี่มันเป็นการกระโดดที่ยากมาก แม้ว่าจะด้วยแรงขาของเมจิคัลเกิร์ลก็ตาม
ไม่สิ —แม้ว่าจะยาก แต่เธอก็ต้องทำมันให้ได้
ระยะห่างที่เหลือราวหนึ่งเมตร แม้ว่าเธอจะยืดแขนออกไปก็แทบจะไปไม่ถึง เธอจึงยืดหางไปที่รั้วฝั่งตรงข้ามและจับเอาไว้ โดยปกติแล้วเธอจะไม่ได้ใช้หาง แต่หางของเธอก็แข็งแกร่งเหมือนกับแขนขา การค้ำยันน้ำหนักของร่างกายเอาไว้ด้วยหางมันทำให้รั้วงอ แต่เธอก็สามารถจับเอาไว้ได้
ศพนั้นไม่มีหาง
แขนขาของศพที่ยืดออกมากระแทกเข้ากับทางเดินโดยที่ไม่ได้พังลง มีเลือดทะลักออกมา พื้นหินแตก แขนกระตุกออกมาสองครั้งก่อนที่จะสูญเสียแรงอย่างกระทันหันและแน่นิ่งไป
ลาพูเซลกลั้นหายใจและมองลงมาจากด้านบนของดาดฟ้า ข้อศอกขวาของศพและเอวบิดจนผิดธรรมชาติ บางที… ถ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้แม้กระทั่งซอมบี้ก็ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ศพกระตุกขึ้นมา กระดูกที่ควรจะหักก็กลับมาเป็นปกติ ศพที่ข้อศอกขวาที่บิดเก้าสิบองศา เอวเองก็บิดจนผิดรูป เอาสองมือจับกรอบหน้าต่างเพื่อปีนขึ้นมาด้านบนของอาคารเรียนอย่างมีพลัง
ลาพูเซลวิ่งออกไปอีกครั้ง ดวงตาของเธอมีน้ำตาไหลออกมาโดยที่อธิบายไม่ได้ในตอนที่กำลังวิ่ง มันเหมือนกับเป็นฝันร้ายในวัยเด็กที่เกิดขึ้นจริง ศัตรูที่ไม่ยอมตายกำลังไล่ตามมา ไม่ว่าเธอจะวิ่งและวิ่งออกไปแค่ไหน เธอก็หนีมันไม่พ้น แม้ขนตาจะเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา เธอก็ขยับขาต่อไป เธอจะหยุดอยู่ตรงนี้และถูกฆ่าไม่ได้
ลาพูเซลออกไปยังเส้นทางใหม่ เธอออกจากใจกลางเมืองและออกห่างจากโรงแรมเช่นกัน ศพนั้นไม่ได้สนใจและยังคงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ ลาพูเซลค่อยๆเพิ่มความเร็วในการวิ่ง แต่ศพที่ไล่ตามมาเองก็เพิ่มความเร็วขึ้นเช่นกัน หากเป็นแบบนี้ มันก็จะเหมือนกับก่อนหน้านี้ ยิ่งเธอวิ่งเร็วเท่าไหร่ ศพที่ไล่ตามเธอก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว เธอไม่สามารถเร็วกว่านี้ได้อีก แต่ศพก็ยังตามเธอมาอยู่ดี และเนื่องจากว่าลาพูเซลเน้นไปที่ความเร็วเพียงอย่างเดียว เธอจึงไม่สามารถหลบสิ่งกีดขวางได้ —เธอสะดุดเข้ากับถังพลาสติกที่วางทิ้งเอาไว้ด้านหลังร้านอาหาร มันทำให้เธอเสียสมดุล ฝาถังพลาสติกส่งเสียงดังในตอนที่กลิ้งไปมารอบๆ ส่วนศพนั้นก็กระโดดเพื่อหลบถังพลาสติกที่ล้มลงและเตะเข้าไปยังป้ายร้านที่สามารถยืนกินได้เพียงอย่างเดียว
ลาพูเซลไม่ได้มีจิตใจที่จะตระหนักถึงความกระวนกระวายและยังคงวิ่งต่อไป ราวหนึ่งนาทีให้หลัง เมื่อเธอรู้ตัวว่าด้านหลังของเธอมันเงียบผิดปกติ ลาพูเซลก็เหลือบกลับไปมองด้วยหางตา แต่เธอก็มองไม่เห็นศพ เธอผ่อนคลายเล็กน้อยและลดความเร็วลง จากนั้นก็หยุดตัวแล้วก็มองไปด้านหลัง เธอพ่นลมหายใจออกมา เพราะดูเหมือนว่าเธอสามารถสลัดออกไปได้แล้ว แต่เมื่อเธอหันกลับไปข้างหน้าอีกครั้ง เธอก็ส่งเสียงร้องออกมา ศพที่ควรจะอยู่ด้านหลังกลับเข้ามาหาเธอจากบริเวณโค้งด้านหน้า ลาพูเซลปีนขึ้นไปบนป้ายจราจรที่อยู่ข้างตัว จากนั้นก็ใช้แรงถีบเพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าของอาคารเล็กๆที่อยู่ใกล้ ศพนั้นตามลาพูเซลมาและพยายามที่จะปีนกำแพง
“ทำไม? ทำไมถึงต้องตามมาด้วยเนี่ย?!” ลาพูเซลร้องออกมา
ไม่มีการตอบกลับ ศพยังคงไล่ตามเธอมาโดยที่ไม่พูดอะไร การฟื้นตัวตรงส่วนหัวของศพนั้นมาถึงใต้จมูก มันหายใจออกมาทางปากได้โดยที่ไม่มีปัญหา ไม่ได้ตะโกน ส่งเสียงคราง หรือพูดออกมา —การที่มันใช้ปากหายใจอย่างสงบนิ่งทำให้เกิดความกลัวที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งมันทำให้ความสั่นสะท้านแล่นลงมาตามแผ่นหลังลาพูเซล ริมฝีปากมีรูปร่างดี แต่มันซีด ผิวหนังมันขาวซีดจนมองเห็นเลือดและอวัยวะภายใน
เรื่องแต่ละอย่างนั้นมันน่ากลัวมาก ลาพูเซลอยากให้มันหายไปจากภาพที่เธอมองเห็นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าเธอจะวิ่งออกไปมากแค่ไหน มันก็ตามเธอไปทุกที่และไม่ยอมปล่อยเธอไป ลาพูเซลส่งเสียงร้องออกมา แล้วก็ยังคงวิ่งต่อไป
ถ้าสร้างสิ่งกีดขวางขึ้นมาตามทาง—
แบบนี้จะได้ผลไหม?!
—วิ่งผ่านจุดที่ทรุดโทรมแล้วทำให้ศพนั้นโซเซ—
ทำได้ไหมนะ?!
—เพิ่มจำนวนสิ่งกีดขวางระหว่างทั้งคู่—
เยี่ยม!
—แต่มันก็ยังคงตามเธอมาอยู่ดีโดยไม่ลดละ
อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!
ลาพูเซลรับมันไม่ไหวอีกต่อไป เธอมุ่งหน้าออกจากใจกลางเมืองไปยังภูเขา
เธอวิ่งไปตามถนนที่หมุนวนขึ้นไป จับกิ่งไม้ มุ่งหน้าไปยังเส้นทางของสัตว์ กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ ต้นสนสั่นไหวในตอนที่หิมะตกลงมาเพราะพวกเธอ ลาพูเซลวิ่งผ่านต้นไม้ที่อยู่รอบๆ เตะหิมะตามทางในตอนที่ใช้ความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ศพเองก็ทำแบบเดียวกันกับสิ่งที่อยู่ใกล้เท้า มันใช้กิ่งไม้เหมือนกับลิงหรือเด็กเล็กๆที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยสัตว์ —ซึ่งดูขัดแย้งกับชุดเดรสสีดำ แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเช่นเดียวกับหางของลาพูเซล ส่วนศีรษะนั้นฟื้นตัวขึ้นมาถึงด้านบนจมูกเรียบร้อยแล้ว มันบิดไปมารอบๆอย่างรุนแรงในตอนที่พยายามสร้างอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกับสมอง
ใครจะรู้ว่าถ้าศพฟื้นตัวอย่างเต็มที่แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ลาพูเซลกำลังจะถึงขีดจำกัดของตัวเอง ทั้งร่างกายและจิตใจ เธอต้องนึกถึงหนทางที่จะหนี
ไม่มีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่าศพช้าลงเช่นกัน ชุดเดรสสีดำล้วน —และไม่ต้องพูดถึงรองเท้าสีดำที่ดูน่ารัก— มันไม่ได้เข้ากับภูเขาหิมะเลย แต่ชุดของลาพูเซลเองก็จะไม่ได้ดูเหมาะเช่นกัน ศพกำลังไล่ตามลาพูเซลเร็วยิ่งกว่ารถที่แล่นอยู่บนถนนหลัก
โซตะ คิชิเบะเกิดที่เมือง N สถานที่ที่มีชื่อเสียงในเรื่องความหนาของหิมะ ดังนั้นตัวของเขาจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับหิมะพอสมควร ในการไล่ล่าในสถานที่ที่เต็มไปด้วยหิมะ โดยทั่วไปแล้วฝ่ายไล่ล่าจะมีความได้เปรียบในเรื่องความเร็วที่ไปตามเส้นทางที่ถูกคนที่นำอยู่สร้างขึ้นมา และมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากด้วยเช่นกัน
ระยะห่างระหว่างทั้งสองลดน้อยลงทีละนิด ศัตรูยื่นมือออกมา ปลายเล็บเฉี่ยวหางของลาพูเซลไป ลาพูเซลตื่นตระหนกและห่อหางตัวเองเอาไว้รอบร่างกาย มันแน่นอนว่าตามทันแล้ว ลมหายใจของลาพูเซลออกมาเป็นไอสีขาวอย่างไม่สิ้นสุด เมจิคัลเกิร์ลที่ไม่มีวันเหนื่อยกำลังที่จะหมดแรง
กระต่ายขาวที่วิ่งเข้ามาเจอพวกเธอที่กำลังไล่ล่ากันรีบวิ่งไปหลบด้านหนังก้อนหิน กระต่ายทิ้งรอยเท้าเอาไว้บนหิมะเป็นจุด —แต่มันก็มีรอยสกีอยู่บนหิมะด้วย ดังนั้นหมายความว่ามีนักเล่นสกีอยู่ที่นี่ รอยยังคงดูใหม่ และยังไม่มีหิมะตกลงมาทับที่ด้านบน ในทิวทัศน์ชนบทที่ไม่ดูหวือหวา เธอกำลังถูกศพที่ฟื้นตัวได้ไล่ตามมาจากด้านหลัง
มาถึงจุดนี้แล้ว ฉันจะใช้ทุกอย่าง! ต้องเดิมพันกับมันแล้ว!
ลาพูเซลปล่อยหางที่กอดเอาไว้ที่หน้าอกออกมา ใช้หางกวาดหิมะที่อยู่ด้านข้างเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทุบเข้าไปที่ศัตรูด้วยก้อนหิมะพร้อมกับทำให้เกล็ดหิมะกระจายออกไปทั่วบริเวณ ย้อมภาพที่มองเห็นให้เป็นสีขาว จากจุดนั้น เธอก้าวออกไปหนึ่งก้าว สองก้าว และกระโดดออกไปในก้าวที่สาม ถอดฝักดาบที่หลังออกในตอนที่หมุนตัวกลางอากาศและเผชิญหน้ากับศัตรู
“อะ-เอาล่ะ! เข้ามาเลย!”
หิมะที่บดบังการมองเห็นหายไปแล้ว รูปร่างของชุดเดรสสีดำค่อยๆมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น สร้างภาพที่สวมงามที่ตัดกับหิมะสีขาวขึ้นมา ใช่แล้ว โดยธรรมชาติแล้วมันเหมือนว่า สวยงาม สำหรับเธอ แม้ว่าจะเป็นซอมบี้ที่ค่อยๆฟื้นสภาพผิวหนังตรงกะโหลกที่เปิดออก มันก็ยังคงดูงดงามอยู่ดี
ศพเหยียบลงไปที่หิมะในตอนที่เข้าหาลาพูเซล หนึ่งก้าว สองก้าว ลาพูเซลแสดงท่าทีสงบนิ่งออกมาอย่างเต็มที่ กอดอกพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ศพ ศพคงจะกลัวสายตาของเธอในตอนที่ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แต่มันก็ยังคงไม่ได้หยุดเดิน มันก้าวออกมาอีกก้าวและอีกก้าว ตัดผ่านหิมะในตอนที่เคลื่อนตัวมาด้านหน้า เมื่อมันก้าวออกมายาวๆ หิมะก็ยุบลงไป
ศพยื่นแขนออกมาด้านหน้า แต่การจับหิมะที่ยุบลงมันไม่ได้ช่วยอะไร ศพกลิ้งลงไปยังก้นหุบเขาพร้อมกับหิมะที่กระจายตัวออก
หลังจากนั้น ลาพูเซลก็ถูกทิ้งให้เหลือตัวคนเดียว เธอแทงฝักดาบเข้าไปในหน้าผ้าและยืนอยู่ด้านบน เมื่อมองดูแล้ว มันก็เหมือนกับว่าเธอยืนอยู่บนหิมะ แต่สิ่งที่ค้ำยันน้ำหนักตัวของเธอเอาไว้ก็คือฝักดาบที่ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ศพไม่ได้รู้ถึงเรื่องนี้และก้าวลงไปยังจุดที่หิมะอ่อนตัว ทรุดลงไปด้วยน้ำหนัก จนร่วงหล่นลงไปที่ก้นหุบเขา
แต่เพราะมันคือซอมบี้ที่มีพลังชีวิตสูง ลาพูเซลจึงสงสัยว่ามันจบแล้วหรือยัง ถ้าเธอใช้หิมะและน้ำแข็งในการทำให้ผู้ไล่ล่าเคลื่อนไหวช้าลงด้วยอุณหภูมิต่ำ หลอกล่อมันลึกเข้าไปในหุบเขาเพื่อแช่แข็งเอาไว้ หากเป็นแบบนั้นต่อให้จะเป็นซอมบี้ก็คงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ นั่นคือการที่สัตว์ประหลาดถูกจัดการในหนังสยองขวัญเลือดสาดที่วินเตอร์พริซั่นลากเธอไปดูในวันก่อน
ศพที่ฝังอยู่ในหิมะที่ก้นหุบเขาไม่ควรที่จะขยับได้ —แต่คิ้วของลาพูเซลก็ขมวดเข้าหากัน มันมีอะไรที่ดุเหมือนควันสีขาวลอยขึ้นมาจากก้นหุบเขา นั่นคือหิมะเหรอ? เธอเอนตัวออกจากด้านบนฝักดาบและมองลงไป หิมะที่ดูเหมือนควันสีขาวค่อยๆกระจายตัวออกจนกลืนกินก้อนหิน มันเคลื่อนไหวไปตามทางลาดด้วยความเร็วที่น่ากลัว ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน—
นั่นมัน… หิมะถล่มงั้นเหรอ?!
มวลสีขาวจำนวนมหาศาลบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างในทางที่มันผ่าน ใครจะไปรู้ว่ามันจะไปหยุดที่ตรงไหน? ภาพของรอยสกีที่ลาพูเซลเห็นก่อนหน้านี้ลอยขึ้นมาในใจ และเธอก็วิ่งออกไป หากหิมะถล่มยังคงไม่หยุด นักสกีที่ไม่รู้ก็อาจจะไปปะทะเข้ากับมันได้ ลาพูเซลคือคนที่ทำให้เกิดหิมะถล่มนี้ขึ้นมา —เดิมทีแล้วมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้น เธอได้ยินว่าหิมะที่ตกลงมาใหม่ๆบางครั้งสามารถก่อให้เกิดหิมะถล่มที่น่ากลัวได้ หิมะถล่มนี้มันจะไปอีกไกลแค่ไหน มันจะกลืนกินไปอีกมากเท่าไหร่กัน?
หิมะถล่มมันรวดเร็วยิ่งกว่ารถ แต่ลาพูเซลที่ใช้ความเร็วเต็มที่นั้นเร็วยิ่งกว่า แต่อย่างไรก็ตาม —ในตอนนี้เท้าของเธอมันหนักอึ้งเกินไป เธอไม่สามารถใช้ความเร็วแบบเต็มที่ตรงนี้เหมือนกับที่เธอทำบนถนนได้ หิมะที่ถมหนามันฉุดรั้งขาของเธอเอาไว้ เธอเตะมันขึ้นไปในตอนที่ไปข้างหน้า แต่ไม่ว่าเธอจะขยับขามากเท่าไหร่ เธอก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตามที่ต้องการได้ เธอไม่สามารถเข้าไปใกล้หิมะถล่มได้เลย —ความจริงแล้ว มันกำลังอยู่ห่างออกไปด้วย
ลาพูเซลร้องออกมา แน่นอนว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ใครซักคนต้องตาย แม้ว่ามันจะหมายถึงชีวิตของเธอก็ตาม ไม่ว่าจะยังไง เธอต้องช่วยคนพวกนั้น เธอขยับขาราวกับปฎิเสธที่จะยอมแพ้ต่อหิมะ วิ่งออกไปอย่างไร้ความหวัง ในจุดใดจุดหนึ่งทุกสิ่งมันกลายเป็นสีขาวในทุกทิศทาง แต่เธอก็ทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว มันไม่มีอะไรที่กำลังเคลื่อนไหว หิมะยังคงตั้งกองอยู่เป็นกอง เธอสามารถมองเห็นยอดไม้จำนวนหนึ่งได้ หิมะถล่มหยุดลงแล้ว นี่ป่าสนทำหน้าที่เสมือนกับโล่และหยุดมันเอาไว้งั้นเหรอ?
ควันสีขาวค่อยๆจางหายไป มีรูปร่างสีดำก็ปรากฎตัวออกมาจากสีขาว มันคือศพในชุดเดรสสีดำที่มีหิมะติดอยู่ทั่ว ยืนอยู่ด้านบนของกองหิมะที่กลิ้งลงมาจากทางลาดก่อนหน้านี้ ลาพูเซลกลืนน้ำลายและมองขึ้นไปที่ศพ มันกำลังยกมือขวาขึ้นและชี้ไปตรงหน้า
มันมีรอยสกีอยู่ตรงทางลาด รอยนั้นไม่ได้โค้งสวยเหมือนกับที่เธอเห็นก่อนหน้านี้ มันบิดและโค้งออกไปด้วยไม้ค้ำสกี มันดูไม่เป็นรูปเป็นร่างมากพอจนเธอจินตนาการได้ว่าคนพวกนั้นตื่นตระหนกขนาดไหน
“พวกนั้น… หนีไปได้เหรอ?” ลาพูเซลถาม
ศพเอียงศีรษะมาด้านหน้าอย่างรุนแรง จนผมสีดำยาวเด้งไปมา จากนั้นก็ยืดตัวตรงอีกครั้งในทันที
“นี่เธอ… เพิ่งพยักหน้า?”
ศพเอียงตัวในแบบเดียวกัน เส้นผมเด้งไปมา จากนั้นก็ตัวตรงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าการตีความของลาพูเซลถูกต้อง
“งั้นเหรอ…”
ดีแล้ว ลาพูเซลคิด เธอเริ่มที่จะรู้สึกโล่งอก แต่ถึงแม้ว่านักสกีจะปลอดภัยแล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครที่โดนเข้ากับหิมะถล่ม ลาพูเซลต้องทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครที่ติดอยู่จริงๆ เธอใช้ฝักดาบที่ขยายใหญ่ในฐานะพลั่วและเสียบลงไปในกองหิมะ ขุดขึ้นมาด้วยแรงของเมจิคัลเกิร์ล เธอขุดหิมะขึ้นมาด้วยความเร็วที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเครื่องกลหนัก
เธอมองไปยังด้านข้างเมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตน และเห็นว่าศพนั้นกำลังจับหิมะด้วยมือเปล่าและโยนออกไปด้านหลัง การที่ได้เห็นเธอเคลื่อนไหวพร้อมกับความตั้งใจ ความรู้สึกอะไรบางอย่างก็เอ่อล้นขึ้นมาภายในตัวของลาพูเซล จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้ามืดที่มีเมฆมาก หลังจากที่กระพริบตาสองสามครั้ง เธอก็หันกลับเพื่อมองไปยังเด็กสาวแห่งความตายชุดดำอีกครั้ง
เหมือนว่าการฟื้นตัวของศพจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังคงดูเหมือนว่าไม่ได้มีชีวิตอยู่ สีผิวและริมฝีปากมันห่างไกลจากคนที่มีชีวิต ดวงตาสีดำสนิทกับรอยคล้ำใต้ตายิ่งเพิ่มความรู้สึกนั้นให้ชัดเจนขึ้น เส้นผมสีดำยาวจนไปถึงเอว มันยาวมากจนทำให้ตัวตนของเด็กสาวคนนี้ดูไม่น่ามีอยู่จริงมากยิ่งขึ้น แต่เด็กสาวคนนี้คือศพ คือคนที่ไม่มีพลังงานของสิ่งมีชีวิต กำลังเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันในตอนที่ขุดหิมะอย่างเงียบๆ
ในตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไปดู ลาพูเซลก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่าเด็กสาวคนนี้ไม่เคยทำอะไรที่เป็นภัยเลย ไม่สิ —มันไม่ได้มีเลยซักครั้ง ลาพูเซลแค่รู้สึกกลัวตัวตนที่น่าสยดสยอง ศพเองก็แค่ไล่ตามลาพูเซลมา—
“หือ? จะว่าไปแล้ว ทำไมเธอถึงไล่ตามฉันมาด้วยล่ะ?” ลาพูเซลถาม
ศพวางก้อนหิมะที่อยู่ในมือลงไปที่พื้น และดึงตุ๊กตาที่ติดพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋า สิ่งเล็กๆที่น่ารักนั้นคือของอันสูงค่า มันคือจิบิของคิวตี้ฮีลเลอร์รุ่นแรก โซตะเองก็มีหนึ่งชิ้นเช่นกัน ความจริงแล้วไม่นานมานี้เขายังถ่ายรูปมันอยู่เลย
“เดี๋ยวก่อน นั่นของฉันนี่” ลาพูเซลพูด “นี่ฉัน… ทำตกเหรอ?”
ศพเอนตัวมาด้านหน้าจากนั้นก็เหยียดตัวตรง
“เธอเก็บมันได้… แล้วพยายามจะคืนให้ฉัน?”
ศพเอนตัวมาด้านหน้าจากนั้นก็เหยียดตัวตรงอีกครั้ง
“อ่า…”
เมื่อเห็นว่าลาพูเซลไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น ศพก็กลับไปทำหน้าที่เดิมของตัวเอง จับก้อนหิมะด้วยมือเปล่าและโยนออกไปด้านข้าง แม้จะด้วยมือที่เย็นเฉียบ สำหรับมนุษย์แล้ว การทำอะไรแบบนั้นจะทำให้เนื้อเยื่อตายด้วยความเย็น แต่มันไม่มีปัญหาอะไรสำหรับศพ มันไม่ได้หยุดจากความเย็นหรือความหนาว จับหิมะอย่างเงียบๆแล้วก็โยนออกไป
“เดี๋ยวก่อน” ลาพูเซลหยุดศพเอาไว้และยื่นฝักดาบของเธอลงไปที่มือ “ใช้นี่ซะ ฉันจะใช้มือขุดเอง”
ศพขยับมือราวกับว่าพยายามสื่อสารอะไรบางอย่าง —มันเหมือนกับพยายามที่จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ฝักดาบ— แต่ลาพูเซลก็ไม่ได้ใส่ใจ เช็ดน้ำตาที่แก้มออกไปด้วยหลังมือ จับหิมะด้วยมือเปล่าและโยนออกไปด้านข้างเหมือนกับที่ศพทำ เมื่อศพได้เห็นแบบนั้นก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ใช้ฝักดาบเหมือนกับพลั่วแบบที่ลาพูเซลทำ แล้วก็เริ่มขุดหิมะออกไป
งานนี้เป็นงานง่ายๆที่เหมาะสมกับสภาพจิตใจของลาพูเซลในตอนนี้ เธออยากลงโทษตัวเอง เธออับอายเรื่องอคติของตัวเองที่ตัดสินจากรูปลักษณ์ของเด็กสาวว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ชั่วร้าย มันทำให้เธอรู้สึกแย่จนอยากที่จะหายตัวไป ที่พวกเธอต้องมาทำงานกันอยู่ในตอนนี้มันเป็นเพราะว่าความผิดพลาดของลาพูเซลเอง แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วมันไม่จำเป็นที่ต้องช่วย แต่ศพก็ทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองจากความปรารถนาดี มันเป็นความซื่อตรงที่มากยิ่งกว่าลาพูเซล คนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลและอัศวินเสียอีก
ลาพูเซลหลับตาลง เธอรู้สึกราวกับว่าถ้าปล่อยไปน้ำตามันจะไหลออกมาอีกครั้ง
“…ขอโทษนะ” เธอพูดมันออกมาในขณะที่ยังคงกวาดหิมะ
ในตอนที่ตักหิมะด้วยฝักดาบอยู่นั้น ศพก็เอียงตัวไปทางขวา
“เธอไม่รู้ว่าฉันขอโทษเรื่องอะไรสินะ?”
จากนั้นศพก็เอียงตัวไปทางซ้ายก่อนที่จะกลับมายังตรงกลาง
“ไม่เป็นไร ฉันโง่เอง ฉันทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีกับเธอ ฉัน… ฉันขอโทษจริงๆ ฉันทำอะไรที่มันน่าอายในฐานะเมจิคัลเกิร์ล”
ศพปล่อยฝักดาบ ปรบมือ แล้วก็ชี้มาที่ตัวเอง “ฉัน… ก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลเหมือนกัน”
“หือ?” ความประหลาดใจที่เด็กสาวสามารถพูดได้กับความประหลาดใจที่เธอเองก็เป็นเมจิคัลเกิร์ลผสมรวมกันจนทำให้ลาพูเซลรู้สึกช็อคและสับสนจนพูดอะไรไม่ออก “หือ? อะไรนะ? อ่า เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ”
เด็กสาวเอียงตัวมาด้านหน้า ยกตัวขึ้น จากนั้นก็หยิบฝักดาบขึ้นมาอีกครั้งและกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“เมจิคัลเกิร์ล… งั้นเหรอ” ลาพูเซลพูด “หืม… เธอแค่เป็นเมจิคัลเกิร์ลสินะ”
เธอไม่ใช่ซอมบี้ ในขณะที่ลาพูเซลรู้สึกโล่งอก เธอก็รู้สึกโกรธด้วย เธอรู้สึกโกรธตัวเอง
แค่เพราะว่าไม่มีศีรษะ ลาพูเซลจึงคิดว่าเด็กสาวคือสัตว์ประหลาด แม้ว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอย่างการเคลื่อนไหวไปรอบๆราวกับศพที่ถูกหั่นเป็นชิ้น เธอก็ไม่ได้แม้แต่จะคิดว่าเด็กสาวอาจจะเป็นเมจิคัลเกิร์ล การพูดว่าตัวเองตื่นตระหนกหรือสับสนมันคือข้ออ้าง ลาพูเซลกลืนการถอนหายใจลงไปและทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
☆ ฮาร์ดกอร์ อลิส
ในตอนทางกลับจากภูเขา เธอก็พบว่าตัวเองอยู่ในเมือง D ของจังหวัดเดียวกัน เธอไม่ได้คิดว่าจะมีเมจิคัลเกิร์ลที่อยู่นอกเมือง N ด้วย
ลาพูเซลที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลท้องถิ่นขอโทษเธออย่างเอาเป็นเอาตาย ก้มศีรษะให้อลิสครั้งแล้วครั้งเล่า เธอก้มศีรษะลงไปหลายครั้งมากจนอลิสจำเรื่องเขาที่งอกออกมาด้านบนศีรษะมากกว่าท่าทางของเธอเสียอีก
“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ นี่เป็นความผิดฉันเอง ฉันทำอะไรที่มันแย่มากๆ”
เธอพูดถึงเรื่องที่ว่าทำไมตัวเองถึงวิ่งหนี อลิสเข้าใจความรู้สึกของเธอดี ดังนั้นอลิสจึงไม่สามารถโทษอะไรเธอได้ อลิสพยายามออกมาจากรถบรรทุกที่จอดอยู่ แต่กำแพงซีเมนต์ก็ขวางเอาไว้ —ประตูท้ายของรถบรรทุกจึงไม่สามารถเปิดออกได้ทั้งหมด มันไม่มีที่ว่างพอให้อลิสออกมา และเธอก็ไม่อยากทำลายรถบรรทุกเพื่อสร้างปัญหาเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าควรทำยังไงและคิดบางอย่างออกมาได้
ที่ร่างกายของเธอติดจนออกมาไม่ได้เพราะเธอพยายามออกมาแบบปกติ แบบนั้นถ้าเธอหั่นร่างกายตัวเองออกเป็นห้าส่วนเพื่อทำให้เล็กลง —เธอจะสามารถออกมาได้รึเปล่า? แผนการนี้ได้เริ่มต้นขึ้น แต่เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องของคนอื่นว่าจะคิดยังไงหากเห็นเธอที่พยายามจะออกไปแบบนั้น หากอลิสอยู่ในจุดยืนของลาพูเซล เธอก็จะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาดจากหนังสยองขวัญเลือดสาดแน่นอน
จากการทดลองแบบซ้ำๆ อลิสก็ได้รู้ว่าเธอจะไม่ตายจากบาดแผลภายนอก แม้จะตัด แทง หรือเผาเล็กน้อย เธอก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้โดยที่ไม่มีปัญหา แต่มันไม่ใช่ว่าคนอื่นจะรู้ถึงเรื่องนี้ หากมีคนเห็นเธอเข้า คนๆนั้นก็จะคิดว่าเธอคือสัตว์ประหลาดและปฎิบัติกับเธอเสมือนว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ
อลิสอยากจะพูดเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ลาพูเซลรู้สึกดีขึ้นและบอกไปว่าไม่เป็นไร แต่ในตอนที่คิดว่าควรจะพูดออกมายังไง หัวข้อมันก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นแล้ว
แม้หลังจากที่พวกเธอขุดหิมะกันเสร็จแล้วและแน่ใจว่าไม่มีใครที่โดนหิมะถล่ม ลาพูเซลก็ยังคงขอโทษเธอตลอดเวลา ลาพูเซลเสียใจที่ความไร้ประสบการณ์ของตัวเองในฐานะเมจิคัลเกิร์ลทำให้เรื่องมันออกมาแบบนี้ บอกว่าถ้าเป็นอาจารย์หรือคู่หูของเธอก็คงจะสามารถตัดสินใจได้ดีกว่านี้ ในตอนที่เธอพูดเรื่องนี้อยู่ หัวข้อการสนทนาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป และก่อนที่พวกเธอจะรู้ตัว ลาพูเซลก็อวดเรื่องคู่หูของตัวเอง เธอพูดว่าคู่หูเป็นคนที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์ เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แท้จริงในหมู่ของเมจิคัลเกิร์ล จากนั้นก็เงียบแล้วก็เสริมว่า “เธอน่ารักมากเลยแหละ” แล้วก็อายในแบบของตัวเอง
ฮาร์ดกอร์ อลิสอยากจะแย้ง คนเพียงคนเดียวที่ “อ่อนโยน บริสุทธิ์ และเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่แท้จริงในหมู่ของเมจิคัลเกิร์ล” คือเมจิคัลเกิร์ลชุดขาวที่ช่วยอาโกะเอาไว้ต่างหาก
โชคไม่ดีที่เธอไม่สามารถพูดเรื่องนี้ออกมาได้ดีอะไรเลย เธอได้แต่ปล่อยให้ลาพูเซลพูดออกมาตามใจอยาก ไตร่ตรองถึงความไม่พอใจของตัวเองอย่างถี่ถ้วน ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากขอโทษเมจิคัลเกิร์ลชุดขาวอย่างเงียบๆ “ฉันขอโทษที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ว่าเธอยอดเยี่ยมมากขนาดไหน” และทั้งสองคนก็ลงมาจากภูเขา กลับมายังลานจอดรถที่พวกเธอมา
พื้นที่บริเวณรอบรถบรรทุกมันเงียบสงบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ไม่มีเลือด ศีรษะ อวัยวะภายใน แขนและขาอยู่เลย นี่คือเรื่องที่อลิสเรียนรู้มาจากการทดลองของตัวเอง —ชิ้นส่วนที่ถูกตัดขาดและเลือดที่ไหลออกมาจากร่างกายของอลิสจะหายไปอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง แต่กระนั้น เธอก็ขอบคุณที่ตัวเองไม่ต้องทำความสะอาดทุกครั้ง
“เอาล่ะ ฉันต้องกลับแล้ว” ลาพูเซลพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนล้า แต่อลิสก็จับมือของเธอเพื่อหยุดเอาไว้ เนื่องจากว่าอลิสมาที่นี่โดยรถบรรทุก เธอจึงไม่รู้ว่าจะกลับไปที่เมือง N ได้ยังไง แม้ว่ามันจะเป็นการรบกวนที่ถามเรื่องทางกลับ อย่างน้อยที่สุดเธอก็อยากให้ลาพูเซลบอกเรื่องทิศทางที่ถูกต้อง
ในตอนที่เธอคิดว่าจะถามเรื่องนี้ออกไปยังไง ลาพูเซลก็ตีความว่าการจับมือนี้คืออลิสไม่เต็มใจที่จะแยกจากกัน ลาพูเซลจับมือของเธอเอาไว้แล้วก็ยิ้ม “ขอบคุณนะ… ดูเหมือนว่าเธอยกโทษให้ฉันแล้ว เธอนี่เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
คำพูดที่บอกว่า “เมจิคัลเกิร์ลที่ยอดเยี่ยม” มันทำให้อลิสมีความสุข เธอบิดตัวไปมาราวกับว่ากำลังเจ็บปวด ส่ายศีรษะและก้มหน้าพึมพำ ลาพูเซลยกมือขึ้นและด้วยคำพูดสุดท้าย “แล้วเจอกันนะ” เธอก็วิ่งออกไป อลิสยื่นมือขวาออกไป แต่ในตอนที่เธอคิดว่าจะเรียกให้หยุดยังไงดี ลาพูเซลก็หายไปแล้ว
อลิสมองไปทั่วบริเวณอย่างช้าๆพร้อมกับปากที่ยังคงอ้า ช่วงเวลากลางคืนมันเริ่มที่จะกลายเป็นรุ่งสางเล็กน้อยแล้ว เธอเดินไปตามถนนอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสงสัยว่ามีป้ายบอกทางอะไรอยู่รึเปล่า แม้ว่าเธอจะเจอป้ายขนาดใหญ่ตรงหน้าสวนสาธารณะ ชื่อของทุกสถานที่ที่เขียนเอาไว้ก็เป็นชื่อที่เธอไม่รู้จัก และเธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอควรจะไปที่ไหนหรือไปยังไง แผนที่เองก็เฉพาะจุดมากเกินไป ทำให้อลิสรู้สึกว่าเธอไม่สามารถได้ข้อมูลที่ตัวเองต้องการได้เลย
เมื่อรู้ว่าปากของตัวเองยังคงอ้า อลิสก็ปิดปากอย่างช้าๆ
เธอตัดสินใจแล้ว เธอจะถามทางจากใครซักคน
เธอไม่ใช่อาโกะ ฮาโทดะ คนที่คอยหลีกเลี่ยงเรื่องการพบปะกับคนอื่นอีกต่อไป —ฮาร์ดกอร์ อลิสมีแผนว่าจะเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นที่รักของทุกคน และเธอก็ควรจะสามารถทำการสนทนาได้อย่างปกติ
มันไม่มีใครที่อยู่รอบๆเพราะว่ายังเช้าเกินไป แต่ปัญหาก็จะถูกแก้ไขด้วยเวลา ในช่วงเวลานี้ของวันคือช่วงเวลาที่นักวิ่งจะมาวิ่งออกกำลังกายยามเช้า หรือว่าใครซักคนที่เป็นแบบนั้นจะปรากฏตัวออกมาในอีกไม่นาน เธอหันไปรอบๆและพบชายแก่ที่กำลังจูงสุนัข ชายแก่มองมาที่อลิสด้วยดวงตาเบิกกว้าง
อลิสจำเรื่องการฝึกฝนของเธอเพื่อที่จะพัฒนาทักษะในการสื่อสารได้ หากประหม่าก็จะไม่ใช่เรื่องดี เธอต้องทำตัวปกติ ต้อง เป็นธรรมชาติ ในตอนที่พูดอย่างใจเย็นและลื่นไหล
แต่ระยะก็อยู่ห่างกันมากเกินไป ดังนั้นอลิสจึงวิ่งเข้าไปหาชายแก่ แต่เธอก็วิ่งอย่างรวดเร็วเกินไปจนชนเข้ากับตู้ไปรษณีย์ มันทำให้เธอเสียสมดุล ล้มลงไปด้านหน้าในแนวทแยง จากนั้นก็ไปติดอยู่กับลวดหนามของสวนสาธารณะ
ดวงตาของชายแก่เบิกกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาตกใจ แบบนี้ไม่ดีแล้ว เธอจะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกันกับครั้งล่าสุด เพื่อที่จะบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร… ใช่แล้ว เธอควรจะยิ้มออกมา เมจิคัลเกิร์ลสีขาวทำให้หัวใจของอาโกะ ฮาโทดะหลอมละลายด้วยรอยยิ้มที่ยอดเยี่ยม ลาพูเซลเองก็มีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ดังนั้นฮาร์ดกอร์ อลิสก็ควรจะสามารถเป็นเพื่อนกับคนอื่นด้วยรอยยิ้มได้ด้วย
อลิสยิ้มไปหาเขา เธอไม่มีกระจก ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าใบหน้าของเธอเป็นแบบไหน แต่เธอก็แน่ใจว่าตัวเองยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน
ลำคอของชายแก่สั่นเทา และเขาก็ส่งเสียงดังจนหูแทบฉีกออกมาก่อนที่จะวิ่งออกไปอย่างเร็วที่สุดพร้อมกับสุนัขโดยไม่หันหลังกลับมามอง เขาทิ้งที่ตักและถุงพลาสติกที่ถืออยู่เอาไว้และวิ่งออกไปจนมองไม่เห็นตัว
อลิสนั่งลงไป หยิบที่ตักกับถุงพลาสติกขึ้นมา ในตอนนี้เธอควรจะเอาเจ้านี่ไปคืนงั้นเหรอ? งานของเมจิคัลเกิร์ลไม่เคยจบสิ้น อลิสวิ่งออกไปพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
MANGA DISCUSSION